ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 41,346 รายการ


มโหระทึกเส้นทางและผู้คนบนพื้นที่จังหวัดน่านในอดีต ,,,,,,,,,,กลองมโหระทึก (ในภาคเหนือมักเรียกว่า ฆ้องกบ, ฆ้องเขียด) เป็นสิ่งที่มีการสันนิษฐานว่าเกิดขึ้นในสมัยก่อนประวัติศาสตร์และต่อเนื่องมาถึงช่วงต้นประวัติศาสตร์ (ราว ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว) เชื่อว่ามีจุดกำเนิดมาจากวัฒนธรรมดงเซิน (Dong Son) ซึ่งปัจจุบันอยู่บริเวณจังหวัด Thanh Hoa ในประเทศเวียดนาม พบในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ พม่า ไทย เวียดนาม ลาว มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ฯลฯ ,,,,,,,,,,ปัจจุบันมีการสันนิษฐานว่ากลองมโหระทึกผลิตขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ ดังนี้ ๑. แสดงฐานะความมั่งคั่ง ๒. ใช้ประกอบพิธีกรรมความตาย ๓. ใช้ตีเป็นสัญญาณสงคราม ๔. ใช้ประกอบพิธีขอฝน ๕. ใช้ตีเพื่อบำบัดโรคทางไสยศาสตร์ กลองมโหระทึกที่พบในพื้นที่จังหวัดน่าน ,,,,,,,,,,ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๓๙ เวลาราว ๑๒.๐๐ น. พบกลองมโหระทึกจำนวน ๒ ใบ บริเวณเนินดินซึ่งเป็นป่าช้าเก่าที่บ้านบ่อหลวง ริมถนนหมายเลข ๑๐๘๑ ใกล้หลักกิโลเมตรที่ ๗๗ ตำบลบ่อเกลือใต้ อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน ร่วมกับโบราณวัตถุอื่นๆ ได้แก่ แหวนทองคำ แหวนสำริด แผ่นทองคำ ชิ้นส่วนกระดูกขนาดเล็ก ฯลฯ โดยผู้พบคือ เด็กหญิงนงเยาว์ กุลสุทธิ และเด็กหญิงนพมาศ ปรังกิจ  ต่อมานายชัยนันท์ บุษยรัตน์ หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน ขณะนั้น จึงได้ประสานงานนำมาเก็บรักษาและจัดแสดง กลองมโหระทึกที่พบในประเทศไทย ,,,,,,,,,,ไม่เพียงแต่จังหวัดน่าน กลองมโหระทึกยังพบในอีกหลายต่อหลายพื้นที่ซึ่งหากนับเฉพาะชิ้นที่สามารถระบุตำแหน่งที่พบได้อย่างชัดเจนมีมากกว่า ๔๐ ใบ แต่หากนับรวมชิ้นที่ไม่สามารถระบุตำแหน่งที่พบได้ชัดเจนก็จะมีถึงราว ๖๐ ใบเลยทีเดียว ทั้งนี้ นอกจากประเทศไทยแล้วยังพบกลองมโหระทึกที่เวียดนาม (เชื่อว่าเป็นเจ้าของวัฒนธรรม) ลาว จีน พม่า อินโดนีเซีย และติมอร์ เป็นต้น ทำให้อาจเป็นเครื่องบ่งชี้ได้ถึงการแพร่กระจายทางวัฒนธรรม และอาจแสดงถึงการติดต่อของผู้คนก็เป็นได้ ย้อนมองเมืองน่าน : ชุมทางการค้าแห่งล้านนาตะวันออก (?) ,,,,,,,,,,ในช่วงสมัยก่อนประวัติศาสตร์เราไม่อาจยืนยันชัดเจนว่าผู้คนมีการติดต่อกันด้วยเส้นทางใดบ้าง แต่หากพิจารณาเส้นทางในสมัยหลังลงมาได้มีผู้กล่าวว่าเมืองน่านน่าจะเป็นชุมทางสำคัญด้านล้านนาตะวันออกที่เชื่อมโยงสินค้าประเภทของป่าจากตอนในของแผ่นดิน เช่น หลวงพระบาง ไปสู่สุโขทัยก่อนที่จะผ่านเมืองตากออกสู่เมืองท่าอย่างเมาะตะมะในพื้นที่ประเทศพม่าในปัจจุบัน มองเส้นทางการค้าแล้วย้อนมองการกระจายตัวของกลองมโหระทึก ,,,,,,,,,,หากเรากลับไปมองการกระจายตัวของกลองมโหระทึกซึ่งเป็นโบราณวัตถุที่มีอายุในช่วงสมัยก่อนประวัติศาสตร์-ต้นสมัยประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและภาคเหนือตอนล่างจะพบว่ามีการพบกลองมโหระทึกทั้งที่น่าน อุตรดิตถ์ สุโขทัย และตาก สอดรับกันดีกับเส้นทางการค้าสมัยโบราณดังที่กล่าวไปข้างต้น ,,,,,,,,,,ดังนั้น กลองมโหระทึกอาจเป็นหนึ่งในวัตถุทางวัฒนธรรมที่แสดงให้เห็นว่าพื้นที่ทางตอนเหนือของจังหวัดน่านมีผู้คนอาศัยอยู่มาแล้วนับแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ อีกทั้งคงจะมีการติดต่อสัมพันธ์กับชุมชนและบ้านเมืองโดยรอบ ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม คติความเชื่อ ตลอดจนสินค้า และงานศิลปกรรมในเวลาต่อมา นำไปสู่พัฒนาการของชุมชนสู่บ้านเมืองในเวลาต่อมา *ข้อมูลโดยละเอียดบางส่วนอยู่ในแต่ละภาพครับ* _________________________ เอกสารอ้างอิง กรมศิลปากร. กองโบราณคดี. ความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ กรณีศึกษา กลองมโหระทึก. กรุงเทพฯ: แกรนด์พ้อยท์, ๒๕๖๒. กรมศิลปากร. จารึกสมัยสุโขทัย. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๒๗. กรมศิลปากร. สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ. กลองมโหระทึกในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: อาทิตย์ โพรดักส์ กรุ๊ป, ๒๕๔๖. ชวิศา ศิริ. "การค้าของอาณาจักรล้านนา ตั้งแต่ต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๒." ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๐. ธีระวัฒน์ แสนคำ. "เส้นทางความสัมพันธ์ระหว่างรัฐสุโขทัยกับกลุ่มบ้านเมืองในลุ่มน้ำโขง." ใน สุโขทัยกับอาเซียน : มองปัจจุบันผ่านอดีตจากมิติประวัติศาสตร์ ศิลปะ โบราณคดี. ปทุมธานี: คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. โยซิยูกิ มาซูฮารา. ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของราชอาณาจักรลาวล้านช้าง : สมัยคริสต์ศตวรรษที่ ๑๔ – ๑๗ จากรัฐการค้าภายในภาคพื้นทวีปไปสู่รัฐกึ่งเมืองท่า. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๔๖. วราภรณ์ เรืองศรี. คาราวานพ่อค้าทางไกล : การก่อเกิดรัญสมัยใหม่ในภาคเหนือของไทยและดินแดนตอนในของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้. เชียงใหม่: ศูนย์อาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๕๗. ศรีศักร วัลลิโภดม. สยามประเทศ ภูมิหลังของประเทศไทยตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์จนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาราชอาณาจักรสยาม. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๓๙. สุภัทรดิศ ดิศกุล, หม่อมเจ้า. ประวัติศาสตร์เอเชียอาคเนย์ ถึง พ.ศ. ๒๐๐๐. กรุงเทพฯ: บริษัทรุ่งเรืองการพิมพ์, ๒๕๓๕. สุจิตต์ วงษ์เทศ. มโหระทึก หรือกลองทอง. กลองกบ ใช้ตีขอน้ำฟ้าน้ำฝน ตามประเพณีดึกดำบรรพ์หลายพันปีมาแล้วของอุษาคเนย์. มติชนออนไลน์, เข้าถึงเมื่อ ๕ เม.ย. ๖๓ เข้าถึงได้จาก https://www.matichon.co.th/columnists/news_348099 สุจิตต์ วงษ์เทศ. ขวัญ หน้ากลองมโหระทึก. มติชนออนไลน์เข้าถึงเมื่อ ๕ เม.ย. ๖๓ เข้าถึงได้จาก https://www.matichon.co.th/ente.../arts-culture/news_1390415



          ระบำเสียมกุก – ละโว้ เป็นผลงานการสร้างสรรค์ด้านนาฏดุริยางคศิลป์ ของสำนักการสังคีต กรมศิลปากร ได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพสลักนูนต่ำรูปขบวนเสียมกุกกับขบวนละโว้ ณ ระเบียงปราสาท นครวัด ประเทศกัมพูชา ขบวนดังกล่าวเป็นของชาวสยามและชาวละโว้ ที่เป็นกลุ่มเครือญาติกับราชสำนักกัมพูชา สื่อความหมายถึงการเคลื่อนขบวนไปร่วมพิธีกรรมของอาณาจักร ระบำชุดนี้ได้อาศัยแนวความคิด มาจากระบำโบราณคดี ของกรมศิลปากร เป็นต้นแบบในการการสร้างสรรค์การแสดง จัดแสดงเผยแพร่ให้ประชาชนชมครั้งแรกเมื่อวันอังคารที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ณ โรงละครแห่งชาติ (โรงเล็ก) เนื่องในงานเสวนาวิชาการ เรื่อง “ขอมอยู่ไหน? ไทยอยู่นั่น? ขอมกับไทย ไม่พรากจากกัน” และในรายการศรีสุขนาฏกรรม เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ณ โรงละครแห่งชาติภาพ ลายเส้นจากสลักหินบนระเบียงปราสาทนครวัด ถอดแบบภาพ โดย อาจารย์คงศักดิ์ กุลกลางดอน คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร           การสร้างสรรค์ผลงานด้านนาฏดุริยางคศิลป์จากภาพสลักรูปขบวนเสียมกุกกับขบวนละโว้ให้มีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นใหม่อีกชุดหนึ่งในครั้งนี้ประดิษฐ์ท่ารำโดยนางสาววันทนีย์ ม่วงบุญ เมื่อครั้งที่ดำรงตำแหน่ง นักวิชาการละครและดนตรีทรงคุณวุฒิ ประดิษฐ์เครื่องแต่งกายและอาวุธตามที่ปรากฏในภาพสลักนูนต่ำ โดยนางสุพรทิพย์ ศุภรกุล เมื่อครั้งที่ดำรงตำแหน่งนาฏศิลปินชำนาญงาน ร่วมกับมหาวิทยาลัยศิลปากร เรียบเรียงทำนองเพลงโดยนายไชยยะ ทางมีศรี ผู้เชี่ยวชาญดุริยางค์ไทย สำนักการสังคีต กรมศิลปากร การประดิษฐ์ท่ารำระบำเสียมกุก – ละโว้ ผู้สร้างสรรค์ผลงานได้ใช้พื้นฐานกระบวนท่ารำของตัวพระ ตัวยักษ์ และตัวลิง เช่น ท่ากันเข่า ท่าย่อตัว ท่าลงเหลี่ยม ท่าตั้งวง ท่าย้ำเท้า และท่าการใช้อาวุธเป็นท่าหลัก ในการแสดง สื่อความหมายถึงชายชาตรีที่มีความองอาจ สง่าผ่าเผย สนุกสนาน ไม่แข็งกร้าว และดุดันของกองทัพทั้งสองฝ่ายรวมทั้งนำท่าทางที่ปรากฏในภาพจำหลักมาร่วมใช้ในกระบวนท่ารำให้ผสานกับท่วงทำนองเพลงที่ไม่มีบทขับร้อง รูปแบบการแปรแถวได้นำแนวคิดมาจากกระบวนการตรวจพลในการแสดงโขน ที่มีขั้นตอนระเบียบแบบแผน อาทิ การปรากฏกายของแม่ทัพ เดินตรวจแถว การใช้อาวุธถามความพร้อม และเคลื่อนทัพ ผู้แสดงระบำเสียมกุก – ละโว้ เป็นนาฏศิลปินผู้ชาย ของสำนักการสังคีต ที่มีพื้นฐาน และทักษะ การแสดงโขน ตัวพระ ตัวยักษ์ ตัวลิง โดยแบ่งผู้แสดงออกเป็น ๒ ขบวน คือขบวนเสียมกุกจากลุ่มน้ำโขง กับขบวนละโว้จากลุ่มน้ำเจ้าพระยา ขบวนละ ๑๐ คน ซึ่งในแต่ละขบวนจะประกอบด้วยไพร่พลและเจ้านาย ต่างถืออาวุธ มีพาหนะคือช้างที่ใช้ในการเดินทางยกขบวนเดินทางไปยังบริเวณหน้าปราสาทนครวัด โดยมิได้ ทำศึกสงครามต่อกัน แต่มาร่วมรื่นเริงร้องรำทำเพลง สนุกสนาน และสรรเสริญเจ้านายของแต่ละฝ่ายที่จะ เข้าร่วมทำพิธีกรรมกับกษัตริย์กัมพูชานักแสดงผู้ชายตัวพระ ตัวลิง และตัวยักษ์          เครื่องแต่งกายระบำเสียมกุก – ละโว้ สำนักสังคีตได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยศิลปากร ในการศึกษาและออกแบบเครื่องแต่งกายประกอบการแสดง ที่มีแรงบันดาลใจจากภาพสลักที่ระเบียงคด ปราสาทนครวัด มีแนวความคิดการออกแบบเครื่องแต่งกายที่บ่งบอกถึงศิลปวัฒนธรรมทั้งสองฝ่าย ซึ่งคำนึงถึงความเป็นไปได้ในการตัดเย็บและการสวมใส่ใช้งานได้จริง โดยแยกฝ่ายของเครื่องแต่งกายระหว่างเขมรกับไทยอย่างชัดเจนจากการแต่งกายในการเดินขบวนของฝ่ายไทยเป็นชนเผ่าที่ยังไม่มีระเบียบวินัยสื่อให้เห็นถึงการเข้มงวดของการนุ่งผ้าก็จะไม่ค่อยเรียบร้อยมีทั้งการนุ่งผ้าแบบสั้นและแบบยาว ซึ่งต่างกับฝั่งของเขมรที่มีวินัยมากกว่า การแต่งกายจะมีความเรียบร้อยเหมือนกันทุกคน อันมีรายละเอียดของเครื่องแต่งกาย ดังนี้ ฝ่ายเสียมกุก ประกอบด้วยเจ้านาย และขบวนเสียมกุก ผมเกล้ารวบที่กลางศีรษะ ปล่อยปลายผมตกลงบริเวณบ่า ใส่ต่างหูห่วงกลม เส้นผมถักและตกแต่งด้วยดอกไม้ใบสดและขนนก ห่มผ้าทอลายเป็นผ้าแถบคาดอก กำไลข้อมือและกำไลข้อเท้า นุ่งโสร่งคาดทับด้วยเข็มขัดห้อยอุบะ สวมเสื้อแบบคอปาดแขนสั้น ถือธนูเป็นอาวุธเครื่องแต่งกายนายทัพ และกองทัพฝ่ายเสียมกุก          ฝ่ายละโว้ ประกอบด้วยเจ้านาย และขบวนละโว้ ผมเกล้ามวย สวมมงกุฎ และกะบังหน้าสีทองสลักดุนเป็นลวดลายและประดับด้วยอัญมณี นุ่งผ้าโจงกระเบนขมวดชายผ้ามาด้านหน้าคาดทับด้วยเข็มขัด ไม่สวมเสื้อ ใส่ตุ้มหู กำไลรัดต้นแขน กำไลข้อมือและกำไลข้อเท้า ถือหอกยาวเป็นอาวุธเครื่องแต่งกายนายทัพ และกองทัพฝ่ายละโว้          ดนตรีประกอบการแสดงระบำเสียมกุก – ละโว้ บรรเลงโดยวงปี่พาทย์ไม้นวม ซึ่งใช้การปรับรูปแบบ การบรรเลงมาจากวงปี่พาทย์ไม้แข็ง โดยการเปลี่ยนหัวไม้ที่ใช้สำหรับการบรรเลงระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ และฆ้องวงเล็ก จากที่หัวไม้ทำด้วยหนังที่มีความแข็งแรงก็จะเปลี่ยนมาใช้เป็นไม้นวมซึ่งจะใช้ผ้าพันสลับกับเส้นด้ายให้มีความหนานุ่ม ทำให้ลดความดังและความแกร่งกร้าวของเสียงลง เครื่องเป่าแต่เดิมที่ใช้ปี่ในซึ่งมีเสียงดัง ก็เปลี่ยนมาใช้ขลุ่ยเพียงออแทนที่และมีเสียงเบากว่า เพิ่มการสีซออู้อีก ๑ คัน ก่อเกิดให้เสียงจากการบรรเลงมีความกล่อมกล่อมเพิ่มมากขึ้นวงปี่พาทย์ไม้นวมในปัจจุบัน นิยมใช้การบรรเลงและขับร้องในรูปแบบการขับกล่อม และใช้ประกอบการแสดงที่จัดการแสดงภายในอาคาร เช่น โรงละคร หอประชุม ฯลฯ ขนาดของวง เช่นเดียวกับวงปี่พาทย์ไม้แข็งได้แก่วงปี่พาทย์ไม้นวมเครื่องห้า วงปี่พาทย์ไม้นวมเครื่องคู่ และวงปี่พาทย์ไม้นวมเครื่องใหญ่ ประกอบด้วยทำนองเพลงเดิมที่มีอยู่แล้วในทำนองเพลงออกภาษาประกอบด้วย เขมร ลาว และไทย นำมาเรียบเรียงจัดลำดับให้มีความต่อเนื่องสอดคล้องกับกระบวนท่าของการแสดง อันมีรายละเอียด ดังนี้          ช่วงที่ ๑ ทำนองเพลงแทงวิสัย (ปี่กลอง) ที่มีอัตรา ๒ ชั้น มีความยาว ๒ ท่อนเพลง โดยมีทำนองสำเนียงข่าและขะมุก ประสานเชื่อมเพลงให้เห็นการผสมผสานของชาติพันธุ์ในขบวนเสียมกุกการเคลื่อนขบวนของฝ่ายเสียมกุกแสดงให้เห็นถึงความพร้อมเพรียง และร่วมแรงร่วมใจในการเดินทางไปพบกับขบวนละโว้ขบวนฝ่ายเสียมกุก          ช่วงที่ ๒ ทำนองเพลงใบ้คลั่ง ๒ ชั้น ในท่อนที่ ๒ เนื่องจากเพลงนี้มีทำนองที่ยาวผู้เรียบเรียงทำนองเพลงจึงเลือกมา ๑ ท่อนผสานกับเสียงแคนเข้ามาเพื่อแสดงให้ถึงกลุ่มคนชาติพันธุ์ลาวที่อาศัยอยู่ในขบวนเสียมกุก พร้อมทั้งเปิดตัวแม่ทัพของฝ่ายเสียมกุกแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่สง่างามเปิดตัวแม่ทัพฝ่ายเสียมกุก          ช่วงที่ ๓ ทำนองเพลงขอมทรงเครื่องสำเนียงมอญโบราณ การเคลื่อนขบวนพร้อมเปิดตัว แม่ทัพของฝ่ายละโว้ แสดงให้เห็นถึงความพร้อมเพรียง และร่วมแรงร่วมใจในการเดินทางไปพบกับขบวน เสียมกุกเปิดตัวแม่ทัพฝ่ายละโว้          ช่วงที่ ๔ ทำนองเพลงกลองโยน เสริมด้วยเสียงปี่ใน และฆ้องวงใหญ่ให้ทำนองเพลงมีความ โดดเด่นในช่วงของแม่ทัพเสียมกุก และแม่ทัพละโว้พบกันพร้อมทั้งทักทายด้วยมิตรไมตรีที่ดีต่อกัน แสดงให้เห็นถึงการพบเจอกันทั้งสองฝ่ายด้วยความพร้อมเพรียงด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อยแม่ทัพเสียมกุกและแม่ทัพละโว้พบกันทั้งสองฝ่าย          ช่วงที่ ๕ ทำนองเพลงจาก แสดงให้เห็นถึงขบวนทัพเสียมกุก และละโว้เดินทางไปบูชาเทพเจ้า เมื่อเดินทางถึงจุดหมาย จากนั้นเป็นการร่ายรำบูชาเทพเจ้าด้วยทำนองเพลงสำเนียงในยุคสมัยลพบุรี บ่งบอกถึงความเจริญทางศิลปวัฒนธรรมที่มีความเป็นระเบียบแบบแผนกองทัพเสียมกุก – ละโว้ รำบูชาเทพเจ้า          ช่วงที่ ๖ ทำนองเพลงไทยสำเนียงรวมชาติพันธุ์ท้ายซุ้มลาวแพน ขบวนทัพทั้งสองฝ่ายเดินทางกลับถิ่น แสดงให้เห็นถึงความร่วมใจของขบวนทัพของเสียมกุก และละโว้ ร่วมน้อมบูชาเทพเจ้าด้วยความ เป็นสิริมงคล ยินดีปรีดามาทั้งสองขบวนทัพมาพบกัน ซึ่งเมื่อสำเร็จภาระกิจตามความประสงค์จึงแยกย้ายกลับยังถิ่นฐานของตนเองขบวนกองทัพเสียมกุกและขบวนกองทัพละโว้เดินทางกลับถิ่นฐานของตน          การสร้างสรรค์ผลงานด้านนาฏดุริยางคศิลป์ ของสำนักการสังคีต กรมศิลปากร จัดทำขึ้น สอดรับกับพันธกิจและยุทธศาสตร์ด้านการสร้างสรรค์ เพื่อเพิ่มคุณค่ามรดกทางศิลปวัฒนธรรมด้านการพัฒนากระบวนการให้เข้ากับยุคสมัย โดยยึดหลักการและรูปแบบการแสดงทุกชุดจะต้องมีเอกลักษณ์ความเป็นไทย สามารถสื่อสารให้ผู้ชมการแสดง และเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้เข้าใจได้ง่าย รวมทั้งการนำกระบวนการสร้างสรรค์การแสดงไปต่อยอด ประยุกต์ใช้กับการแสดงสร้างสรรค์ในชุดอื่นๆ เพื่อเผยแพร่สู่สังคม สาธารณชน ให้เป็นแหล่งเรียนรู้สร้างความตระหนักถึงความสำคัญในการหวงแหนอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม-----------------------------------------------------------------ผู้เขียน : นายรัฐศาสตร์ จั่นเจริญ นักวิชาการละครและดนตรีชำนาญการ กลุ่มวิจัยและพัฒนาการสังคีต สำนักการสังคีต-----------------------------------------------------------------รายการอ้างอิง กรมศิลปากร. ระบำโบราณคดี, กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร. ๒๕๑๐. ไชยยะ ทางมีศรี. สัมภาษณ์, ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔. วรรณวิภา สุเนต์ตา. เครื่องแต่งกายระบำเสียมกุก – ละโว้อ้างในเอกสารขอมอยู่ไหน? ไทยอยู่นั่น ขอมกับไทย ไม่พรากจากกัน, กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร. ๒๕๕๗. วันทนีย์ ม่วงบุญ. สัมภาษณ์, ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔. สุจิตต์ วงษ์เทศ. ขอมอยู่ไหน? ไทยอยู่นั่น ขอมกับไทย ไม่พรากจากกัน, กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร. ๒๕๕๗. สุพรทิพย์ ศุภรกุล. สัมภาษณ์, ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔. เสียร ดวงจันทร์ทิพย์. เพลงระบำเสียมกุก – ละโว้ อ้างในเอกสารขอมอยู่ไหน? ไทยอยู่นั่น ขอมกับไทย ไม่พรากจากกัน, กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร. ๒๕๕๗.



พ่อท่านเจ้าเขาอยู่ที่ใด          พ่อท่านเจ้าเขา คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่ ณ ประติมากรรมรูปยักษ์ ตั้งอยู่บริเวณลานตอนกลางบันไดทางขึ้นถ้ำแจ้ง ซึ่งเป็นถ้ำประดิษฐานพระไสยาสน์(พ่อท่านบรรทม) วัดคูหาภิมุข ตำบลหน้าถ้ำ อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา ตำนานยักษ์ศักดิ์สิทธิ์           ชาวบ้านตำบลหน้าถ้ำเชื่อว่ายักษ์ตนนี้มีหน้าที่เฝ้าหน้าถ้ำคูหาภิมุข มิให้ผู้ใดเข้ามาขโมยทรัพย์สมบัติที่ฝังไว้ภายในถ้ำไปได้ กล่าวกันว่าในอดีตมีขุนโจรผู้มีจิตใจอันชั่วช้าพร้อมด้วยลูกสมุน พยายามเข้ามาขโมยทรัพย์สมบัติเหล่านี้ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จและถูกยักษ์ทุบตีด้วยกระบองจนถึงแก่ความตาย           นอกจากนี้ยังเป็นที่เชื่อถือกันว่ายักษ์ตนนี้มีความศักดิ์สิทธิ์ สามารถบันดาลให้เกิดความสงบร่มเย็น หากผู้ใดทำผิดศีลธรรมหรือทำเรื่องร้ายแรงก็สามารถดลบันดาลให้มีอันเป็นไป แต่หากผู้ใดตั้งมั่นในศีลธรรม หากยกมือไหว้หรือบนบานสิ่งใดก็จะได้รับพรสมปรารถนาโชคดีมีความสุขตลอดไป จึงเป็นที่นับถือจนได้รับการขนานนามว่า “พ่อท่านเจ้าเขา” มาตราบจนปัจจุบันสร้างรูปยักษ์          พ.ศ.๒๔๘๔ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ พระพุทธไสยารักษ์เจ้าอาวาสองค์ที่ ๗ ของวัดคูหาภิมุข ผู้หลักผู้ใหญ่ของตำบลหน้าถ้ำในสมัยนั้นอันได้แก่ขุนนิวาส คูหามุข นายตีบ เพชรกล้า นายสง สุวรรณโพธิ์ และชาวบ้านอีกหลายๆท่าน เห็นตรงกันว่าควรสร้างรูปของพ่อท่านเจ้าเขาขึ้นเป็นขวัญกำลังใจและปกปักรักษาชาวบ้านหน้าถ้ำให้พ้นภัย จึงรวบรวมปัจจัยจากพระพุทธไสยารักษ์และคณะพุทธบริษัทวัดคูหาภิมุขเป็นเงิน ๔๓๐ บาท เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจนสำเร็จลุล่วงลักษณะของพ่อท่านเจ้าเขา           พ่อท่านเจ้าเขามีลักษณะเป็นประติมากรรมรูปยักษ์ยืนตรงสูงราว ๖ เมตร รูปร่างหน้าตาคล้ายเงาะป่าซาไก ผมหยิก หนวดเครารุงรัง ดวงตาโปน มีเขี้ยวงอกออกมาพ้นริมฝีปาก มีงูบองหลา(งูจงอาง) เป็นสายสร้อยคล้องคอ ต้นแขทั้งสองข้างปั้นปูนเป็นสายรัดต้นแขนประดับด้วยหน้าบุคคลอย่างหน้ากากพรานบุญ ร่างกายท่อนล่างทำเป็นผ้านุ่งเหลืองมีลวดลายคล้ายการนุ่งด้วยหนังเสือ มือทั้งสองกุมกระบองที่มีหัวกะโหลกมนุษย์เป็นด้ามท้าย แนบไว้กลางลำตัวอย่างทะมัดทะแมง ส่วนเท้าเปลือยเปล่าไม่สวมรองเท้า การบูรณะพ่อท่านเจ้าเขา           พ.ศ. ๒๕๖๒ กรมศิลปากรจัดสรรงบประมาณ จากเงินกองทุนโบราณคดี เพื่อดำเนินการบูรณะพ่อท่านเจ้าเขา ระหว่างวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๒ ถึงวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๒-------------------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา https://www.facebook.com/fad11songkhla/posts/1411639322507560-------------------------------------------------------------------


เลขทะเบียน: กจ.บ.7/1-7:1ก-7ก ชื่อเรื่อง: พระสงฺคิณี พระสมนฺตมหาปฏฐาน เผด็จ ข้อมูลลักษณะ: อักษรขอม ภาษาบาลี-ไทย เส้นจาร ฉบับล่องชาด ประวัติ : ได้มาจากวัดห้วยสะพาน ต.หนองโรง อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2533 จำนวน 1คัมภีร์ 14 ผูกจำนวนหน้า: 66 หน้า


ชื่อเรื่อง                     ประชุมโคลงโลกนิติ ฉบับหอสมุดแห่งชาติผู้แต่ง                       -ประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือหายากหมวดหมู่                   ขนบธรรมเนียมประเพณี นิทานพื้นเมืองเลขหมู่                      398.9 ล964ปสถานที่พิมพ์               พระนครสำนักพิมพ์                 โรงพิมพ์อักษรบริการปีที่พิมพ์                    2506ลักษณะวัสดุ               322 หน้าหัวเรื่อง                     สุภาษิตและคำพังเพย                              คติพจน์ภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึกโคลงโลกนิตินี้เป็นสุภาษิตเก่าแก่ แต่งมาแต่โบราณครั้งกรุงเก่า เดิมนักปราชญ์ผู้แต่งเที่ยวเลือกคาถาสุภาษิต ภาษาบาลีและสันสกฤต อันมีอยู่ในคัมภีร์ต่างๆ คือ คัมภีร์โลกนิติบ้าง คัมภีร์โลกนัยบ้าง ตลอดจนคัมภีร์พระธรรมบทก็มีเลือกคาถาสุภาษิตเหล่านั้นมาตั้งแล้วแปลแต่งเป็นคำโคลงไปทุก ๆ คาถา รวมเป็นเรื่องเรียกว่าโคลงโลกนิติเป็นสุภาษิตที่นั้บถือกันมาช้านาน


ชื่อเรื่อง                                บทสุคโต (พุทธคุณบทสุคโต)  สพ.บ.                                  367/1ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           52 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 59 ซม.หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           เทศน์มหาชาติ                                           คาถาพัน                                           ชาดก บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับล่องชาด  ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


          เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ ๒๕๖๕ กระทรวงวัฒนธรรม ได้จัดโครงการ “ส่งสุขวิถีใหม่ สืบสานวิถีไทย ปลอดภัยสร้างสรรค์” เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน โดยกรมศิลปากร ร่วมจัดกิจกรรมเยี่ยมชมแหล่งเรียนรู้ เชิงสร้างสรรค์ทางศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ “ของขวัญปีใหม่ จากใจกระทรวงวัฒนธรรม” ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ดังนี้          ๑. กิจกรรมสักการะพระพุทธรูปวังหน้า พระปฏิมาแห่งแผ่นดิน : นบพระนำพร บวรสถาน พุทธปฏิมามงคล ๒๕๖๕ ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ระหว่างวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๔ ถึงวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๕ เวลา ๐๙.๐๐ น. – ๑๖.๐๐ น. โดยมีพระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ประจำพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) เป็นประธาน และอัญเชิญพระพุทธรูปมงคลโบราณอีก ๙ องค์ ซึ่งมีตำนาน การสร้างและนามอันเป็นสิริมงคล มาประดิษฐานให้พุทธศาสนิกชนได้สักการบูชา ได้แก่ พระพุทธรูปปางประทานพร พระไภษัชยคุรุ พระอมิตายุส พระพุทธรูปปางฉันสมอ พระหายโศก พระพุทธรูปปางห้ามญาติ (ปางประทานอภัย) พระพุทธรูปปางห้ามสมุทร พระชัยเมืองนครราชสีมา และพระชัย เพื่อประทานพรให้เกิดสวัสดิมงคลในการเริ่มต้นศักราชใหม่           ๒. การแสดงดนตรีสำหรับประชาชน “เหมันต์บันเทิง รื่นเริงสังคีต” ณ สังคีตศาลา เวทีกลางแจ้ง บริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ระหว่างวันที่ ๒๕ - ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๔ ตั้งแต่เวลา ๑๗.๓๐ - ๑๙.๓๐ น. โดยการแสดงในวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๔ ประกอบด้วย การรำอวยพร เปิดสังคีตศาลา ปีที่ ๖๕ การแสดงชุด สรรพศิลป์ถิ่นสยาม และการแสดงเบิกโรง ชุดปัญจเทพารักษ์หลักเมือง วันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๔ การแสดงโขน ชุดพระรามเดินป่าฆ่าตรีปักกัน           ๓. ชมพิพิธภัณฑ์ยามค่ำ (Night at the Museum) เปิดให้เข้าชมความงดงามของอาคารโบราณสถาน พระราชวังบวรสถานมงคล หรือวังหน้า เพื่อให้ประชาชนได้สัมผัสมนต์เสน่ห์สถาปัตยกรรมวังหน้า และความเป็นมาแห่งอารยธรรมไทยในช่วงเวลาค่ำ โดยมีวิทยากรนำชมการจัดแสดงนิทรรศการในพระที่นั่งต่างๆ ระหว่างวันที่ ๒๕ - ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๔ ตั้งแต่เวลา ๑๖.๐๐ – ๒๐.๐๐ น.           ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมจะเป็นประธานเปิดกิจกรรมในวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๗.๐๐ น. ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย           นอกจากนี้ กรมศิลปากรยังเปิดให้ประชาชนเข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติและอุทยานประวัติศาสตร์ ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติ โดยไม่เก็บค่าธรรมเนียมเข้าชม ระหว่างวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๔ ถึงวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๖๕          กรมศิลปากร ได้มีมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) พร้อมทั้งขอความร่วมมือผู้เข้าร่วมกิจกรรมปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด


รัชกาลที่ ๙ กับการเสด็จพระราชดำเนินจังหวัดสุโขทัย.เนื่องในวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๔ เป็นวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จึงได้รวบรวมพระราชกรณียกิจ ที่พระองค์ทรงเสด็จฯ จังหวัดสุโขทัย เพื่อน้อมรำลึกและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู รักษา สร้างสรรค์ ส่งเสริม สืบทอด และพัฒนามรดกทางศิลปวัฒนธรรมของแผ่นดิน เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาประชาราษฎร บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนให้อยู่เย็นเป็นสุข.พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้เสด็จพระราชดำเนินจังหวัดสุโขทัย ทั้งหมด ๗ ครั้ง ดังนี้.ครั้งที่ ๑ เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรภาคเหนือ ระหว่างวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ - ๑๗ มีนาคม ๒๕๐๑ เสด็จถึงจังหวัดสุโขทัยสุโขทัยและประทับแรม วันที่ ๑-๒ มีนาคม ๒๕๐๑ โดยจังหวัดสุโขทัยเป็นจังหวัดที่ ๒ ในภาคเหนือที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎร และราษฎรในจังหวัดสุโขทัยได้มีโอกาสเข้าเผ้าทูลละอองธุลีพระบาทโดยทั่วถึงกัน.การเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎร ณ จังหวัดสุโขทัยครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้มีพระราชดำริแนวทางในการอนุรักษ์และพัฒนาอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยและอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย นอกจากนี้ยังได้ทอดพระเนตรถึงความทุรกันดาร และความเป็นอยู่ของราษฎร อันก่อให้เกิดแนวพระราชดำริที่จะเสด็จพระราชดำเนินจังหวัดสุโขทัยในครั้งต่อๆ มา.ชมภาพยนตร์ส่วนพระองค์การเสด็จพระราชดำเนินหัวเมืองภาคเหนือ ๒๗ กุมภาพันธ์ - ๑๘ มีนาคม ๒๕๐๑ ได้ที่  https://www.youtube.com/watch?v=2iUCzbDiSD0&t=278s.ครั้งที่ ๒ วันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๐๗ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงประกอบพิธีบวงสรวงสังเวยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เนื่องในวันกองทัพไทย ณ โบราณสถานวัดศรีชุม อุทยานประวัติสาสตร์สุโขทัย และทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง กรมศิลปากรได้ดำเนินการสร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๓ ใช้เงินงบประมาณแผ่นดินสมทบเงินบริจาคจากการจำหน่ายพระพิมพ์ที่ได้จากการขุดแต่งและบูรณะโบราณสถานในเมืองเก่าสุโขทัย การก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ.๒๕๐๖ โดยมีพระราดำรัส เปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง ว่า “...ขอให้พิพิธภัณฑสถานแห่งนี้ จงสถิตสถาพร เป็นสถาบันอันมีเกียรติ อำนวยประโยชน์ในด้านการศึกษา ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ศิลปะและวัฒนธรรมแก่นักเรียน นักศึกษา และประชาชน เป็นสมบัติอันควรภาคภูมิใจของชาวจังหวัดสุโขทัยและของคนไทยโดยทั่วไปตลอดกาลนาน”.ครั้งที่ ๓ วันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๐๙ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงประกอบพิธีบวงสรวงสังเวยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เนื่องในวันกองทัพไทย ณ ประตูดอนแหลม อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย.ในโอกาสนี้ ได้ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งกับผู้รักษาราชการแทนอธิบดีกรมศิลปากรว่า “โบราณสถานเมืองศรีสัชนาลัยนี้ เมื่อได้บูรณะเสร็จแล้ว ให้จัดการดูแลรักษาไว้ให้เป็นอย่างดี อย่าให้กลับชำรุดทรุดโทรมลงอีกโดยเฉพาะบริเวณพระราชวังที่ขุดพบรากฐานนั้น ควรจะได้ขุดค้นดูให้ทั่วถึง เพราะอาจพบจารึกหรือหลักฐานอันจะเป็นประโยชน์แก่ประวัติศาสตร์” พระราชดำรัสนี้ แสดงให้เห็นถึงความห่วงใยของพระองค์ที่มีต่อโบราณสถานของชาติว่าอาจถูกทำลายลงตามกาลเวลา.ครั้งที่ ๔ วันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๑๕ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พร้อมด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีและสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์เพื่อทอดพระเนตรโบราณสถาน ณ อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย .ด้วยพระองค์มีความสนพระราชหฤทัย โบราณสถานและผังเมืองศรีสัชนาลัย ตามความที่ปรากฏในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาในแผ่นดินของพระมหาธรรมราชา เมื่อสมเด็จพระนเรศวรทรงประกาศอิสรภาพไม่ขึ้นกับพม่าแล้ว หัวเมืองฝ่ายเหนือยังไม่สามัคคีร่วมเป็นแผ่นดินเดียวกัน พระองค์จึงต้องเสด็จยกกองทัพหลวงไปปราบ โดยเฉพาะการปราบพระยาสวรรคโลก และพระยาพิชัยนั้น ต้องเสียพลหลวงเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเมืองศรีสัชนาลัยมีการวางผังเมืองเป็นอย่างดี ในการทอดพระเนตรครั้งนี้ มีศาสตราจารย์หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล และนายมะลิ โคกสันเทียะ หัวหน้าหน่วยศิลปากรที่ ๓ (ในขณะนั้น) นำเสด็จฯ และถวายคำบรรยาย.ครั้งที่ ๕ วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๙ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พร้อมด้วย สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินพระราชทานธงลูกเสือชาวบ้านจังหวัดสุโขทัย ณ โรงเรียนสวรรค์อนันต์วิทยา.ครั้งที่ ๖ วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๑ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พร้อมด้วย สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีและสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมราษฎรศูนย์สงเคราะห์ชาวเขาหมู่บ้านท่าแพพัฒนา อำเภอศรีสัชนาลัยและราษฎรอำเภอทุ่งเสลี่ยม.ครั้งที่ ๗ วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๓๕ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเบิกพระเนตรพระพุทธรูปสุโขทัย (พระพุทธสิริมารวัชัย) และทรงวางศิลาฤกษ์หอพระพุทธสิริมารวิชัย ณ วัดชนะสงคราม อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย.ข้อมูลและภาพจาก : หนังสือสุโขทัยใต้ร่มพระบารมี จัดทำโดยสำนักงานจังหวัดสุโขทัย พิมพ์ปี พ.ศ.๒๕๔๕


ธมฺมธาตุ (ธมฺมธาตุ 7 ประการ)  ชบ.บ.50/1-1  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


ชื่อเรื่อง                                ตำราเวชศาสตร์ (ตำรายา) สพ.บ.                                  312/1ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               เวชศาสตร์ลักษณะวัสดุ                           38 หน้า กว้าง 5.5 ซม. ยาว 29.8 ซม.หัวเรื่อง                                 ตำรายา                                           บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรไทย-ธรรมอีสาน ภาษาไทย-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ (ลานก้อม) ได้รับบริจาคมาจาก วัดบ้านหมี่ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


          พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ขอนแก่น จัดนิทรรศการพิเศษเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย ประจำปี ๒๕๖๔ เรื่อง “มองความสัมพันธ์ระหว่างคนกับวัวในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ผ่านประติมากรรมรูปวัว” สามารถเข้าชมได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕           นิทรรศการนี้จัดขึ้นเพื่อสะท้อนการดำรงชีวิตของมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ที่มีความสัมพันธ์กับสัตว์ทั้งในแง่การล่าสัตว์และเลี้ยงสัตว์ เพื่อเป็นอาหารและใช้แรงงาน รวมถึงความสัมพันธ์ในความเชื่อหรือพิธีกรรมด้วย จากข้อมูลทางโบราณคดี พบว่า “วัว” เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่มนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ให้ความสำคัญ เนื่องจากได้พบหลักฐานต่าง ๆ เช่น กระดูก ภาพเขียนสี และประติมากรรม เป็นต้น          ประติมากรรมรูปวัวที่นำมาจัดแสดงในครั้งนี้ มีจำนวน ๗ รายการ ได้แก่ วัวดินเผา จำนวน ๕ รายการ หินแกะสลักรูปวัว จำนวน ๑ รายการ และวัวสำริด จำนวน ๑ รายการ ซึ่งมาจากการขุดค้นทางโบราณคดี และประชาชนมอบให้ ประติมากรรมรูปวัวแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับวัว โดยเฉพาะด้านพิธีกรรมความอุดมสมบูรณ์เกี่ยวกับการเกษตรกรรมในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ในปัจจุบันอาจเปรียบได้กับ “พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ”          สอบถามเพิ่มเติม โทร.๐ ๔๓๒๔ ๖๑๗๐ หรือ Facebook : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ขอนแก่น https://www.facebook.com/KhonKaenNationalMuseum


#เครื่องมือเครื่องใช้ในภาคเหนือก๋าวี หรือ วีก๋าวี หรือ วี ทำจากไม้ไผ่ สานเป็นรูปร่างคล้ายพัดแต่ขนาดใหญ่กว่าพัด วิธีใช้ คือ ชาวนาจะเลือกระยะเวลาที่ลมพัดดูทิศทางลมก่อนใช้ มีผู้ใช้พลั่วตักข้าวเปลือกสาดขึ้นในอากาศแล้วให้คนคนที่ถือก๋าวีโบกพัด เมล็ดข้าวที่ดีและมีน้ำหนักจะตกลงสู่พื้น ส่วนเศษผงต่างๆ และขี้ลีบ (เมล็ดข้าวที่ลีบหรือไม่มีคุณภาพ) จะลอยไปตามแรงลม ปัจจุบันมีเครื่องจักรที่ใช้แทนแรงคนคือเครื่องวีแบบใบพัดหมุน ภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่ ชุดภาพส่วนบุคคลของนายบุญเสริม สาตราภัยอ้างอิงสนม ครุฑเมือง. ๒๕๓๔. สารานุกรมของใช้พื้นบ้านไทยในอดีต. กรุงเทพฯ : บริษัท ต้นอ้อ จำกัด.


Messenger