ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,755 รายการ
พระวิษณุ (พระนารายณ์) เขาพระเหนอ วัสดุ : หินทราย (Tuffacous Sandstone) อายุ/สมัย : พุทธศตวรรษที่ ๑๒ ศิลปะอินเดีย แบบปัลลวะ ขนาด : สูง ๒๐๒ เซนติเมตร ประวัติ : พบที่แหล่งโบราณคดีเขาพระเหนอ ตำบลบาง นายสี อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา โดยสมเด็จฯ กรมพระยา ดำรงราชานุภาพ ได้ทรงนำพระวิษณุองค์นี้มาเก็บรักษาไว้ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๐ ปัจจุบัน : จัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ลักษณะ : พระวิษณุเขาพระเหนอ เป็นประติมากรรมลอยตัว ประทับยืนตรง มี ๔ กร ส่วนพระพักตร์กะเทาะหายไปบางส่วน สวมกิรีฏมกุฎทรงกระบอกเรียบไม่มีลวดลาย พระอุระผึ่งผาย บั้นพระองค์บาง ทรงพระภูษาโจงยาว ไม่มีผ้าคาดพระโสณี พระหัตถ์ที่ถืออาวุธชำรุดหักหายไปทั้ง ๔ ข้าง แต่สามารถสันนิษฐานอาวุธที่พระหัตถ์ได้โดยการเทียบเคียงกับเทวรูปพระวิษณุองค์อื่น คือ พระหัตถ์ขวาบนถือจักร พระหัตถ์ขวาล่างถือก้อนดิน (ภูมิ) พระหัตถ์ซ้ายบนถือสังข์ และพระหัตถ์ซ้ายล่างถือคทา จากลักษณะที่ส่วนพระองค์ไม่มีร่องรอยพระหัตถ์แสดงให้เห็นว่าพระหัตถ์ล่างทั้งสองข้างแยกจากพระโสณี สำหรับการถือหรือจับอาวุธนั้น รศ.ดร.เชษฐ์ ติงสัญชลี เสนอว่า น่าจะถือจักรโดยหันสันออก ถือก้อนดินด้วยการหงายและแบมือ ถือสังข์ด้วยการหงายมืออกโดยก้นสังข์ตั้งขึ้นและหันปากสังข์ออก ถือคทาด้วยการคว่ำมือลง คทาเฉียงเล็กน้อยยาวลงมาจรดพื้น นอกจากนั้น ศ.ดร.ศักดิ์ชัย สายสิงห์ เสนอว่า เทวรูป องค์นี้มีลักษณะถูกต้องตามหลักกายวิภาคศาสตร์ของมนุษย์ มีกล้ามเนื้อที่ชัดเจน มีการเกรงมือทั้งสองข้างไปด้านหลังเหมือนการเบ่งกล้าม รวมทั้งลักษณะนิ้วเท้า เล็บเท้า และสัดส่วนของนิ้ว มีลักษณะเหมือนจริงตามธรรมชาติ สอดคล้องกับที่ พิริยะ ไกรฤกษ์ ได้เสนอไว้ว่า พระวิษณุองค์นี้ให้ความรู้สึกน่าเกรงขามและให้ความประทับใจมากที่สุดองค์หนึ่งที่พบในประเทศไทย ซึ่งแสดงถึงความสำเร็จทางด้านงานศิลปกรรมขั้นสูง รวมทั้งแสดงถึงความเชี่ยวชาญและความมั่นใจของช่างผู้สลักที่สลักพระกรทั้งสี่แยกห่างจากตัวองค์ ภาพ : เขาพระเหนอ ตำบลบางนายสี อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ภาพ : โบราณสถานเขาพระเหนอ (ระหว่างดำเนินการบูรณะ) ภาพ : พระวิษณุ (จำลอง) และโบราณสถานเขาพระเหนอ (หลังขุดแต่งและอนุรักษ์ ปี พ.ศ.๒๕๕๒-๒๕๕๕) โบราณสถานเขาพระเหนอ : ตั้งอยู่ที่ตำบลบางนายสี อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา มีลักษณะเป็นเขาขนาดย่อมตั้งอยู่ตรงข้ามกับแหล่งโบราณคดีเหมือนทอง (ทุ่งตึก-เกาะคอเขา) บนยอดเขามีเทวสถานเป็นที่ประดิษฐานเทวรูปพระวิษณุ ตามที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) ได้กล่าวไว้ในจดหมายเหตุประพาสหัวเมืองภาคใต้ว่า “…เทวรูปนี้ยืนอยู่กลางฐานใหญ่ก่อด้วยอิฐแผ่นใหญ่ ซึ่งให้เห็นได้ว่าคงจะเป็นศาลหรืออะไรสักอย่างหนึ่ง แต่เรื่องราวอะไรก็สืบไม่ได้…” สันนิษฐานได้ว่า พระวิษณุประดิษฐานบนอาคารที่ก่อด้วยอิฐ และตามที่ ดร.เอช.จี. ควอริทช์ เวลส์ (Dr. H.G. Quaritch Wales) ได้สำรวจที่แหล่งโบราณคดีเขาพระเหนอได้สำรวจพบอิฐฐานราก (บริเวณที่ตั้งพระวิษณุ) เป็นแนวลดหลั่นแบบขั้นบันได พ.ศ.๒๕๒๖-๒๕๒๗ ธราพงศ์ ศรีสุชาติ ได้สำรวจแหล่งโบราณคดีเขาพระเหนอ พบฐานแนวอิฐซึ่งเคยเป็นที่ประดิษฐานพระวิษณุ เป็นแผ่นอิฐเรียงขนาดใหญ่และแนวอิฐกระจัดกระจายในรัศมีประมาณ ๗๕ ตารางเมตร และมีซากแนวอิฐเรียงเป็นแนวลาดจากแนวฐานลงสู่ปลายเนิน และจากการขุดค้นและขุดแต่งในโครงการอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งโบราณคดีเขาพระเหนอ ของสำนักศิลปากรที่ ๑๕ ภูเก็ต เมื่อ พ.ศ.๒๕๕๒ พบว่าโบราณสถานเขาพระเหนอเป็นอาคารไม่มีหลังคาคลุม มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้าง ๙ เมตร ยาว ๑๐ เมตร สูงประมาณ ๐.๖๐-๐.๘๐ เมตร มีการย่อเก็จด้านหน้า กึ่งกลางอาคารมีบันได้และทางเดินปูด้วยอิฐกว้าง ๑.๓ เมตร มีเทคนิคการก่อสร้างโดยการเลือกบริเวณที่สูงที่สุดบนเขาพระเหนอ และมีการปรับพื้นที่รวมทั้งมีการนำก้อนหินต่างๆ มาเรียงก่อซ้อนกันเป็นขอบฐานโบราณสถาน จากผลการขุดแต่งคาดว่าโบราณสถานเขาพระเหนอน่าจะมีอายุร่วมสมัยกับพระวิษณุที่พบประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ เป็นต้นไป ---------------------------------------------------ค้นคว้า/เรียบเรียงข้อมูล : น.ส.สุขกมล วงศ์สวรรค์ ภัณฑารักษ์ชำนาญการพิเศษ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ---------------------------------------------------อ้างอิง : - รายงานการประชุมโครงการอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมตามเส้นทางแม่น้ำตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ครั้งที่ ๑ วันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร กรุงเทพฯ (สำเนา). - พิริยะ ไกรฤกษ์. ศิลปะทักษิณก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๙. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๒๓. - ธราพงศ์ ศรีสุชาติ. “ตะกั่วป่า : ชุมชนโบราณ.” สารานุกรมวัฒนธรรม ภาคใต้ พ.ศ.๒๕๒๙ เล่ม ๓. กรุงเทพฯ: สถาบันทักษิณคดีศึกษา, ๒๕๒๙. - รายงานเบื้องต้นการขุดค้น-ขุดแต่งโบราณสถานเขาพระเหนอ ตามโครงการอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งโบราณคดีเขาพระเหนอ ตำบลบางนายสี อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา พ.ศ.๒๕๕๒. - สุขกมล วงศ์สวรรค์. “หลักฐานทางศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูที่พบในแหล่งโบราณคดีฝั่งทะเลอันดามัน.” พิพิธวิทยาการ รวมบทความวิชาการด้านโบราณคดี ประวัติศาสตร์ศิลปะ และพิพิธภัณฑสถานวิทยา ๒๕๕๘. กรุงเทพฯ : สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร, ๒๕๕๙. - H.G. Quaritch Wales, A Newly-Explored Route of Ancient Indian Cultural Expansion.London: India Society, 1937.
วันอังคารทึ่ 10 พฤศจิกายน 2563 เวลา 9.00 น. อธิบดีกรมศิลปากร(นายประทีป เพ็งตะโก) พร้อมด้วยรองอธิบดีกรมศิลปากร (นายพนมบุตร จันทรโชติ) ได้มอบนโยบายการนำเข้าและการจัดทำข้อมูลด้านโบราณสถานในระบบฐานข้อมูล GIS กรมศิลปากรแก่นักโบราณคดีท่ัวประเทศ เพื่อให้บริการข้อมูลด้านโบราณสถานแก่ประชาชนให้มีประสิทธิภาพมากเพิ่มขึ้น
องค์ความรู้จากหอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ตรัง
เรื่อง “งานฉลองรัฐธรรมนูญและงานกาชาดจังหวัดตรัง : งานประจำปีที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองตรัง”
๑. ความเป็นมาของงานฉลองรัฐธรรมนูญ
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ และจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ รัฐบาลได้จัดให้มีการจำลองรัฐธรรมนูญและมอบให้ผู้แทนราษฎรนำไปประดิษฐาน ณ หน้าศาลากลางจังหวัดทุกจังหวัด
นายจัง จริงจิตร ผู้แทนราษฎรคนแรกของจังหวัดตรังได้นำรัฐธรรมนูญฉบับจำลองมาจังหวัดตรัง เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๖ ผู้ว่าราชการในสมัยนั้นได้จัดข้าราชการ นักเรียนและประชาชนไปต้อนรับที่สถานีรถไฟตรัง แล้วนำมาประดิษฐานไว้หน้าศาลากลางจังหวัดและจัดให้มีงานเฉลิมฉลอง เป็นเวลา ๓ วัน ๓ คืน
๒. ความเป็นมาของงานฉลองรัฐธรรมนูญและงานกาชาดจังหวัดตรัง
งานฉลองรัฐธรรมนูญและงานกาชาดจังหวัดตรัง งานประจำปีที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองตรังโดยเริ่มจัดงานครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๖ ณ บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดตรัง (หลังเดิม) โดยใช้ชื่องานว่า “งานฉลองรัฐธรรมนูญ” เป็นการจัดงานเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทย ที่ได้นำมาประดิษฐาน ณ จังหวัดตรัง และในปีต่อ ๆ มาได้มีการจัดงานฉลองรัฐธรรมนูญมาอย่างต่อเนื่อง
ในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ได้มีการปรับเปลี่ยนชื่องานเป็น “งานเฉลิมพระชนมพรรษาและงานฉลองรัฐธรรมนูญ” เพื่อเฉลิมฉลองในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รวมทั้งได้ปรับรูปแบบการจัดงานให้เหมาะสมกับยุคสมัย
ปัจจุบันใช้ชื่องานว่า “งานฉลองรัฐธรรมนูญและงานกาชาด” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระลึกถึงการพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยครั้งแรก ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเพื่อเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อพสกนิกรชาวตรัง รวมทั้งเพื่อให้ประชาชนทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยมีการออกร้านของหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ รวมทั้งการออกร้านกาชาดเพื่อการกุศล
ที่มาของข้อมูล :
คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. วัฒนธรรมพัฒนาการทาง ประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดตรัง. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๔๔.
ถนอม พูนวงศ์. ประวัติศาสตร์เมืองตรัง. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์, ๒๕๖๐.
สยามรัฐออนไลน์. (๒๕๖๓, กันยายน ๒๘). ตรังเตรียมจัดงานฉลองรัฐธรรมนูญและกาชาด สืบค้นจาก https://siamrath.co.th/n/185512
ที่มาภาพ :
อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จาก https://www.thairath.co.th/news/politic/1658955
บรรยากาศงานงานฉลองรัฐธรรมนูญฯ http://oknation.nationtv.tv/blog/print.php?id=366455
บรรยากาศงานงานฉลองรัฐธรรมนูญฯ จากเพจอยู่บ้านเรา ไม่ขึ้นเขาก็ลงเล
ตำรายาแผนโบราณ ชบ.ส. ๒๖
เจ้าอาวาสวัดต้นสน ต.บางปลาสร้อย เขต ๑ อ.เมือง จ.ฃลบุรี
มอบให้หอสมุด ๒๐ ก.ค. ๒๕๓๕
เอกสารโบราณ (สมุดไทย)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.21/1-1
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
พระอรรธนารีศวร ประติมากรรมชิ้นเด่นที่มีเพียงหนึ่งเดียวในประเทศไทย
++++....... โคกอิฐ
ร่องรอยโบราณสถานสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ในจังหวัดนราธิวาส .......++++
ที่ตั้งของโคกอิฐ
หมู่ที่ ๒ บ้านโคกไผ่ ตำบลพร่อน อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส
สภาพของโบราณสถาน
โคกอิฐมีสภาพเป็นโคกอยู่กลางทุ่งนา บนแนวสันทรายเก่าที่วางตัวในแนวทิศตะวันตกเฉียงใต้ – ตะวันออกเฉียงเหนือ ห่างจากทะเลประมาณ ๑๐ กิโลเมตร มีคลองโคกไผ่ไหลผ่านทางด้านทิศเหนือ และมีคลองโคกอิฐ ไหลผ่านด้านทิศตะวันอก โดยคลอง ๒ สายนี้จะไหลไปรวมกันกลายเป็น “คลองลาน” จากนั้นไหลไปรวมกับ “คลองปูยู” ซึ่งเชื่อมต่อเข้ากับแม่น้ำบางนราและแม่น้ำโก-ลก และแม่น้ำทั้ง ๒ นี้จะไหลไปรวมกันและออกสู่อ่าวไทยที่บ้านตาบา อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส
ทั้งนี้ในบริเวณกลางโคกซึ่งปรากฏแผ่นอิฐขนาดใหญ่วางกองเกลื่อนกลาดจำนวนมากนั้น มีชื่อเรียกในท้องถิ่นว่า “อิฐกอง”
ตำนานและเรื่องราวเล่าขาน
ตำนานท้องถิ่นกล่าวกันว่าใต้พื้นดินในบริเวณอิฐกองนั้น ลึกลงไปมีทรัพย์สมบัติมากมายบรรจุอยู่ในไหโบราณ และไหนั้นถูกผูกตรึงไว้ด้วยมนตราอันแน่นหนาตามพิธีกรรมโบราณ และมีทวด(วิญญาณศักดิ์สิทธิ์)เรียกกันว่า “โต๊ะชาย” ๔ ตนคือ ลุงดำ ลุงอิน ลุงลาย และลุงเพชร ทำหน้าที่เฝ้าทรัพย์สินเหล่านี้ และชาวบ้านมักนิยมไปบนบานกับโต๊ะชายอยู่เป็นเนืองนิตย์ พื้นที่แห่งนี้จึงถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านมาจนปัจจุบัน
โบราณวัตถุ
บริเวณโคกอิฐมีการพบโบราณวัตถุจำนวนมากเช่น อิฐมีจารึกตัวอักษรกวิ (กะวิ) ภาษาสันสกฤต กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ปรากฏตัวจารึก ๔ อักษร อ่านว่า “มิตฺรา ว.......” แปลว่า พระอาทิตย์...” ชิ้นส่วนพวยกาดินเผา ชิ้นส่วนเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ ซ่งใต้ หยวน และชิง ลูกปัด พระพุทธรูปหรือพระโพธิสัตว์สำริด ชิ้นส่วนเครื่องใช้ทองเหลือง
นอกจากนี้ในบริเวณแนวรอบตัวสันทรายซึ่งเป็นที่ตั้งของโคกอิฐ ยังเคยมีการขุดพบการปักท่อนไม้เนื้อแข็งเป็นลักษณะคล้ายเป็นรั้วหรือกำแพง และในพื้นที่รอบโคกอิฐซึ่งปัจจุบันเป็นที่นานั้น เคยมีการขุดพบเสากระโดงเรือ สมอเรือ และเปลือกหอยทะเลด้วย
การกำหนดอายุทางวิทยาศาสตร์
สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา กรมศิลปากร ได้ส่งตัวอย่างอิฐจากโคกอิฐไปหาค่าอายุทางวิทยาศาสตร์ด้วยวิธีเรืองแสงความร้อน(Thermoluminescence)ที่ Artemis Testing Lab ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ค่าอายุ ๑,๒๐๐ ± ๑๘๐ และ ๑,๖๐๐ ± ๓๐๐ ปี มาแล้ว
สรุปผลการกำหนดอายุ
การศึกษาโบราณวัตถุที่พบประกอบการพิจารณาค่าอายุทางวิทยาศาสตร์ ทำให้เห็นว่าที่โคกอิฐแห่งนี้ มีการพบอิฐที่กำหนดอายุได้ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ พระพุทธรูปหรือพระโพธิสัตว์สำริดกำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๕ ชิ้นส่วนเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือกำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ ชิ้นส่วนเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ ชิ้นส่วนเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หยวน กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ จารึกอักษรกวิกำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ และยังพบชิ้นส่วนเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๔-๒๕
จึงอาจสรุปในเบื้องต้นได้ว่าโบราณโคกอิฐมีการใช้พื้นที่และสร้างศาสนสถานมาตั้งแต่ราวช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๒ หรือก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ต่อมาได้เจริญรุ่งเรืองในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๗ -๑๘ เนื่องจากพบเครื่องถ้วยจีนในสมัยนี้เป็นจำนวนมาก และมีการยุติการใช้พื้นที่ไประยะหนึ่งในราวพุทธศตวรรษที่๑๙-๒๐ต่อมาในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๔-๒๕ จึงได้มีการกลับเข้ามาใช้พื้นที่บริเวณนี้อีกครั้งหนึ่ง และมีการอยู่อาศัยสืบเนื่องมาจนกระทั่งปัจจุบัน
-------------------------------------------------------------
เรียบเรียงโดย นายสารัท ชลอสันติสกุล นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา
พิมพ์เป็นอนุสรณ์เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ ขุนโอสถกรรม (เชื่อม รัตนกนก) ณ เมรุวัดธาตุททอง ถนนสุขุมวิทย์ พระนคร วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๑๑