ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ
สิงห์ (สิงห์ทวารบาล)
ศิลปะชวาภาคกลาง (พุทธศตวรรษที่ ๑๔)
ได้มาจากพุทธสถานบุโรพุทโธ (Borobudur) เกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย
ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ ณ ห้องศรีวิชัย อาคารมหาสุรสิงหนาท พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
รูปสิงโตจำหลักศิลา ใบหน้าสิงโตแสดงอาการดุร้าย ดวงตากลมโต เบิกโพลง ปากอ้า ส่วนลำตัวหนา แผงคอลักษณะเป็นแถบเส้นตรงส่วนปลายขมวดเป็นก้นหอยซ้อนกันสามชั้น ยกขาหน้าขึ้นในลักษณะทำท่าขู่ (ส่วนปลายเท้าขาหน้าได้รับการซ่อมแซมใหม่ในภายหลัง) นั่งอยู่บนฐานเขียงสี่เหลี่ยม
ประติมากรรมรูปสิงห์ทวารบาล ในศิลปะชวานั้นเป็นผลมาจากการรับวัฒนธรรมจากทางอินเดีย ซึ่งสิงห์เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ ลักษณะของการเป็นผู้นำ (เจ้าป่า) และผู้พิทักษ์ ดังนั้นจึงมีการตั้งรูปสิงห์ไว้ด้านหน้าศาสนสถานหลายแห่ง และมักจะแสดงออกด้วยท่าทางเคลื่อนไหว โดยเฉพาะการยกขาหน้าขึ้นแสดงความน่าเกรงขาม* เสมือนเป็นผู้ปกปักรักษาศาสนสถานแห่งนั้น สำหรับประติมากรรมสิงห์ชิ้นนี้ เป็นหนึ่งในประติมากรรมสิงห์ทวารบาลของพุทธสถานบุโรพุทโธ (Borobudur) โดยตั้งสิงห์ไว้คู่กันบริเวณทางขึ้นพุทธศาสนสถาน สร้างขึ้นโดยราชวงศ์ไศเลนทร์ ซึ่งนับถือพุทธศาสนามหายานขณะที่ศาสนสถานบางแห่ง เช่น จันทิงาเวน (Candi Ngawen) เมืองมุติลัน (Muntilan) ปรากฏรูปสิงห์ยืนตั้งอยู่ที่มุมพุทธสถาน นอกจากนี้บนซุ้มประตูพุทธสถานบางแห่งในศิลปะชวาภาคกลาง มีการประดับรูปสิงห์ขนาบทั้งสองข้างของหน้ากาล เช่น หน้ากาลจากที่ราบสูงเดียง (Dieng Plateau) เป็นต้น
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสชวา ในครั้งนั้นพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรพุทธสถานบุโรพุทโธ (Borobudur) และทรงมีพระราชประสงค์ที่จะเลือกชิ้นส่วนประติมากรรมไว้เป็นที่ระลึก ดังข้อความในพระราชหัตถเลขา ลงวันที่ ๒ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๑๕ (พ.ศ.๒๔๓๙) ความตอนหนึ่งกล่าวว่า
“...กลับลงมาเลือกลายต่าง ๆ ที่ตกอยู่ข้างล่าง คือนาคะหรือช้าง ลายหลังซุ้มพระเจดีย์ ๑ รากษสเล็กตัว ๑ สิงโตขาหัก ๒ ตัว ท่อน้ำอัน ๑...”
ภายหลังเสด็จจากประพาสชวา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพิธีสมโภชพระพุทธรูปและเทวรูปที่ทรงได้มาจากชวา กล่าวคือสิ่งของต่าง ๆ ที่ได้มาจากชวา โดยเทวรูปและพระพุทธรูปประดิษฐาน ณ โรงพิธีที่หน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๓๙ ในครั้งนั้นพระองค์โปรดเกล้าฯ ให้พระสงฆ์และพระบรมวงศานุวงศ์ตามเสด็จพระราชดำเนิน ดูสิ่งของที่ได้จากชวา พร้อมทั้งมีการแสดงทางวัฒนธรรมของทางชวา ทั้งการรำและการดนตรีอย่างชวา หลังจากนั้นสิงห์ชวาคู่นี้ได้เก็บรักษาอยู่ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
กระทั่งในสมัยรัชกาลที่ ๗ จึงมีการย้ายสิงห์ชวาคู่นี้มาจัดแสดงอยู่ ณ พิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร ปรากฏข้อความในลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๔ ความตอนหนึ่งกล่าวว่า
“...เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ฉันเข้าไปในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เห็นของที่ควรจะย้ายเอามารักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถาน มี ๒ อย่าง** คือ ๑. สิงห์ชะวา ทำด้วยศิลาคู่ ๑ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงได้มาแต่บุโรบุดอ เดี๋ยวนี้ยังตั้งอยู่ที่มุมหอพระคันธารราษฎร์ ควรจะย้ายเอามาไว้ที่พิพิธภัณฑสถาน ด้วยเครื่องศิลาที่ได้มาจากชะวาครั้งนั้นรวบรวมอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานหมดแล้ว ยังแยกกันอยู่แต่สิงห์ที่ว่านี้คู่เดียว...”
*การทำท่าให้น่าเกรงขาม หรือขู่ให้กลัว เป็นความหมายเดียวกับการแสดงท่า “ดรรชนีมุทรา” โดยทวารบาลตามทางเข้าศาสนสถานนิยมแสดงมุทรานี้ด้วยการชูสองนิ้วขึ้น ในศิลปะชวาภาคตะวันออก และบาหลี พบว่ามีการนำมุทรานี้ไปใช้กับหน้ากาลบนซุ้มประตูทางเข้าศาสนสถานด้วย
**อีกรายการหนึ่งคือ สิงห์ศิลาศิลปะเขมร คู่หนึ่งซึ่งแต่เดิมอยู่ตรงพระศรีรัตนเจดีย์
อ้างอิง
เชษฐ์ ติงสัญชลี. มุทรา ท่าทาง เครื่องทรง สิ่งของ รูปเคารพในศาสนาพุทธ เชน ฮินดู. นนทบุรี: มิวเซียมเพรส, ๒๕๖๕.
เชษฐ์ ติงสัญชลี. ประวัติศาสตร์ศิลปะอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รูปแบบ พัฒนาการ ความหมาย. พิมพ์ครั้งที่ ๒. นนทบุรี: มิวเซียมเพรส, ๒๕๕๘.
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. ระยะทางเที่ยวชวากว่าสองเดือน. พระนคร: โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๖๘ (ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์พระราชทานในงารพระศพ สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธกรมหลวงนครราชสีมา ณ พระเมรุท้องสนามหลวง พ.ศ. ๒๔๖๘).
สุภัทรดิศ ดิศกุล, หม่อมเจ้า. ศิลปะอินโดนีเซียสมัยโบราณ. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ: องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๔๕.
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. (๔) ศธ. ๒.๑.๑/๒๗๖. เอกสารกระทรวงศึกษาธิการ กรมศิลปากร. เรื่อง ขอรับสิงห์ชะวาและสิงห์เขมรจากวัดพระศรีรัตนศาสดาราม มาไว้ที่พิพิธภัณฑสถาน (๑๖ ก.พ. - ๒๑ มี.ค. ๒๔๗๔).
อมรา ศรีสุชาติ. พุทธปฏิมาวิจักษณ์จากภารตะสู่สุวรรณภูมิ. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์, ๒๕๖๑.
“เรื่อง การสมโภชพระพุทธรูป แลเทวรูปที่ทรงได้มาแต่ประเทศชวา.” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓ ตอน ๒๕ วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๔๓๙. หน้า ๒๖๘.
วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ เวลา ๐๗.๓๐ น. กระทรวงวัฒนธรรม จัดพิธีเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต ๑๓ ตุลาคม โดยกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก จัดพิธีสวดพระพุทธมนต์ ทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศลพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยมีดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา เป็นประธานในพิธีจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระรัตนตรัย และจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยผู้บริหาร ข้าราชการระดับสูงกระทรวงวัฒนธรรม และประชาชนที่สนใจเข้าร่วมในพิธีสวดพระพุทธมนต์และทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศลในครั้งนี้ ณ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ
กรมศิลปากร ขอแสดงความเสียใจและอาลัยอย่างสุดซึ้งกับการจากไปของครูมืด ประสาท ทองอร่าม บรมครูของสำนักการสังคีต กรมศิลปากร
ผลงานบางส่วนของครูมืด https://youtu.be/KNXyK2Gp-4s
https://youtu.be/QqZCMr_T1tw
https://youtu.be/zdmAouyFg7E
https://youtu.be/FICkVRGNyCo
https://youtu.be/hirjoskCYeE
ดุสิตธานี เมืองสมมุติประชาธิปไตยขนาดย่อส่วนในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ที่พระองค์ทรงพระราชดำริเกี่ยวกับการปกครองแบบประชาธิปไตย มาครั้งแต่ที่พระองค์ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร กว่าจะมีดุสิตธานีนั้น พระองค์ทรงเรียนรู้เกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยผ่านการทดลองการปกครองสมมุติหลากหลายรูปแบบโดยเริ่มต้นจากการปกครองแบบ The New Republic หรือ สาธารณรัฐใหม่ เป็นการปกครองสมมุติแรกเริ่ม ไม่มีอาคารสถานที่มีแต่บุคคล ทรงร่วมกลุ่มกับพระสหายเป็นบทบาทสมมุติในการทำกิจกรรมทางการเมืองที่ประกอบด้วยรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ และมีการออกหนังสือเช่นเดียวกับราชกิจจานุเบกษา มีการแบ่งพรรคการเมืองเป็น 2 พรรค คือพรรคสาธารณรัฐ กับพรรคนิยมกษัตริย์ ทั้งนี้คณะปกครอง The New Republic มีช่วงเวลาเพียงแค่ 41 วันเท่านั้นภาพ : พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งพระองค์ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารภาพ : แผนผังการนั่งของผู้เข้าประชุมสมาคมครึ เมืองมัง เป็นเมืองสมมุติขนาดเล็ก หรือเรียกว่าเมืองตุ๊กตา ทรงริเริ่มสร้างปี พ.ศ.2446 ในช่วงที่ทรงประทับ ณ พระตำหนักอัมพวา เหตุที่ชื่อเมืองมังนั้นคาดว่ามาจากชื่อพระตำหนักอัมพวา ที่แปลว่ามะม่วง และคำว่ามะม่วงในภาษาอังกฤษเรียกว่าแมงโก หรือมังโกนั่นเอง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงสร้างเมืองมังให้เป็นรูปธรรมขึ้น มีแม่น้ำลำคลอง ถนน หมู่บ้าน และสวน มีแบบแผนในการสร้างและการเล่นตามพระราชกระแสของพระองค์ เมืองมังยุติบทบาทลงหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงผนวชตามพระราชประเพณีในปี 2447
สมาคมครึ เป็นสมาคมมีหน้าที่ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงฝึกคนให้มีการเลือกตั้งกรรมการบริหารสมาคม ทรงกำหนดให้มี 2 พรรค คือ พรรคสุภาพบุรุษ และ พรรคแรงงาน ทรงนำแบบแผนผังการนั่งของผู้เข้าประชุมมาจากประเทศอังกฤษที่ประกอบด้วย ประธาน ผู้พูด ผู้รับเชิญ สมาชิกสตรี กรรมการบริหาร และที่นั่งของพรรคทั้ง 2 ที่อยู่ตรงข้ามกัน แต่เนื่องจากการทดลองสมาคมครึนี้มีการเปลี่ยนกรรมการผู้บริหารบ่อยเกินไปจึงทำให้สมาคมครึยุติบทบาทลง
นคราภิบาล เป็นการทดลองการปกครองในระบอบเทศบาลเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงลาผนวชแล้ว พระองค์ทรงให้สร้างเรือนแถวขึ้นตลอดแนวกำแพงพระตำหนักจิตรลดาเดิมกับวังปารุสกวัน(เก่า) โดยพระองค์ให้มหาดเล็กชั้นเด็กสมมุติเป็นราษฎรไปอยู่ที่เรือนแถวนั้น ทรงกำหนดหน้าที่ ระเบียบความเป็นอยู่และเขตการปกครอง กำหนดให้มีสภากรรมการ ประกอบด้วยนายกเทศมนตรี เลขาธิการ นายแพทย์สุขาภิบาล และเชษฐบุรุษ (ผู้แทนราษฎรในท้องถิ่น) เรียกว่า คณาภิบาล นอกจากนั้น นคราภิบาลยังมีองค์ประกอบของการปกครอง เช่น หนังสือพิมพ์ประเภทชวนหวว ที่นำเสนอบทพระราชนิพนธ์และข่าวสารในนคราภิบาล กำหนดออกรายสัปดาห์แจกให้ราษฎรอ่าน ด้านเศรษฐกิจ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งธนาคารขึ้น ชื่อว่า แบงก์ลีฟอเทีย เพื่อรับฝากเงินจากราษฎรหรือมหาดเล็ก เป็นต้น ภาพปกหนังสือพิมพ์ประเภทชวนหวว เมืองทราย เป็นการทดลองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่เกิดขึ้นจากการที่พระองค์ทรงร่วมก่อกองทรายกับมหาดเล็กชั้นเด็กๆ ทรงสอนให้มหาดเล็กเหล่านั้นทราบถึงการสร้างเมืองและป้อมปราการ ในคราวที่เสด็จค่ายหลวงหาดเจ้าสำราญ เพื่อประทับรักษาพระอาการประชวร และเมื่อเสด็จกลับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ก็มีพระราชดำริจัดตั้ง ดุสิตธานี ขึ้นทันที ภาพ : พระตำหนัก ณ ค่ายหลวงหาดเจ้าสำราญ
ดังที่ได้กล่าวข้างต้นจะเห็นได้ว่ากว่าจะมีดุสิตธานีนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงศึกษาและทดลองใช้ระบอบการปกครองหลายรูปแบบ เพื่อให้ประชาชนชาวไทยมีความรู้และความเข้าใจ มีพื้นฐานและแนวทางในการดำเนินการจัดการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ทุกแนวทางล้วนสะท้อนให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพความเป็นนักปราชญ์ของพระองค์ได้เป็นอย่างดียิ่ง
---------------------------------------------------
รายการอ้างอิง
ดุสิตธานี : เมืองประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ในพระบรมราชูปถัมภ์, 2553.
โดม ลูกแม่จันทร์. เปิดตำนานดุสิตธานี : เมืองจำลอง...เมืองตุ๊กตา...เมืองประชาธิปไตย. กรุงเทพฯ: ย้อนรอย, 2555.
อมรดรุณารักษ์ (แจ่ม สุนทรเวช). ดุสิตธานีเมืองประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช, 2513.
---------------------------------------------------
เรียบเรียงโดย : นางสาวพีรญา ทองโสภณ บรรณารักษ์ปฏิบัติการ สำนักหอสมุดแห่งชาติ
---------------------------------------------------
*เผยแพร่ข้อมูลทางเว็บไซต์ โดยกลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมศิลปากร
จุลจักรพงษ์,พันตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า. ชีวะประวัติของฮานนิบาล จอมทัพแห่งกรุงคาร์เธจ. พระนคร;โรงพิมพ์โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า:2490.
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 41/3ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 34 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 54 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
เรื่อง คู่มือเข้าใจลูกยุคดิจิทัล
ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์. คู่มือเข้าใจลูกยุคดิจิทัล. กรุงเทพฯ:
นานมีบุ๊คส์, 2563.
ห้องหนังสือทั่วไป 1 เลขเรียกหนังสือ 649.1 ป421ค
เทคโนโลยีการสื่อสารพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด เครื่องมือสื่อสารจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต ไม่ใช่เพียงวัยทำงานหรือวัยผู้ใหญ่ แต่ยังพบว่าการใช้โทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตเริ่มกระจายไปถึงวัยเด็กอีกด้วย ปฏิเสธไม่ได้ว่าพ่อแม่ผู้ปกครองมีส่วนสำคัญต่อพฤติกรรมของเด็ก นั่นเป็นเหตุผลที่การเลี้ยงลูกในยุคดิจิทัลไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป
คู่มือเข้าใจลูกยุคดิจิทัล เล่มนี้ นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ พาเราไปพบกับแนวคิดและวิธีการเลี้ยงลูกฉบับรวบรัด เพื่อทำความเข้าใจและลดช่องว่างระหว่างพ่อแม่และลูกในยุคดิจิทัล ยุคสมัยที่โลกเข้าถึงตัวเด็กได้เพียงปลายนิ้ว ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าพ่อแม่สมัยใหม่เป็นคนหยิบยื่นอุปกรณ์สื่อสารให้กับลูกด้วยตัวเอง เพียงเพราะคิดว่าจะช่วยทำให้เด็กได้อยู่นิ่ง และจะได้ใช้เวลาสำหรับการทำงานบ้าน หรือกิจวัตรอื่นๆ บ้างก็เชื่อว่าการที่เด็กนั่งหน้าจอจะช่วยให้มีสมาธิซึ่งไม่เป็นความจริง พ่อและแม่ควรจะเลี้ยงลูกบนหลักของความไว้ใจว่าลูกจะอยู่นิ่งได้โดยไม่ต้องใช้หน้าจอช่วย สมาคมกุมารแพทย์ทั่วโลก รวมทั้งองค์การอนามัยโลกมีประกาศที่ไปในทิศทางเดียวกันว่า ไม่ควรให้เด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบดูหน้าจอ บางประเทศห้ามถึง 3 ขวบก็มี เพราะเด็กในวัยนี้ควรจะได้สัมผัสกับการเล่นจริงๆ บนสนามหรือพื้นบ้าน เช่น การเล่นทราย การปั้นดินน้ำมัน การวิ่งเล่นปีนป่าย หรือการละเล่นแสดงบทบาทสมมติ ซึ่งเป็นการเสริมสร้างพัฒนาการและสร้างสมาธิได้จริง และสาเหตุที่เด็กในยุคนี้ติดโซเชียลมีเดีย นั่นเป็นเพราะมือถือหรือโลกอินเทอร์เน็ตมี 3 สิ่งที่เป็นแกนกลางสำคัญ คือ มีความเป็นส่วนตัว เป็นอิสระจากการเข้ามาสอดส่อง สั่งสอน รบกวน จากพ่อแม่ ประเด็นที่สอง คือมีสังคม ช่วยให้เด็กพบกับผู้คนมากหน้าหลายตา และสังคมในโลกโซเชียลกว้างกว่าโลกของความเป็นจริงมากนัก สุดท้ายคือมีสนามให้เด็กได้แสดงทัศนะ ความคิดเห็น คุณค่า และความสามารถ หากพิจารณาแล้วมือถือมีประโยชน์มากกว่าโทษแต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเด็กจะกำกับตนเองให้ใช้ในทิศทางใดเท่านั้น ซึ่งพ่อแม่สามารถช่วยเตรียมความพร้อมเพื่อให้ลูกรับมือกับโลกได้อย่างแข็งแกร่งทั้งกายและใจ ผู้สนใจสามารถหาอ่านได้ที่หอสมุดแห่งชาติชลบุรี (วันอังคาร – วันเสาร์ เวลา 09.00 - 17.00 น.)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 139/6 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 174/4 เอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)
ชื่อผู้แต่ง -
ชื่อเรื่อง อนุสรณ์ในงานประชุมเพลิงศพนางเทียน บุราคม
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ ม.ป.ท.
สำนักพิมพ์ ม.ป.พ.
ปีที่พิมพ์ ๒๕๒๖
จำนวนหน้า ๑๒๗ หน้า
บุตรและธิดาทุกคนจัดทำเพื่อเป็นอนุสรณ์ในงานประชุมเพลิงศพ นางเทียน บุราคม กล่าวถึงประวัติย่อ นางเทียน บุราคม เป็นบุตรตรีคนที่ 3 ของนายดีและนางฝ้าย ทรงอยู่ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2446 ณ บ้านโคกหม้อ ตำบลโพธิ์เก้าต้น อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 4 คน ได้สมรสกับ นายดาบ มาลัย บุราคม
ชื่อผู้แต่ง วัดบวรนิเวศวิหาร
ชื่อเรื่อง วัดบวรนิเวศวิหาร
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ พระนคร
สำนักพิมพ์ ห้างหุ้นส่วนจำกัดศิวพร
ปีที่พิมพ์ ๒๕๑๕
จำนวนหน้า ๑๔๔ หน้า
หมายเหตุ จัดพิมพ์ในงานวชิรญาณวงศานุสรณ์ครบ ๑๐๐ ปี
รายละเอียด
ในงานมหานุสรณ์ครบ ๕๐ ปีสิ้นพระชนม์แห่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสแต่เป็นภาษาอังกฤษต่อมาจัดพิมพ์ฉบับภาษาไทยในงานวชิรญาณวงศานุสรณ์ครล ๑๐๐ ปี เนื้อหาประกอบด้วย ประวัติวัดบวรนิเวศวิหารวัดใหม่ ผู้ครองวัดนี้ บูชนียสถาน ภาพฝาผนังพระอุโบสถเขตสีมาพระเจดีย์วัดบวรนิเวศวิหาร