ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,755 รายการ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง ขอเชิญเที่ยวงานเทศกาลวิถีน้ำ วิถีไทย สนุกอย่างดีงาม ก้าวข้ามปีใหม่ไทย (Water Festival 2023) ภายใต้แนวคิด "ชื่นอุรา น่าสบาย" ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๖ เมษายน ๒๕๖๖ ณ ชุมชนบ้านเชียง Water Festival Thailand
*พิเศษ วันที่ ๑๓-๑๕ เมษายน ๒๕๖๖ มีบริการ "ไกด์ ออน เกวียน" พาท่านนั่งเกวียนจากพิพิธภัณฑ์ ชมวิถีชุมชน แวะชมหลุมขุดค้นวัดโพธิ์ศรีใน เรือนไทพวนอนุสรณ์ โดยมีเจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์บรรยายนำชม
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย ประจำปี ๒๕๖๖ การจัดนิทรรศการพิเศษ เรื่อง “เงินตราในประเทศไทย : วิวัฒน์เงินตราไทย จากสุโขทัยถึงรัตนโกสินทร์” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพและวันอนุรักษ์มรดกไทย และเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับเรื่องเงินตราที่ใช้ในประเทศไทย พัฒนาการของเงินตรา รูปแบบของเงินตราในสมัยต่าง ๆ โดยเฉพาะที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร ให้แก่นักเรียนนักศึกษา ครูอาจารย์ และประชาชนทั่วไป
นิทรรศการพิเศษดังกล่าวจะบอกเล่าเรื่องราวของเงินตราในหัวข้อต่าง ๆ ได้แก่
๑. เงินตราในฐานะสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน
๒. พัฒนาการเงินตราในประเทศไทย
๓. เบี้ย : ความหมายของเบี้ย เบี้ยในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ หลักฐานการใช้เบี้ยเป็นเงินตราในประเทศไทย การยกเลิกใช้เบี้ย
๔. พดด้วง สมัยสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์
๕. มาตราเงินไทยโบราณ
๖. การปฏิรูประบบเงินตราในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
๗. เมื่อแรกปรากฏพระบรมรูปบนเหรียญกษาปณ์ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ กับการเปิดรับความเจริญจากชาวตะวันตก
๘. เงินตราสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ถึง พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ ๘
๙. เงินตราสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙
๑๐. เงินตราสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐
นอกจากนี้ ภายในนิทรรศการยังมีการจัดแสดงโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ประเภทเงินตราต่าง ๆ เช่น เบี้ย สมัยอยุธยา พุทธศตวรรษที่ ๒๐ – ๒๓, เงินพดด้วง ชนิดราคา ๑ บาท ในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม สมเด็จพระนารายณ์ และสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ ช่วงสมัยอยุธยาตอนกลางถึงตอนปลาย ซึ่งเป็นโบราณวัตถุที่พบในพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชร
เบี้ย สมัยอยุธยา
เงินพดด้วง ราคา ๑ บาท สมัยอยุธยา รัชกาลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม
เงินพดด้วง ราคา ๑ บาท สมัยอยุธยา รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
เงินพดด้วง ราคา ๑ บาท สมัยอยุธยา รัชกาลสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ
เหรียญพระบรมรูป – ตราแผ่นดิน ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ บนเหรียญไม่ระบุศักราช เริ่มผลิตครั้งแรก ร.ศ. ๙๕ หรือ พ.ศ. ๒๔๑๙ ถือเป็นครั้งแรกที่มีการอัญเชิญพระบรมรูปพระมหากษัตริย์ประทับบนหน้าเหรียญ
เหรียญพระบรมรูป – ตราไอราพต ผลิตขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๕๖ จนถึง พ.ศ. ๒๔๖๘ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๔๖๑ เศรษฐกิจตกต่ำ ราคาโลหะเงินเพิ่มสูงขึ้น จึงมีการลดส่วนผสมในการผลิตเงิน
เหรียญตราอุณาโลม – พระแสงจักร ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นเหรียญที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผลิตตามลักษณะแบบสตางค์รูที่เคยจัดทำในสมัยรัชกาลที่ ๕ แต่มีรายละเอียดแตกต่างกันบ้าง เช่น ศักราชที่ระบุบนเหรียญในสมัยนี้ใช้ปีพุทธศักราช (พ.ศ.) ส่วนในสมัยรัชกาลที่ ๕ ใช้ปีรัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.)
เหรียญพระบรมรูป – ตราพระครุฑพ่าห์ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ซึ่งตราพระครุฑพ่าห์ รัชกาลที่ ๖ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นตราพระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน
เหรียญพระบรมรูป – ตราแผ่นดิน ชนิดราคา ๑ บาท ผลิตใน พ.ศ. ๒๕๐๕ สมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นเหรียญบาทที่มีลักษณะโดดเด่น เนื่องจากมีขนาดใหญ่ เส้นผ่านศูนย์กลาง ๒๗ มิลลิเมตร
เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเนื่องในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ ๑๐ วันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ด้านหน้าของเหรียญเป็นพระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนด้านหลังมีรูปตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์ มีรัศมีโดยรอบ
ธนบัตร แบบ ๓ รุ่น ๑ ชนิดราคา ๑ บาท เริ่มออกใช้ตั้งแต่พุทธศักราช ๒๔๗๗ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นธนบัตรแบบแรกที่เชิญพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ของพระมหากษัตริย์เป็นภาพประธาน และมีการพิมพ์ข้อความแจ้งโทษของการปลอมแปลงธนบัตรเป็นครั้งแรก
ธนบัตรแบบ ๙ ชนิดราคา ๕๐ สตางค์ ประกาศออกใช้ครั้งแรก วันที่ ๒๖ มกราคม ๒๔๙๑ สมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นธนบัตรที่ไม่ปรากฏพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ รัชกาลที่ ๙ อีกทั้งไม่มีลายมือชื่อผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และไม่มีลายน้ำ
ผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมได้ระหว่างเดือนเมษายนถึงมิถุนายน ๒๕๖๖ โดยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร เปิดให้บริการทุกวันพุธถึงวันอาทิตย์ เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. หยุดวันจันทร์ วันอังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ค่าธรรมเนียมเข้าชม ชาวไทย ๒๐ บาท ชาวต่างชาติ ๑๐๐ บาท ยกเว้น นักเรียนนักศึกษา นักบวชทุกศาสนา และผู้สูงอายุ
---------------------------------------------
ข้อมูลวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๖
โดยนางสาวพรรณลักษณ์ พันธ์วนิชดำรง ภัณฑารักษ์ชำนาญการ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร
ชื่อเรื่อง สํยุตฺตนิกายกถา (สํยุตฺตนิกาย)ลบ.บ. 35/3หมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 50 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 56.5 ซม.หัวเรื่อง พระไตรปิฎก
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับล่องรัก ไม้ประกับธรรมดา
แบบศิลปะ / สมัย ศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่ ๒๑ – ๒๒
วัสดุ (ชนิด) สำริด
ขนาด หน้าตักกว้าง ๓๕ เซนติเมตร สูงพร้อมฐาน ๖๖.๕ เซนติเมตร
ประวัติความเป็นมา ได้จากวัดศรีโขง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร มอบให้
ความสำคัญ ลักษณะและสภาพของโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ
พระพุทธรูปปางมารวิชัย รูปแบบศิลปกรรมผสมผสานระหว่างศิลปะสุโขทัยกับศิลปะล้านนา เช่น พระวรกายเพรียวบาง ครองสังฆาฏิที่ทำเป็นแผ่นขนาดใหญ่ พระรัศมีเป็นเปลว และชายจีวรที่คาดอยู่ใต้พระชานุ เป็นต้น รูปแบบศิลปกรรมพระพุทธรูปนี้คล้ายคลึงกับพระพุทธรูปพระเจ้าเก้าตื้อ พระเมืองแก้วโปรดฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๐๔๗ แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๐๕๓ ส่วนฐานขององค์พระพุทธรูปเป็นฐานปัทม์ เกสรบัวมีต่อมกลม และส่วนปลายกลีบบัวงอนออก สันนิษฐานว่าพระพุทธรูปนี้ถูกสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ภายหลังมีการสลักตัวอักษรเพิ่มเติมที่ฐานด้านหน้า ความว่า “พระครูคำภิระ ให้นายจีนแม่ชื่นไว้เป็นที่รฤก เชียงใหม่”
กรมศิลปากร ขอเชิญรับชมถ่ายทอดสด Facebook Live รายการไขความรู้จากครูกรมศิลป์ ตอน "พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชุมพร แหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์-โบราณคดี-วิถีชีวิตคนชุมพร" วิทยากร นายเอกราช ชนะการ ภัณฑารักษ์ปฏิบัติการ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชุมพร ผู้ดำเนินรายการ นายสิทธิพร บุปผา นักวิชาการเผยแพร่ กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ในวันพฤหัสบดีที่ ๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ เวลา ๑๑.๐๐ – ๑๑.๔๕ น. ผู้สนใจสามารถติดตามชมได้ทาง Facebook Live : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม และ Facebook Live : กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร
วันนี้เรามาลองออกเสียงสำเนียงพวนบ้านเชียงกันนะคะ"คำเว้าเฮาชาวไทพวน"โดย นางสาวฐิรกานดา ชมราศรี สาขาภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
ชื่อเรื่อง พญากง พญาพาน : จากนิทานพราหมณ์สู่ชื่อบ้านนามเมือง และเรื่องพระปฐมเจดีย์ผู้แต่ง อภิลักษณ์ เกษมผลกูลประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือท้องถิ่นISBN/ISSN 978-616-279-667-8หมวดหมู่ ประเพณี ขนบธรรมเนียม คติชนวิทยา เลขหมู่ 398.2 พ179สถานที่พิมพ์ กรุงเทพฯสำนักพิมพ์ ห้างหุ้นส่วนจำกัด สามลดาปีที่พิมพ์ 2558ลักษณะวัสดุ 410 หน้า : ภาพประกอบ ; 25 ซม.หัวเรื่อง นิทานพื้นบ้าน – ไทย นิทาน – ไทย วรรณคดีไทย เพลงพื้นบ้าน – ไทย พระปฐมเจดีย์ภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึก พญากง พญาพาน เป็นเรื่องกล่าวขานจากคนรุ่นหนึ่งสู่คนรุ่นหนึ่ง โดยการบอกเล่าสืบต่อกันมาอย่างแพร่หลายในแถบจังหวัดนครปฐมและพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองโบราณนครไชยศรี เมืองคูบัว และเมืองอู่ทอง อันมีสถานที่เชื่อมโยงกับตำนานนี้อยู่จนปัจจุบัน
ขอเชิญรับฟังการเสวนาวิชาการ เรื่อง “อัตลักษณ์ทับหลังปราสาทพิมาย และทับหลังพบใหม่ในจังหวัดนครราชสีมา”
อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย ร่วมกับ สำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย กำหนดจัดโครงการเสวนาวิชาการ เรื่อง “อัตลักษณ์ทับหลังปราสาทพิมาย และทับหลังพบใหม่ในจังหวัดนครราชสีมา” เนื่องในงานเทศกาลเที่ยวพิมาย นครราชสีมา ประจำปี 2566 และงานฉลอง 555 ปี เมืองนครราชสีมา ในวันพฤหัสบดีที่ 9 พฤศจิกายน 2566 เวลา 13.00 น. ณ อุดรโคปุระ (โคปุระด้านทิศเหนือ) ปราสาทพิมาย อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย ตำบลในเมือง อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา เพื่อนำเสนอและเผยแพร่องค์ความรู้ ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับปราสาทพิมายและข้อมูลใหม่จากการปฏิบัติงานโบราณสถานในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา
พบกับการเสวนา เรื่อง “อัตลักษณ์ทับหลังปราสาทพิมาย" ร่วมเสวนาโดย นายภาณุวัฒน์ เอื้อสามาลย์ หัวหน้าอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย นางสาวอทิตยา ถิระโชติ ภัณฑารักษ์ชำนาญการ และนางสาวนัยนา มั่นปาน ภัณฑารักษ์ชำนาญการ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย และการบรรยายพิเศษ เรื่อง "ทับหลังพบใหม่ในจังหวัดนครราชสีมา ณ ปราสาทบ้านบุใหญ่” วิทยากรโดย นายธันยธรณ์ วรรณโพธิ์พร นักโบราณคดีปฏิบัติการ สำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา
ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมฟังได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (ฟรี) รับจำนวนจำกัดเพียง 40 ท่าน ลงทะเบียนได้ ที่นี่ (*ไม่มีถ่ายทอด Live สด แต่จะมีการบันทึกเทปให้ชมภายหลัง*) สอบถามเพิ่มเติมหรือติดตามรายละเอียดได้ที่เฟสบุ๊ก เพจ : อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย Phimai Historical Park / สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา กรมศิลปากร / Phimai National Museum:พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย
ทั้งนี้ ผู้ลงทะเบียนที่เข้าร่วมฟังภายในงาน จำนวน 40 ท่าน จะได้รับเอกสารประกอบการเสวนาทางวิชาการด้วย
วันพุธที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๖ เวลา ๑๔.๐๙ น. นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยนายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และกรมศิลปากร ร่วมสักการะพระพุทธรูป “พุทธบูชานาคสัมพัจฉร์ ๒๕๖๗” เป็นปฐมฤกษ์ ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากร ได้จัดกิจกรรมสักการะพระพุทธรูป “พุทธบูชานาคสัมพัจฉร์ ๒๕๖๗” (พุด–ทะ–บู–ชา–นา–คะ–สำ–พัด) อัญเชิญพระพุทธรูปที่มีคติการสร้างเกี่ยวข้องกับพญานาค โดยมีพระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ตามตำนานปั้นหล่อจากต้นแบบนาคแปลงนิมิตสำแดงพระพุทธลักษณะ เป็นประธาน พร้อมด้วยพระพุทธรูปอีก ๙ องค์ ที่จัดแสดงและสงวนรักษา ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร จำนวน ๗ องค์ คลังกลางพิพิธภัณฑสถาน
แห่งชาติ จังหวัดปทุมธานี ๑ องค์ และวัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ จำนวน ๑ องค์ มาประดิษฐานให้ประชาชนได้สักการบูชา เพื่ออำนวยความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลในวาระแห่งการเริ่มต้นศักราชใหม่ ประกอบด้วย
๑. พระพุทธสิหิงค์ ศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่ ๒๐
๒. พระพิมพ์ปางมหาปาฏิหาริย์ที่เมืองสาวัตถี ศิลปะศิลปะทวารวดี พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๔
๓. พระไภษัชยคุรุนาคปรก ศิลปะลพบุรี พุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘
๔. พระรัตนตรัยมหายาน ศิลปะลพบุรี พุทธศตวรรษที่ ๑๘
๕. พระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะอยุธยาตอนกลาง พุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒
๖. พระบัวเข็ม ศิลปะพม่า พุทธศตวรรษที่ ๒๒-๒๔
๗. พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์นาคปรก ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔
๘. พระพุทธรูปนาคปรกไม้จันทน์ ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔-๒๕
๙. พระพุทธรูปนาคปรกนอระมาด ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔-๒๕
๑๐. พระนิรโรคันตราย ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศักราช ๒๕๔๕
ขอเชิญพุทธศาสนิกชนสักการะพระพุทธรูป “พุทธบูชานาคสัมพัจฉร์ ๒๕๖๗” ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ระหว่างวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๖ ถึงวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๖๗ เวลา ๐๙.๐๐ น. – ๑๖.๐๐ น. ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ (วันที่ ๒๙ – ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๖ เปิดให้สักการะถึงเวลา ๒๐.๐๐ น.)
หน้ากาลประดับซุ้มประตู
ศิลปะชวา พุทธศตวรรษที่ ๑๔
ได้มาจากพุทธสถานบูโรพุทโธ เกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย
ปัจจุบันจัดแสดง ณ ห้อง ศรีวิชัย-ชวา อาคารมหาสุรสิงหนาท พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
ศิลาจำหลักรูปหน้ากาล เป็นส่วนหนึ่งของงานประดับซุ้มประตูพุทธสถานบูโรพุทโธ หรือ บโรบูดูร์ (Borobudur) ณ เกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย หน้ากาลมีลักษณะดวงตากลม เบิกโพลง จมูกใหญ่ ปรากฏเฉพาะส่วนริมฝีปากบน (เช่นเดียวกับหน้ากาลในศิลปะอินเดีย)* ด้านบนและด้านข้างเป็นลวดลายกระหนกพันธุ์พฤกษา ซึ่งเป็นรูปแบบหน้ากาลของศิลปะชวาภาคกลางที่ต่างไปจากหน้ากาลในศิลปะชวาภาคตะวันออกที่มีดวงตาถลน มีริมฝีปากบนและล่าง มีมือสองข้าง และมีเขา
หน้ากาลใช้ประดับตกแต่งองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม ทั้งในเทวสถานและพุทธสถาน ที่นิยมใน ศิลปะอินเดีย และเอเชีย โดยมักประดับหน้ากาลอยู่กึ่งกลางยอดซุ้ม ส่วนปลายของซุ้มเป็นรูปมกร สำหรับที่พุทธสถานบูโรพุทโธ ซุ้มประตูหน้ากาลจะอยู่บริเวณลานชั้นบนสุด** ตำนานของหน้ากาลปรากฏในคัมภีร์ปุราณะ กล่าวว่าอสูรตนหนึ่งเกิดระหว่างพระขนงของพระศิวะมีความหิวโหยจนกลืนกินทุกสรรพสิ่งแม้กระทั่งร่างตนเองเหลือเพียงใบหน้าเท่านั้น พระศิวะประทานนามว่า เกียรติมุข (แปลว่า หน้าซึ่งมีเกียรติ) มอบหน้าที่ให้เฝ้าประตูวิมานของพระองค์ และถือว่าหากผู้ใดไม่เคารพเกียรติมุขย่อมถือว่าผู้นั้นจะไม่ได้รับพรจากพระศิวะ ดังนั้นหน้ากาลจึงมีหน้าที่เป็นผู้ปกป้องดูแลรักษามิให้สิ่งชั่วร้ายเข้าไปภายในศาสนสถาน รวมถึงเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงเกียรติ และความเป็นมงคล จึงมักประดับอยู่บนหน้าบันกึ่งกลางทางเข้าอาคาร
นอกจากนี้คติชาวอินเดียตะวันออกเรียกอมนุษย์ตนนี้ว่า ราหูมุข (rahumukha) ตามเนื้อเรื่องพระราหู อสูรที่ถูกพระนารายณ์ตัดร่างกายไปครึ่งหนึ่งเนื่องจากลอบดื่มน้ำอมฤต ขณะที่ชาวอินเดียตะวันตกเรียกอสูรตนนี้ว่า คราสมุข (grasamukha) นับถือเป็นเจ้าแห่งทะเล ในทางพุทธศาสนามีชาดก เรื่อง “มูลปริยายชาดก” ชาดกจากพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก กล่าวถึง “เวลา” กลืนกินทุกสรรพสิ่งกล่าวคือ ความเสื่อมถอยของอายุขัย ร่างกาย สุขภาพ ยกเว้น “ขีณาสพ” หรือผู้ที่สิ้นกิเลสแล้วเท่านั้นที่ยังคงดำรงอยู่ได้ไม่ถูกเวลากลืนกินไป ดังข้อความว่า “กาโล ฆสติ ภูตานิ สพฺพาเนว สหตฺตนา” แปลความว่า กาลย่อมกินสัตว์ทั้งปวงกับทั้งตัวเองด้วย ก็ผู้ใดกินกาล ผู้นั้นเผาตัณหาที่เผาสัตว์ได้แล้ว.
ศิลาจำหลักรูปหน้ากาลชิ้นนี้มีประวัติว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสชวา ใน พ.ศ. ๒๔๓๙ ครั้งนั้นพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรพุทธสถานบูโรพุทโธ และทรงเลือกประติมากรรมกลับมาเป็นที่ระลึก ดังข้อความในพระราชหัตถเลขา ลงวันที่ ๒ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๑๕ (พ.ศ.๒๔๓๙) ความตอนหนึ่งกล่าวว่า
“...กลับลงมาเลือกลายต่าง ๆ ที่ตกอยู่ข้างล่าง คือนาคะหรือช้าง ลายหลังซุ้มพระเจดีย์ ๑ รากษสเล็กตัว ๑ สิงโตขาหัก ๒ ตัว ท่อน้ำอัน ๑...”
ภายหลังเสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพิธีสมโภชพระพุทธรูปและเทวรูปที่ทรงได้มาจากชวา โดยเทวรูปและพระพุทธรูปประดิษฐาน ณ โรงพิธีที่หน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๓๙ โปรดฯ ให้พระสงฆ์และพระบรมวงศานุวงศ์ตามเสด็จพระราชดำเนิน ดูสิ่งของที่ได้จากชวา พร้อมทั้งมีการแสดงทางวัฒนธรรมของทางชวา ทั้งการรำและการดนตรีอย่างชวา
หน้ากาลมีความหมายถึง ผู้ที่กลืนกินทุกสรรพสิ่ง แม้กระทั่งปากล่างของตน ทำให้เหลือแค่เพียงริมฝีปากบน
นัยหนึ่งการปรากฏทั้ง “หน้ากาล” ซึ่งหมายถึงการกลืนกินสรรพสิ่งต่าง ๆ เปรียบเสมือนเป็นความเสื่อมถอย และ “มกร” ซึ่งหมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ เปรียบเสมือนเป็นความเจริญนั้น ก็เป็นสิ่งเตือนใจให้กับมนุษย์ว่าบนโลกมีทั้งความเจริญและความเสื่อมถอยเป็นสิ่งคู่กัน
อ้างอิง
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. ระยะทางเที่ยวชวากว่าสองเดือน. พระนคร: โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๖๘ (ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์พระราชทานในงารพระศพ สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธกรมหลวงนครราชสีมา ณ พระเมรุท้องสนามหลวง พ.ศ. ๒๔๖๘).
เชษฐ์ ติงสัญชลี. ประวัติศาสตร์ศิลปะอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รูปแบบ พัฒนาการ ความหมาย. พิมพ์ครั้งที่ ๒. นนทบุรี: มิวเซียมเพรส, ๒๕๕๘.
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมศัพท์ศิลปะ อังกฤษ-ไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๔๑.
อรุณศักดิ์ กิ่งมณี. ทิพยนิยายจากปราสาทหิน. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, ๒๕๕๕.
อรรถกถา มูลปริยายชาดก ว่าด้วย กาลเวลากินสัตว์พร้อมทั้งตัวเอง. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๖, จาก: https://84000.org/tipitaka/atita100/jataka.php?i=270340