ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 41,347 รายการ
ชื่อเรื่อง สังฮอมธาตุ (สังฮอมธาตุ)
สพ.บ. 204/3ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 50 หน้า กว้าง 5 ซ.ม. ยาว 58.5 ซ.ม. หัวเรื่อง พุทธศาสนา ชาดก เทศน์มหาชาติ คาถาพัน
บทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับล่องรัก ได้รับบริจาคมาจากวัดกกม่วง ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
ชื่อเรื่อง มหานิปาตวณฺณนา (เวสฺสนฺตรชาดก)ชาตกฎฐกถา ขุทฺทกนิกายฏฐกถา (ทานขันธ์-นครกัณฑ์)
สพ.บ. 250/13ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 42 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 59 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา--การศึกษาและการสอน ชาดก
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ-ล่องรัก ได้รับบริจาคมาจากวัดทุ่งอุทุมพร ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
สัปคับและกูบช้าง ภาพที่แสดงให้เห็นถึงการใช้ ช้าง เป็นพาหนะสำหรับเดินทางในพื้นที่ภาคเหนือ จะพบภาพการนำคณะมิชชันนารีไปเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในถิ่นห่างไกลทางภาคเหนือและในเมืองเชียงตุงของรัฐฉาน เมืองสิบสองปันนา ภาพคนงานใส่สัปคับ และภาพที่มีการใส่กูบเพื่อกันแดดกันฝนในการเดินทาง นอกจากภาพการเดินทางโดยใช้ช้างแล้วยังพบภาพพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการเสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลฝ่ายเหนือ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๙ ซึ่งมีพิธีรับเสด็จเข้าเมืองกับพิธีทูลพระขวัญตามธรรมเนียมหัวเมืองฝ่ายเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่ ได้มีการนำช้างจากเจ้าผู้ครองนครฝ่ายเหนือเข้าร่วมขบวน โดยมีการใส่สัปคับและกูบที่สวยงามไว้ที่หลังของช้าง คำว่า สัปคับ (น.) ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ มีความหมายว่า ที่สำหรับนั่งผูกติดบนหลังช้าง ในภาษาถิ่นเหนือหรืออีสาน เรียกว่า แหย่ง ซึ่งมักใช้ประกอบกับหลังคาด้านบน คือกูบ ส่วนในหนังสือ สารพจนานุกรมล้านนา พบคำว่า กูบ มีความหมาย ว่า หลังครอบ ส่วนที่ครอบสิ่งอื่นไว้ และอธิบายคำว่า กูบช้าง หมายถึง หลังคาครอบแหย่ง (ที่นั่ง) ช้าง คือประทุนครอบกันฝนและร้อน หนาว คำว่ากูบใช้ได้กับสัตว์อีกชนิดคือม้า และใช้ได้กับรถกูบ หรือ รถที่มีหลังคาครอบ คือ ประทุน หรือผตีน ปัจจุบันพบว่าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหริภุญไชย ลำพูน ได้เก็บรักษาสัปคับพร้อมกูบของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์สุดท้ายไว้ แต่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ จัดแสดงเฉพาะสัปคับไม้ลงรักปิดทอง ตัวเป็นลวดลายแบบจีน ด้านหน้ามีรูปค้างคาวและรูปขุนนางจีน ๔ คน ขอบสลักเป็นรูปนกเกาะกิ่งไม้ ขาและมุมทั้งสี่สลักเป็นรูปหัวมังกร โดยพระมหาธรรมราชานุวัตร เจ้าอาวาสวัดพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ให้ยืมมาจัดแสดง จากภาพเห็นได้ว่าสัปคับและกูบของคณะมิชชันนารีทำขึ้นแบบง่ายใช้สำหรับการนั่งหลบฝนและแดดในระหว่างการเดินทาง ส่วนสัปคับและกูบของผู้มีฐานะจะทำขึ้นอย่างสวยงาม มีลวดลายวิจิตรบรรจง สำหรับการใช้ในขบวนพิธีผู้เรียบเรียง : นางสาวอริสรา คงประเสริฐ นักจดหมายเหตุภาพ :๑.หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่ ๒.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหริภุญไชย ลำพูน. อ้างอิง : ๑. มณี พยอมยงค์. ๒๕๔๖. สารพจนานุกรมล้านนา. จ.เชียงใหม่: ดาวคอมพิวกราฟิก. ๒. บุญเสริม สาตราภัย. ๒๕๕๔. เชียงใหม่ในความทรงจำ. เชียงใหม่: Sansilp Printing.๓. สำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสถาบันพระปกเกล้า.๒๕๕๘.จดหมายเหตุเสด็จพระราชดำเนิรเลียบมณฑลฝ่ายเหนือ พระพุทธศักราช ๒๔๖๙.กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชซิ่ง.๔. ราชบัณฑิตยสถาน.๒๕๕๔. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. พิมพ์ครั้งที่ ๒.กรุงเทพมหานคร: ศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้น.๕. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหริภุญไชย ลำพูน.ม.ป.ป.“สัปคับ”(Online). https://www.finearts.go.th/hariphunchaimuseum/view/23555-สัปคับ,๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๔.๖. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่.ม.ป.ป. “วัตถุที่จัดแสดง” (Online). http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/chiangmai/index.php/th/event/วัตถุที่จัดแสดง.html,๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๔.
เลขทะเบียน : นพ.บ.181/5ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 24 หน้า ; 4.5 x 48.5 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 103 (91-100) ผูก 5 (2565)หัวเรื่อง : แปดหมื่นสี่พันธ์ขันธ์ --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ปิตุคุณสุตฺต (ปิตุคุณสูตร)
ชบ.บ.62/1-2
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ชื่อเรื่อง มิลินฺทปญฺหาสงฺเขป (มิลินทปัญหา)
สพ.บ. 322/6
ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลาน
หมวดหมู่ พุทธศาสนา
ลักษณะวัสดุ 52 หน้า กว้าง 4.7 ซม. ยาว 56.9 ซม.
หัวเรื่อง พุทธศาสนา
ชาดก
บทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจาก วัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
เลขทะเบียน : นพ.บ.283/5ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 16 หน้า ; 4.5 x 55.5 ซ.ม. : ทองทึบ ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 119 (248-252) ผูก 5 (2565)หัวเรื่อง : สังฮอมธาตุ--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
บทความวิชาการจดหมายเหตุเรื่อง ภาพเก่าเล่าอดีต : หกสิบปีพระภูมีในดวงใจราษฎร์ผู้แต่ง : นัยนา แย้มสาขา อดีตกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านจดหมายเหตุ กองทุนส่งเสริมงานจดหมายเหตุตีพิมพ์ลงนิตยสารศิลปากร ปีที่ ๔๙ ฉบับที่ ๔ (เดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ๒๕๔๙)หน้า ๗๙-๙๕
สังคโลกแหล่งเตาทุเรียงเมืองเก่าสุโขทัย ตอนที่ 3 : รัชกาลที่ 6 กับการศึกษาสังคโลกแหล่งเตาทุเรียงเมืองเก่าสุโขทัย.พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว นับเป็นนักวิชาการไทยท่านแรกที่ได้ริเริ่มศึกษาสังคโลกสุโขทัย โดยเมื่อปี พ.ศ.2450 ครั้งยังดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จประพาสสำรวจโบราณสถานตามเส้นทางถนนพระร่วงที่เมือง กำแพงเพชร สุโขทัย สวรรคโลก (ศรีสัชนาลัย) และเมืองใกล้เคียง แล้วทรงพระราชนิพนธ์หนังสือชื่อ “เที่ยวเมืองพระร่วง” พิมพ์เผยแพร่เมื่อ พ.ศ.2451 ทรงมีพระราชวิจารณ์ถึงแหล่งเตาทุเรียงเมืองเก่าสุโขทัยแห่งนี้ว่า .“...ต่อที่วัดพระพายหลวงออกไปอีก มีเตาเผาถ้วยชามตั้งอยู่ในป่าไผ่ อยู่ตามเนิน ขุดเนินเข้าไปก่อเตาด้วยอิฐ เป็นเตาเตี้ย ๆ มีชิ้นถ้วยชามแตก ๆ ทิ้งอยู่ตามริมเตาบ้าง ซึ่งเข้าใจว่าเป็นชามที่เสียเขาทิ้ง ที่เคลือบแล้วก็มี ที่เขียนแล้วยังไม่ได้เคลือบก็มี พื้นชามก็เป็นชนิดที่เรียกว่า สังกโลก บางทีก็มีเป็นลวดลายเป็นดอกไม้บ้างก็มีฝีมือทำสู้ที่สวรรคโลกไม่ได้ ตามใกล้ ๆ แถบเตานี้มีที่พื้นดินลุ่มแตกระแหง หน้าฝนน้ำขัง มีไผ่และหญ้าขึ้นตามขอบ แต่ในลุ่มนั้นเองไม่มีอะไรขึ้นเลย แห่งหนึ่งคะเนด้วยตาว่ากว้าง 10 วา หรือ 15 วา ยาวประมาณ 5 เส้น อย่างไรๆ ก็ไม่ใช่ที่นาหรือไร่ จึงเข้าใจว่าเป็นที่เขาขุดดินขึ้นมาใช้ในการปั้นถ้วยชาม คนโดยมากบางทีจะพึ่งได้ทราบเป็นครั้งแรกเมื่ออ่านหนังสือนี้ ว่าถ้วยชามสุโขทัยก็มี ถึงแม้ได้พบปะชามสุโขทัยก็คงเข้าใจว่าเป็นชามสังกโลก ที่จริงเข้าใจว่าสุโขทัยคงได้วิชามาจากสวรรคโลกอีกชั้นหนึ่ง...”.การสำรวจในครั้งนั้นถือเป็นการจุดประกายความสนใจในเรื่องสังคโลกสุโขทัย ทำให้นักวิชาการในสมัยต่อมาหันมาศึกษา ดังเช่นการศึกษาของ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งได้ทรงนิพนธ์หนังสือเรื่อง ตำนานเรื่องเครื่องโต๊ะและถ้วยปั้น ในปี พ.ศ.2460 ทรงกล่าวถึงกำเนิดการค้าและสิ้นสุดของเครื่องถ้วยสุโขทัย โดยการตีความจากจดหมายเหตุของราชวงศ์หยวน และความในพระราชพงศาวดารเหนือ ซึ่งกล่าวตรงกันว่า พ่อขุนรามคำแหงได้เสด็จไปเมืองจีน เมื่อปีมะแม จุลศักราช 655 หรือ พ.ศ.1837 ได้นำช่างจีนกลับมาเมืองไทย และทรงสันนิษฐานอีกว่า ช่างปั้นจีนคงเข้ามาตั้งเตาเผาแห่งแรกที่เมืองสุโขทัยก่อน ต่อมาจึงย้ายไปทำที่เมืองสวรรคโลก เพราะได้พบวัสดุดินหินที่มีคุณภาพดีกว่า และทำเพียงเครื่องเคลือบเดียว มีผิวแตกราน ซึ่งเรียกว่า “สังกโลก” (หมายถึงเครื่องเคลือบสุโขทัยประเภทเคลือบสีเขียว เตาศรีสัชนาลัย) และน่าจะนำออกไปจำหน่ายยังพื้นที่ใกล้เคียง เช่น เชียงใหม่ หลวงพระบาง และอินโดนีเซีย เป็นต้น ส่วนการสิ้นสุดการผลิต ทรงสันนิษฐานว่า เมื่อ พ.ศ.1911 อยุธยาได้ครอบครองเมืองสุโขทัย พระมหาธรรมราชาต้องลดฐานะเป็นประเทศราชย้ายไปประทับที่พิษณุโลก อาจเลิกในคราวนี้ หรืออาจเป็นปี พ.ศ.1999 เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงทำสงครามกับพระเจ้าติโลกราช ทำให้สุโขทัยและสวรรคโลกต้องกลายเป็นสนามรบ ผู้คนคงจะกระจัดกระจายในคราวนั้น ประมาณเวลาการผลิตสักร้อยปีเศษจึงยกเลิกไป.ข้อมูลและข้อสันนิษฐานต่างๆ เหล่านี้เป็นพื้นฐานที่สำคัญให้กับนักวิชาการที่สนใจศึกษาเรื่องสังคโลกสุโขทัยในยุคต่อมาอีกหลายสิบปีใช้อ้างอิง แม้ว่าข้อสันนิษฐานบางประการในการศึกษาเรื่องสังคโลกสุโขทัยในยุคสมัยนั้นจะไม่ถูกต้องแล้วในปัจจุบัน เนื่องจากได้พบหลักฐานใหม่จากการศึกษาและการขุดค้นทางโบราณคดี ซึ่งจะได้เขียนและนำเสนอในโอกาสต่อไป.ย้อนอ่านตอนที่ 1 : “สังคโลก” ชื่อนี้มาจากไหน ? : https://www.facebook.com/skt.his.park/posts/4575170435868762ย้อนอ่านตอนที่ 2 : ตำแหน่งที่ตั้งและรูปแบบของเตาเผาสังคโลก : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4695853460467125&id=180332008685982&sfnsn=mo.เอกสารอ้างอิงสำหรับอ่านเพิ่มเติม1. ธงชัย สาโค. สังคโลกเตาทุเรียงเมืองเก่าสุโขทัยข้อมูลใหม่จากหลักฐานทางโบราณคดี. กรุงเทพฯ : พระรามครีเอชั่น, 2564.2. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว. เที่ยวเมืองพระร่วง. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2521. (ดาวน์โหลดหรืออ่านเอกสารที่ได้ที่ https://www.finearts.go.th/.../DmXieNBoCKqhdshKUSb2bPYISK...)3. สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ. ตำนานเรื่องเครื่องโต๊ะและถ้วยปั้น. พระนคร : โรงพิมพ์ไทย (แจกในงานพระศพพระวรวงษ์เธอ พระองค์เจ้าปรีดา) , 2460. (ดาวน์โหลดหรืออ่านเอกสารที่ได้ที่ https://upload.wikimedia.org/.../%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8...)4. อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย. รายงานการดำเนินงานทางโบราณคดีแหล่งเตาทุเรียงเมืองเก่าสุโขทัย. ปีงบประมาณ 2559 – 2560. (ดาวน์โหลดหรืออ่านเอกสารที่ได้ที่ https://drive.google.com/.../1ZD-1vyJ470F9UFZrUl.../view... )5. อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย. รายงานการบูรณะเตาทุเรียงเมืองเก่าสุโขทัย. ปีงบประมาณ 2561. (ดาวน์โหลดหรืออ่านเอกสารที่ได้ที่ https://drive.google.com/.../1PzxCFznNifILdcfpslw.../view... )6. ภาพประกอบ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ รหัสภาพ : ภ.003 หวญ.94(4-1)
ประชุมพระบรมราโชวาท และพระโอวาท. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2527. หนังสือประชุมพระบรมราโชวาท และพระโอวาท นี้ เนื้อหาประกอบด้วยพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระโอวาทของเจ้านายบางพระองค์ เช่น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต
วัดทุ่งศรีเมือง ตั้งอยู่ที่ถนนหลวง ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี วัดทุ่งศรีเมือง ตามประวัติระบุว่าตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๖ โดยพระอริยวงศาจารย์ญาณวิมลอุบลสังฆปาโมกข์ (สุ้ย หลักคำ) ในช่วงสมัยพระพรหมราชวงศา (กุทอง สุวรรณกูฎ) เป็นเจ้าเมืองอุบลราชธานี ลำดับที่ ๓ ตรงกับสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ภายในวัดมีสิ่งสำคัญ ได้แก่
. หอไตร ตามประวัติระบุว่าสร้าง พ.ศ. ๒๓๘๕ โดยญาคูช่าง ลักษณะเป็นอาคารไม้ชั้นเดียวยกพื้นสูงตั้งอยู่กลางสระน้ำ โครงสร้างอาคารใช้เสาไม้ จำนวน ๒๕ ต้น รับน้ำหนักตัวอาคารและชุดหลังคาจั่วแบบลดชั้นแล้วต่อหลังคาปีกนกโดยรอบซ้อนกัน ๒ ชั้น มุงกระเบื้องดินเผา หลังคาประดับด้วยช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์แบบภาคกลาง ส่วนหน้าบันเป็นไม้แกะสลักลายดอกพุดตาน ลายดอกประจำยาม มีคันทวยไม้แกะสลักรูปเทพพนมและนาค ผนังอาคารเป็นแผ่นไม้ฝาปะกนแบบเรือนเครื่องสับในภาคกลาง สลักลวดลายรูปสัตว์ในกรอบสี่เหลี่ยมมุมมน มีหน้าต่างด้านละ ๔ ช่อง ยกเว้นผนังด้านหน้าเป็นช่องประตูทางเข้า ๑ ช่องและหน้าต่าง ๒ ช่อง ภายในอาคารแบ่งพื้นที่การใช้สอยออกเป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนห้องเก็บคัมภีร์ในตอนกลางอาคาร และระเบียงโดยรอบ ห้องเก็บคัมภีร์ตั้งบนฐานเอวขัน ผนังตีไม้ทึบ ตกแต่งด้วยลายราชวัตรและตัวละครในวรรณคดีไทย บริเวณมุมเสาประดับกาบพรหมศร ไม่มีหน้าต่าง มีประตูทางเข้า ๑ ทางในตอนกลางด้านหน้า บานประตูเขียนภาพทวารบาลทรงศรประทับยืนบนแท่นมีวานรแบก พื้นหลังเขียนลายก้านต่อดอก ซุ้มประตูเป็นซุ้มลด เสาประดับกรอบประตูประดับกาบพรหมศร ลายประจำยามอก ลายกาบบน และกาบบัวหัวเสา กรอบประตูด้านบนเป็นไม้สลักลายพรรณพฤกษา หอไตรวัดทุ่งศรีเมืองได้รับการบูรณะครั้งหลังสุดเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๕ หอไตรวัดทุ่งศรีเมือง ใช้เก็บคัมภีร์ทางพุทธศาสนาและเป็นแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมที่สำคัญของจังหวัดอุบลราชธานี
. อุโบสถ (สิม) หรือ หอพระพุทธบาท พระอริยวงศาจารย์ญาณวิมลอุบลสังฆปาโมกข์ (สุ้ย หลักคำ) ให้สร้างสำหรับประดิษฐานรอยพระพุทธบาทที่จำลองมาจากวัดสระเกศ กรุงเทพมหานคร ต่อมาได้ใช้เป็นอุโบสถด้วย ลักษณะอุโบสถเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ส่วนฐานเป็นชุดบัวเอวขันแบบอีสาน มีบัวงอนประดับทั้งสี่มุม บันไดด้านหน้าทางทิศตะวันออก ราวบันได้ทำเป็นรูปนาคบนหลังจระเข้ ส่วนตัวอุโบสถตลอดจนเครื่องหลังคามุงกระเบื้องดินเผา ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ เป็นแบบภาคกลาง ภายในอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังรูปเทพชุมนุม พุทธประวัติ ทศชาติชาดก และนิทานพื้นบ้านเรื่องสังข์สินไชย ด้านท้ายอาคารทำฐานชุกชีประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย สิมวัดทุ่งศรีเมือง ใช้ประกอบพิธีกรรมทางพุทธศาสนา และเป็นปูชนียสถานที่พุทธศาสนิกชนเคารพกราบไหว้ รวมทั้งเป็นแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมที่สำคัญของจังหวัดอุบลราชธานี
. โบราณสถานวัดทุ่งศรีเมือง ประกอบด้วย หอไตรกลางน้ำและหอพระพุทธบาทหรืออุโบสถ (สิม) สร้างขึ้นในสมัยพระอริยวงศาจารย์ญาณวิมลอุบลสังฆปาโมกข์ (สุ้ย หลักคำ) เป็นเจ้าคณะเมืองอุบลฯ และเป็นผู้ก่อตั้งวัดทุ่งศรีเมือง ตรงกับสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
. กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานหอไตร วัดทุ่งศรีเมือง ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๘ ตอน ๑๐๔ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๓๔ เนื้อที่ประมาณ ๒ ไร่ ๑ งาน ๔๘ ตารางวา และประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานอุโบสถวัดทุ่งศรีเมือง ในราชกานุเบกษา เล่ม ๑๑๒ ตอนที่ ๕๙ง วันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๓๘ เนื้อที่ประมาณ ๒ ไร่ ๓ งาน ๙๔ ตารางวา
----------------------
+++อ้างอิงจาก+++
. กองพุทธศาสนสถาน, กรมการศาสนา. ประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม ๑๔. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์การศาสนา,
๒๕๓๘. หน้า ๑๐๐
. คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุฯ. วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์
และภูมิปัญญาจังหวัดอุบลราชธานี. หนังสือเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒, ๒๕๔๔.หน้า ๑๓๘,๒๘๒
. สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี. โบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนแล้วในพื้นที่สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี
(เล่ม ๑ : จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดยโสธร จังหวัดมุกดาหาร). อุบลราชธานี : ห้างหุ้นส่วนจำกัด อุบลกิจออฟเซทการพิมพ์, ๒๕๖๓.
ข้อมูล : กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี
นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการติดตาม โบราณวัตถุของไทยในต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทย ครั้งที่ ๑/๒๕๖๕ ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายอิทธิพล คุณปลื้ม เป็นประธาน เมื่อวันพุธที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๕ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการได้รายงานความคืบหน้ากรณีทับหลังจากปราสาทหนองหงส์ จังหวัดบุรีรัมย์ และทับหลังจากปราสาทเขาโล้น จังหวัดสระแก้ว ที่ได้รับคืนมาจากสหรัฐอเมริกาครบ ๑ ปีแล้ว ปัจจุบันได้จัดแสดงเป็นการชั่วคราว ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร และจะสิ้นสุดการจัดแสดงในวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๕ หลังจากนี้ กรมศิลปากรจะเคลื่อนย้ายทับหลังทั้งสองรายการไปเก็บรักษาและจัดแสดงในจังหวัดที่เป็นต้นทาง โดยทับหลังของปราสาทหนองหงส์ จะนำไปเก็บรักษาที่ศูนย์บริการข้อมูลอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ และทับหลังปราสาทเขาโล้น เก็บรักษาที่ศูนย์บริการข้อมูลอุทยานประวัติศาสตร์สด๊กก๊อกธม จังหวัดสระแก้ว ซึ่งกรมศิลปากรพิจารณาโดยคำนึงถึงความปลอดภัย และการดูแลรักษาโบราณวัตถุให้มีความมั่นคงแข็งแรง เนื่องจากหน่วยงานทั้งสองแห่งมีความพร้อมในส่วนของสถานที่ที่จัดแสดงโบราณวัตถุ และมีการควบคุมดูแลรักษาความปลอดภัยตลอด ๒๔ ชั่วโมงทับหลังปราสาทหนองหงส์ทับหลังปราสาทเขาโล้น อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวอีกว่า การนำทับหลังทั้งสองรายการ ไปจัดแสดงในพื้นที่ของอุทยาน ประวัติศาสตร์ที่อยู่ในเส้นทางการท่องเที่ยวหลัก จะช่วยกระตุ้นให้ผู้เข้าชมเดินทางไปเยี่ยมชมปราสาทหนองหงส์และปราสาทเขาโล้นมากยิ่งขึ้น รวมถึงประชาชนในพื้นที่ก็สามารถเดินทางมาชื่นชมและศึกษามรดกทางวัฒนธรรมในท้องถิ่นของตนได้โดยสะดวก ทั้งนี้ กรมศิลปากรจะได้มอบหมายให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย จังหวัดนครราชสีมา และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี ควบคุมดูแลและจัดทำทะเบียนโบราณวัตถุตามระเบียบของกรมศิลปากรต่อไป