ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,755 รายการ

องค์ความรู้ ส่งเสริมการอ่านผ่านออนไลน์ เรื่อง “ชอง : ชาติพันธุ์จันทบุรี” ชอง หรือคนชอง (ช์อง) แปลว่า “คน” เป็นชื่อของกลุ่มชนดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในภาคตะวันออกของประเทศไทย บริเวณจังหวัดระยอง จันทบุรี และตราด ชาวชองอาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้ตั้งแต่เมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัด แต่มีปรากฏหลักฐานซึ่งได้กล่าวถึงคนชองไว้ในนิราศเมืองแกลงของสุนทรภู่ แต่งเมื่อ พ.ศ. 2350 และจดหมายเหตุของรัชกาลที่ 5 ครั้งเสด็จประพาสจันทบุรี นอกจากนี้ยังมีปรากฏในเอกสารของชาวต่างชาติ ได้แก่ ปาลเลอกัวซ์ (Pallegoix, 1853) ใช้ว่า Xong และครอฟอร์ด (Crawford, 1856) ใช้ว่า Chong และพจนานุกรมภาษาสยามของหมอบรัดเลย์ ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกใน พ.ศ. 2416 ยังให้นิยามของคำว่า ชอง เอาไว้ด้วย ทั้งหมดนี้น่าจะมีที่มาจาก “ชอง” เดียวกันทั้งสิ้น ชาวชอง เป็นกลุ่มชนที่จัดอยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์ออสโตร - เอเชียติค (Austro - Asiatic) กลุ่มย่อยตระกูลมอญ - เขมร (Mon - Khamer) มีลักษณะรูปร่างสันทัด ผิวค่อนข้างดำ เส้นผมหยิก ขอด รูปหน้าค่อนข้างเหลี่ยม คางและขากรรไกรค่อนข้างกว้าง จมูกไม่โด่งแต่ก็ไม่แบนราบ ริมฝีปากและสันคิ้วค่อนข้างหนา มีตาโต โดยทั่วไปมีนิสัยโอบอ้อมอารี ใจดี รักสงบ ซื่อสัตย์ และรักพวกพ้อง วิถีชีวิตแต่เดิมมีความเป็นอยู่อย่างลักษณะ คนป่า ยังชีพด้วยการหาของป่า ล่าสัตว์ มีการทำนาปลูกข้าวเพียงเพื่อการดำรงชีพเท่านั้น ชาวชองจะเลือกตั้งถิ่นฐานเพื่อสร้างหมู่บ้านอยู่อาศัยบริเวณป่าเขา การปลูกสร้างบ้านเรือนใช้สถาปัตยกรรมแบบเรือนเครื่องปลูก มีระบบครอบครัว ค่านิยม ความเชื่อ ประเพณี และวัฒนธรรมที่เป็นลักษณะเฉพาะของตนเอง เช่น ประเพณีและพิธีกรรมการนับถือผีบรรพบุรุษที่เรียกว่าการเล่น “ผีหิ้ง และผีโรง” ประเพณีการแต่งงาน การปกครอง การจัดระบบระเบียบของสังคม ตลอดจนกฎเกณฑ์การควบคุมความประพฤติของชนในกลุ่ม มีภาษาพูดเป็นของตนเอง แต่ไม่มีตัวอักษรหรือภาษาเขียน ดังนั้นชาวชองจึงไม่ได้บันทึกประวัติศาสตร์และความเป็นมาของตนเองไว้เลย ได้แต่ใช้วิธีการบอกเล่าและปฏิบัติสืบต่อกันมาเท่านั้น อย่างไรก็ตามเมื่อชาวชองได้เป็นคนไทยตามพระราชบัญญัติของทางราชการ จึงหันมาพูดภาษาไทย และนับถือพุทธศาสนาตามแบบอย่างคนไทย วิถีชีวิตของชาวชองเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทสังคมและสภาพแวดล้อมปัจจุบัน มีการปรับตัวและรับเอาวัฒนธรรม รวมถึงนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามามีบทบาทในวิถีชีวิต เช่น เครื่องมือเครื่องใช้และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในบ้าน เครื่องมือการประกอบอาชีพ อาหาร ยารักษาโรค เครื่องมือการสื่อสาร ตลอดจนการจัดระเบียบการปกครองตามรูปแบบของทางราชการ และการพัฒนาหมู่บ้านตามระบบสังคมอุตสาหกรรม ล้วนส่งผลกระทบให้วิถีชีวิตและสังคมของชาวชองเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ชาวชองอาศัยอยู่กันมากในแถบตอนเหนือของจังหวัดจันทบุรี บริเวณอำเภอเขาคิชฌกูฏ และอำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี ปัจจุบันการใช้ภาษาชอง ตลอดจนวัฒนธรรมของชาวชองอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการสูญหายเป็นอย่างมาก ซึ่งส่งผลต่อการสูญเสียภูมิปัญญาท้องถิ่นและองค์ความรู้ในด้านต่าง ๆ อย่างไรก็ตามชาวชองได้มีความพยายามฟื้นฟูภาษาและวัฒนธรรมของตนเองตั้งแต่ พ.ศ. 2545 โดยได้มีการสร้างระบบตัวเขียนภาษาชองด้วยตัวอักษรไทย และการสร้างวรรณกรรมหนังสืออ่านภาษาชองระดับต่าง ๆ มีการสอนภาษาชองเป็นหลักสูตรท้องถิ่นในโรงเรียน และมีการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้เพื่อฟื้นฟูภาษาและวัฒนธรรมชองสำหรับเป็นแหล่งข้อมูล ทั้งนี้ภาครัฐและเอกชนได้ให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมเพื่อฟื้นฟูและเผยแพร่วัฒนธรรมชองอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมนี้คงอยู่ได้สืบต่อไป


           สำนักศิลปากรที่ ๔ ลพบุรี ขอเชิญร่วมงานเสวนาทางวิชาการเรื่อง “กรมศิลปากรขอส่งมอบสระมะโนราคืนให้ชาวลพบุรี”  ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ วันพุธที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๖ เวลา ๑๗.๑๕ น. โดยมีวิทยากรได้แก่             - คุณพนมบุตร จันทรโชติ - อธิบดีกรมศิลปากร วิทยากร            - คุณจำเริญ สละชีพ - นายกเทศมนตรีเมืองลพบุรี วิทยากร            - ดร.พรธรรม ธรรมวิมล - ภูมิสถาปนิกชำนาญการพิเศษ สำนักสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร วิทยากร            - ผศ.สุรพงษ์ ปนาทกูล - รองประธานคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดลพบุรี วิทยากร            - คุณนงคราญ สุขสม ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 4 ลพบุรี วิทยากร/ผู้ดำเนินรายการ  และเวลา ๑๙.๐๐ น. ชมการแสดงโขน โดยสำนักการสังคีต กรมศิลปากร ตอน "อสุรผัดตามพ่อ"   ฟรี !!!! รับชมวิดีโอคุณภาพสูงได้ที่  https://youtu.be/wjLgvgnd-2k?si=dpZ93YWP7VSwmwLw


  "กล่าวถึงเมืองศรีสะเกษ" เมื่อถึงเวลาพระ "โพธิสัตว์" จะลงมาจุติเพื่อบำเพ็ญเพียรบารมี ตามธรรมเนียมเป็นหน้าที่ของพระอินทร์ ที่จะคอยช่วยเหลือจัดการให้บรรลุจุดประสงค์ตามเป้าหมาย โดยพระอินทร์แปลงร่างเป็นพญาช้างเผือกลงมาเหยียบย้ำข้าวในที่นาของหญิงหม้าย นางผู้ที่มีฝีมือในการทอผ้าและสอนวิชาการทอผ้าให้กับหญิงชาวเมืองจนเป็นที่รักใคร ช้างเผือกอินทร์แปลงได้เหยียบย้ำข้าวในที่นาของนางให้เสียหาย และทิ้งรอยเท้ามีน้ำขังไว้ ๑ รอย นางมาเห็นความเสียหายของต้นข้าวในนา นางเสียใจมาก และนางเดินหาสาเหตุที่ทำให้ข้าวในนาเสียหายจนเกิดความเหนื่อยหล้าและกระหายน้ำ นางจึงกินน้ำในแอ่งรอยเท้าพญาช้างเผือกนั้น ต่อมานางตั้งครรภ์ และได้คลอดกุมารน้อย นามว่า "คัทธนกุมาร" พร้อมดาบวิเศษศรีกัญไชยเป็นอาวุธคู่กาย กุมารน้อยเติบโตขึ้นมาด้วยความรักแสนอบอุ่นจากมารดา แต่ว่าเวลาเล่นกับเพื่อนๆมักจะโดนหยอกล้อว่าตนเป็นลูกช้าง พออายุได้ ๗ ปี คัทธนกุมารจึงอยากที่จะเจอพ่อของตน นางจึงพาคัทธนกุมารไปดูรอยเท้าของบิดาจึงรู้บิดาของตนเป็นพญาช้างจึงคิดว่าสักวันถึงเวลาอันควรจะต้องออกติดตามหาบิดาผู้ให้กำเนิดให้เจอจนได้ วันหนึ่งสองแม่ลูกออกหาขุดเผือกขุดมันในป่า มีนางยักษ์ตนหนึ่งเห็นกองไฟที่ทั้งสองจุดไว้ นางยักษ์จึงหมายจะเข้าไปจับมารดาของคัทธนกุมารกิน ขณะนั้นเองกุมารก็กระโดดขึ้นจากหลุมมัน ขึ้นมาช่วยมารดาตน ด้วยบุญญาธิการพร้อมพละกำลังดังพญาช้างสารจึงสามารถปราบนางยักษ์ได้ และหมายจะฆ่านางยักษ์เสีย นางร้องขอชีวิตจากกุมาร และได้มอบคนโฑทิพย์(น้ำในคนโททิพย์ช่วยให้ร่างกายกลายเป็นสาวเป็นหนุม) พร้อมกับนางยักษ์ได้ชี้บอกขุมทองคำให้แก่กุมาร กุมารจึงขุดทองคำและนำไปแจกจ่ายแก่ชาวเมือง ครั้นพออายุได้ ๑๖ ปี ข่าวนี้เลื่องลือถึงบุญญาธิการและพลังมหาศาลของคัทธนกุมาร เจ้าเมืองศรีสะเกษ พระองค์จึงให้ทหารไปเชิญคัทธนะมาแสดงบุญญาธิการและพลังกำลังให้พระองค์ทอดพระเนตร...คัทธนะได้แสดงพละกำลังด้วยการถอนต้นตาล ๒ ต้น และเหาะขึ้นไปในอากาศพร้อมทั้งร่ายรำลีลาสวยงาม เจ้าเมืองเห็นแล้วจึงเกิดความชอบรักใคร่เอ็นดูและได้พระราชทานตำแหน่งให้เป็น"อุปราชแสนเมือง" จากนั้นคัทธนกุมารจึงรับเอามารดามาอยู่ด้วย และใช้น้ำจากคนโฑทิพย์เนรมิตมารดาให้เป็นสาวสวย ถวายเป็นพระชายาเจ้าเมืองศรีสะเกษ...จากนั้นอีก ๓ ปี คัทธนะจึงขอมารดาและเจ้าเมืองศรีสะเกษออกเดินทางตามหาพระบิดาผู้ให้กำเนิดพร้อมอาวุธคู่กายและคนโฑทิพย์ ตามเรื่องราว"คัทธนกุมารชาดก" (ภาพเล่าเรื่องจิตรกรรมฝาผนังมุขทิศเหนือด้านทิศตะวันตก วัดภูมินทร์ อำเมือง จังหวัดน่าน) เรียบเรียง : นางสาวกรอุมา นุตะศรินทร์ นักวิชาการช่างศิลป์ชำนาญการพิเศษรับชมวีดีโอ : กำเนิด "คัทธนกุมาร"เครดิต : กลุ่มอนุรักษ์จิตรกรรมและประติมากรรม กองโบราณคดี กรมศิลปากร


องค์ความรู้ เรื่อง เส้นทางวัดและโบราณสถานสำคัญในอดีต ที่ยังเหลือความทรงจำ ผู้เรียบเรียง : นางสาวกาญจนา ศรีเหรา บรรณารักษ์









โบราณสถานวัดด่านม่วงคำ            โบราณสถานวัดด่านม่วงคำ ตั้งอยู่ที่บ้านด่านม่วงคำ ตำบลด่านม่วงคำ อำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร  แต่เดิมพื้นที่บริเวณบ้านด่านม่วงคำนั้น  เป็นด่านตรวจคนและสิ่งของที่ลำเลียงจากแม่น้ำโขงเพื่อเข้าเมือง อีกทั้งพื้นที่ดังกล่าวมีต้นมะม่วงเป็นจำนวนมาก จึงเป็นที่มาของชื่อ “บ้านด่านม่วงคำ” ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๐ พระอธิการอ้วนได้สร้างสิม (อุโบสถ) วัดด่านม่วงคำขึ้น โดยมีอาจารย์ไตเป็นช่างผู้ควบคุมการก่อสร้าง และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๔๓            โบราณสถานวัดด่านม่วงคำเป็นสิมไม้ ส่วนฐานก่อด้วยดินดิบและแกลบข้าว ส่วนผนังอาคารเป็นผนังไม้ในแนวตั้ง บริเวณหน้าบันด้านหน้าอาคาร เป็นไม้กระดานลูกฟักตกแต่งด้วยลายดอกไม้ประดับกระจกตรงกลาง โครงสร้างหลังคาเป็นทรงจั่วมุงด้วยแผ่นไม้ (แป้นเกล็ด) และด้านหน้ามีหลังคาลาดรองรับด้วยเสาไม้           กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน วัดด่านม่วงคำ ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๑ ตอนพิเศษ ๕๓ ง วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๗ พื้นที่โบราณสถานประมาณ ๑ ไร่ ๑ งาน ๖.๑๗ ตารางวา     Wat Dan Muang Kham           Wat Dan Muang Kham is located at Ban Dan Muang Kham, Dan Muang Kham Sub-district, Khok Si Suphan District, Sakon Nakhon Province. This area was originally a customs gate between the town and Mekong River with mango tree growing all over this place. The ordination hall (Ubosot or Sim) of the temple was built in 1897, and permitted to establish the land in November 5, 1900.           The ordination hall (Ubosot or Sim) is a wooden building. The base part composed of mudbrick and rice husk rise high from the ground while the body constructed using wood materials. The roof part was built in gable shape, cover with wooden tiles “Pan-Gled.” Gable end of front side was decorated with wood-carved panel and floral motifs with small mirror. The entrance covered with shed roof and supported by wooden pillar.           Wat Dan Muang Kham has been registered and published in the Government Gazette, Volume 121, Special Edition 53, on May 10, 2004. The area of ancient monument is 2,024.68 square meters.    


การนับปี สมัยสุโขทัย (พุทธศตวรรษที่ 18 - 20) มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ชี้ให้เห็นว่า ช่วงต้นสมัยสุโขทัย พุทธศตวรรษที่ 18 มีการนับปีโดยใช้มหาศักราช ปีนักษัตร และวันหนไท จากนั้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 ได้มีการเปลี่ยนแปลงเป็นจุลศักราชและปีพระพุทธศาสนาล่วงแล้ว มีการใช้ปฏิทินจันทรคติ (Lunar Calendar) เป็นวิธีนับวันเดือนปีโดยถือเอาการเดินของดวงจันทร์เป็นหลัก การนับปี เช่น มหาศักราช (ม.ศ.) และปีนักษัตร ปรากฏในจารึกสุโขทัย เช่น จารึกพ่อขุนรามคำแหง จารึกวัดป่ามะม่วง เป็นต้น มหาศักราชเป็นที่รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า กนิษกศักราช ตั้งขึ้นภายหลังพุทธศักราช 621 ปี เริ่มนับตั้งแต่ปีเริ่มต้นรัชกาลของพระเจ้ากนิษกะ ผู้ครองอินเดียภาคเหนือ (วินัย พงศ์ศรีเพียร, 2546, 36-37) จากหลักฐานเอกสารพบจารึกระบุมหาศักราชในจารึกรุ่นก่อนสุโขทัย เช่น อักษรปัลลวะ อักษรขอมโบราณ เป็นต้น ซึ่งนักภาษาโบราณเสนอว่าอักษรปัลลวะ คือ อักษรของราชวงศ์ปัลลวะในอินเดียใต้ เข้ามาในไทยประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 และได้คลี่คลายมาเป็นอักษรหลังปัลลวะ (พุทธศตวรรษที่ 13 -14) อักษรมอญโบราณ (พุทธศตวรรษที่ 17 - 18) อักษรขอมโบราณ (พุทธศตวรรษที่ 15 -19) อักษรขอมสุโขทัย (พุทธศตวรรษที่ 19 - 20) และอักษรสุโขทัย (กรรณิการ์ วิมลเกษม, 2542) ตัวอักษรปัลลวะนับเป็นรูปอักษรรุ่นเก่าในดินแดนประเทศไทยและได้พบจารึกอักษรปัลลวะระบุมหาศักราช 559 (พุทธศักราช 1180) จากปราสาทเขาน้อยสีชมพู จังหวัดสระแก้ว ถือเป็นจารึกระบุมหาศักราชที่เก่าที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังพบจารึกระบุมหาศักราชรุ่นก่อนสุโขทัยเป็นจารึกอักษรขอมโบราณ เช่น จารึกปราสาทหินพิมาย 2 (มหาศักราช 958) จารึกปราสาทหินพนมวัน 3 (มหาศักราช 1004) จังหวัดนครราชสีมา เป็นต้น เป็นไปได้ว่าการบันทึกมหาศักราชนี้ได้ถ่ายทอดให้กับอาณาจักรสุโขทัยด้วย โดยจารึกสุโขทัยที่พบมหาศักราชเก่าที่สุด คือ จารึกพ่อขุนรามคำแหง ระบุมหาศักราช 1205 และมีการใช้มหาศักราชต่อเนื่องมาจนสมัยพระธรรมราชาที่ 1 พุทธศตวรรษที่ 20 จึงมีการปฏิรูประบบปฏิทินและนำศักราชอีกแบบมาใช้ ได้แก่ จุลศักราช (จ.ศ.) และปีพระพุทธศาสนาล่วงแล้ว ตามที่ปรากฏในจารึกสุโขทัย เช่น จารึกวัดป่ามะม่วง ภาษาไทย และภาษาบาลี จารึกวัดพระยืน เป็นต้น การนับเดือนและวัน สมัยสุโขทัยใช้วิธีนับเดือนและวันยึดตามการโคจรของดวงจันทร์ เช่น ขึ้น 1 ค่ำ ถึง แรม 15 ค่ำ สำหรับการนับเดือนแบ่งเป็น 12 เดือน ตั้งแต่เดือนอ้าย (เดือนแรก) ถึงเดือน 12 ส่วนการนับวันเริ่มต้นเดือนและวันขึ้นปีใหม่ เชื่อว่ามี 2 ระบบ กล่าวคือ ช่วงต้นสมัยสุโขทัยใช้มหาศักราชตามที่นิยมในอินเดียเหนือ นับวันและเดือนแบบปูรณิมานตะ ถือวันเพ็ญเป็นวันสิ้นเดือน วันต้นเดือน คือ วันแรม 1 ค่ำ วันเพ็ญเดือนกฤตติตาเป็นวันปีใหม่ อยู่ในช่วงเดือนตุลาคม - พฤศจิกายน หรือวันเพ็ญเดือน 12 ต่อมามีการปฏิรูปปฏิทินในสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 1 เริ่มใช้จุลศักราช นับวันและเดือนแบบอมานตะแบบอินเดียใต้ วันขึ้น 1 ค่ำเป็นวันต้นเดือน วันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 (เชิดศักดิ์ แซ่ลี่, อรพิน ริยาพร้าว, และตรงใจ หุตางกูร, 2567, 13-18, 65) สอดคล้องกับการรับพุทธศาสนาจากลังกาในสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 1 ซึ่งในลังกาใช้ปฏิทินแบบอมานตะ ชื่อเดือนและวันเหล่านี้ พบในจารึกสุโขทัย เช่น จารึกวัดป่าแดง กล่าวถึงเดือนอ้ายและเดือน 9 จารึกพ่อขุนรามคำแหง ระบุถึงการเผาเทียนเล่นไฟเฉลิมฉลองวันปีใหม่จัดขึ้นภายหลังจากวันออกพรรษาในเดือน 11 เป็นเวลาหนึ่งเดือน ตรงกับวันเพ็ญเดือน 12 หรือประเพณีลอยกระทง จารึกวัดป่ามะม่วง ภาษาเขมร กล่าวถึงคัมภีร์โชยติศาสตร์ ปฏิทิน และการนับวันขึ้นศักราชใหม่ในเดือน 5 เป็นต้น ระบบปฏิทินในยุคนั้นไม่เพียงใช้วันเดือนจันทรคติ แต่ยังอิงปีนักษัตร 12 รอบ เช่น ชวด ฉลู ขาล เถาะ เป็นต้น และมีการกำหนดวันสำคัญทางศาสนาและประเพณีที่เกี่ยวโยงกับความเชื่อของชาวสุโขทัยในยุคนั้นอย่างลึกซึ้ง นอกจากชื่อเดือนในภาษาไทยแล้ว ยังปรากฏชื่อเดือนภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตในจารึกสุโขทัย เช่น กฤตติกามาส เชษฐมาส จิตรมาส เป็นต้น ซึ่งเป็นชื่อเดือนที่ยังคงใช้อยู่ในอินเดียมาจนถึงปัจจุบัน สะท้อนการรับระบบปฏิทินจากอินเดียผ่านทางอาณาจักรเขมร นอกจากนี้ ยังปรากฏคำจารึกสุโขทัยที่ระบุปีปฏิทินอีกแบบหนึ่ง คือ วันหนไท เป็นศักราชที่ใช้แพร่หลายในกลุ่มชาติพันธุ์ไทต่าง ๆ ในจีนตอนใต้ ภาคเหนือของไทย ลาว และเวียดนาม เป็นระบบปฏิทินที่มาจากระบบปฏิทินจีนโบราณ แบ่งศักราชเป็นแม่ปี 10 ปี และลูกปี 12 ปี มีชื่อเรียกเฉพาะจากหน่วยคำแม่ปีกับลูกปี มีวัฎจักร 60 ปี (วินัย พงศ์ศรีเพียร, 2546, 56-62) ตามที่พบคำจารึกวันหนไทในจารึกสุโขทัย เช่น กัดเหม้า เมิงเป้า เป็นต้น แสดงให้เห็นว่าสมัยสุโขทัยมีระบบปฏิทินที่หลากหลาย สะท้อนถึงการผสมผสานของวัฒนธรรมจากจีน อินเดีย เขมร ลาว เวียดนาม มอญ และพม่า รวมถึงการจัดระเบียบวันและปีที่มีความสัมพันธ์กับศาสนาและประเพณี ทำให้ปฏิทินในยุคนั้นไม่ใช่เพียงเครื่องมือบอกเวลา แต่ยังเป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างสังคม วัฒนธรรม และความเชื่อในชีวิตประจำวันของชาวสุโขทัย ตัวอย่างหลักฐานเกี่ยวกับปฏิทิน                   1. จารึกพ่อขุนรามคำแหง ในจารึกมีการกล่าวถึงวันสำคัญทางศาสนา เช่น เมื่อพรรษา ออกพรรษา กรานกฐิน เป็นต้น ดังข้อความ “เมื่อออกพรรษากรานกฐิน เดือนณื่งจึ่งแล้ว เมืองสุโขทัยนี้ มีสี่ปากประตูหลวงเที้ยรย่อมคนเสียดกัน เข้ามาดูท่านเผาเทียน ท่านเล่นไฟ เมืองสุโขทัยนี้มีดั่งจักแตก” นอกจากนี้กล่าวถึงปี และการนับปี เช่น ปีมะโรง ปีมะแม สิบสี่เข้า เป็นต้น การนับเดือน เช่น เดือนโอกแปด เดือนณื่ง เป็นต้น และการนับวัน เช่น วัดเดือนดับ วันเดือนเต็ม เป็นต้น แสดงให้เห็นว่าชาวสุโขทัยใช้ระบบการนับวันเดือนปี ตามดวงจันทร์ จักรราศี มีการอ้างถึงปีนักษัตร (12 นักษัตร) และเดือนจันทรคติที่สัมพันธ์กับฤดูกาล2. จารึกวัดป่ามะม่วง ภาษาเขมร ในจารึกหลักนี้ กล่าวถึงคำเรียกเวลาต่าง ๆ เช่น ศักราช 1269 ปีกุน วันศุกร์ ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 7 เป็นต้น ซึ่งเป็นมหาศักราช วันที่สอดคล้องกับปฏิทินจันทรคติ นอกจากนี้ยังมีคำสำคัญที่กล่าวถึงที่มาหรือแนวคิดในการนับวันเวลาของชาวสุโขทัย คือ คัมภีร์ชโยติษ (โชยติศาสตร์) เป็นคัมภีร์ด้านดาราศาสตร์ของอินเดียโบราณ ดังข้อความ “โชยติศาสตร์ กล่าวคือ ดาราศาสตร์ เป็นต้น คือ ปี เดือน สุริยคราส จันทรคราส พระองค์อาจรู้เศษ ทรงพระปรีชาโอลาริก ฝ่ายวันสิ้นเดือน 4 ที่ควรมา. หลังศักราช มีอธิกมาส พระองค์ก็ทรงแก้ไขให้สะดวก ทรงตรวจสอบแล้วอาจรู้ปีที่เป็นปรกติมาสและอธิกมาส วันวารนักษัตรโดยสังเขป และโดยปฏิทินสำเร็จรูป” 3. จารึกวัดบางสนุก            กล่าวถึงการนับวันขึ้นแรม วันหนไท (วันเมิงเป้า ปีกัดเหม้า) และปีนักษัตร (ปีเถาะ) ดังข้อความ “ยามดี วันเมิงเป้า เดือน 7 ออกสิบห้าค่ำ ปีกัดเหม้า และโถะ”   วันขึ้นปีใหม่ของชาวสุโขทัย ตามจารีตประเพณีโบราณของไทยเริ่มต้นปีในฤดูหนาว ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงยกพระบรมราชาธิบายของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องการเปลี่ยนปี จากหนังสือวชิรญาณ เล่ม 2 ฉบับที่ 13 เดือน 11 ปี 1247 ตามความที่ปรากฏในหนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือน ความว่า “โบราณคิดเห็นว่าฤดูหนาวเปนเวลาพ้นจากมืดฝนสว่างขึ้นเหมือนเวลาเช้า คนโบราณจึงได้คิดนับเอาฤดูหนาวเป็นต้นปี” กล่าวคือ การเริ่มต้นปีในฤดูหนาวเหมือนการเริ่มวันในเวลาเช้า เข้าสู่ฤดูร้อนช่วงกลางปีคือกลางวัน ฤดูฝนปลายปีคือกลางคืน คนโบราณจึงนับว่าเดือนอ้ายหรือเดือนหนึ่งคือต้นปีไปจนถึงเดือน 12 ในฤดูฝนเป็นปลายปี ตามพระบรมราชาธิบายของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ความว่า “...คนโบราณก็คิดว่าฤดูเหมันต์เป็นต้นปี ฤดูวัสสานะเป็น ปลายปีฉันนั้น เพราะเหตุนั้นจึงได้นับชื่อเดือนเป็นหนึ่ง แต่เดือนอ้าย และแต่ก่อนคนโบราณนับเอาข้างแรม เป็นต้นปีต้นเดือน เขานับเดือนอ้ายตั้งแต่แรมค่ำ ภายหลังมีผู้ตั้งธรรมเนียมเสียใหม่ ให้เอาเวลาเริ่ม สว่างไว้ เป็นต้น เวลาสว่างมากเป็นกลาง เวลามืดเป็น ปลาย คล้ายกันกับต้นวันปลายวันแลมีดังกล่าวแล้ว...” จากจารึกพ่อขุนรามคำแหง กล่าวถึงการเผาเทียนเล่นไฟเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่หลังจากวันออกพรรษาผ่านไปแล้ว 1 เดือน ตรงกับวันเพ็ญเดือน 12 จึงตีความได้ว่า วันขึ้นปีใหม่ในสมัยสุโขทัย คงเป็นวันถัดจากวันเพ็ญเดือนสิบสอง คือ วันเปลี่ยนศกใหม่ในวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย หรือหลังวันเพ็ญเดือนกฤตติกามาส ตามระบบเดือนแบบปูรณิมานตะ นับวันพระจันทร์เต็มดวงเป็นวันสิ้นสุดเดือน วันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย ถือเป็นจุดเริ่มต้นของปีใหม่ (เชิดศักดิ์ แซ่ลี่, อรพิน ริยาพร้าว, และตรงใจ หุตางกูร, 2567) สอดคล้องกับข้อความในจารึกพ่อขุนรามคำแหง ด้านที่ 2 บรรทัดที่ 12 – 23 เนื้อหากล่าวถึงเมืองสุโขทัยผู้คนล้วนมีศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ทุกคนต่างตั้งใจรักษาศีลในช่วงเข้าพรรษา และเมื่อออกพรรษาแล้ว ก็จะมีพิธีกรานกฐินเป็นเวลาหนึ่งเดือน ในพิธีกฐินนั้น ผู้คนจะนำสิ่งของมาร่วมทำบุญ เช่น พนมเบี้ย พนมหมาก พนมดอกไม้ และหมอนสำหรับนั่ง เครื่องบริวารกฐินต่าง ๆ การเดินทางไปกฐินนั้น จะไปยังวัดต่าง ๆ จากวัดในเมืองไปจนวัดในเขตอรัญญิก เมื่อเสร็จพิธีกฐิน ผู้คนที่มาจะจัดขบวนมาเป็นระเบียบจากวัดจนถึงลานเมือง มีการละเล่นและเสียงดนตรีต่าง ๆ เช่น พาด พิณ เป็นต้น เสียงเอื้อนขับร้อง ใครอยากเล่นก็เล่น ใครอยากสนุกสนานก็หัวเราะเฮฮาไป ภายในเมืองสุโขทัยนี้ มีประตูเมืองหลวงสี่ด้าน แต่ละด้านล้วนคับคั่งไปด้วยผู้คนที่มาเที่ยวชม เฝ้าดูการเผาเทียนเล่นไฟ ผู้คนหนาแน่นจนดูเหมือนเมืองจะแตก ซึ่งตีความว่าเป็นการบรรยายภาพช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นั่นเอง การอ้างอิง กรรณิการ์ วิมลเกษม. (2542). พัฒนาการของอักษรโบราณในประเทศไทย. ใน สังคมและวัฒนธรรมในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร. เชิดศักดิ์ แซ่ลี่, อรพิน ริยาพร้าว, และ ตรงใจ หุตางกูร. (2567). สอบเทียบวันเดือนปีในจารึกสุโขทัย. เชียงใหม่: คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. (2463). เรื่องพระราชพิธีสิบสองเดือน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ไทย. ราชบัณฑิตยสถาน. (9 มิถุนายน 2554). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554. เข้าถึงได้จาก ระบบค้นหาคำศัพท์: https://dictionary.orst.go.th/ วินัย พงศ์ศรีเพียร. (2546). วันวาร กาลเวลา แลนานาศักราช. กรุงเทพฯ: กระทรวงศึกษาธิการ. สำนักหอสมุดแห่งชาติ. (2529). จารึกในประเทศไทย เล่ม 5. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. สำนักหอสมุดแห่งชาติ. (2548). ประชุมจารึก ภาคที่ 8 จารึกสุโขทัย. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร.เผยแพร่เมื่อ: วันที่ 15 มกราคม 2568


ชื่อเรื่อง : เรียนภาษาอังกฤษในลอนดอน หัวเรื่อง : ภาษาอังกฤษ -- ตำราสำหรับชนต่างชาติ              ภาษาอังกฤษ -- บทสนทนาและวลี คำค้น : ภาษาอังกฤษ           สนทนาภาษาอังกฤษ           คำศัพท์ภาษาอังกฤษ           การพูดภาษาอังกฤษ รายละเอียด : - ผู้แต่ง : มานิต ชุมสาย แหล่งที่มา : หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี หน่วยงานที่รับผิดชอบ : วรรธนะวิบูลย์ ปีที่พิมพ์ : 2499 วันที่เผยแพร่ : 30 มกราคม 2568 ผู้ร่วมสร้างสรรค์ผลงาน : - ลิขสิทธิ์ :  - รูปแบบ : PDF. ภาษา : ภาษาไทย ประเภททรัพยากร : หนังสือหายาก ตัวบ่งชี้ : - รายละเอียดเนื้อหา : หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจเรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเอง เนื้อหาเริ่มต้นตั้งแต่แนะนำให้รู้จักตัวอักษรภาษาอังกฤษ ไวยากรณ์เบื้องต้น ไปจนถึงการฝึกหัดแต่งประโยคด้วยตนเอง เน้นการอ่านและบทสนทนาที่ใช้สื่อสารในชีวิตประจำวัน เลขทะเบียน : น. 32 บ. 2826 จบ. เลขหมู่ : 428.2495911             ม448ต


ชื่อเรื่อง                     สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฐาน)อย.บ.                       81/6หมวดหมู่                   พุทธศาสนาประเภทวัสดุ/มีเดีย       คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ               42 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 54.2 ซม.บทคัดย่อ/บันทึก                    เป็นคัมภีร์ใบลานฉบับล่องชาด ไม้ประกับธรรมดา ได้รับจาก จ.พระนครศรีอยุธยา 




black ribbon.