ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ
อนุทิน อนุสรณ์. พระนคร : ห้างหุ้นส่วนจำกัดศิวพร, 2505ใ จัดพิมพ์ในงานบรรจุอัฐิ พลเอกเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต ( แย้ม ณ นคร ) เสนาบดีกระทรวงกลาโหม ๒๔๖๔ – ๒๔๖๗ ณ พระพุทธสิหิงค์ จ.นครศรีธรรมราช กำหนดการเชิญอัฐิมายัง จ.นครศรีธรรมราช เพื่อบรรจุในช่องพระปรางค์ หอพระพุทธสิหิงค์ เป็นบทร้อยกรองและยังกล่าวถึงพระราชนิพนธ์ ร.6 เรื่องศกุนตลา อิลราช เงาะป่าลอิเหนา นอกจากนั้นเป็นรายการ ดาว-หวาน พร้อมทั้งวิธีปรุง ประมาณ 50 รายการ
เลขทะเบียน : นพ.บ.729/7กห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 24 หน้า ; 4 x 56 ซ.ม. : ลานดิบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 228 (326-331) ผูก 7ก (2568)หัวเรื่อง : วิภังคปกรณ์--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.790/4ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 40 หน้า ; 4.5 x 57 ซ.ม. : ลานดิบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 243 (477-487) ผูก 4 (2568)หัวเรื่อง : สงฺคีติกถา--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ชื่อเรื่อง พระประวัติพระพี่นางสุพรรณกัลยาผู้แต่ง -ประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือท้องถิ่นหมวดหมู่ ศาสนาเลขหมู่ 923.1593 ส828พสถานที่พิมพ์ สุพรรณบุรี สำนักพิมพ์ ม.ป.พ.ปีที่พิมพ์ ม.ป.ป.ลักษณะวัสดุ ภาพประกอบ ; 22 ซม.หัวเรื่อง พระประวัติพระพี่นางสุพรรณกัลยา ภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึก พระสุพรรณกัลยาทรงพระราชสมภพ ณ พระราชวังจันทร์ (จ.พิษณุโลก) วันเสาร์ปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๐๙๘ เป็นพระธิดาองค์ใหญ่ของพระมหาธรรมราชาและพระวิสุทธิกษัตรีแห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงเป็นพระพี่นางของสมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้า (พระองค์ดำ) และสมเด็จพระเอกาทศรถ (พระองค์ขาว)
***บรรณานุกรม***
กรมศิลปากร
คัมภีร์ลลิตวิสตระ พระพุทธประวัติฝ่ายมหายาน ตอน 2-2 ศาสตราจารย์ ร.ต.ท. แสง มนวิทูร เปรียญ แปลเป็นภาษา ไทย กรมศิลปากรมจัดพิมพ์ พ.ศ. 2512
พระนคร
ห้างหุ้นส่วนจำกัดศิวพร
2512
Can’ you Ever See
เพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ ๒๒
เพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ ๒๒ ทรงพระราชนิพนธ์ในพุทธศักราช ๒๔๙๘ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ ทรงนิพนธ์คำร้องภาษาอังกฤษและทรงพระราชทานให้นำออกบรรเลงในงานรื่นเริงประจำปีของสมาคมนักเรียนเก่าอังกฤษในพระบรมราชูปถัมภ์ ณ เวทีลีลาศสวนลุมพินี เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๙๘ เพลงพระราชนิพนธ์นี้ไม่มีคำร้องภาษาไทย
Royal composition Number 22
The twenty-second royal musical composition was written in 1955, with English lyrics by His Royal Highness Prince Chakrabhand Pensiri. It was granted to be performed in the annual fair of the British University Alumni Association under the Royal Patronage at Lumbini Dance Hall on Saturday, 12 February 1955. This royal composition has no Thai lyrics.
วันที่ 9 เมษายน 2559 อธิบดีกรมศิลปากร ( นายอนันต์ ชูโชติ) ตรวจพื้นที่โบราณสถานในเขตจังหวัดพัทลุง ได้แก่ หลุมขุดค้นป้อมเก่าสมัยเดอลามา โบราณสถานวัดเขาเมืองเก่าชัยบุรี แหล่งโบราณคดีวัดในยอร้าง (เมืองเก่าชัยบุรี) อ.ชัยบุรี จ.พัทลุง
“เงาะ” เป็นคนป่าเผ่าหนึ่งอาศัยอยู่ในจังหวัดทางภาคใต้ของไทย ภาษามลายูเรียกว่า “เซมัง” หรือ “ซาไก” แต่คนพวกนี้เรียกตัวเองว่า “ก็อย”
ทุกวันนี้คนเผ่าเงาะก็ยังมีอยู่ แต่ความเจริญของบ้านเมืองทำให้คนป่าเผ่านี้กลายเป็นคนเมืองไปเกือบหมดแล้ว มีทะเบียนสำมะโนครัว เช่นเดียวกับคนไทยทั่วไป นามสกุลที่ตั้งขึ้นก็มักจะมีชื่อตำบลที่อยู่อาศัยร่วมอยู่ด้วย เช่นพวกที่อยู่ยะลาก็มีคำว่า “ธารโต” พวกที่อยู่พัทลุงก็มีคำว่า “บรรพต” เป็นต้น
ในอดีต เงาะป่าซาไกคนหนึ่งมีวาสนาสูงส่ง แม้จะเกิดในดงดอน แต่แรงวาสนาทำให้เขาทะยานมาเป็นคนดังในราชสำนัก ร.๕ ในฐานะมหาดเล็กพิเศษที่โปรดปรานของพระพุทธเจ้าหลวง เฝ้ารับใช้ใกล้ชิดถึงกับเรียกพระองค์ว่า “คุณพ่อ”
ทั้งนี้จากการเสด็จประพาสจังหวัดพัทลุงในปี พ.ศ. ๒๔๔๗ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์จะได้ลูกเงาะมาชุบเลี้ยงไว้สักคนหนึ่ง โดยไม่ให้มีการบังคับจับกุม หลวงทิพกำแหง ผู้รั้งราชการเมืองพัทลุง จึงรับหน้าที่สนองพระราชประสงค์ และบอกต่อไปยัง นายสินนุ้ย ผู้ใหญ่บ้านที่คุ้นเคยกับพวกเงาะดี ในที่สุดก็เห็นว่ามีเงาะกลุ่มหนึ่งกำลังจะโยกย้ายที่อยู่ ในกลุ่มนี้มีเด็กผู้ชายอายุ ๑๐ ขวบอยู่คนหนึ่งชื่อ “คนัง” กำพร้าพ่อแม่ และจะต้องได้รับความลำบากในการเคลื่อนย้าย เพราะไม่มีใครดูแลอุปการะ แต่การเกลี้ยกล่อมให้สมัครใจคงไม่สำเร็จแน่ จะต้องใช้วิธีหลอกล่อจับตัว จึงมอบหมายให้นายยาง หรือยัง เงาะด้วยกันเป็นผู้รับหน้าที่นี้
วันหนึ่งขณะคนังไปเที่ยวป่ากับ “ไม้ไผ่” เพื่อนเกลอ นายยังได้ล่อหลอกให้มาดูมโนราของโปรดของเงาะที่บ้าน และปรนเปรออาหารเสียอิ่มแปล้ คนังง่วงนอนหลับไป นายยังจึงได้โอกาสอุ้มไปให้ผู้ใหญ่สินนุ้ยนำตัวไปถวาย
คนังตื่นขึ้นมาก็พบว่ากำลังอยู่ในเต็นท์ที่หลวงทิพกำแหงไปนอนรอรับ ไม่ใช่ทับที่พำนักของตัว ก็ร้องไห้แผลงฤทธิ์ดิ้นหนี หลังจากปลอบประโลมจนคนังคลายความตื่นตระหนกเลิกร้องไห้แล้ว แต่ก็ยังดิ้นรนที่จะกลับไปสู่ถิ่นให้ได้ หลวงทิพกำแหงพยายามปลอบขวัญตลอดเวลาที่นั่งหลังช้างมาด้วยกัน คนังก็ยังตื่นกลัวไม่รู้ว่ากำลังถูกพาตัวไปไหน แม้จุดหมายปลายทางจะเป็นสถานที่ที่ทำให้ชีวิตของเขาได้พบกับความเริดหรูเฟื่องฟูยิ่งกว่าเงาะคนใดจะได้รับ
เมื่อมาถึงวังหลวง มีพิธีทำขวัญคนังกันอย่างเอิกเกริก มีพราหมณ์มาอ่านคาถาทำขวัญ ลั่นฆ้องสนั่นสามรา คนังได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีและเข้มงวดกวดขันในด้านสุขภาพ เพราะเกรงกันว่าจะเจ็บป่วยจากการผิดน้ำผิดอากาศที่เปลี่ยนจากป่ามาสู่เมือง มีพี่เลี้ยงถึง ๒ คนช่วยอาบน้ำแต่งตัว หัดให้ใช้ช้อนส้อมกินข้าวและภาษาพูด แต่คนังก็ไม่ได้เจ็บป่วยแต่อย่างใด
พระองค์เจ้าสายสวรีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฎ พระอรรคชายา ทรงเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูคนังด้วยความรัก ฝึกสอนให้รู้จักระเบียบต่างๆของราชสำนัก เพราะคนังจะต้องอยู่ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทพระพุทธเจ้าหลวงในฐานะมหาดเล็กพิเศษ ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชหัตถเลขาไปถึงเจ้าพระยายมราช สมุหเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช เกี่ยวกับพระเมตตาของพระอรรคชายาที่มีต่อคนังว่า
“...อ้ายคนังตั้งแต่มายังไม่เจ็บเลย เจ้าสาย (กรมพระสุทธาสินีนาฎ) นั้นหลงรักเหลือเกินทีเดียว เพราะมันไม่ได้ไปเที่ยวข้างไหนเลย อยู่แต่บนเรือน ช่างประจบด้วยความรู้ความประมาณตัวเองในสันดาน ทั้งถือตัวว่าเป็นลูก ก็พูดอยู่เสมอว่าลูกข้า ไม่ได้ไว้ตัวเทียบเจ้านายลูกเธอ รักแลนับถือไม่เลือกว่าใคร ไว้ตัวเองเสมอหม่อมเจ้า ไม่มีใครสั่งสอนเลย”
เมื่อได้รับการดูแลและพระเมตตาจากพระอรรคชายาเช่นนี้ คนังจึงเรียกท่านว่า “คุณแม่” เรียกพระเจ้าอยู่หัวว่า “คุณพ่อหลวง” และเรียกสมเด็จหญิงเล็ก หรือสมเด็จเจ้าฟ้านิภานภดลว่า “คุณพี่”
ชีวิตในรั้ววังชั้นในของคนังแตกต่างจากชีวิตในป่าเมืองพัทลุงอย่างสิ้นเชิง แต่คนังก็ปรับตัวรับสภาพใหม่ได้อย่างมีความสุข ทำตัวให้เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของคนทั่วไป
พระราชหัตถเลขาถึงเจ้าพระยายมราชได้กล่าวตอนหนึ่งอีกว่า
“...การที่แสดงกิริยาเศร้าโศกเวลาพูดถึงบ้านอย่างแต่ก่อนไม่มี ด้วยว่ารู้จักคนกว้างขวาง ตั้งแต่เจ้านาย ข้าราชการผู้ใหญ่ลงไปจนถึงผู้น้อย ทั้งข้างหน้าข้างใน เขาแสดงความเมตตาเล่นหัวได้ทั่วไป อยู่ข้างจะเพลิดเพลินมาก อดนอนก็ทน แลคุณสมบัติในส่วนตัวซึ่งได้สังเกตแต่แรกไม่มีเสื่อมทรามลงไปคือ ตาไว ความคิดเร็ว จงรักภักดีมาก กตัญญูมาก นับว่าเป็นเฟเวอริตของราชสำนักนี้ได้...”
เครื่องแต่งตัวชุดมหาดเล็กพิเศษของคนังออกแบบใหม่โดยเฉพาะ เป็นสีแดงสด อันเป็นสีโปรดของเงาะทั่วไป ตามเสด็จฯไปทุกหนทุกแห่งเป็นที่สะดุดตา เพราะชุดสีแดงคนแต่งตัวดำ ยิ้มเห็นฟันขาว
พระพุทธเจ้าหลวงได้ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่อง “เงาะป่า” ขึ้นในปี พ.ศ.๒๔๔๘ ซึ่งในคำนำของบทละครเรื่องนี้ทรงอธิบายไว้ว่า
“...ส่วนศัพท์ภาษาก็อยู่ไล่เลียงจากอ้ายคนังทั้งนั้น แต่ไม่ใช่เลียงขึ้นสำหรับหนังสือเล่มนี้ ได้ชำระกันแต่แรกมาเพื่อจะอยากรู้รูปภาษาว่ามันเป็นอย่างไร แต่คำให้การนั้นได้มากแต่เรื่องนก หนู ต้นไม้ รากไม้ เพราะมันยังเป็นเด็ก...”
ทรงให้ โรเบิร์ต เลนซ์ ช่างภาพฝรั่ง ถ่ายรูปคนังในเครื่องแต่งกายชุดต่างๆ ซึ่งคนังก็ชอบใจมากที่เห็นรูปของตัวเองและคิดถึงญาติพี่น้องในป่าที่จากมา ไม่รู้ว่าย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่ไหนกันบ้าง อยากจะส่งรูปเหล่านี้ไปให้ดู เพื่อจะอวดว่าเดี๋ยวนี้เขาโตขึ้นและโก้ขึ้นมาก ทั้งไม่เจ็บไข้ได้ป่วยเลย
พระพุทธเจ้าหลวงก็ทรงรับเป็นพระธุระจัดการให้มหาดเล็กคนโปรด โดยมีพระราชหัตถเลขาไปถึงเจ้าพระยายมราชพร้อมด้วยรูปของคนัง
“...ด้วยอ้ายคนังฝากรูปไปให้พี่น้อง ได้ส่งออกมาด้วยแล้ว ถ้ามีช่องทางที่ใครไปตรวจราชการที่นั้น ขอให้นำส่งให้มันด้วย...”
จะมีใครในแผ่นดินที่ทำได้เช่นนี้ นี่คือวาสนาของเงาะป่าที่ชื่อ คนัง แห่งเมืองพัทลุง
รูปของคนังไม่ว่าในชุดเงาะของบทละคร ที่ไม่ต้องใส่หัวเงาะเหมือนคนอื่น หรือในท่าอื่นๆ ได้รับความสนใจจากคนทั่วไปมาก พระพุทธเจ้าหลวงจึงให้นำออกจำหน่ายเป็นการกุศลในงานประจำปีของวัดเบญจมบพิตร ซึ่งเป็นงานใหญ่ในยุคนั้น ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงเจ้าพระยายมราชในเรื่องนี้ว่า
“...บัดนี้ได้ส่งรูปอ้ายคนังที่ขายเมื่องานวัด (เบญจมบพิตร) มีคนชอบมาก เดิมพิมพ์ขึ้นไว้แค่ ๒๓๐ เร่งกันให้พิมพ์ในเวลางาน กระดาษเหลือเท่าใดก็ได้พิมพ์อีกสัก ๓๐-๔๐ รูปขายไม่ทัน ยังหาซื้อกันเรื่อยอยู่จนเดี๋ยวนี้ อีกรูปหนึ่งนั้นได้ถ่ายในวันก่อนเริ่มงาน ด้วยนึกว่าฝรั่งจะไม่เข้าใจเรื่องเงาะ จึงได้ถ่ายรูปแต่งธรรมดาก็ถูกต้อง ฝรั่งชอบรูปนั้นมากกว่ารูปที่แต่งเป็นเงาะ ขายในเวลางานแผ่นละ ๓ บาท ได้เงิน ๑,๐๐๐ บาทเศษ แบ่งออกเป็นสามส่วน ให้วัดส่วนหนึ่ง เป็นค่ากระดาษค่าน้ำยาส่วนหนึ่ง เป็นของอ้ายคนังส่วนหนึ่ง ได้เงินส่วนอ้ายคนังเกือบ ๔๐๐ บาท เดี๋ยวนี้สมบัติอ้ายคนังมีกว่า ๔๐๐ บาทขึ้นไปแล้ว ถ้าอยู่ไปจนแก่เห็นจะมีเงิน เพราะมันไม่ได้ใช้เลย.....”
ในพระราชหัตถเลขา อีกตอนได้กล่าวไว้ว่า
“...เสียแต่อย่างไรๆ ก็ยังนับเงินไม่ถูกอยู่เช่นนั้นเอง หนังสือเห็นจะพอสอนง่ายกว่าเลข เลขนั้นดูเหมือนไม่มีกิฟสำหรับชาติมันทีเดียว ได้ลองให้ขายของ ซ้อมกันอยู่หลายวัน ก็ยังรางๆอยู่เช่นนั้น สาเหตุนั้นด้วยมันไม่รู้จักรักเงิน ยังไม่รู้เลยว่าเงินมีราคาอย่างไรจนเดี๋ยวนี้...”
ต่อมายังทรงให้คนังถ่ายรูปในชุดตามเสด็จเต็มยศ อัดจำหน่ายในราคารูปละ ๑๐ บาท ซึ่งพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชบริพารซื้อกันมาก เงินที่ได้โปรดฯให้นำไปบำรุงการกุศลวัดวาอารามต่างๆ
การมีส่วนร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลหาเงินเจ้าวัดด้วยการขายรูปตัวเองนี้ เป็นกุศลส่งให้คนังเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าอยู่หัว ได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากเจ้านายและข้าราชบริพารทั่วไป เป็นมหาดเล็กที่เด่นที่สุดของราชสำนัก ชีวิตของคนังได้รับความสุขความอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยมีชาวป่าชาวดอยคนใดจะได้รับ
แม้พระพุทธเจ้าหลวงจะทรงโปรดคนังเพียงไร แต่เมื่อคนังอายุเข้า ๑๔ ปีก็ไม่สามารถจะอยู่ในพระราชวังต่อไปได้ ต้องออกไปอยู่ข้างนอกเหมือนผู้ชายคนอื่นๆ พระเจ้าอยู่หัวทรงฝากคนังไว้กับพระยาบุรุษรัตนราชพัลลภให้เป็นผู้เลี้ยงดูต่อ โดยคนังจะต้องมาเข้าเวรมหาดเล็กเช่นเคย
โลกอิสระภายนอกวังทำให้ชีวิตคนังเปลี่ยนไปอีกแบบ ประกอบกับเริ่มเป็นหนุ่ม ทั้งยังมีฐานะการเงินระดับขุนนางทีเดียว ที่ “คุณพ่อหลวง”ว่าคนังยังไม่รู้เลยว่าเงินมีราคาอย่างไร ก็เริ่มรู้ คนังจึงท่องราตรีไปตามสถานเริงรมย์ต่างๆ ที่มีอยู่ในสมัยนั้น คบเพื่อนประเภทเสเพล ที่สำคัญคือ เริ่มรักผู้หญิง
ชีวิตสนุกสนานนอกวังยามราตรี ทำให้คนังเพลิดเพลินลุ่มหลงจนถึงขั้นทิ้งการเข้าเวร พระเจ้าอยู่หัวทรงกริ้วในความเหลวไหลของคนัง แม้จะทรงเมตตาอย่างไรคนังก็ต้องได้รับโทษตามกฎระเบียบ คนังจึงถูกลงพระอาญา รับสั่งให้เฆี่ยนต่อหน้าข้าราชบริพาร เพื่อมิให้กระทำความผิดเช่นนี้อีก
ชีวิตของคนังเริ่มเฉาและตกต่ำลงเมื่อพระพุทธเจ้าหลวงสวรรคต คนังท่องเที่ยวตามอำเภอใจ แม้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชบริพารทั้งหลายยังคงให้ความเมตตาแก่คนังเช่นเดิม แต่คนังใจแตกเสียแล้ว เที่ยวเตร่และคบเพื่อนเสเพลมากขึ้น มีเรื่องผู้หญิงมาเกี่ยวพันมากขึ้น จนกระทั่งต้องจบชีวิตลงในวัยหนุ่มกำดัดนั้นเอง
สาเหตุการตายของคนังไม่ปรากฏชัด บ้างก็ว่าเขาเสียชีวิตเพระโรคร้ายที่ติดมาจากผู้หญิงเสเพล
บ้างก็ว่า แม้คนังจะแสดงเป็นเงาะในบทพระราชนิพนธ์เรื่อง “เงาะป่า” โดยไม่ต้องใส่หัวเงาะเช่นคนอื่น แต่เขาก็ไม่อาจถอดรูปเงาะเป็นพระสังข์ได้ ฉะนั้นยากที่จะหารจนามาเสี่ยงพวกมาลัยให้ คนังจึงต้องปีนบ้านขึ้นไปหารจนาในยามวิกาล แต่นางก็ไม่เล่นด้วยและร้องโวยวายขึ้น คนังจึงโดนทั้งไม้พลองกระบองสั้นจนซมซานไปด้วยความบอบช้ำ
ไหนจะช้ำทั้งกายช้ำทั้งใจ ในที่สุด คนัง เงาะที่ทะยานจากป่ามาสู่ราชสำนักด้วยแรงวาสนา ก็สิ้นวาสนาไปก่อนวัยอันควร เหลือไว้เพียงตำนานให้เล่าขานกันถึง ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวของคนป่าเผ่าซาไก ที่ได้มาเป็นมหาดเล็กพิเศษคนโปรดของสมเด็จพระปิยะมหาราช
ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ -สั่งรื้ออาคารรุกกำแพงดินทั้งสองจุดแล้ว หลังเรื่องเข้าที่ประชุมอนุกรรมการพัฒนาเมืองเก่า เทศบาลเผยต้องรื้อใน 30 วันตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ครบกำหนดกลางเดือนหน้า ด้านที่ดินจว.เตรียมแจ้งโฉนดพื้นที่ทับแนวกำแพง-คูเมืองอาจถูกเพิกถอนได้
วันนี้ (18 ม.ค.) คณะอนุกรรมการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าเชียงใหม่ ได้จัดการประชุมขึ้น ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ โดยมี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่เป็นประธานการประชุมของคณะอนุกรรมการในครั้งนี้ มีหัวข้อหลัก คือ การพิจารณาปัญหาเอกชนก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตทับแนวกำแพงเมือง-คูเมือง จังหวัดเชียงใหม่ และการประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่าเชียงใหม่ ของคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.2553 โดยมี พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการเป็นผู้ลงนาม ตามมติคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 9 พ.ย.2553
สำหรับกรณีปัญหาเอกชนก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตทับแนวกำแพงเมือง-คูเมือง จังหวัดเชียงใหม่ หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อันได้แก่สำนักงานธนารักษ์พื้นที่เชียงใหม่ สำนักศิลปากรที่ 8 เชียงใหม่ เทศบาลนครเชียงใหม่ และสำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ ได้รายงานความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาต่อที่ประชุม
ล่าสุด ได้เทศบาลนครเชียงใหม่มีคำสั่งให้ทำการรื้อถอนอาคารที่รุกล้ำพื้นที่กำแพงดินทั้งสองแห่ง ได้แก่ อาคารโรงแรมของ นางสาวเพ็ญสินี พรหมเศรณี บริเวณฝั่งตรงข้ามโรงแรมอิมพีเรียลแม่ปิง ซึ่งก่อสร้างอาคารคร่อมทับแนวกำแพงเมือง และอาคารพาณิชย์ ค.ส.ล.3 ชั้น จำนวน 4 คูหาของ นายวลัญช์ชัย เกียรตินิยมรุ่ง ซึ่งทำการก่อสร้างผิดไปจากใบอนุญาตก่อสร้าง ที่ให้สร้างอาคารที่พักอาศัย 2 ชั้น โดยให้เจ้าของอาคารทั้งสองรายทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ซึ่งจะครบกำหนดภายในวันที่ 15 ก.พ.ที่จะถึงนี้
ขณะที่สำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ ได้ประสานงานกับทางสำนักงานธนารักษ์พื้นที่เชียงใหม่ เพื่อขอบัญชีโฉนดที่ดินจำนวน 596 แปลง ที่อยู่ในแนวเขตกำแพงเมือง-คูเมือง เพื่อทราบและถือปฏิบัติในกรณีที่มีการซื้อขาย โดยจะระบุเป็นเงื่อนไขว่า โฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวอาจถูกเพิกถอนได้
นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการยังได้มีความเห็นว่า ไม่มีภาระหน้าที่พิจารณาปัญหาข้อพิพาทดังกล่าว ภายหลังจากที่ที่ประชุมการติดตามและเร่งรัดการแก้ไขปัญหา กรณีเอกชนก่อสร้างอาคารบริเวณแนวกำแพงเมือง-คูเมือง จังหวัดเชียงใหม่ มีมติให้นำคำร้องขออุทธรณ์คำสั่งให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างอาคาร ราย นางสาวเพ็ญสินี พรหมเศรณี ลงวันที่ 21 ธ.ค.2553 เสนอต่อสำนักงานธนารักษ์พื้นที่เชียงใหม่ และเสนอต่อที่ประชุมเมื่อวันที่ 10 ม.ค.ที่ผ่านมา เข้าสู่การพิจารณาของคณะอนุกรรมการ
โดย ASTV ผู้จัดการออนไลน์
http://www.manager.co.th/Local
วัสดุ สำริด
แบบศิลปะ ศิลปะเขมรในประเทศไทย
อายุสมัย ประมาณพุทธศตวรรษที่ 18
สถานที่พบ พบในเขต อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด
กระดิ่งหล่อจากสำริด ตัวกระดิ่งและด้ามแยกออกจากกันได้ ตัวด้ามทำเป็นปล้องคล้ายลูกมะหวด ยอดทำเป็นแฉก 3 แฉก ยอดกลางเป็นแท่งสามเหลี่ยม ขนาบข้างด้วยยอดโค้งลักษณะคล้ายปลายธงสะบัด ด้านในร้อยแท่งเหล็กกลม เวลาสั่นจะเกิดเสียง
กระดิ่ง (ฆัณฏา) เป็นเครื่องมงคลที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ทั้งในศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธ เช่น ใช้ร่วมกับวัชระในพิธีทำวัตรในศาสนาพุทธมหายาน นิกายวัชรยาน
ชื่อวัตถุ ชามลายน้ำทอง (เครื่องถ้วย)
ทะเบียน ๒๗/๔๗๑/๒๕๓๒
อายุสมัย รัตนโกสินทร์
วัสดุ กระเบื้อง
ประวัติที่มา เป็นมรดกตกทอด พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลาง ได้รับมอบจากนายส่ามเต่ และนางฉ้ายกิ๋ม แซ่อ๋อง พร้อมบุตรและธิดา เมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๓๒
สถานที่เก็บรักษา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลาง
“ชามลายน้ำทอง” (เครื่องถ้วย)
เครื่องถ้วยลายน้ำทองใบนี้ เป็นภาชนะทรงชามปากกว้าง ส่วนปากทาด้วยสีทอง ใต้ขอบปากตกแต่งเป็นลายยู่อี่ (Ju-I) ด้วยสีเหลืองและชมพู ยู่อี่ หมายถึง ความสมปรารถนาในทุกสิ่งที่ประสงค์ และมีอายุยืนนาน ลำตัวตกแต่งด้วยรูปดอกไม้สีชมพู น้ำเงิน และเหลือง มีใบไม้เป็นสีเขียว ตัวชามมีสีพื้นเป็นสีส้ม และมีหู ๔ หู เป็นสีทอง
เครื่องถ้วยลายน้ำทองใบนี้เป็นหนึ่งใน “เครื่องถ้วยนนยา” (Nyonya Wares)คำว่า นนยา (Nyonya) เป็นคำภาษาชวาที่ยืมมาจากคำว่า “dana”ซึ่งเป็นภาษาดัชต์ หมายถึง ผู้หญิงต่างประเทศแต่งงาน ต่อมาใช้เรียกกลุ่มลูกครึ่งจีนกับมลายูที่มีวัฒนธรรมผสมผสานและสร้างวัฒนธรรมแบบใหม่เรียกว่า “เปอรานากัน” แปลว่า “เกิดที่นี่” ซึ่งส่วนใหญ่อยู่อาศัยในแถบประเทศอินโดนีเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ส่วนในภูเก็ตเรียกคนที่มีเชื้อสายจีนผสมกับพื้นเมืองว่า “บาบ๋า”
“เครื่องถ้วยนนยา” คือ เครื่องถ้วยลงยาสีบนเคลือบ เครื่องถ้วยชนิดนี้มีราคาที่แพง เนื่องจากมีขั้นตอนการทำที่ยุ่งยากและมีการเผาหลายครั้ง กล่าวคือ ครั้งแรกต้องเผาด้วยอุณภูมิที่ต่ำ เรียกว่า “เผาดิบ” จากนั้นนำไปชุบน้ำเคลือบแล้วเผาอีกครั้งด้วยอุณภูมิที่สูงขึ้นแล้วจึงได้ภาชนะเคลือบสีขาวแล้วจึงนำไปลงยาสี “การลงยา” หมายถึง การนำน้ำเคลือบมาผสมกับน้ำมันการบูรซึ่งเป็นน้ำมันที่มีคุณสมบัติต่างๆ คือ ทำให้สีแห้งเร็ว สามารถละลายตัวสีให้มีความข้นพอที่จะทำให้ตัวสีติดกับผิวเคลือบ สีที่ติดบนผิวภาชนะจะสดใส มีความหนา และแข็งตัวง่ายเมื่อถูกอากาศ แล้วจึงเผาอีกครั้ง และหากมีการลงสีทองต้องมีการเผาครั้งสุดท้ายในอุณภูมิที่ต่ำกว่า ลายที่นิยมใช้ตกแต่งบนเครื่องถ้วยนนยา เช่น ลายดอกไม้ นก เครื่องถ้วยนนยามีรูปทรงต่างๆ เช่น จาน ชาม โถ ช้อนกลาง แจกัน พาน กระถางต้นไม้ และกระถามธูป เป็นต้น
เครื่องถ้วยนนยาแบบที่ตกแต่งด้วยการลงยาบนสีเคลือบ มีอายุสมัยเก่าที่สุดในช่วงราชวงศ์ชิง พ.ศ.๒๓๖๔ – ๒๔๙๓ แต่ถูกผลิตมากในช่วง พ.ศ.๒๔๐๕ – ๒๔๕๑ ซึ่งตรงกับยุครัตนโกสินทร์ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ (พ.ศ.๒๓๖๗-๒๓๙๔) จนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ (พ.ศ.๒๔๑๑-๒๔๕๓) ซึ่งในช่วงเวลารัชกาลที่ ๓ ถึงรัชกาลที่ ๕ เป็นช่วงที่มีชาวจีนจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาทำเหมืองแร่บนเกาะภูเก็ต “โถลายเขียนสี” หรือ “เครื่องถ้วยนนยา” ใบนี้จึงเป็นหลักฐานการเข้ามาของชาวจีนในช่วงเวลาดังกล่าวและยังสะท้อนถึงค่านิยมในเครื่องถ้วยจีนในสมัยนั้นอีกด้วย
เอกสารอ้างอิง
- ปริวรรต ธรรมาปรีชากร และนิสิต มโนตั้งวนพันธุ์. “เรียนรู้วัฒนธรรมเปอรานากัน (บ้าบ๋า ย่าหยา) จากเครื่องถ้วยนนยา,” วารสารนักบริหาร ๓๐, ๓ (กรกฎาคม – กันยายน ๒๕๕๓):, ๖๒– ๖๗.
- ณัฏฐภัทร จันทวิช. เครื่องถ้วยจีนที่พบจากแหล่งโบราณคดีในประเทศไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพ : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๓๗.