ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 42,982 รายการ

ประเวศ  ศรีพิพัฒน์.  เบนจามิน แฟรงคลิน (เด็กเรียงพิมพ์).  พระนคร: ไทยวัฒนาพานิช, 2505.         เบน แฟรงคลิน (เด็กเรียงพิมพ์)  มีชื่อเต็มว่า เบนจามิน  แฟรงคลิน   เป็นนักการค้า  นักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์  นักการทูต ฯลฯ   ด้วยคยวามมาะจากชีวิตเด็กเรียงพิมพ์ที่ยากจนจึงได้พาตัวเองขึ้นสู่ความเป็นเจ้าของโรงพิมพ์ที่มั่งคั่งสร้างสาธารณประโยชน์แก่สังคมอีกมาก            บทที่ 1 ในบอสตันที่หน้าบ้านหนึ่งมีลูกกลมสีน้ำเงินแขวนอยู่และเขียนชื่อโจเซียห์  แฟรงคลิน  แขวนไว้ที่หน้าบาน ตอนนี้เบนจามินอายุ 8 ขวบ แต่เป็นเด็กที่ฉลาดอยากไปเที่ยวบ้านอินเดียแดง แต่แม่ห้ามไว้           บทที่ 2 ครอบครัวเริ่มรู้ว่าเบนชอบอ่านหนังสือและชอบเล่าเรื่องจากหนังสือพ่อเริ่มสนใจในตัวเบน และส่งเบนเรียนหนังสือตั้งความหวังจะให้เบนทำการค้า           บทที่ 3 ครอบครัวผลัดเปลี่ยนกันเล่าเรื่องเล่านิทานให้สมาชิกฟัง เมื่อถึงเบนเล่าเขาก็เล่าอย่างเป้นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับตัวละครที่เขาสมมุติขึ้นมาชื่อว่า เอบีเนเซอร์ ซีเวอร์ ที่อยากให้ยายอยู่ด้วย           บทที่ 4 เป็นเรื่องการเรียนรู้มารยาทบนโต๊ะอาหารที่เบนทำผิดพลาดเมื่อตั้งข้อสงสัยว่า”ข้าวใสไป” และเรื่องความกลัวที่เกิดขึ้นในห้องนอนที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของพ่ออย่างเคร่งครัด           บทที่ 5 เมื่อพ่อเชิญแขกมาเป็นครู่ที่บ้าน เบนต้องเรียรียนรู้ว่าพ่อค้าต้องมีความซื่อสัตย์       ชาวนาสอนให้มีความขยัน   เศรษฐีสอนให้มัธยัสถ์และรู้จักประหยัดเวลา ให้ตื่นเช้านอนดึก           บทที่ 6 พ่อสีไวโอลินและร้องเพลงให้ลูก ๆ ฟัง           บทที่ 7 แม่เล่าว่าคุณตาปีเตอร์เก่งเรื่องเย็บผ้า  หาปลาวาฬ เป็นครู ทำธุรกิจโรงสี เก่งภาษาอินเดียแดงพูดให้คนอินเดียแดงไม่ฆ่าพวกผิวขาวได้ แล้วก็สุดท้ายคุณตาได้เป็นช่างรังวัด เบนจึงตั้งความฝันว่าจะเก่งเหมือนคุณตา           บทที่ 8 เบนได้เข้าเรียนโรงเรียนผู้ชายล้วน เบนท่องนิทานเรื่องหมากับเงาได้ มีเพื่อสนิทชื่อ นาธาน มอร์ส อายุแก่กว่าเบน 3 ปี ท่องนิทานเรื่อง หมาป่ากับลูกแกะได้ เมื่อวันที่ผู้ว่าราชการแวะมาเยี่ยมเยียนเกิดความโกลาหลเมื่อครูประกาศให้ชื่อนิทานที่เด็กทั้งสองต้องท่องให้ฟังสลับกัน           บทที่ 9 เบนเริ่มเรียนรู้ที่จะเอาชนะชีวิตด้วยการฝึกว่ายน้ำและว่ายเก่งด้วย           บทที่ 10 เบนเริ่มคิดที่จะใช้เครื่องทุนแรงในการว่ายน้ำด้วยการทำพายที่เบาและแข็งแรง และก็ประดิษฐ์สำเร็จและประดิษฐ์สิ่งอื่น ๆ ก็ตามมา           บทที่ 11 เบนเป็นที่รู้จักของนักหนังสือพิมพ์ว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งที่สุดในโลก           บทที่ 12 เบนสร้างเรือบตและนำเรือล่องสู่ในทะเลกลับเข้าฝั่งสำเร็จ           บทที่ 13 เบนเริ่มเรียนการค้าขายด้วยการค้าเทียนไข           บทที่ 14 เบนต้องทำสัญญาจ้างเป็นเด็กเรียงพิมพ์           บทที่ 15 เบนหาหนังสือที่อ่านมาอ่านจนดึก และบอกพี่ชายคือเจมส์ที่เบนไปทำงานด้วยบอกว่าอยากมีเงินซื้ออาหารกินเอง และแบ่งเงินที่เหลือไปซื้อหนังสือมาอ่าน           บทที่ 16 เบนเริ่มเขียนเรื่องตลก โดยสมมุติให้ตนเองเป็นคุณนิ่ง ทำความดี และแอบสอดไว้ที่ประตูโรงพิมพ์ และได้ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์คูแรนต์โดยไม่มีใครรู้ว่าเป็นเรื่องของเบน           บทที่ 17 เจมส์ประกาศให้คุณนายนิ่ง (เรื่องของเบน)  ส่งมาตีพิมพ์อีกบ่อย และประชาชนเรียกร้องให้คุณนายนิ่ง ทำความดีมากขึ้น  และความลับก็ถูกเปิดเผยเจมส์ถึงกับตกตะลึงนึกไม่ถึงว่าคุณนายนิ่ง ทำความดีคือเบนนั่นเอง  เบนจึงนำต้นฉบับที่เขียนมาให้เจมส์ดู           บทที่ 18 เบนเริ่มมทีปัญหากับเจมส์ผู้เป็นพี่ชาย แต่ก็อดทนไม่ยอมไปทำอาชีพกะลาสีและสุดท้ายเขาก็หนีจากเจมส์แล่นเรือไปสู่เมืองใหม่           บทที่ 19 ทุกคนออกตามหาเบนและเบนได้ไปทำงานในโรงพิมพ์ที่เมืองฟิลาเดลเฟีย และมีชีวิตที่ดีขึ้น มีอาหาร เสื้อผ้า นาฬิกา           บทที่ 20 หลายปีผ่านไปเบนมีโรงพิมพ์เป็นของตนเอง ได้ทำงานให้กับประเทศชาติและในวันที่เขาเดินทางกลับจากฝรั่งเศส เขาได้รับการต้อนรับด้วยการยิงปืนเสียงดังพร้อมเสียงตีระฆังที่ยิ่งใหญ่ เขาอุทิศตนเพื่อชาติและทรัพย์สินเพื่อการกุศลมากมาย  


ขอเชิญรับชม สถานีรถไฟสงขลา อดีตแห่งความทันสมัย  https://youtu.be/KvRoObXvCQw


องค์ความรู้ สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี เรื่อง ภาพสลักนารายณ์บรรทมสินธุ์ เพชรเม็ดงามแห่งกู่พระโกนา จังหวัดร้อยเอ็ด “กู่พระโกนา” โบราณสถานสำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดร้อยเอ็ด ตั้งอยู่ภายในวัดกู่พระโกนา ตำบลสระคู อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นปราสาทในวัฒนธรรมขอมโบราณประกอบด้วยปราสาท ๓ องค์ เรียงกันในแนวเหนือ – ใต้ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก เฉพาะปราสาทประธานองค์กลางที่ปรากฏร่องรอยของมุขยื่นออกมาทางด้านหน้า มีบรรณาลัยหรือที่เก็บคัมภีร์สร้างด้วยศิลาแลงตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของปราสาทประธาน ๑ หลัง ทั้งหมดล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วสร้างด้วยศิลาแลง มีโคปุระหรือซุ้มประตูทางเข้าด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก กู่พระโกนามีภาพสลักประดับตามส่วนต่าง ๆ ของปราสาทงดงามน่าชม เช่น ลายบัวแปดกลีบที่อกเลาประตูหลอก ลายก้านขด / ลายก้านต่อดอกที่เสาซุ้มประตูปราสาท เป็นต้น ถึงแม้โบราณสถานแห่งนี้จะพังทลายตามกาลเวลาและมีการซ่อมแซมในสมัยหลัง แต่ยังมีภาพสลักเล่าเรื่องที่งดงามปรากฏอยู่ ได้แก่ “ภาพสลักนารายณ์บรรทมสินธุ์” หรือวิษณุอนัตศายินปัทมนาภะ ซึ่งเป็นเรื่องราวการบรรทมของพระวิษณุเหนือพญาอนันตนาคราชเพื่อสร้างโลก ณ เกษียรสมุทรหรือทะเลน้ำนมอันเป็นที่ประทับของพระองค์ โดยตามความเชื่อของฮินดูกล่าวว่า เมื่อโลกถึงกลียุคพระศิวะจะทำลายล้างโลก จากนั้นพระวิษณุ (พระนารายณ์) จะสร้างโลกใหม่โดยกระทำโยคะนิทราจนบังเกิดเป็นดอกบัวทองผุดจากพระนาภี (สะดือ) ภายในดอกบัวมีพระพรหมประทับอยู่และจะทำหน้าที่สร้างโลกต่อไป ภาพสลักพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ที่กู่พระโกนาพบบนทับหลังด้านทิศตะวันออกของปราสาทองค์เหนือ ซึ่งปัจจุบันปราสาทดังกล่าวมีการสร้างอาคารครอบไว้ ทับหลังของปราสาทองค์นี้มีความพิเศษพบได้น้อยมากในดินแดนไทย กล่าวคือ เป็นทับหลังซ้อนกัน ๒ ชิ้น สลักแยกกัน ชิ้นที่ ๑ อยู่ด้านล่างมีขนาดใหญ่ สลักภาพบุคคลที่กึ่งกลางทับหลังซึ่งลบเลือนไปแล้วแต่ยังปรากฏท่อนพวงมาลัย / พวงอุบะ และลายพรรณพฤกษา ชิ้นที่ ๒ อยู่ด้านบนมีขนาดเล็กกว่าสลักภาพนารายณ์บรรทมสินธุ์ โดยลักษณะทับหลังที่มี ๒ ชิ้น ซ้อนกันแบบนี้นิยมในพุทธศตวรรษที่ ๑๕ แต่พบว่าทับหลังปราสาทบางองค์ในพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ก็ยังคงปรากฏอยู่ ดังเช่นปราสาทองค์เหนือที่กู่พระโกณาแห่งนี้ ทับหลังชิ้นที่ ๒ ปราสาทองค์เหนือดังกล่าว สลักภาพพระวิษณุ (พระนารายณ์) ๒ กร พระกรซ้ายถือดอกบัว พระกรขวาหนุนพระเศียรขณะบรรทมตะแคงขวาเหนือพญาอนันตนาคราช ๕ เศียร (ช่างสลักให้เห็นเพียง ๓ เศียร อีก ๒ เศียรถูกบังไว้) ที่พระนาภี (สะดือ) มีก้านดอกบัวผุดออกมาและมีพระพรหมประทับอยู่บนนั้น แต่น่าเสียดายที่ภาพสลักส่วนนี้ชำรุด บริเวณปลายพระบาทของพระวิษณุมีพระลักษมีชายาของพระองค์ประทับอยู่ นอกจากนี้ที่ด้านปลายทั้ง ๒ ข้าง สลักรูปหงส์ข้างละ ๒ ตัวอีกด้วย จากลักษณะของนาคเศียรโล้นและรูปแบบการแต่งกายของพระวิษณุ รวมถึงรูปแบบของทับหลังชิ้นที่ ๑ กำหนดอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ศิลปะแบบบาปวน ร่วมสมัยกับปราสาทสระกำแพงใหญ่ จ.ศรีสะเกษ ปราสาทสด๊กก็อกธม จ.สระแก้ว ปราสาทบ้านพลวง จังหวัดสุรินทร์ และปราสาทเมืองต่ำ จังหวัดบุรีรัมย์ พระนารายณ์บรรทมสินธุ์ ณ ปราสาทกู่พระโกนานี้ นับเป็นทับหลังและภาพสลักที่มีอยู่เพียงไม่กี่แห่งในประเทศไทย อีกทั้งพบเพียงแห่งเดียวในจังหวัดร้อยเอ็ด มีความสมบูรณ์งดงามด้วยรูปแบบศิลปะ และยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิมเมื่อครั้งแรกสร้าง มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีอย่างยิ่ง ทั้งนี้กรมศิลปากรเล็งเห็นถึงความสำคัญ ได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานกู่พระโกนาในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๔๗๘ และประกาศกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๒๕ เนื้อที่ประมาณ ๘ ไร่ ๒ งาน ๑๖ ตารางวา เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านศิลปวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติสืบไป ผู้เรียบเรียง: นายกฤษณพงศ์ พูนสวัสดิ์ นักโบราณคดีปฏิบัติการ สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี เอกสารอ้างอิง: กษมา เกาไศยานนท์. “รูปเคารพพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ในประเทศไทย.” เอกสารการศึกษาเฉพาะบุคคลปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต (โบราณคดี) ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๒๘. สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ ๘ อุบลราชธานี. เอกสารประกอบการประชุมคณะกรรมการปรับปรุงพัฒนาพื้นที่โบราณสถานวัดกู่พระโกนา. อุบลราชธานี: สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ ๘ อุบลราชธานี, ๒๕๔๕. (เอกสารอัดสำเนา) อรุณศักดิ์ กิ่งมณี. ทิพยนิยายจากปราสาทหิน. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, ๒๕๕๕.


           วัดสระไตรนุรักษ์ หรือ วัดบ้านนาเวียง อยู่หมู่ที่ ๑ บ้านนาเวียง ตำบลนาเวียง อำเภอทรายมูล จังหวัดยโสธร ประวัติวัดสระไตรนุรักษ์ หรือวัดบ้านนาเวียง สร้างในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๔ โดยพระครูหลักคำ  (ชา) ภิกษุชาวลาว ภายหลังได้บูรณะใน พ.ศ.๒๔๕๐ ภายในวัดมีโบราณสถานสำคัญ ได้แก่ หอไตรหอไตร ตั้งอยู่กลางสระน้ำ มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบอีสาน-ล้านช้าง ที่ได้รับอิทธิพลไทยใหญ่    ดังจะเห็นได้จากชุดหลังคาจั่วซ้อนชั้น และทำชายคาปีกนกซ้อนชั้นยื่นออกทั้งสี่ด้าน มุงกระเบื้องแป้นเกล็ด คล้ายกับชุดหลังคาหอไตรวัดทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุบลราชธานี เสาและตัวอาคารสร้างด้วยไม้ หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ขนาดกว้าประมาณ ๘.๓๐ เมตร ยาวประมาณ ๑๐.๕๐ เมตร บานประตูแกะสลักลายเครือเถาขดเป็นวงกลมซ้อนต่อเนื่องกันตลอดทั้งสองบาน ตรงกลางอาคารเป็นห้องทึบ ขนาดกว้างประมาณ ๓.๕๐ เมตร      ยาวประมาณ ๕.๐๐ เมตร สำหรับเก็บคัมภีร์ มีทางเดินโดยรอบ หอไตรหลังนี้ได้รับการบูรณะครั้งหลังสุดเมื่อ พ.ศ.๒๕๕๕           กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนและและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานวัดสระไตรนุรักษ์ (วัดนาเวียง) ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑๐๗ ตอนพิเศษ ๑๑๓ วันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๓๓ พื้นที่โบราณสถานประมาณ ๓ ไร่ ๑ งาน ๕ ตารางวา ---------------------------------------------- อ้างอิงจาก กองพุทธศาสนสถาน, กรมการศาสนา. ประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม ๑๔. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์การศาสนา,  ๒๕๓๘. หน้า ๖๗๔ คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุฯ. วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดยโสธร. หนังสือเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒, ๒๕๔๒.   ---------------------------------------------- ที่มาของข้อมูล : สำนักศิลปากรที่ 9 อุบลราชธานี https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid02riUfktVs2zKNb2zePx4oD57wVivqfLnL9ExaG7LXMNq4MNWvCEvpy3iw844vJxZQl&id=835594323191791  


          พระพุทธรูปลีลา วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นแบบนูนสูง แสดงอิริยาบถเดิน โดยพระบาทซ้ายก้าวไปข้างหน้า พระบาทขวายกส้นพระบาทขึ้นเล็กน้อย ยกพระหัตถ์แสดงปางประทานอภัย นับเป็นการสร้างสรรค์งานประติมากรรมอันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของศิลปะสุโขทัย เป็นการสร้างสรรค์พุทธศิลป์ตามคตินิยมเรื่อง “มหาบุรุษลักษณะ” ที่มีความงามตามอุดมคติอย่างแท้จริง คือ มีพระพักตร์รูปไข่ พระขนงโก่ง พระนาสิกโด่งงุ้ม พระเนตรเรียวยาวปลายตวัดขึ้น พระโอษฐ์แย้มเล็กน้อยหยักเป็นคลื่น พระวรกายได้สัดส่วนมีความงานตามอุดมคติของสกุลช่างสุโขทัย คือ พระอังสาใหญ่ บั้นพระองค์เล็ก พระหัตถ์เรียวทอดลงเบื้องล่างอย่างได้สัดส่วน ต้นขาเรียวไม่แสดงกล้ามเนื้อ ไม่แสดงข้อต่อใด ๆ จัดเป็นศิลปะสุโขทัยแบบหมวดใหญ่ปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ----------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย https://www.facebook.com/profile/100068946018506/search?q=%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B2





           วันอังคารที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๕ เวลา ๑๔.๓๐ น. นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เป็นประธานในการแถลงข่าวการแสดงรายการ “เหมันต์เบิกบาน  สุขสราญสังคีต” โครงการดนตรีสำหรับประชาชน ปีที่ ๖๖ และรายการ “ผันผ่านกาลเวลา ล้ำเลอค่าโรงละคร” เนื่องในวาระปิดปรับปรุงโรงละครแห่งชาติ โดยมีนายลสิต อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักการสังคีต ร่วมแถลงข่าว ณ โรงละครแห่งชาติ    นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม โดยสำนักการสังคีต กรมศิลปากร ได้จัดการแสดงนาฏศิลป์และดนตรี เพื่ออนุรักษ์ สืบทอด สร้างสรรค์ และเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมทางด้านนาฏศิลป์และดนตรีให้กว้างขวางสู่สายตาประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ โดยมี  โรงละครแห่งชาติ เป็นสถานที่สำหรับศิลปินเพื่อแสดงออกในศิลปะการแสดงทุกประเภท ซึ่งในพุทธศักราช ๒๕๖๕ โรงละครแห่งชาติ ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อปรับปรุงซ่อมแซมครั้งใหญ่ กำหนดเป็นโครงการต่อเนื่อง ๓ ปี เริ่มต้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ ดำเนินการเสริมความแข็งแรงของส่วนเวทีการแสดง รวมทั้งติดตั้งลิฟต์เวทีสำหรับการแสดง ติดตั้งระบบงานวิศวกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีการวางระบบพื้นฐานการควบคุมแบบศูนย์กลางด้วยคอมพิวเตอร์ที่เป็นมาตรฐานสากล ติดตั้งระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ มีห้องควบคุมระบบความปลอดภัย ระบบไฟฟ้าให้สอดคล้องกับมาตรฐานอาคารใหม่ ดำเนินการปรับโครงสร้างพื้นฐานทางวิศวกรรม และระบบประกอบอาคาร รวมถึงระบบแสงเสียง ภาพ ระบบเครื่องกลประกอบการแสดง การออกแบบจัดสรรพื้นที่การใช้สอยเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ มั่นคงแข็งแรง มีศักยภาพ ถึงพร้อมในทุก ๆ ด้าน และเป็นไปตามมาตรฐานโรงละครระดับนานาชาติ     โอกาสนี้ กรมศิลปากร โดยสำนักการสังคีต จึงได้จัดนิทรรศการประวัติความเป็นมาของโรงละครแห่งชาติ รวมทั้งภาพถ่ายเก่าเล่าถึงอดีตที่เกี่ยวข้องกับโรงละครแห่งชาติ  การบรรเลง - ขับร้องและการแสดงรายการ “ผันผ่านกาลเวลา ล้ำเลอค่าโรงละคร” เนื่องในวาระปิดปรับปรุงโรงละครแห่งชาติขึ้น ในวันเสาร์ที่ ๗  และวันอาทิตย์ที่ ๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ โรงละครแห่งชาติ ประกอบด้วย การบรรเลง - ขับร้อง ดนตรีสากล “สำเนียงเสียงฝรั่งหลวง งามโชติช่วงเพลงกรมศิลป์” การแสดงละคร เรื่องไกรทอง ตอนไกรทองรบชาละวัน และการแสดงโขน เรื่องรามเกียรติ์ ชุด “รามบดีจักรีวงศ์” เปิดให้จองบัตรเข้าชมการแสดงได้ที่ https://ntt.finearts.go.th            นอกจากนี้ ยังได้จัดการแสดงรายการ "เหมันต์เบิกบาน สุขสราญสังคีต" โครงการดนตรีสำหรับประชาชน ปีที่ ๖๖ ซึ่งเป็นการแสดงประจำปีของสำนักการสังคีต เพื่อเผยแพร่และอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม โดยมีการแสดงหลากหลายรูปแบบทั้งการแสดงโขน ละคร วิพิธทัศนา การบรรเลงดนตรีไทย ดนตรีสากล โดยศิลปินของสำนักการสังคีต กรมศิลปากร กำหนดจัดการแสดงทุกวันอาทิตย์ ระหว่างวันอาทิตย์ที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๕ ถึงวันอาทิตย์ที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๖ เวลา ๑๗.๓๐ - ๑๙.๓๐ น. ณ สังคีตศาลา เวทีกลางแจ้ง บริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ค่าเข้าชมการแสดงคนละ ๒๐ บาท ทั้งนี้ ได้จัดรายการพิเศษ “นาฏกรรมสุขศรี สุนทรีย์พร    ปีใหม่” ชมการแสดงชักนาคดึกดำบรรพ์ และโขน เรื่องรามเกียรติ์ ชุด “สุครีพสุริโยโอรส” โดยงดเก็บค่าเข้าชมในวันอาทิตย์ที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๕ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๖๖            ขอเชิญชวนผู้สนใจเข้าชมการแสดงรายการ “เหมันต์เบิกบาน  สุขสราญสังคีต” โครงการดนตรีสำหรับประชาชน ปีที่ ๖๖ และรายการ “ผันผ่านกาลเวลา ล้ำเลอค่าโรงละคร” เนื่องในวาระปิดปรับปรุงโรงละครแห่งชาติ ตามวัน เวลา และสถานที่ดังกล่าว ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์กรมศิลปากร finearts.go.th และเฟสบุ๊ก เพจ สำนักการสังคีต กรมศิลปากร 



ชื่อผู้แต่ง        พระศรีปริยัตโยดม ( จันทร์ เขมจารี ) และคนอื่นๆ ชื่อเรื่อง          ประเพณีภาคทักษิณ ครั้งที่พิมพ์       - สถานที่พิมพ์    กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์      บริษัท วัชรินทร์การพิมพ์จำกัด ปีที่พิมพ์         2535 จำนวนหน้า     78 หน้า หมายเหตุ       มูลนิธิสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์พิมพ์โดยเสด็จพระราชกุศลงานพระราชทานเพลิงศพพระ                      สุทธิวงศาจารย์ รายละเอียด              เป็นหนังสือที่เรียบเรียงเรื่องประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาของชาวภาคใต้ รวม 8 ประเพณี ประกอบด้วย ประเพณีทำบุญวันศารท  ประเพณีสงกรานต์  ประเพณีชักพระ ประเพณีเอาผ้าขึ้นธาตุ ประเพณีงดใช้แรงงานสัตว์   ประเพณีรวมขวัญข้าว ประเพณีกินเจและประเพณีทอดผ้าป่าข้าวสุกหน้าบ้านในวันออกพรรษา


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 150/1 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 178/7ก เอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)


เป็นงานวิจัยเอกสารประกอบกับการสัมภาษณ์บุคคลซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเป็นนักปกครองตัวอย่างของพระยารัษฎานุประดิษ์มหิศรภักดี (คอซิมบี๊ ณ ระนอง) ซึ่งจัดทำโดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ภิญโญ ตันพิทยคุปต์


ชื่อผู้แต่ง           - ชื่อเรื่อง           วิศวกรรมศาสตร์ Engineering  Journal  (ปีที่ ๓๑ ฉบับที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๒๑) ครั้งที่พิมพ์        - สถานที่พิมพ์      กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์        สหมิตรการพิมพ์ ปีที่พิมพ์           ๒๕๒๑ จำนวนหน้า      ๙๕  หน้า รายละเอียด      วารสารของวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ประกอบด้วยบทความเรื่องการจำลองสภาพในการวางแผนพัฒนาทรัพยากรแห่งน้ำ  การสร้างไคโอครอยต่อและอิลาสติคบัคกลิ้งของคอร์ดบนของทรัสสะพานแบบโพนี่


      ประติมากรรมดินเผารูปสิงห์ : ประติมากรรมประดับจุกภาชนะสมัยทวารวดี       ประติมากรรมดินเผารูปสิงห์จำนวน ๒ ชิ้น พบบริเวณเมืองโบราณอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี จัดแสดงห้องอู่ทองศรีทวารวดี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง       ชิ้นที่ ๑ ขนาดกว้าง ๓ เซนติเมตร สูง ๕.๗ เซนติเมตร สิงห์มีใบหน้ายาวรี ตากลมโตเบิกโพลง จมูกแบน รูจมูกใหญ่ แยกเขี้ยวยิงฟัน ใบหน้าดุร้าย มีแผงคอรูปสามเหลี่ยมซ้อนกัน ๒ ชั้น ตกแต่งด้วยเส้นขีด อยู่ในท่าหมอบบนฐานทรงกลมตกแต่งด้วยลายกลีบบัวหงาย บริเวณด้านข้างลำตัวทั้งสองด้านเจาะรูกลมทะลุถึงกัน อาจใช้สำหรับร้อยเชือก        ชิ้นที่ ๒ ขนาดกว้าง ๕ เซนติเมตร สูง ๘.๕ เซนติเมตร สิงห์มีใบหน้ากลม มีตากลมโตเบิกโพลง จมูกแบน รูจมูกใหญ่ แยกเขี้ยวยิงฟัน ใบหน้าดุร้าย มีแผงคอรูปสามเหลี่ยมซ้อนกัน ๓ ชั้นตกแต่งด้วยเส้นขีด อยู่ในท่านั่งบนฐานทรงกลมตกแต่งด้วยลายกลีบบัวหงาย ฐานส่วนล่างหักหายไป ระหว่างขาหน้าและขาหลังทั้งสองด้านเจาะรูกลมทะลุถึงกัน อาจใช้สำหรับร้อยเชือก       สิงห์เป็นสัตว์มงคลที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ สง่างาม แข็งแกร่งและกล้าหาญ เป็นสัญลักษณ์ของชนชั้นสูงที่มีอำนาจในการปกครองอย่างกษัตริย์หรือจักรพรรดิ ทั้งนี้ในคติความเชื่อทางด้านศาสนาพุทธ สิงห์เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงพระพุทธเจ้า เนื่องจากพระองค์ได้รับการขนานนามว่าเป็นสิงห์แห่งศากยวงศ์         ประติมากรรมรูปสิงห์พบมากในงานศิลปกรรมสมัยทวารวดี นอกจากประติมากรรมดินเผา ๒ ชิ้นนี้แล้ว ที่เมืองโบราณอู่ทองยังพบตราดินเผารูปสิงห์อีกหลายชิ้น และยังพบประติมากรรมรูปสิงห์สำริดด้วย นอกจากนี้ยังพบรูปสิงห์ที่เป็นประติมากรรมดินเผาและปูนปั้นประดับศาสนสถานตามแหล่งโบราณคดีสมัยทวารวดี เช่น เจดีย์จุลประโทนและพระประโทนเจดีย์ จังหวัดนครปฐม เขาคลังใน จังหวัดเพชรบูรณ์ บ้านโคกไม้เดน จังหวัดนครสวรรค์ ทุ่งเศรษฐี จังหวัดเพชรบุรี เป็นต้น       สันนิษฐานว่าประติมากรรมรูปสิงห์ทั้ง ๒ ชิ้นนี้เป็นประติมากรรมที่ประดับอยู่บนจุกดินเผา ซึ่งใช้อุดปากภาชนะประเภทปากแคบหรือขวดที่มีความสำคัญ อาจใช้สำหรับบรรจุของที่ใช้ในพิธีกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับศาสนา ความเชื่อ หรืออาจเป็นเครื่องใช้ของบุคคลชั้นสูงหรือชนชั้นปกครองก็เป็นได้ กำหนดอายุสมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๔ หรือประมาณ ๑,๒๐๐ – ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว   เอกสารอ้างอิง กรมศิลปากร. โบราณคดีเมืองอู่ทอง. นนทบุรี : สหมิตรพริ้นติ้ง, ๒๕๔๕. ดวงกมล  อนันต์วัชรกุล. “คติความเชื่อเรื่องสัตว์ที่ปรากฏในวัฒนธรรมทวารวดี.” เอกสารการศึกษาเฉพาะบุคคลภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๔.