ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ



           อุทยานประวัติศาสตร์ พิมาย จังหวัดนครราชสีมา ขอเชิญร่วมงานเทศกาลเที่ยวพิมาย ชมการแสดงแสง สี เสียง ระหว่างวันที่ 6 - 10 พฤศจิกายน 2567 มิติวัฒนธรรม กระตุ้นเศรษฐกิจชาติ เศรษฐกิจวัฒนธรรม จากคุณค่าสู่มูลค่า Soft Power อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา


มหาชาติ.  ประเพณีเทศน์มหาชาติ และเวสสันดรชาดก ในมหานิบาต กัณฑ์ ทศพร และหิมพานต์.  พระนคร : โรงพิมพ์การศาสนา, 2502.



โบราณสถานกู่โนนแท่น           โบราณสถานกู่โนนแท่น ตั้งอยู่ที่บ้านบึงสว่าง ตำบลบ้านเหล่า อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น ลักษณะเป็นโบราณสถานสร้างด้วยศิลาแลง สภาพพังทลายเหลือเพียงส่วนฐานในผังสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้าง ๖ เมตร ยาว ๘ เมตร ภายในโบราณสถานพบโบราณวัตถุ ได้แก่ ฐานรองรับประติมากรรมสลักจากหินทราย จำนวน ๒ ฐาน ส่วนบริเวณผิวดินสำรวจพบเศษภาชนะดินเผาเนื้อแกร่ง เคลือบสีน้ำตาล ผลิตจากแหล่งเตาบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ สันนิษฐานว่าโบราณสถานแห่งนี้เป็นศาสนสถานในวัฒนธรรมเขมรโบราณ กำหนดอายุประมาณพุทธศตวรรษที่  ๑๖ - ๑๘  นอกจากนี้จากการสำรวจยังพบหลักฐานการใช้พื้นที่นี้มาก่อนอีกอย่างน้อย ๒ สมัย ได้แก่ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย กำหนดอายุประมาณ ๑,๕๐๐ – ๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว พบโบราณวัตถุ ได้แก่ กำไลหล่อจากสำริด ชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์ และเศษภาชนะดินเผาเนื้อดิน สันนิษฐานว่าสมัยนี้มีการใช้พื้นที่เป็นแหล่งฝังศพ และสมัยวัฒนธรรมทวารวดี กำหนดอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๖ พบโบราณวัตถุ ได้แก่ ชิ้นส่วนพระพุทธรูปสลักจากหินทราย ศิลปะทวารวดี และใบเสมาสลักจากหินทราย สันนิษฐานว่าสมัยนี้มีการใช้พื้นที่เป็นศาสนสถานในพระพุทธศาสนา           กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๘ ตอนพิเศษ ๑๒๗ ง วันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๔๔ พื้นที่โบราณสถานประมาณ ๑๐ ไร่  ๑ งาน ๘.๗๒ ตารางวา Ku Non Taen           Ku Non Taen is located at Ban Bueng Sawang, Ban Lao Sub-district, Ban Fang District, Khon Kaen Province. A sandstone structure which most part is in ruins, except for the base, in the size of 6 meters wide and 8 meters long. There are 2 sculpture foundation made from sandstone, situated on the base, and shards of brown glazed stoneware from the Buri Ram kiln sites which spread on the surface nearby. These artifacts suggested that Ku Non Taen was built as a temple or religious building in the period of Khmer culture (13th - 15th century CE).           From archaeological survey, more traces of human activities in earlier periods were found in this site. The first one is the late prehistoric period (2,500 – 1,500 years ago). The evidences, bronze bracelet, human bones, and pottery sherds, were found in this site, and suggested that this site was used as a burial site. Another one is the period of Dvaravati (9th - 13th century CE). The evidences of this period are pieces of Buddha image and Sema, both were carved from sandstone. These artifacts indicated that this site was a religious practice spot.           Ku Non Taen has been registered and published in the Government Gazette, Volume 118, Special Edition 127, on November 21, 2001. The area of ancient monument is 16,434.88 square meters.     


           วันพุธที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๗ เวลา ๐๙.๑๙ น. นายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยนายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และกรมศิลปากร ร่วมสักการะพระพุทธรูปวังหน้า พระปฏิมาแห่งแผ่นดิน “นบพระปฏิมา ๙ นครามหามงคล ๒๕๖๘” เป็นปฐมฤกษ์ ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร             เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากร ได้จัดกิจกรรมสักการะพระพุทธรูปวังหน้า พระปฏิมาแห่งแผ่นดิน “นบพระปฏิมา ๙ นครามหามงคล ๒๕๖๘” อัญเชิญพระพุทธรูปที่มีพุทธศิลป์อันงดงาม มีประวัติความเป็นมาจากนครโบราณต่าง ๆ ของไทย โดยมีพระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) เป็นประธาน พร้อมด้วยพระพุทธรูปอีก ๙ องค์ ที่จัดแสดงและสงวนรักษา ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร จำนวน ๔ องค์ คลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดปทุมธานี จำนวน ๓ องค์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี จำนวน ๑ องค์ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา จำนวน ๑ องค์ มาประดิษฐานให้ประชาชนได้สักการบูชา เพื่ออำนวยความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลในวาระแห่งการเริ่มต้นศักราชใหม่ ประกอบด้วย             ๑. พระพุทธสิหิงค์ ศิลปะล้านนา ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๑              ๒. พระพุทธรูปปางมารวิชัย เมืองเชียงใหม่ ศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่ ๑๙ - ๒๐             ๓. พระพุทธรูปยืนปางแสดงธรรม ๒ พระหัตถ์ เมืองลพบุรี ศิลปะลพบุรี พุทธศตวรรษที่ ๑๘ - ๑๙              ๔. พระพุทธรูปปางมารวิชัย เมืองสรรคบุรี ศิลปะลพบุรี ก่อนอยุธยาแบบอู่ทองรุ่นที่ ๑ พุทธศตวรรษที่ ๑๙              ๕. พระพุทธรูปยืนปางประทานอภัย เมืองสุโขทัย ศิลปะสุโขทัย พุทธศตวรรษที่ ๒๐              ๖. พระพิมพ์ลีลาในซุ้มเรือนแก้ว (พระกำแพงศอก) เมืองสุพรรณบุรี ศิลปะอยุธยา พุทธศตวรรษที่ ๒๐              ๗. พระพุทธรูปปางมารวิชัย พระนครศรีอยุธยา ศิลปะอยุธยาตอนต้น แบบอู่ทองรุ่นที่ ๓ พุทธศตวรรษที่ ๒๐             ๘. พระพุทธรูปปางมารวิชัย เมืองนครศรีธรรมราช ศิลปะอยุธยา สกุลช่างนครศรีธรรมราช พุทธศตวรรษที่ ๒๑ - ๒๒              ๙. พระพุทธรูปยืนปางประทานอภัย ๒ พระหัตถ์ เมืองพิษณุโลก ศิลปะอยุธยาตอนกลาง พุทธศตวรรษที่ ๒๑ - ๒๒             ๑๐. พระชัยเมืองนครราชสีมา เมืองนครราชสีมา ศิลปะอยุธยา พุทธศตวรรษที่ ๒๒ - ๒๓              ขอเชิญพุทธศาสนิกชนสักการะพระพุทธรูปวังหน้า พระปฏิมาแห่งแผ่นดิน “นบพระปฏิมา ๙ นครามหามงคล ๒๕๖๘” ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ระหว่างวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๗ ถึงวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๖๘ เวลา ๐๙.๐๐ น. - ๑๖.๐๐ น. ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ ----------------------------------------------------------------------- พระพุทธรูปทั้ง ๑๐ องค์ ประกอบด้วย ๑.  พระพุทธสิหิงค์ ศิลปะ  ล้านนา ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (๕๐๐ ปีมาแล้ว) ขนาด  สูงพร้อมฐาน  ๑๓๕  เซนติเมตร หน้าตักกว้าง ๖๓ เซนติเมตร   องค์พระสูง  ๗๙ เซนติเมตร   ประวัติ  สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท (วังหน้าพระองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์)  ทรงอัญเชิญมาจากเมืองเชียงใหม่เมื่อพุทธศักราช ๒๓๓๘  ประดิษฐาน ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร             พระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปสัมฤทธิ์กะไหล่ทอง ประทับขัดสมาธิราบ พระหัตถ์ทั้งสองวางซ้อนกันบนพระเพลาแสดงปางสมาธิ  เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ตามตำนานพระพุทธสิหิงค์ได้รับการอัญเชิญไปประดิษฐานเป็นสิริยังพระนครหลวงโบราณหลายแห่ง นับแต่สุโขทัย เชียงใหม่ พระนครศรีอยุธยา ตราบเท่าถึงกรุงรัตนโกสินทร์  ๒. พระพุทธรูปปางมารวิชัย เมืองเชียงใหม่ ศิลปะ  ล้านนา พุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐ (๖๐๐-๗๐๐ ปีมาแล้ว) ขนาด  สูงพร้อมฐาน ๓๑.๒ เซนติเมตร หน้าตักกว้าง ๑๔.๓ เซนติเมตร ประวัติ  ขุดได้ที่จังหวัดเชียงใหม่ ครูบาเจ้าศรีวิชัยถวายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (ด้วยวิธีเสี่ยงทาย) พระโอรสและพระธิดาประทานยืม               พระพุทธรูปสัมฤทธิ์ปางมารวิชัย ประทับขัดสมาธิราบ พระวรกายเพรียวบาง และชายสังฆาฏิเป็นแถบเล็กยาวพาดพระอังสาเหนือพระนาภี ใกล้เคียงกับพระพุทธรูปแบบเชียงแสนสิงห์หนึ่งกลุ่มที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะสุโขทัย พระพุทธรูปองค์นี้ มีประวัติระบุว่าชาวกะเหรี่ยงขุดได้จึงนำมาถวายครูบาเจ้าศรีวิชัย ครั้งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จประพาสมณฑลพายัพ พ.ศ. ๒๔๖๔ ครูบาเจ้าศรีวิชัยจึงถวายสมเด็จฯ  กรมพระยาดำรงราชานุภาพ   ๓. พระพุทธรูปยืนปางแสดงธรรม ๒ พระหัตถ์ เมืองลพบุรี   ศิลปะ  ลพบุรี พุทธศตวรรษที่ ๑๘-๑๙ (๗๐๐-๘๐๐ ปีมาแล้ว) ขนาด  สูงพร้อมฐาน ๖๕ เซนติเมตร กว้าง ๒๓ เซนติเมตร ประวัติ  พระยาพินิจสารา ถวายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระโอรสและพระธิดาประทานยืม              พระพุทธรูปยืนทรงเครื่องแสดงปางประทานอภัย ๒ พระหัตถ์ พระองค์นี้จัดอยู่ในกลุ่มพระพุทธรูปศิลปะลพบุรี ที่สืบเนื่องมาจากพระพุทธรูปในศิลปะเขมรโบราณแบบบายน รูปแบบพระพุทธรูปลักษณะดังกล่าวพบมากในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะที่ “เมืองลพบุรี” ในเวลาต่อมากลุ่มชนชั้นปกครองของเมืองลพบุรีที่ปัจจุบันรู้จักกันในนาม “ราชวงศ์อู่ทอง” ได้รวมอำนาจเข้ากับราชวงศ์สุพรรณภูมิสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเมื่อพุทธศักราช ๑๘๙๓   ๔. พระพุทธรูปปางมารวิชัย เมืองสรรคบุรี ศิลปะ  ลพบุรี ก่อนอยุธยาแบบอู่ทองรุ่นที่ ๑ พุทธศตวรรษที่ ๑๙ (๗๐๐ ปีมาแล้ว) ขนาด  สูงพร้อมฐาน ๒๙.๕ เซนติเมตร หน้าตักกว้าง ๒๓ เซนติเมตร  ประวัติ  ย้ายมาจากห้องกลางกระทรวงมหาดไทย เดิมได้มาจากเมืองสรรค์ (อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท)               พระพุทธรูปสัมฤทธิ์ปางมารวิชัย  จากพุทธศิลป์แสดงความคาบเกี่ยวกับพระพุทธรูปในช่วงปลายของศิลปะลพบุรี พบมากบริเวณเมืองโบราณก่อนสมัยอยุธยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตอำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท จนในอดีตขนานนามพระพุทธรูปกลุ่มนี้ว่า “พระเมืองสรรค์” เมื่อภายหลังการสถาปนาอาณาจักรอยุธยา เมืองสรรคบุรีจึงกลายเป็นเมืองสำคัญในฐานะเมืองลูกหลวงและเมืองหน้าด่าน    ๕. พระพุทธรูปยืนปางประทานอภัย เมืองสุโขทัย   ศิลปะ  สุโขทัย พุทธศตวรรษที่ ๒๐ (๖๐๐ ปีมาแล้ว) ขนาด  สูงพร้อมฐาน ๗๗ เซนติเมตร  ประวัติ  สมบัติเดิมของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร               พระพุทธรูปยืนปางประทานอภัย พุทธลักษณะพระพักตร์รูปไข่ มีพระรัศมีเป็นเปลวเพลิง ครองจีวรห่มคลุมเรียบไม่มีริ้วและจีวรแนบพระวรกาย อันเป็นรูปแบบพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย บริเวณส่วนฐานด้านหลังของพระพุทธรูปมีจารึกอักษรไทยภาษาไทยสมัยรัตนโกสินทร์ว่า “วัดกะพังทอง เมืองโสกโขไทย” ดังนั้นสันนิษฐานว่าพระพุทธรูปองค์นี้ถูกเคลื่อนย้ายมาจากวัดตระพังทอง ภายในเมืองเก่าสุโขทัย ๖. พระพิมพ์ลีลาในซุ้มเรือนแก้ว (พระกำแพงศอก) เมืองสุพรรณบุรี ศิลปะ  อยุธยา พุทธศตวรรษที่ ๒๐ (๖๐๐ ปีมาแล้ว) ขนาด  กว้าง ๑๑ เซนติเมตร สูง ๓๒ เชนติเมตร ประวัติ  ย้ายมาจากห้องกลางกระทรวงมหาดไทย เดิมได้มาจากจังหวัดสุพรรณบุรี               พระพิมพ์เนื้อชินรูปพระพุทธเจ้าในอิริยาบถลีลาภายในเรือนแก้ว พระพิมพ์แบบนี้พบมากในกรุพระปรางค์วัดพระศรีมหาธาตุ จังหวัดสุพรรณบุรี จึงสันนิษฐานว่าน่าจะได้จากกรุนี้เช่นกัน และนิยมเรียกกันทั่วไปว่า "พระกำแพงศอก" ตามขนาดของพระพิมพ์ที่ค่อนข้างใหญ่ จึงไม่สามารถพกติดตัวได้ มักบูซาที่บ้านเรือน โดยมีความเชื่อถือว่าเป็นพระพิมพ์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ สามารถป้องกันอัคคีภัยได้  ๗. พระพุทธรูปปางมารวิชัย พระนครศรีอยุธยา   ศิลปะ  อยุธยาตอนต้น แบบอู่ทองรุ่นที่ ๓ พุทธศตวรรษที่ ๒๐ (๖๐๐ ปีมาแล้ว) ขนาด  สูงพร้อมฐาน ๕๔.๕ เซนติเมตร  หน้าตักกว้าง ๒๖ เซนติเมตร  ประวัติ  ได้จากกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ ๒๑-๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๑               พระพุทธรูปสัมฤทธิ์ปางมารวิชัย พุทธศิลปะของพระพุทธรูปองค์นี้นักวิชาการเรียกว่า “ศิลปะแบบอู่ทอง” ด้วยเชื่อว่ารูปแบบศิลปะนี้เกิดขึ้นในช่วงของรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ หรือพระเจ้าอู่ทอง และจำแนกออกเป็น ๓ รุ่น  สำหรับวัดราชบูรณะสถานที่พบพระพุทธรูปองค์นี้นั้น สร้างขึ้นโดยพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) จากการขุดค้นภายในกรุพระปรางค์ พบพระพุทธรูปศิลปะต่างๆ จำนวนมาก โดยพระพุทธรูปในกลุ่มศิลปะแบบอู่ทองรุ่นที่ ๓ พบมากที่สุดจำนวนกว่า ๓๕๖ องค์    ๘. พระพุทธรูปปางมารวิชัย เมืองนครศรีธรรมราช ศิลปะ  อยุธยา สกุลช่างนครศรีธรรมราช พุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ (๔๐๐-๕๐๐ ปีมาแล้ว) ขนาด  สูงพร้อมฐาน ๕๙ เซนติเมตร หน้าตักกว้าง ๒๗.๕ เซนติเมตร ประวัติ  สมบัติเดิมของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร  นำไปจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๒              พระพุทธรูปสัมฤทธิ์ปางมารวิชัยสกุลช่างนครศรีธรรมราช เป็นพระพุทธรูปกลุ่มที่ได้รับรูปแบบมาจากพระพุทธรูปขัดสมาธิเพชรสมัยอยุธยาตอนกลาง (พุทธศตวรรษที่ ๒๑-ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๓) ซึ่งมีแรงบันดาลใจและรูปแบบจากพระพุทธสิหิงค์ หรือพระพุทธรูปขัดสมาธิเพชร ศิลปะล้านนา ตามตำนานระบุว่าเมื่อพระพุทธสิหิงค์เชิญมาจากประเทศศรีลังกาเคยพักประดิษฐานที่นครศรีธรรมราชก่อนอัญเชิญไปเมืองสุโขทัย   ๙. พระพุทธรูปยืนปางประทานอภัย ๒ พระหัตถ์ เมืองพิษณุโลก   ศิลปะ  อยุธยาตอนกลาง พุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ (๔๐๐-๕๐๐ ปีมาแล้ว) ขนาด  สูงพร้อมฐาน ๕๐.๕ เซนติเมตร กว้าง ๑๓.๕ เซนติเมตร ประวัติ  ย้ายมาจากห้องกลางกระทรวงมหาดไทย เดิมได้มาจากมณฑลพิษณุโลก             พระพุทธรูปยืนทรงเครื่องน้อย ตามประวัติกล่าวว่าได้มาจากพื้นที่มณฑลพิษณุโลก ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อพุทธศักราช ๒๔๓๕ ประกอบด้วยเมืองพิจิตร เมืองพิชัย เมืองสวรรคโลก เมืองสุโขทัย และเมืองพิษณุโลก โดยมีเมืองเอกคือเมืองพิษณุโลก สำหรับเมืองพิษณุโลกเดิมมีนามว่า “สองแคว” เรียกตามสภาพภูมิศาสตร์ที่มีลำน้ำสองสายบรรจบกันบริเวณพื้นที่ทิศเหนือนอกตัวเมืองพิษณุโลก คือแม่น้ำน่าน (แควใหญ่) และแม่น้ำแควน้อย    ๑๐. พระชัยเมืองนครราชสีมา เมืองนครราชสีมา   ศิลปะ  อยุธยา พุทธศตวรรษที่ ๒๒–๒๓ (๓๐๐-๔๐๐ ปีมาแล้ว) ขนาด  สูงพร้อมฐาน ๒๕ เซนติเมตร  หน้าตักกว้าง ๑๕.๔ เซนติเมตร ประวัติ   ย้ายมาจากห้องกลางกระทรวงมหาดไทย เดิมได้มาจากไหนไม่ปรากฏ              พระพุทธรูปปางมารวิชัยบนพระวรกายโดยรอบปรากฎมีจารึกพระคาถาอักษรขอม คติการสร้างพระชัยประจำตัวแม่ทัพยึดถือปฏิบัติมาแต่โบราณ เพื่อคุ้มครองป้องกันภัย นอกจากนี้ยังพบการสร้างพระชัยสำหรับเมืองเพื่อเป็นมิ่งขวัญและสวัสดิมงคล ดังตัวอย่าง พระชัยเมืองนครราชสีมา เมืองหน้าด่านสำคัญที่ป้องกันข้าศึกจากทิศตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือ



          วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร ตั้งอยู่ ณ ถนนวังเดิม แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร เป็นพระอารามหลวง ชั้นโท ชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่ฝั่งเหนือของคลองบางกอกใหญ่ เป็นวัดโบราณที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อว่า วัดเจ้าสัวหง หรือวัดเจ้าขรัวหง ตามชื่อเศรษฐีจีนผู้สร้างวัด เมื่อราวปีพุทธศักราช ๒๓๑๔ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์และขยายอาณาเขตให้กว้างใหญ่ขึ้น พระราชทานนามใหม่ว่า วัดหงส์อาวาสวิหาร ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ ได้เปลี่ยนชื่อวัดเป็น วัดหงส์อาวาสบวรวิหาร และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ได้เปลี่ยนชื่อวัดเป็น วัดหงส์อาวาสวรวิหาร พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ พร้อมด้วยสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๔ ขณะดำรงพระอิสรยยศเป็นเจ้าฟ้าหญิงบุญรอด และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ทรงบูรณปฏิสังขรณ์พระอาราม แต่ก็เสด็จสวรรคตและสิ้นพระชนม์เสียก่อนที่การบูรณปฏิสังขรณ์จะแล้วเสร็จ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ จึงทรงรับพระราชภาระในการบูรณปฏิสังขรณ์จนแล้วเสร็จสมบูรณ์ ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๔๕๘ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ได้มีการเปลี่ยนชื่อพระอารามเป็น วัดหงส์รัตนาราม ดังในปัจจุบัน           โบราณวัตถุสถานสำคัญ           ๑. พระอุโบสถ            สร้างสมัยกรุงธนบุรี และบูรณะสมัยรัชกาลที่ ๓ ต่อเนื่องถึงสมัยรัชกาลที่ ๔ ทิศหลักหันไปทางด้านทิศใต้  เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน หลังคา ๒ ซ้อน ๒ ตับ เครื่องลำยองปิดทองประดับกระจก มีพะไลรองรับด้วยเสาและทวยโดยรอบ หน้าบันไม้แกะสลักปิดทองประดับกระจกรูปเทวดาทรงหงส์ ๓ เศียร ล้อมรอบด้วยลายกนกและลายก้านต่อดอก หน้าบันชั้นลด ทำเป็นช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้า ๒ ช่อง ภายในมีประติมากรรมหงส์ปูนปั้นประดับกระเบื้องเคลือบ ซุ้มประตูและหน้าต่างประดับลวดลายปูนปั้นลายเทศศิลปะจีนผสมตะวันตก บานประตูและหน้าต่างด้านนอกแกะสลักรูปหงส์และลายพรรณพฤกษา บานประตูด้านบนเป็นลายพระราชลัญจกรในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว บานประตูและหน้าต่างด้านในเขียนภาพจิตรกรรมเครื่องบูชา จิตรกรรมฝาผนังภายในอาคารด้านหลังพระประธานเขียนลายดอกไม้ร่วง ส่วนด้านอื่นๆ เขียนภาพพุทธประวัติ เสาร่วมในเขียนลายดอกลอยก้านแย่ง ดาวเพดานลายทองบนพื้นแดง เหนือกรอบประตูและหน้าต่างมีภาพจิตรกรรมสีฝุ่นในกรอบกระจก เรื่อง รัตนพิมพวงศ์ (ตำนานพระแก้วมรกต) ฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ ๓ - ๔ ซุ้มเสมาเป็นศิลปะผสมระหว่างจีนและยุโรป           พระประธาน ปางมารวิชัย พุทธศิลป์สมัยต้นรัตนโกสินทร์ พระพักตร์เหลี่ยม พระรัศมีเปลว นิ้วพระหัตถ์ทั้ง ๔ ยาวเสมอกัน สังฆาฏิแผ่นใหญ่อยู่กึ่งกลางพระอุระยาวจรดพระนาภี ประดิษฐานเหนือรัตนบัลลังก์ ใต้เศวตฉัตร ๗ ชั้น มีพระสาวกขนาบ ๒ ข้าง ใต้ฐานพระประธานบรรจุพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เบื้องหน้าพระประธานประดิษฐาน พระแสน พระพุทธรูปสำริด นวโลหะ ปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบ ศิลปะล้านช้าง ตามตำนานกล่าวว่าพระครูโพนเสม็ด ชาวเมืองพาน ผู้ก่อตั้งเมืองแตงและนครจำปาศักดิ์ หล่อขึ้น ณ นครจำปาศักดิ์ และกรุงพนมเปญ แล้วนำมาประกอบเป็นองค์พระ ซึ่งมีสีของโลหะในแต่ละส่วนที่แตกต่างกัน รอบพระรัศมีฝังแก้วผลึก ๑๕ เม็ด แต่เดิมประดิษฐานอยู่ที่เมืองแตง ในอาณาจักรล้านช้าง ปัจจุบันคือจังหวัดสตรึงเตรง ประเทศกัมพูชา เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๐๑ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอพระราชทานให้ข้าหลวงนำท้องตราไปอัญเชิญลงมาประดิษฐาน ณ วัดหงส์รัตนาราม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างฐานพระที่ประดิษฐานพระแสนตามแบบสกุลช่างวังหน้า และทรงรับปิดทองฐานพระส่วนที่ยังค้างอยู่           ๒. พระวิหาร           เดิมเป็นพระวิหารร้าง ซึ่งได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ตั้งอยู่ในแนวแกนตะวันออกและตะวันตก ขวางกับแนวพระอุโบสถ มีประตูทางเข้าทางด้านข้างหรือทิศใต้ ซึ่งเป็นทิศที่ตั้งของพระอุโบสถ มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมคล้ายคลึงกับพระอุโบสถ หลังคา ๒ ซ้อน ๒ ตับ มีพะไลรอบรองรับด้วยเสาและทวย เครื่องลำยองปิดทองประดับกระจก หน้าบันและหน้าบันชั้นลดเป็นไม้แกะสลักปิดทองประดับกระจกและปูนปั้นลายหงส์เช่นเดียวกับพระอุโบสถ ซุ้มประตูและหน้าต่างเป็นลวดลายปูนปั้นปิดทองลายเทศ บานประตูและหน้าต่างด้านนอกเป็นลายรดน้ำภาพแจกัน ภายในประดิษฐานพระพุทธรูป หลวงพ่อทองคำ หรือหลวงพ่อสุข ศิลปะสุโขทัย ปางมารวิชัย เนื้อทองผสมนวโลหะ ซึ่งแต่เดิมถูกฉาบหุ้มไว้ด้วยปูน เมื่อราวปีพุทธศักราช ๒๔๙๙ พระสุขุมธรรมาจารย์ อดีตเจ้าอาวาส พบรอยปูนกะเทาะบริเวณอุระและเห็นว่าภายในเป็นเนื้อโลหะสีทอง จึงกะเทาะปูนที่หุ้มออก มีจารึกระบุว่า สมเด็จท้าวพระยาศรียศราช สร้างถวายเป็นพุทธบูชา เมื่อปีพุทธศักราช ๑๙๖๓            ๓. หอไตร           เรือนไทย ยกใต้ถุนสูง หลังคาทรงจั่ว ฝาปะกนเขียนลายรดน้ำปิดทอง บานประตูไม้แกะสลักลายเครือเถา ฝีมือช่างสมัยรัตนโกสินทร์            ๔. สระน้ำมนต์           สร้างขึ้นในสมัยกรุงธนบุรี มีขนาดยาว ๒๖ วา กว้าง ๖ วา ลึก ๑ วา สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดเกล้าฯ ให้อาราธนาสมเด็จพระสังฆราช (ดี) สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑ แห่งกรุงธนบุรี พร้อมด้วยสมเด็จพระสังฆราช (ชื่น) สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๓ แห่งกรุงธนบุรี ขณะที่ทรงเป็นพระโพธิวงศ์ เจ้าอาวาสในสมัยนั้น มาประกอบพิธีปลุกเสกลงอาคม ตามตำนานกล่าวว่าหินอาคมในสระน้ำมนต์นี้ ได้รับมาพระเถราจารย์วัดประดู่ทรงธรรม พระนครศรีอยุธยา เมื่อโยนลงไปในสระน้ำได้กลายเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จมาทรงสรงน้ำมนต์ในพระราชพิธีสำคัญทุกครั้ง ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯ ให้อาราธนาสมเด็จพระสังฆราช (สุก ไก่เถื่อน) มาปลุกเสกอาคมตามทิศทั้ง ๔ ของสระน้ำมนต์ ให้มีฤทธานุภาพในด้านต่างๆ ได้แก่ ทิศตะวันออก ดีทางเมตตามหานิยม, ทิศใต้ ดีทางมหาลาภและค้าขาย, ทิศเหนือ ดีทางบำบัดทุกข์ โศก โรคภัย และทิศตะวันตก ดีทางแคล้วคลาดอยู่ยงคงกระพันชาตรี             รูปสระน้ำมนต์            ๕. ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน           ด้วยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงอุปถัมภ์วัดหงส์รัตนาราม ประชาชนจึงได้ร่วมกันสร้างศาลเพื่อสักการะบูชาดวงพระวิญญาณขึ้น ณ ริมคลองบางหลวง ทางด้านทิศตะวันตกของพระอุโบสถ            รูปศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน           กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน            ๑. กำหนดบัญชีโบราณวัตถุสถาน ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๖ ตอนที่ ๖๔ วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๔๙๒           ๒. ขึ้นทะเบียนโบราณสถานและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑๔๑ ตอนพิเศษ ๓๔ ง วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗  


ชื่อเรื่อง                     สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฐาน)อย.บ.                       81/4หมวดหมู่                   พุทธศาสนาประเภทวัสดุ/มีเดีย       คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ               50 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 54 ซม.บทคัดย่อ/บันทึก                    เป็นคัมภีร์ใบลานฉบับล่องชาด ไม้ประกับธรรมดา ได้รับจาก จ.พระนครศรีอยุธยา 




            หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี ชวนผู้อ่านไปค้นพบหลากหลายเรื่องราวความรู้ที่น่าสนใจจากหนังสือกรมศิลปากร วันนี้ขอนำเสนอเรื่อง “เส้นทางรถไฟหลวงสายแรกของไทย”           การดำเนินงานเกี่ยวกับการรถไฟของไทยเริ่มมีขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมรถไฟขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2433 สังกัดกระทรวงโยธาธิการ พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนริศรานุวัดติวงศ์ ทรงเป็นเสนาบดี และได้ดำเนินการว่าจ้างนายคาร์ล เบทเก (Karl Bethge) วิศวกรชาวเยอรมันเป็นเจ้ากรมรถไฟคนแรก ทำหน้าที่ควบคุมการสร้างทางรถไฟสายกรุงเทพฯ - นครราชสีมา ซึ่งเป็นทางรถไฟสายแรกของรัฐบาล โดยทำสัญญาจ้างกำหนดเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2433           หลังจากนั้นมีการเปิดประมูลการก่อสร้างทางรถไฟระหว่างกรุงเทพฯ ถึงนครราชสีมา โดย นายจี. เมอร์เรย์ แคมป์เบลล์ (G. Murray Campbell) ชาวอังกฤษ เป็นผู้ประมูลได้ในราคา 9,956,164 บาท การก่อสร้างทางรถไฟสายนี้ได้เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2434 ซึ่งกรมรถไฟได้ขยายการเดินรถถึงแก่งคอยเมื่อ พ.ศ. 2440 และการสร้างทางรถไฟสายนครราชสีมาได้เสร็จเรียบร้อยและเปิดการเดินรถสายนครราชสีมาตลอดสายเมื่อ พ.ศ. 2443           ผู้อ่านที่สนใจเรื่องราวของการก่อสร้างเส้นทางรถไฟหลวงสายแรก และผลงานของ นายคาร์ล เบทเก เจ้ากรมรถไฟคนแรกของสยาม สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่หนังสือ “ประวัติและผลงานของชาวต่างชาติในประเทศไทย เล่ม 4” ณ ห้องศิลปากรและหนังสือหายาก หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี   ข้อมูลอ้างอิงและภาพประกอบ กรมศิลปากร สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์.  ประวัติและผลงานของชาวต่างชาติในประเทศไทย เล่ม 4.  กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม, 2566.


ได้มาจากวัดห้วยสะพาน ต.หนองโรง อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2533


ชื่อเรื่อง                     สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน)อย.บ.                       138/1ประเภทวัสดุ/มีเดีย       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                   พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ               24 หน้า กว้าง 5.2 ซม. ยาว 52.2 ซม.หัวเรื่อง                     พระอภิธรรมปิฎก                              พระสังคิณ๊บทคัดย่อ/บันทึก           เป็นคัมภีร์ใบลาน  ฉบับล่องชาด ไม้ประกับธรรมดา ได้รับจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


black ribbon.