ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ


ความรู้เรื่อง "วังเจ้าเมืองสายบุรีที่ยี่งอ" วังเจ้าเมืองสายบุรีที่ยี่งอ           เมื่อมีการแบ่งปัตตานีออกเป็น ๗ เมืองคือ ปัตตานี ยะหริ่ง สายบุรี หนองจิก รามันห์ ระแงะ ยะลา ในช่วงต้นรัชกาลที่ ๒ แล้ว ได้มีการแต่งตั้ง “พระยาเมือง” สำหรับปกครองเมืองต่างๆ ในครั้งนั้นนิดะห์หรือนิอาดัส ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองสายบุรี ตั้งวังอยู่ที่บือแนกาเต็ง ตำบลบ้านยือรีงา(ยี่งอ)ริมแดนต่อพรมแดนเมืองระแงะ ซึ่งในปัจจุบันคือพื้นที่บริเวณตลาดยี่งอ อำเภอยี่งอ จังหวัดนราธิวาส วังแห่งนี้ใช้เป็นที่ว่าราชการเมืองต่อมาทั้งในสมัยพระยาสายบุรี(นิละไบ หรือนิรามาย หรือตนกู ยาลารุดดิน) เจ้าเมืองสายบุรีคนที่ ๒ และพระยาสายบุรี (นิกัลซิห์ หรือตนกูอับดุลกอเดร์) เจ้าเมืองสายบุรีคนที่ ๓            ครั้นถึงราว พ.ศ.๒๔๑๔ พระยาสุริยสุนทรบวรภักดีศรีมหารายาปัตตมอับดุลวิบูลย์ขอบเขตรประเทศมลายูวิเศษวังษา(นิแปะหรือตนกูอับดุลมูตอลิบ) เจ้าเมืองสายบุรีคนสุดท้าย ได้ย้ายที่ว่าราชการเมืองมายังเชิงเขาสลินดงบายู ในเขตตำบลตะลุบัน และได้สร้างวังเจ้าเมืองสายบุรีขึ้นใหม่ในพ.ศ.๒๔๒๘ โดยใช้สถาปนิกชาวชวาและช่างท้องถิ่นใช้เวลาก่อสร้าง ๑ ปี           กล่าวกันว่าลักษณะของวังแห่งนี้เป็นอาคารไม้ชั้นเดียวยกใต้ถุนสูง หลังคาทรงลีมะห์(ปั้นหยา)มุงด้วยกระเบื้องดินเผา และมีการสร้างกำแพงด้วยหินล้อมรอบเขตวังเอาไว้ ปัจจุบันตัวอาคารภายในวังพระยาสายบุรีที่ยี่งอได้พังทลายลงจนหมดแล้ว และคงเหลือเพียงร่องรอยกำแพงวังที่ก่อด้วยหิน แต่ยังมีชิ้นส่วนของบานประตู ไม้ฝา และแผ่นหินขั้นบันได จัดแสดงให้ชมได้ที่ศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราช ย้อนรอยประวัติศาสตร์เมืองยี่งอ ในบริเวณใกล้ที่ทำการเทศบาลตำบลยี่งอ  ขอบคุณข้อมูลจาก I ศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราช ย้อนรอยประวัติศาสตร์เมืองยี่งอ เรียบเรียงโดย I นายสารัท ชลอสันติสกุล นักโบราณคดีชำนาญการ I กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา


มหาฉ่ำ ทองคำวรรณ ได้ถ่ายถอดข้อความอักษรขอมไทยที่ปรากฏในพระราชลัญจกรสยามโลกัคราช เป็นคำอ่านพร้อมทั้งแปลความหมายดังนี้                      คำอ่าน ๑.    สฺยามโลกคฺคราชสฺส ๒.    สนฺเทสฺลญฺจนํ อิทํ ๓.    อชฺฌาวาสฺสานุสาสกสฺส ๔.    วิชิเต สพฺพชนฺตุนํ                      คำแปล                      ตราพระราชลัญจกรประทับหนังสือสำคัญนี้ ของสมเด็จพระสยามโลกัคคราช พระองค์ผู้ประสิทธิประสาทที่วัด แก่ปวงชนในพระราชอาณาเขตต์                      ภายหลังสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้า กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงสงสัยว่า ถ้าคำแปลมีความเกี่ยวแก่วัดแล้ว เหตุใดก่อนหน้านี้ พระราชลัญจกรสยามโลกัคราชจึงใช้ประทับสัญญาบัตรคู่ด้วยพระบรมราชโองการ จึงขอให้พระเถระ ซึ่งเป็นผู้รู้ภาษาขอมเป็นอย่างดี แปลข้อความดังกล่าวข้างต้นอีกครั้งหนึ่ง พบว่าเนื้อหาไม่มีความเกี่ยวข้องกับวัดแต่อย่างใด ความว่า                      ๒. ใบประทับตรานี้                      ๑. ของอัครราชาโลกสยาม                      ๓. ผู้ปกครองสั่งสอน                      ๔. สรรพชนในแว่นแคว้น ฯ                      รายละเอียดของเรื่องนี้ปรากฏอยู่ในหนังสือ บันทึกเรื่องความรู้ต่าง ๆ เล่ม ๓ ซึ่งในตอนท้ายสมเด็จฯ เจ้าฟ้า กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงกล่าวไว้ว่า                 “...ผิดกันไปนิดเดียว ที่ท่านแปลคำ อชฺฌาวสฺส เปนปกครอง ท่านอ้างตัวอย่าง อคารํ อชฺฌาวสติ ว่าปกครองเรือน หรือ ปวี อชฺฌาวสติ ว่าปกครองแผ่นดิน ท่านอธิบายต่อไปว่าคำนั้น ถ้าโดยปกติจะต้องลง ส อาคม เป็น อชฺฌาวาสสฺส แต่เพราะข้อบังคับอนุญาตไว้ ว่าถ้าเปนคาถาแล้วตัดอาคมออกเสียก็ได้ เพราะฉะนั้นจึ่งตัดเปน อชฺฌาวาสฺส  แม้กระนั้นก็เกิน ๘ ไปพยางค์หนึ่งแล้ว...” ลักษณะลวดลายของพระราชลัญจกรสยามโลกัคราช เปรมา สัตยาวุฒิพงศ์ นักอักษรศาสตร์ชำนาญการพิเศษ กลุ่มประวัติศาสตร์


           พระมาลัย คือ พระอรหันตสาวกในพระพุทธศาสนา ปรากฏในคัมภีร์พระมาลัยสูตร กล่าวถึง พระอรหันต์ชาวลังการูปหนึ่งนามว่า “พระมาลัยเทวเถระ” อาศัยอยู่บ้านกัมโพช แคว้นโลหะชนบท ทวีปลังกา เป็นพระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์ สามารถไปยังนรกและสวรรค์ เพื่อนำความที่พบเห็นมาเทศนาแก่มนุษย์ ทำให้เกิดความเชื่อในเรื่องบาปบุญคุณโทษ           ความเชื่อเรื่องพระมาลัยสันนิษฐานว่าเกิดขึ้นครั้งแรกที่ประเทศพม่าราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ – ๑๘ และได้แพร่หลายเข้ามาในประเทศไทยผ่านทางล้านนาและสุโขทัยราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ – ๒๐ ต่อมาได้แพร่กระจายไปทั่วทุกภูมิภาค ซึ่งเห็นได้จากการแต่งวรรณกรรมพระมาลัย เช่น คัมภีร์มาลัยต้น มาลัยปลาย ในภาคเหนือ คัมภีร์มาลัยหมื่น มาลัยแสน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พระมาลัยคำหลวง พระมาลัยกลอนสวด นิทานพระมาลัย ในภาคกลาง และ พระมาลัยคำกาพย์ในภาคใต้           จากคติความเชื่อเรื่องพระมาลัยจึงทำให้เกิดการสร้างสรรค์งานประติมากรรมและจิตรกรรมต่าง ๆ ซึ่งในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร ได้จัดแสดงโบราณวัตถุที่เกี่ยวข้องกับพระมาลัย ได้แก่ สมุดไทย เรื่อง พระมาลัย เขียนด้วยตัวอักษรขอม ภาษาบาลี ด้วยหมึกสีดำลงบนสมุดไทยขาว ศิลปะรัตนโกสินทร์ กำหนดอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๕ ได้รับมอบจากวัดราชพฤกษ์ศรัทธาราม และประติมากรรมรูปพระมาลัย ซึ่งเป็นรูปพระภิกษุ ครองจีวรลายดอกพิกุลห่มเฉียง นั่งขัดสมาธิราบบนฐานบัว มือซ้ายอยู่ในลักษณะถือวัตถุ สันนิษฐานว่าถือตาลปัตรหรือพัด ศิลปะรัตนโกสินทร์ กำหนดอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๕ พระครูวิมลวชิรคุณ เจ้าอาวาสวัดคูยาง จังหวัดกำแพงเพชร เป็นผู้มอบให้ โดยลักษณะงานประติมากรรมเช่นนี้น่าจะมีความหมายถึงพระมาลัยเทศนาโปรดสัตว์ หรือพระมาลัยปางโปรดสัตว์ เนื่องจากตาลปัตรเป็นเครื่องหมายของการแสดงธรรม --------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร --------------------------------------------------เอกสารอ้างอิง เด่นดาว ศิลปานนท์. พระมาลัยในศิลปกรรมไทย. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๔๖.



เลขทะเบียน : นพ.บ.111/1คห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  26 หน้า ; 4.5 x 54.6 ซ.ม. : ชาดทึบ-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 62 (188-191) ผูก 1 (2564)หัวเรื่อง : แทนน้ำนม--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


ตำรายาแผนโบราณ ชบ.ส. ๒๔ เจ้าอาวาสวัดต้นสน ต.บางปลาสร้อย เขต ๑ อ.เมือง จ.ฃลบุรี มอบให้หอสมุด ๒๐ ก.ค. ๒๕๓๕ เอกสารโบราณ (สมุดไทย)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน) เลขที่ ชบ.บ.20/1-6 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


+++++ เมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง (ตอนที่ ๑) +++++ ----- เมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง ตั้งอยู่ที่บ้านเสมา ตำบลหนองแปน อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยห่างจากตัวอำเภอกมลาไสย มาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ประมาณ ๗ กิโลเมตร ----- สภาพภูมิประเทศตั้งอยู่ในพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำลำปาว เป็นที่ราบลุ่มสลับกับเนินดินและหนองน้ำธรรมชาติหลายแห่ง มีน้ำขังตลอดปีทำให้พื้นที่บริเวณนี้มีความอุดมสมบูรณ์จากตะกอนแม่น้ำที่พัดพามาทับถม ประกอบกับมีแหล่งน้ำธรรมชาติจำนวนมาก จึงเหมาะสมกับการตั้งชุมชนอยู่อาศัยของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยโบราณ อีกทั้งมีการคมนาคมที่สะดวก เพราะแม่น้ำลำปาวมีต้นน้ำอยู่บริเวณหนองหาน อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ไหลผ่านจังหวัดอุดรธานี จังหวัดขอนแก่น ลงสู่แม่น้ำชีที่เป็นแนวเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างอำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ กับ อำเภอจังหาร จังหวัดร้อยเอ็ด มีทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ ได้แก่ แหล่งเกลือสินเธาว์ ไม้เนื้อแข็งประเภท เต็ง รัง ตะแบก และไม้ยาง ปัจจุบันป่าไม้ในพื้นที่หมดสภาพแล้ว ----- ลักษณะกายภาพของเมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง ตัวเมืองมีคันดิน ๒ ชั้น กว้างประมาณ ๒๕ - ๓๐ เมตร สูงประมาณ ๒ - ๓ เมตร ระหว่างคันดินเป็นคูน้ำกว้างประมาณ ๒๐ เมตร ล้อมรอบเมืองที่มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ส่วนบนของผังเมืองสอบเข้าหากัน ทำให้นักวิชาการบางท่านมองว่าคล้ายรูปใบเสมา โดยเชื่อมโยงกับหลักฐานใบเสมาโบราณที่พบเป็นจำนวนมากในบริเวณนี้ ตัวเมืองมีความยาวตามแนวทิศเหนือ - ทิศใต้ ประมาณ ๒,๐๐๐ เมตร กว้างตามแนวทิศตะวันออก - ทิศตะวันตก ประมาณ ๑,๑๕๐ เมตร ----- ภายในตัวเมืองมีเนินดินสูงอยู่ ๓ เนิน เนินที่ ๑ อยู่ทางตอนเหนือของตัวเมือง มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยม ปัจจุบันเป็นสถานที่ประกอบพิธีศพของชาวบ้าน เนินที่ ๒ อยู่ทางตอนใต้ของเนินดินแห่งแรกมาเล็กน้อย เป็นเนินดินขนาดเล็กรูปร่างคล้ายตัวแอล (L) เนินที่ ๓ เป็นเนินดินขนาดใหญ่อยู่ในแนวกึ่งกลางของตัวเมืองแต่ค่อนมาทางด้านตะวันออก ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของบ้านเสมาซึ่งประกอบไปด้วยบ้านเรือน วัดโพธิ์ชัยเสมาราม และโรงเรียนประจำหมู่บ้าน นอกจากนี้ภายในตัวเมืองซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยและประกอบกิจกรรมต่างๆ นั้น ยังมีร่องรอยของคูน้ำขุดสลับซับซ้อนอยู่ภายใน โดยเนินดินที่ ๑ ซึ่งมีระดับความสูงจากระดับพื้นที่ปกติภายในเมืองเกือบ ๑๐ เมตร ที่ชายเนินมีร่องรอยของคูน้ำขุดล้อมรอบเป็นรูปเกือบกลม ส่วนเนินดินที่ ๓ ซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านเสมาก็มีคูน้ำขุดล้อมรอบเช่นเดียวกัน ส่วนพื้นที่ราบบริเวณค่อนมาทางใต้ของตัวเมืองก็มีคูน้ำขุดในทางกว้างไปเชื่อมกับแนวคูเมือง และขุดตัดตรงคูเมืองทางตอนใต้ไปเชื่อมกับแนวคูน้ำที่อยู่ภายในเมือง ----- ส่วนนอกเมืองห่างออกไปทางทิศเหนือประมาณ ๒๐๐ เมตร มีพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมพื้นผ้ากว้าง ๒๕๐ เมตร ยาว ๕๐๐ เมตร ส่วนทางทิศใต้ของเมืองห่างของไปประมาณ ๒๕๐ เมตร มีหนองนกพิดซึ่งเป็นหนองน้ำธรรมชาติยาวเกือบ ๑,๐๐๐ เมตร ขนานไปกับแนวคูเมือง ด้านนอกตัวเมืองโดยรอบมีหนองน้ำธรรมชาติกระจายอยู่ทั่วไป ----- เมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานของชาติในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๓ ตอนที่ ๓๔ วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๔๗๙ และประกาศแนวเขตพื้นที่โบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๙ ตอนพิเศษ ๑๑๗ ง วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ ระวางแนวเขตพื้นที่ประมาณ ๙๑๐ ไร่ ๓ งาน ๗๕ ตาราง ((( ติดตามตอนต่อไปได้ในสัปดาห์หน้า ))) ----------------------------------------------------------------------- ++ อ้างอิงจาก ++ จังหวัดกาฬสินธุ์. แผนแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองฟ้าแดดสงยาง. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๔. ผาสุข อินทราวุธ และคณะ. รายงานการขุดค้นเมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์. ม.ป.ท. : ม.ป.ป., ๒๕๓๔. (เอกสารอัดสำเนา) ข้อมูล : นางสาวศุภภัสสร หิรัญเตียรณกุล นักโบราณคดีชำนาญการ  


          สำนักหอสมุดแห่งชาติ จัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน “NLT Edutainment ประจำปี ๒๔๖๔” ครั้งที่ ๘ ภายใต้โครงการพัฒนาและส่งเสริมหอสมุดแห่งชาติเพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิต (ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค) ประจำปี ๒๕๖๔ ในวันอาทิตย์ที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๐๐ - ๑๕.๐๐ น. ณ โถงกลางชั้น ๑ อาคาร ๑ สานักหอสมุดแห่งชาติ           กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน NLT Edutainment จัดขึ้นเพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ และสร้างแรงบันดาลใจให้คนไทยสนใจอ่านหนังสือทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อให้ความรู้ควบคู่ไปกับการสร้างความสุขและความเพลิดเพลินอย่างสร้างสรรค์ โดยจัดเป็นรูปแบบการบรรยาย การเสวนา การอภิปรายแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ ตลอดจนแนวคิดในการสร้างสรรค์ผลงาน การจัดกิจกรรมในครั้งที่ ๘ นี้ ได้เชิญบุคคลภายนอกมาเป็นวิทยากร คือ อาจารย์สมฤทธิ์ ลือชัย มาบรรยายเรื่อง “เล่าเรื่องเมืองสุโขทัย” ผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ Facebook Live YouTube Live และแอปพลิเคชัน VDO on Demand ของสานักหอสมุดแห่งชาติ ในวันอาทิตย์ที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๐๐ -๑๕.๐๐ น.           ทั้งนี้ ทางสำนักหอสมุดแห่งชาติ จะไม่ให้มีผู้เข้าชมหน้างาน เพื่อไม่ให้มีการรวมตัวของคนจำนวนมาก ตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ขอเชิญชวนผู้สนใจติดตามชมได้ทางช่องทาง Facebook Fanpage : National Library of Thailand


องค์ความรู้เรื่อง “จักสานย่านลิเภา”           “ย่านลิเภา” หรือ “ลิเภา” (ภาษาท้องถิ่นภาคใต้เรียกเถาไม้เลื้อยว่า “ย่าน”) เป็นพืชตระกูลเฟิร์นหรือเถาวัลย์ชนิดหนึ่งที่ทอดเลื้อยพาดพันกับต้นไม้อื่น มีความยาวราว 1-2 เมตร บางชนิดยาวถึง 5 เมตร เมื่อแก่ลำต้นจะมีสีดำและเป็นมัน พบมากในป่าภาคใต้ของไทยในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช สตูล สงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ด้วยคุณสมบัติที่มีความเหนียว ทนทาน มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน จึงทำให้ในอดีตมีการนำย่านลิเภามาสานเป็นภาชนะและเครื่องใช้พื้นบ้านประเภทต่างๆ เช่น เชี่ยนหมาก พาน กระเป๋าถือ กระเป๋าหมาก หมวก กล่องใส่ยาเส้น ปั้นชา และขันดอกไม้ธูปเทียน เป็นต้น            ย่านลิเภาสำหรับใช้ในงานจักสานมี 2 ประเภท คือ ย่านลิเภาดำและย่านลิเภาน้ำตาล โดยจะเลือกใช้เส้นย่านลิเภาที่ด้านนอกมีสีเขียวเข้ม ด้านในมีสีน้ำตาลเข้ม เริ่มต้นด้วยการนำเส้นย่านลิเภาใหญ่ไปลอกหรือปอกเปลือกออก จากนั้นจึงนำมาผึ่งลมให้แห้ง และนำมาแบ่งเป็นเส้นตามขนาดที่ต้องการใช้งาน เสร็จแล้วนำไปแช่น้ำให้ชุ่ม และนำกลับมาแบ่งเป็นเส้นที่มีขนาดเล็กลงตามความต้องการใช้งานอีกครั้ง จากนั้นจึงทำการ “ชักเลียด” ในขั้นตอนของการชักเลียดนั้น จะนำกระป๋องนมหรือสังกะสีชนิดหนามาเจาะรูให้ได้ขนาดต่างๆ ตามที่ต้องการ ประมาณ 5 รู ให้มีขนาดจากช่องใหญ่ไปยังช่องเล็กที่สุด นำเส้นย่านลิเภามารูดทีละช่องจนได้เส้นย่านลิเภาขนาดที่ต้องการ ซึ่งการเหลาเส้นจักตอกโดยวิธีชักเลียดนี้จะทำให้ตอกมีขนาดเท่ากันตลอดทั้งเส้น ผิวตอกจะเรียบลื่นสวยงาม ส่วนย่านลิเภาที่ยังไม่ได้ใช้ให้เก็บใส่ถุงพลาสติกแช่ตู้เย็นเอาไว้เพื่อกักเก็บความชื้น เมื่อนำออกมาใช้จะทำให้สานได้ง่ายกว่าเส้นลิเภาที่แห้ง            การจักสานย่านลิเภาจะเริ่มด้วยการสานส่วนฐานของผลิตภัณฑ์เป็นลำดับแรกด้วยวิธีการดัดให้เป็นรูปทรงที่ต้องการ อาจใช้รูปแบบการดัดหวายเป็นรูปทรงต่างๆ เช่น ทรงกลม รูปทรงรี รูปทรงเหลี่ยม ส่วนการเลือกเส้นหวายสำหรับทำโครงจะต้องเลือกตัดเส้นหวายให้ได้ขนาด แล้วจึงนำมาชักเลียดหวายจนได้เป็นขนาดที่พอเหมาะสำหรับการสาน เมื่อชักเลียดหวายเสร็จแล้วจึงนำมาตัดให้ได้ขนาดตามผลิตภัณฑ์ที่ได้ออกแบบไว้ จากนั้นจึงใช้เข็มเจาะนำที่หวายให้เป็นรูแล้วใช้ย่านลิเภาสอดตามเข้าไปเพื่อสานประกอบเป็นก้นของผลิตภัณฑ์            การสานลายย่านลิเภามี 2 รูปแบบ คือ การสานแบบโปร่ง (หรือแบบขดขึ้นรูป) ต้องขึ้นโครงด้วยไม้ไผ่ หรือ ไม้เนื้ออ่อน สานเส้นลิเภาด้วยวิธีการขัดลายคล้ายกับวิธีการสานเสื่อ ส่วนอีกรูปแบบหนึ่งคือวิธีการสานแบบทึบ ซึ่งจะเริ่มสานจากก้นของภาชนะหรือเครื่องใช้นั้น โดยใช้หวายขดขึ้นรูปในการขึ้นโครงเป็นวงกลมแบบก้นหอย ในการสานจะต้องใช้เบ้าเป็นเครื่องกำหนดรูปทรง เวียนขึ้นไปตามเบ้าที่ใช้เป็นแบบ ตัวเบ้านิยมทำด้วยไม้เนื้ออ่อน ขึ้นรูปทรงที่ความต้องการตามเบ้า จากนั้นใช้เข็มเจาะนำแล้วสานต่อเส้นลิเภาทีละเส้นด้วยวิธีการถักเส้นลิเภาซึ่งถือเป็นขั้นตอนที่ยากและต้องอาศัยความละเอียดในการถัก ในขั้นตอนนี้อาจมีการสร้างสรรค์ลวดลายต่างๆ บนผลิตภัณฑ์จักสานย่านลิเภา เช่น ลายดอกสี่เหลี่ยม ลายสอง ลายตาสับปะรด ลายลูกแก้ว ลายคชกริช ลายพิมพ์ทอง ลายเม็ดแตง ลายมัดหมี่ ลายเม็ดมะยม และลายดาวกระจาย เป็นต้น           เมื่อได้ผลิตภัณฑ์จักสานย่านลิเภาตามต้องการแล้ว จะต้องขัดผิวด้วยกระดาษทราย เก็บรายละเอียดหรือแต่งชิ้นงานให้มีความเรียบร้อย จากนั้นจึงใช้น้ำยาเคลือบผิวหรือชักเงาทาเพื่อเคลือบรักษาเนื้อผิวของผลิตภัณฑ์จักสานจากย่านลิเภาให้มีความคงทน เพิ่มความมันวาว สวยงาม (สมัยโบราณนิยมทาด้วยน้ำมันยางใสป้องกันมอดและแมลงบางชนิดกัดกิน) ก่อนนำประดับตกแต่งด้วยการบุผ้า หุ้มขอบด้วยถมเงินและถมทอง เพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่ชิ้นงาน           ผลิตภัณฑ์ย่านลิเภา เป็นงานหัตถกรรมเครื่องจักสานพื้นบ้านที่มีเอกลักษณ์พิเศษของภาคใต้ ซึ่งสืบทอดจากบรรพบุรุษมาหลายร้อยปี สันนิษฐานว่าเริ่มทำกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ถือเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านตั้งแต่สมัยเจ้าพระยานครศรีธรรมราช ที่นิยมทำกันมากในสำนักของเจ้าพระยาเมืองนครศรีธรรมราช กล่าวกันว่า เจ้าเมืองนครได้เคยนำถวายเจ้านายในกรุงเทพมหานคร แต่ยังไม่เป็นที่แพร่หลายนัก จนกระทั่ง ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ครั้งที่ดำรงตำแหน่งพระยาสุขุมนัยวิปัต-สมุนเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช ได้ฟื้นฟูส่งเสริมงานจักสานย่านลิเภาจนเริ่มเป็นที่รู้จักในหมู่ชนชั้นสูงในกรุงเทพมหานคร และได้รับความนิยมมากในสมัยรัชกาลที่ 5            จังหวัดนครศรีธรรมราช ถือเป็นแหล่งผลิตงานหัตถกรรม “จักสานย่านลิเภา” ที่มีชื่อเสียงและมีกลุ่มคนที่มีทักษะฝีมือในการจักสานย่านลิเภาอยู่หลายกลุ่ม มีการสร้างสรรค์และพัฒนาการขึ้นรูปงานจักสานย่านลิเภาเป็นผลิตภัณฑ์รูปทรงต่าง ๆ ให้มีความเหมาะสมกับการใช้งานตามยุคสมัย โดยมีการผสมผสานกับโลหะหรือวัสดุมีค่า เช่น ทองคำ นาก เงิน งาช้าง และเครื่องถมเมืองนคร ทำให้เกิดลวดลายที่วิจิตรงดงาม มีเอกลักษณ์และคุณค่า จนทำให้เครื่องจักสานย่านลิเภาเป็นงานฝีมือชั้นเยี่ยมของชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช  รวบรวมโดย นางสาวอาพาภรณ์  หมื่นรักษ์  บรรณารักษ์ชำนาญการ หอสมุดแห่งชาตินครศรีธรรมราช อ้างอิง งานศิลปกรรมประเภทจักสานย่านลิเภา. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 6 พฤษภาคม 2564 จาก https://www.sacict. http://or.th/.../_2c7d707bf2e9b8a3008abe05c37f96fb.pdf จักสานย่านลิเภา. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 6 พฤษภาคม 2564 จาก https://www.museumthailand.com/.../%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0.../ “ย่านลิเภา” วัชพืชมากมูลค่าแห่งเมืองคอน. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 6 พฤษภาคม 2564 จาก https://mgronline.com/travel/detail/9500000089870 อาจินต์ ศิริวรรณ. (2562). วิถีชาวบ้าน ผลิตภัณฑ์ย่านลิเภา. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 6 พฤษภาคม 2564 จาก https://www.technologychaoban.com/folkways/article_116667 อ้างอิงภาพประกอบ https://herb.in.th/ https://nakhon.live/equipment/ https://nakhon.live/procedure/ https://program.tpbs.ndev.pw/Lui/episodes/77842 https://readthecloud.co/lipao-craft-by-boonyarat/ https://www.creativethailand.net/en/article/detail/374-



ชีวิตความเป็นอยู่ใน ก รุ ง ส ยา ม ในทัศนะของชาวต่างประเทศ ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๘๓ - ๒๓๘๔ Narrative of a Residence in Siam 1840 - 1841 โดย Frederick Arthur Neale เรือเอกหญิง ลินจง สุวรรณโภคิน แปลและเรียบเรียง (ฉบับปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม) กรมศิลปากรพิมพ์เผยแพร่ พุทธศักราช ๒๕๖๔




black ribbon.