ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,673 รายการ


     เทพนพเคราะห์ คือ เทพทั้ง ๙ องค์ ผู้ครองเรือนชะตาของมนุษย์ มีต้นกำเนิดมาจากโหราศาสตร์ฮินดูที่นับถือพระสุริยเทพ (พระอาทิตย์) ซึ่งมีเทพบริวารอีก ๘ องค์ รวมเป็น ๙ องค์ ซึ่งให้โทษหรือสร้างอุปสรรคให้กับมนุษย์มากกว่าจะให้คุณ ต่อมาจึงต้องมีผู้ควบคุมเทพนพเคราะห์อีกชั้นหนึ่ง นั่นคือ พระคเณศ เทพผู้เป็นใหญ่เหนืออุปสรรคทั้งมวล เทพนพเคราะห์ทั้ง ๙ องค์ ประกอบด้วย พระอาทิตย์   เป็นเทพนพเคราะห์ที่มีอำนาจเหนือกว่าเทพ   นพเคราะห์ทั้งปวง พระอิศวรทรงใช้ราชสีห์ ๖ ตัว ป่นเป็นผง  ห่อด้วยผ้าสีแดง พรมด้วยน้ำอมฤต  ลักษณะเป็นบุรุษมีผิวกาย  สีแดง ทรงราชสีห์เป็นพาหนะ ประจำอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นเทพนพเคราะห์ประเภทบาปเคราะห์ มักมีอารมณ์รุนแรง ตัดสินใจไว เฉียบขาด รักอิสระ แต่ซื่อสัตย์ เป็นมิตรกับพระพฤหัสบดี และเป็นศัตรูกับพระอังคาร สัญลักษณ์เลข ๑ มีกำลังพระเคราะห์เป็น ๖พระจันทร์  พระอิศวรทรงสร้างจากเทพธิดา ๑๕ นาง บดป่นเป็นผง ห่อผ้าสีขาวนวล พรมด้วยน้ำอมฤตได้บุรุษรูปงาม มีสีผิวกายขาวนวล ทรงอาชา (ม้า) เป็นพาหนะ ประจำอยู่ทิศตะวันออก เป็นเทพนพเคราะห์ประเภทศุภเคราะห์ มีอารมณ์อ่อนโยน เพ้อฝัน รวนเร และอาจมีเล่ห์เหลี่ยมมาก พระจันทร์เป็นมิตรกับพระพุธ และเป็นศัตรูกับพระพฤหัสบดี สัญลักษณ์เลข ๒ มีกำลังพระเคราะห์เป็น ๑๕พระอังคาร   พระอิศวรทรงสร้างจากกระบือ ๘ ตัว บดป่นเป็นผง ห่อด้วยผ้าสีชมพูหม่น พรมด้วยน้ำอมฤตได้บุรุษผิวสีทองแดง ทรงกระบือเป็นพาหนะ ประจำอยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นเทพนพเคราะห์ประเภทบาปเคราะห์ มีอารมณ์มุทะลุ ตึงตัง ชอบใช้กำลัง ใจร้อน เป็นมิตรกับพระศุกร์ และเป็นศัตรูกับพระอาทิตย์ สัญลักษณ์เลข ๓ มีกำลังพระเคราะห์เป็น ๘พระพุธ   พระอิศวรทรงใช้ช้าง ๑๗ เชือก บดป่นเป็นผง ห่อผ้าสีเขียวใบไม้ พรมด้วยน้ำอมฤตได้บุรุษมีผิวกายสีเขียว ทรงช้างเป็นพาหนะ ประจำอยู่ทิศใต้ เป็นเทพนพเคราะห์ประเภทศุภเคราะห์ ชอบพูดชอบเจรจา สุขุม รอบคอบ แต่ตื่นกลัวง่าย เป็นมิตรกับพระจันทร์ และเป็นศัตรูกับพระราหู สัญลักษณ์เลข ๔ มีกำลังพระเคราะห์เป็น ๑๗ พระพฤหัสบดี   พระอิศวรสร้างจากฤษี ๑๙ ตน บดป่นเป็นผง ห่อผ้าสีส้มแดง พรมน้ำอมฤตได้เป็นพระพฤหัสบดี มีผิวกายสีส้มแดง ทรงกวางเป็นพาหนะ ประจำอยู่ทิศตะวันตก เป็นเทพนพเคราะห์ประเภทศุภเคราะห์ มักทำอะไรด้วยความระมัดระวัง สุขุม รอบคอบ เมตตาปรานีต่อผู้อื่น เป็นมิตรกับพระอาทิตย์ และเป็นศัตรูกับพระจันทร์ สัญลักษณ์เลข ๕ มีกำลังพระเคราะห์เป็น ๑๙ เป็นครูของเทพทั้งหลาย จึงนิยมทำพิธีไหว้ครูในวันพฤหัสบดี  พระศุกร์   พระอิศวรทรงสร้างจากโค ๒๑ ตัว บดป่นเป็นผง ห่อด้วยผ้าสีฟ้าอ่อน พรมด้วยน้ำอมฤตเป็นพระศุกร์ มีผิวกายสีฟ้า ทรงโคเป็นพาหนะ ประจำอยู่ทิศเหนือ เป็นเทพนพเคราะห์ประเภทศุภเคราะห์ กิริยาน่ารัก อ่อนหวาน ชอบงานศิลปะทุกประเภท เป็นมิตรกับพระอังคารและเป็นศัตรูกับพระเสาร์ สัญลักษณ์เลข ๖ มีกำลังพระเคราะห์เป็น ๒๑ พระศุกร์เป็นครูของเหล่ายักษ์พระเสาร์   พระอิศวรทรงสร้างจากเสือ ๑๐ ตัว บดป่นเป็นผง ห่อผ้าสีดำ พรมด้วยน้ำอมฤตได้พระเสาร์มีสีกายดำคล้ำ ทรงเสือเป็นพาหนะ ประจำอยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ เป็นเทพนพเคราะห์ประเภทบาปเคราะห์ มีกิริยาดุดัน แข็งแรง กล้าได้กล้าเสีย บุคลิกเคร่งขรึม เป็นมิตรกับพระราหูและเป็นศัตรูกับพระศุกร์ สัญลักษณ์เลข ๗ มีกำลังพระเคราะห์เป็น ๑๐พระราหู   พระอิศวรทรงสร้างจากหัวกะโหลก ๑๒ หัว (บางตำราว่าผีโขมด ๑๒ ตัว) บดป่นเป็นผง ห่อผ้าสีทอง พรมน้ำอมฤตได้เป็นพระราหู มีกายสีนิลออกไปทางทองแดง ทรงครุฑเป็นพาหนะ มีวิมาน สีนิลอยู่ในอากาศ ประจำอยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นเทพนพเคราะห์ประเภทบาปเคราะห์ ให้ผลในทาง  ลุ่มหลงมัวเมา เป็นมิตรกับพระเสาร์และเป็นศัตรูกับ พระพุธ สัญลักษณ์เลข ๘ มีกำลังพระเคราะห์เป็น ๑๒พระเกตุพระอิศวรทรงสร้างจากพญานาค ๙ ตัว กายสีทองคำ ทรงนาคเป็นพาหนะ มีวิมานสีดอกบุษบา (เปลวไฟ) ประจำอยู่ในทิศท่ามกลาง  บ้างว่า  พระเกตุเกิดจากหางของพระราหู ซึ่งขโมยดื่มน้ำอมฤต พระอินทร์โกรธจึงขว้างจักรตัดเอวขาด ด้วยอำนาจแห่งน้ำอมฤตทำให้พระราหูไม่ตาย หางที่ขาดนั้นกลายเป็นพระเกตุ ซึ่งจะไม่เสวยอายุโดยตรง แต่จะเข้าแทรกเพื่อบรรเทาเรื่องร้ายและส่งเสริมในเรื่องดี สัญลักษณ์คือเลข  ๙   การบูชาเทวดาเสวยอายุ       หากต้องการทราบว่าเทพนพเคราะห์องค์ใดเสวยอายุให้นับอายุเต็มเป็นตัวตั้ง เริ่มต้นนับกำลังของเทพนพเคราะห์ประจำวันเกิดเวียนขวาไปตามผังทักษา  แต่ละองค์จะเสวยอายุตามกำลังแห่งตน ยกเว้นพระเกตุจะไม่เข้าเสวยอายุ แต่จะเข้าแทรกเพื่อบรรเทาเคราะห์กรรมหรือเพิ่มความเจริญรุ่งเรือง  คนไทยโบราณได้ผนวกความเชื่อจากศาสนาฮินดูเข้ากับศาสนาพุทธ  โดยให้จัดเครื่องบูชาถวาย ดังนี้  ข้าวปั้นจำนวนเท่ากำลังพระเคราะห์ใส่กระทง พร้อมข้าวตอก ดอกไม้ หมากพลู แล้วเขียนเลขประจำตัวพระเคราะห์(บัตร)ใส่กระทงนั้นไปบูชาพระพุทธรูป จากนั้นจุดธูปตามจำนวนกำลังพระเคราะห์  หรือหล่อพระพุทธรูปประจำเทพนพเคราะห์ถวายวัด


  กรมศิลปากรจัดโครงการวัฒนธรรมสัญจรสู่สถานศึกษา ประจำปี ๒๕๕๙ ณ โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.ราชบุรี ในวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๙ กิจกรรมประกอบด้วย การแสดงนาฏศิลป์ จากสำนักการสังคีต , รถพิพิธภัณฑ์สัญจร จากสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ,  กิจกรรมส่งเสริมความรู้ด้านศิลปวัฒนธรรม นิทรรศการ การออกร้านจำหน่ายหนังสือ โดยกลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ โดยมีคณะครูและนักเรียนให้ความสนใจ เข้าร่วมกิจกรรม กว่า ๓,๐๐๐ คน


1. ที่ตั้ง     อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ตั้งอยู่ในเขตตำบลศรีสัชนาลัย ตำบลสารจิตร ตำบลหนองอ้อ และตำบลท่าชัย อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ตัวเมืองโบราณศรีสัชนาลัย อยู่ในเขตหมู่บ้านพระปรางค์ ตำบลศรีสัชนาลัย โดยอยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครไปทางทิศเหนือ ประมาณ 550 กิโลเมตร     เมืองโบราณศรีสัชนาลัยมีสภาพภูมิประเทศที่ตั้งของเมืองเป็นที่ราบเชิงเขาพระศรี และ เขาใหญ่ ทางด้านทิศตะวันตก และมีลำน้ำยมอยู่ทางด้านทิศตะวันออก      กรมศิลปากรได้กำหนดเขตที่ดินโบราณสถานอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ประมาณ 28,217 ไร่2. ความสำคัญทางประวัติศาสตร์     เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่ตั้งของเมืองศรีสัชนาลัย มีความเหมาะสมต่อการตั้งถิ่นฐาน คือมีทั้งที่ราบลุ่มริมแม่น้ำยมและที่ลาดเชิงเขาพระศรี และเขาใหญ่ ทำให้มีทั้งความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่และสิ่งป้องกันทางธรรมชาติที่ใช้ในการป้องกันข้าศึกศัตรูได้อย่างดีด้วย      จากหลักฐานที่สำรวจพบ พวกขวานหินขัด (เครื่องมือ เครื่องใช้ ของคนสมัยโบราณ) ที่พบที่ตำบลท่าชัย อำเภอศรีสัชนาลัยรวมทั้งจาก หลักฐานการขุดค้นทางโบราณคดีที่วัดชมชื่น แสดงว่ามีชุมชน เข้ามาอยู่อาศัยตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 9 (พ.ศ.800)เป็นต้นมาเป็นชุมชนร่วมสมัย ทวารวดีในภาคกลางถัด ขึ้นมาเป็นหลักฐานของวัฒนธรรมร่วมสมัยลพบุรี (พุทธศตวรรษที่ 18,พ.ศ. 1700) ปรากฏหลักฐานที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง ในระยะนั้นเมืองศรีสัชนาลัยมีชื่อว่าเมืองเชลียง ตามหลักฐานที่ปรากฏในศิลาจารึก ตำนานและพงศาวดารที่ยืนยันว่ามีเมืองโบราณ 2 เมือง อยู่ในลุ่มน้ำยมก่อนแล้ว คือ เมืองสุโขทัย และเมืองเชลียงต่อมาได้มีการก่อสร้างเมืองศรีสัชนาลัยขึ้นทางด้านทิศเหนือของเมืองเชลียงห่างออกไปประมาณ 1.5 กิโลเมตร เมืองศรีสัชนาลัยมีความสำคัญควบคู่กันมากับเมือง สุโขทัย โดยจากหลักฐานได้กล่าวถึงพ่อขุนศรีนาวนำถม ว่าเป็นกษัตริย์ครอง 2 นคร คือ เสวยราชย์ทั้งเมืองสุโขทัยและเมืองศรีสัชนาลัย (ก่อน พ.ศ. 1781)      ต่อมาจนถึงพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นกษัตริย์ปกครองอาณาจักรสุโขทัย (พ.ศ.1781 - 1822) ทรงโปรดให้พ่อขุนบาลเมืองไปครองเมืองศรีสัชนาลัย ส่วนพ่อขุนรามคำแหง พระยาลิไทก็เคยครองเมืองศรีสัชนาลัย ก่อนขึ้นเสวยราชย์เป็นกษัตริย์ปกครองอาณาจักรสุโขทัย      เมืองศรีสัชนาลัยมีฐานะเป็นเมืองลูกหลวงของสุโขทัย ต่อมาจนแม้กระทั่งสุโขทัยตกอยู่ภายใต้อำนาจของกรุงศรีอยุธยา และได้เปลี่ยนชื่อเรียกว่า เมืองสวรรคโลก      เมืองศรีสัชนาลัยหรือเมืองสวรรคโลกในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น เป็นเมืองสำคัญที่ผลิตภาชนะเครื่องเคลือบสังคโลกให้แก่กรุงศรีอยุธยา ในสมัยต่อมาเมื่อมีการจัดระบบการปกครองปรับปรุงเรื่องเชื้อสายราชวงศ์ให้เข้าอยู่ในระบบราชการเรียบร้อยแล้ว กรุงศรีอยุธยา ได้เป็นผู้แต่งตั้งเจ้าเมืองเข้ามา ปกครองเมืองสวรรคโลกมีฐานะเป็นหัวเมืองชั้นนอกระดับเมืองโท     หลังเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่า ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2310 เมืองศรีสัชนาลัยหรือ สวรรคโลกถูก ทิ้งร้าง ต่อมาเมืองสวรรคโลกได้จัดตั้งขึ้นใหม่ ที่บ้านท่าชัยอยู่ด้านทิศใต้ของเมืองเดิม และในสมัยรัตนโกสินทร์ได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านวังไม้ขอน ซึ่งคือที่ตั้งของอำเภอสวรรคโลกในปัจจุบัน ส่วนชื่อเมืองศรีสัชนาลัยถูกนำไปตั้งเป็นชื่อของอำเภอศรีสัชนาลัย ซึ่งได้รวมเอาเขตพื้นที่เมืองศรีสัชนาลัยโบราณไว้ด้วย     อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของโลก ร่วมกับอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรใน พ.ศ.2534 เนื่องจากหลักฐานที่ปรากฏแสดงให้เห็นถึงผลงานทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น นับเป็นตัวแทนของศิลปกรรมไทยยุคแรกและเป็นต้นกำเนิดของการสร้างประเทศ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.25333. โบราณสถานที่สำคัญ     เมืองโบราณศรีสัชนาลัย มีขอบเขตของผังเมืองที่ก่อสร้างทับซ้อนอยู่บนบริเวณ เมืองเชลียงเดิม กล่าวคือ แนวกำแพงเมืองเชลียงเดิม ทำเป็นคันดินยาวขนานไปตามลำน้ำยมโดยเริ่มจาก บริเวณวัดมหาธาตุเชลียงขนานลำน้ำยมเลยผ่านเขาพนมเพลิงออกไปซึ่งยังคงปรากฎหลักฐานคันดินให้เห็นอยู่เป็นระยะ ๆ      ต่อมาเมื่อมีการก่อสร้างเมืองศรีสัชนาลัยขึ้น จึงได้พิจารณาเลือกบริเวณที่มีสภาพ ภูมิประเทศเป็นที่ราบเชิงเขา กำหนดขอบเขตการก่อสร้างกำแพงเมืองจากศิลาแลง ลักษณะผังเมืองเป็น รูปหลายเหลี่ยมไม่สม่ำเสมอตามทิศทางของแม่น้ำยม ในช่วงนี้ลักษณะของกำแพงเมืองศรีสัชนาลัยมี หลายแนวเพราะคงมีการผสมผสานเอาแนวกำแพงคันดินในสมัยที่เป็นเมืองเชลียงเข้ามาใช้ประโยชน์ด้วย โบราณสถานในอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย มีทั้งภายในและภายนอกกำแพงเมือง ซึ่งรวมทั้งหมดมีไม่น้อยกว่า 215 แห่งโบราณสถานที่สำคัญมีดังนี้3.1 โบราณสถานภายในกำแพงเมือง     สำรวจพบแล้วมีทั้งสิ้น 28 แห่ง ที่สำคัญคือ วัดช้างล้อม วัดเจดีย์เจ็ดแถว วัดนางพญา วัดสวนแก้วอุทยานใหญ่ วัดสวนแก้ว เป็นต้น3.2 โบราณสถานนอกกำแพงเมืองด้านทิศเหนือ     สำรวจพบแล้วมีจำนวนทั้งสิ้น 35 แห่ง ที่สำคัญคือ วัดกุฎีราย เตาทุเรียงบ้านป่ายาง เตา ทุเรียงบ้านเกาะน้อย ซึ่งเป็น แหล่งผลิตภาชนะดินเผา “เครื่องสังคโลก” ที่สำคัญของเมืองศรีสัชนาลัย3.3 โบราณสถานนอกกำแพงเมืองด้านทิศตะวันออก     สำรวจพบแล้วมีจำนวนทั้งสิ้น 10 แห่ง ที่สำคัญคือ วัดสวนสัก วัดป่าแก้ว เป็นต้น3.4 โบราณสถานนอกกำแพงเมืองด้านทิศใต้     สำรวจพบแล้วมีจำนวนทั้งสิ้น 24 แห่ง ที่สำคัญคือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วัดชมชื่น วัดเจ้าจันทร์ และวัดโคกสิงคาราม เป็นต้น3.5 โบราณสถานนอกกำแพงเมืองด้านทิศตะวันตก     สำรวจพบแล้วมีจำนวนทั้งสิ้น 19 แห่ง ที่สำคัญ คือ วัดพญาดำ วัดราหู วัดสระประทุม วัดพรหมสี่หน้า วัดยายตา เป็นต้น3.6 โบราณสถานนอกกำแพงเมืองบนภูเขา     สำรวจพบแล้วมีจำนวนทั้งสิ้น 15 แห่ง ที่สำคัญคือ วัดเขาใหญ่บน วัดเจดีย์เจ็ดยอด วัดเจดีย์รอบ และวัดเขาใหญ่ล่าง เป็นต้น     อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของโลก ร่วมกันกับ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยและอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ในปี พ.ศ. 2534 เนื่องจากหลักฐานที่ปรากฎแสดงให้เห็นถึงผลงานทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น นับเป็นตัวแทนของศิลปกรรมไทย ยุคแรก และเป็นต้นกำเนิดของการสร้างประเทศ4. การบริการและเเหล่งท่องเที่ยว     รถยนต์ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1 ผ่านจังหวัดนครสวรรค์ กำแพงเพชร เข้าสู่เส้นทาง หลวงหมายเลข 101 ผ่านอำเภอพรานกระต่าย อำเภอคีรีมาศ เข้าสู่จังหวัดสุโขทัย จากนั้นเมื่อถึงสี่แยกบ้านสวน เข้าอำเภอศรีสำโรง ผ่านอำเภอสวรรคโลก ไปตามทางหลวงหมายเลข 1201 ระยะทาง 18 กิโลเมตร ถึงทางเข้าอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย     รถโดยสารประจำทาง จากสถานีขนส่งสายเหนือ เส้นทางกรุงเทพฯ – สุโขทัย – ศรีสัชนาลัย เปิดบริการทุกวัน การเที่ยวชม     เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 17.00 น.   อัตราค่าเข้าชม ผู้มีสัญชาติไทย 10 บาทผู้มีสัญชาติอื่น 30 บาท การท่องเที่ยว สำนักงานอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย 055 679211สำนักงาน ททท. 055 252743 หรือ 1672 โรงแรมที่พัก ไพลินสุโขทัย 055 613310ศุภาลัยเพลซ 055 641627ราชธานี 055 611031สุโขทัย 055 611133โลตัส วิลเลจ 055 612081 ร้านอาหารแนะนำ ร้านเก่งศักดิ์ วังยมรีสอร์ทตำรวจท่องเที่ยว 1155ตำรวจทางหลวง 055 259503 หรือ 1193สินค้าพื้นเมือง ผ้าหาดเสี้ยว ผ้าซิ่นตีนจก เครื่องทองและเงินโบราณ





วันพุธที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๓ เวลา ๑๔.๐๐ น. นักชั้นมัธยมศึกษาที่ ๑ - ๓ โรงเรียนบ้านหนองแวง ตำบลหนองแวง อำเภอศรีณรงค์ จังหวัดสุรินทร์ นักเรียนจำนวน ๗๒ คน คุณครูจำนวน ๘ คน เข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ โดยมี นางสาวอาภาภรณ์ เปล่งปลั่งศรี นักวิชาการวัฒนธรรม ให้การต้อนรับและบรรยายนำชม





***บรรณานุกรม*** หนังสือหายาก กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงศ์.  พระราชพงศาวดารพม่า เล่ม ๙ พ.ศ. ๒๔๕๗.  ม.ป.พ., ๒๔๕๗.


หมวดหมู่                        พุทธศาสนาภาษา                            บาลีหัวเรื่อง                          พุทธศาสนา                                    พระไตรปิฏกประเภทวัสดุ/มีเดีย            คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ                    18 หน้า : กว้าง 5.5 ซม. ยาว 56 ซม. บทคัดย่อ                      เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจากพระอธิการเด่น ปญฺญาทีโป วัดคิรีรัตนาราม  ต.ดอนคา อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ดำเนินการอนุรักษ์เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2534    



           เนื่องในวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๓ ที่ผ่านมา ถือเป็นวันครบรอบ ๒๓๘ ปี แห่งการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ แม้การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-๑๙) จะทำให้รัฐบาลต้องประกาศงดเว้นกิจกรรมทางสังคม เพื่อป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-๑๙) กระทรวงวัฒนธรรมจึงได้จัดทำเว็บไซต์ www.รัตนโกสินทร์.com เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ เรื่องราวประวัติความเป็นมาของกรุงรัตนโกสินทร์ในอดีต ภายใต้หัวข้อ “ใต้ร่มพระบารมี ๒๓๘ ปี กรุงรัตนโกสินทร์ : ราชอารยรัฐ รัตนโกสินทร์ รัฐอันเจริญรุ่งเรืองมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลออนไลน์ได้ง่ายขึ้นและถือเป็นการปฏิบัติตามมาตรการของรัฐบาลอีกด้วย  แต่หากย้อนไปในอดีต เมื่อพ.ศ. ๒๕๒๕ ในวาระครบรอบ ๒๐๐ ปี แห่งการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี เพื่อดำเนินงานและแต่งตั้งให้ พลเอก เปรม  ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการฯ เพื่อจัดกิจกรรมสืบเนื่องตลอดทั้งปีมหามงคลนั้น จัดขึ้นทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด โดยเฉพาะในช่วงเวลาระหว่างวันที่ ๔-๒๑ เมษายน ๒๕๒๕ มีการจัดกิจกรรมด้านพระราชพิธีและงานสมโภชน์ต่าง ๆ อาทิ พระราชพิธีบวงสรวงบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า พระราชพิธียกช่อฟ้าพระอุโบสถฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระราชพิธีบวงสรวงพระสยามเทวาธิราช พระราชพิธีสมโภชหลักเมือง พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติ ฉัตรมงคล การเฉลิมฉลองงานสมโภชน์ การตกแต่งประทีปโคมไฟตามสถานที่ต่าง ๆ การก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ แก่ประชาชนทั่วประเทศ การบูรณะปฏิสังขรณ์พระอารามสำคัญในกรุงรัตนโกสินทร์ รวมถึงการสร้างอนุสรณ์สถานและสิ่งของที่ระลึกประกอบในงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี ดังที่ปรากฏข้อมูลรายละเอียดในหนังสือจดหมายเหตุงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี           ส่วนเอกสารจดหมายเหตุที่จัดเก็บอยู่ในหอจดหมายเหตุนายกรัฐมนตรี พลเอก เปรม  ติณสูลานนท์ ในช่วงระหว่างงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี ประกอบด้วย เอกสารจดหมายเหตุ  ชุดที่ ๑ ภาพถ่ายจากกองงานโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ขณะพลเอก เปรม  ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ร่วมชมพิธีการซักซ้อมกระบวนพยุหยาตราชลมารค ตามหมายกำหนดการแรกในพระราชพิธีบวงสรวงสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พร้อมด้วย พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จประทับที่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ และ โปรดเกล้าฯ ให้จัดเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เป็นเรือเชิญพระชัย (หลังช้าง) และเป็นเรือนำไปในกระบวน แต่จากภาพที่ ๒ พบว่าภาพเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ ล่องนำเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช จึงสันนิษฐานได้ว่าน่าจะเป็นภาพขณะทำพิธีการซักซ้อม ก่อนวันพระราชพิธีในวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๒๕   ภาพที่ ๑ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ ล่องผ่านบริเวณด้านหน้าพระปรางค์ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๒๕    (รหัสภาพ นรม ๑.๑.๑.๓/๗๑ (๑))ภาพที่ ๒ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ และตามด้วยเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช ล่องผ่านบริเวณด้านหน้าพระปรางค์ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๒๕ (รหัสภาพ นรม ๑.๑.๑.๓/๗๑ (๓))           เอกสารจดหมายเหตุชุดที่ ๒ ภาพถ่าย ขณะพลเอก เปรม  ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเจิมศิลาฤกษ์สถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งพิธีการดังกล่าวสืบเนื่องมาจากโครงการจัดตั้งโรงเรียนมัธยมศึกษาในกรุงเทพมหานคร โดยกระทรวงศึกษาธิการเพื่อเป็นอนุสรณ์ในการสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี จำนวน ๔ โรงเรียน ใน ๔ ทิศ ได้แก่ ด้านทิศใต้ โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียนวิทยา ด้านทิศตะวันตก โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบวรนิเวศศาลายา ส่วนทิศตะวันออกและทิศเหนือจัดสร้างใหม่ ในปัจจุบันคือโรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชลาดกระบังและโรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภช เขตจตุจักร ภาพที่ ๓ พลเอก เปรม  ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ขณะเจิมศิลาฤกษ์สถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ และ นายสิปปนนท์ เกตุทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๒๕ (รหัสภาพ นรม ๑.๑.๑.๓/๗๔ (๑)) ภาพที่ ๔ พลเอก เปรม  ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ขณะโปรยข้าวตอกลงบนแผ่นศิลาฤกษ์ ในพิธีเจิมศิลาฤกษ์สถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๒๕(รหัสภาพ นรม ๑.๑.๑.๓/๗๔ (๒))           การจัดสร้างอนุสรณ์สถานดังกล่าวนอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี ยังเป็นการตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาด้านการศึกษาของประชาชน ดังคำกล่าวของ พลเอก เปรม  ติณสูลานนท์ ในพิธีเจิมศิลาฤกษ์สถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๒๕ [1] ไว้ว่า                     “รัฐบาลนี้ตระหนักเป็นอย่างยิ่งว่า การจัดการศึกษาเป็นปัจจัยพื้นฐานอันสำคัญยิ่งในการ  พัฒนาคุณภาพของประชากรของประเทศ และได้มีนโยบายอันแน่วแน่ที่จะสนับสนุนให้มีการปรับปรุงทั้งด้านคุณภาพของการจัดการศึกษาทุกระดับให้มีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้น รวมทั้งด้านการขยายปริมาณของสถานศึกษาให้เพียงพอที่จะให้โอกาสทางการศึกษาแก่กุลบุตรกุลธิดาอย่างกว้างขว้าง                     การที่กระทรวงศึกษาธิการมีโครงการจัดตั้งโรงเรียนมัธยมศึกษา ๔ มุมเมือง เพื่อเป็นถาวรวัตถุเป็นอนุสรณ์ในวโรกาสงานเฉลิมฉลองสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปีนี้ จึงนับว่าเป็นโครงการที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง เพราะการตั้งสถานศึกษาเพิ่มขึ้น ย่อมเป็นการขยายโอกาสให้ เยาวชนของชาติได้รับการศึกษามากขึ้น อันจะเป็นผลให้ผู้มีความรู้ ความสามารถ เป็นประชากร  ที่มีคุณภาพที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาประเทศชาติของเรา และนับเป็นการสนองพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์สมเด็จพระบูรพมหากษัตริย์เจ้าแห่งพระบรมราชจักรีวงค์ทุกพระองค์ที่ได้โปรดให้พสกนิกรชาวไทย ได้รับการศึกษาเล่าเรียน ให้มีวิทยาการตามแบบอย่างนานา   อารยประเทศ อันส่งผลให้เกิดความจำเริญรุ่งเรืองแก่ประเทศชาติมาตราบเท่าทุกวันนี้                     ผมขอขอบคุณทุกท่านที่ได้มีส่วนสนับสนุนช่วยเหลือให้โครงการจัดตั้งโรงเรียนมัธยมศึกษา ๔ มุมเมือง ของกระทรวงศึกษาธิการสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และขออำนวยพรให้โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภช ทั้ง ๔ โรงเรียน จงเจริญรุ่งเรืองวัฒนาสถาวร เป็นสถานศึกษาที่ให้ความรู้อันประดุจประทีปส่องทางชีวิตให้แก่กุลบุตรกุลธิดา อันเป็นความหวังและอนาคตของประเทศชาติของเราตลอดไป”                       เรียบเรียงโดย นางสาวพัชราภรณ์  สุวรรณะ นักจดหมายเหตุปฏิบัติการ   เอกสารอ้างอิง            หอจดหมายเหตุนายกรัฐมนตรี พลเอก เปรม  ติณสูลานนท์. นรม ๑.๑.๕.๑/๒๔๘ คำกล่าวของ ฯพณฯ    พลเอก เปรม   ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี เนื่องในพิธีสมโภชศิลาฤกษ์ โรงเรียน ๔ มุมเมือง ตามโครงการสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี ของกระทรวงศึกษาธิการ ณ บริเวณกระทรวงศึกษาธิการ (๒๐ เม.ย. ๒๕๒๕)           หอจดหมายเหตุนายกรัฐมนตรี. นรม ๑.๑.๑.๓/๗๑ ภาพกองงานโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ภาพพลเอก เปรม  ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ชมการซ้อมงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ที่บริเวณท้องสนามหลวง           หอจดหมายเหตุนายกรัฐมนตรี. นรม ๑.๑.๑.๓/๗๔ ภาพกองงานโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ภาพ พลเอก เปรม  ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเจิมศิลาฤกษ์สถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ           หอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร.  (๒๕๔๕). จดหมายเหตุงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี.  กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร.                [1] หอจดหมายเหตุนายกรัฐมนตรี พลเอก เปรม  ติณสูลานนท์. นรม ๑.๑.๕.๑/๒๔๘ คำกล่าวของ ฯพณฯ พลเอก เปรม   ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี เนื่องในพิธีสมโภชศิลาฤกษ์ โรงเรียน ๔ มุมเมือง ตามโครงการสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี ของกระทรวงศึกษาธิการ ณ บริเวณกระทรวงศึกษาธิการ (๒๐ เม.ย. ๒๕๒๕)


black ribbon.