ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,631 รายการ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ จัดกิจกรรม ๑๐๐ ปี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ ขอเชิญชมนิทรรศการ Black & White Palace เมื่อครั้ง... วังนี้สี "ขาวดำ" "ภาพหนึ่งภาพแทนคำบอกเล่านับพัน" พบกับนิทรรศการภาพถ่ายเก่าที่จะพาย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่พระราชวังแห่งนี้ยังถูกย้อมด้วยสีเพียงขาวและดำ จัดแสดงตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2567 - 5 มกราคม 2568 ณ พระที่นั่งจันทรพิศาล อาคารทิมดาบด้านทิศใต้ และพระนารายณ์ราชนิเวศน์
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ จังหวัดลพบุรี เปิดให้บริการ วันพุธ - วันอาทิตย์ เวลา 09.00 – 16.00 น. อัตราค่าเข้าชม ชาวไทย 30 บาท ชาวต่างชาติ 150 บาท ติดตามข้อมูลข่าวสารรายละเอียดกิจกรรม ได้ที่ Facebook พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ : King Narai National Museum สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 3641 1458 “ลพบุรีพิพิธภัณฑสถาน” เริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๖๖ โดยรวบรวมและจัดแสดงโบราณวัตถุ ณ พระที่นั่งจันทรพิศาล ภาพถ่ายเก่าจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ได้บันทึกภาพรูปแบบ การจัดแสดงเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๙ ช่วยพาเราย้อนกลับไปเมื่อช่วง แรกตั้งพิพิธภัณฑ์แม้ในปัจจุบัน ยังไม่สามารถระบุได้ว่าภาพใดคือภาพถ่ายที่เก่าที่สุดของเมืองลพบุรี แต่สันนิษฐานว่าเป็นภาพเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสเมืองลพบุรี โดยภาพที่สามารถระบุศักราชชัดเจนคือ ภาพจากฟิล์มกระจกของหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ถ่ายขณะที่ราษฎรเข้าเฝ้าฯ รับเสด็จ ณ ตลาดท่าโพธิ์ เมืองลพบุรีเมื่อ พ.ศ.๒๔๔๘ ซึ่งเป็นครั้งเดียวกันกับการเสด็จประพาสเขาสมอคอน และวัดไลย์ อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี
วันพุธที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๗ เวลา ๐๙.๓๐ น. นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร มอบหมายให้ นางเสริมกิจ ชัยมงคล รองอธิบดีกรมศิลปากร เป็นผู้แทนกรมศิลปากร ร่วมแสดงความยินดี พร้อมทั้งบริจาคเงินสบทบทุน มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง(ภา)ยามยาก สภากาชาดไทย เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันก่อตั้งสถาบันการประชาสัมพันธ์ ปีที่ ๖๓ โดยมีนางสาวกัญญ์ณาณัฏฐ์ ภาธรสืบนุกูล หัวหน้าส่วนบริหารการฝึกอบรม เป็นผู้รับมอบ ณ อาคารที่ทำการสถาบันการประชาสัมพันธ์ เขตพญาไท กรุงเทพฯ
อุทยานประวัติศาสตร์ พิมาย ขอเชิญชมการแสดงดนตรี ซิมโฟนีออร์เคสตรา ผสมผสานดนตรีพื้นถิ่นโคราช "ดนตรีกล่อมปราสาท" ณ อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย จังหวัดนครราชสีมา ในวันอังคารที่ 3 ธันวาคม 2567 เวลา 17.00 - 20.00 น. จัดโดย มูลนิธิอาจารย์สุกรี เจริญสุข สนับสนุนโดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ ไทยพีบีเอส มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย เทศบาลตำบลพิมาย ที่ทำการปกครองอำเภอพิมาย
โบราณสถานวัดผดุงสุข (วัดถิ่นดุง)
โบราณสถานวัดผดุงสุข (วัดถิ่นดุง) ตั้งอยู่ที่บ้านถิ่นดุง ตำบลวัดหลวง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย แต่เดิมมีชื่อวัดว่า “วัดถิ่นดุง” ตามชื่อหมู่บ้าน เมื่อพ.ศ. ๒๔๘๖ ได้เปลี่ยนชื่อวัดเป็น “วัดผดุงสุข” และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๒๖ ภายในบริเวณวัดผดุงสุข มีโบราณสถานสำคัญ ได้แก่ สิม (อุโบสถ) ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของวัด มีลักษณะเป็นสิม (อุโบสถ) แบบสถาปัตยกรรมอีสาน ก่อด้วยอิฐถือปูน อยู่ในผังสี่เหลี่ยมผืนผ้า และเจดีย์ (ธาตุ) ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของสิม (อุโบสถ) จำนวน ๒ องค์ ก่อด้วยอิฐ องค์ที่หนึ่งเหลือเพียงส่วนฐาน ไม่สามารถระบุรูปแบบได้ ส่วนองค์ที่สองเป็นเจดีย์ศิลปกรรมแบบล้านช้าง ฐานเป็นผังสี่เหลี่ยม ส่วนเรือนธาตุทรงบัวเหลี่ยม
นอกจากนี้ ภายในวัดยังพบศิลาจารึกสำคัญ มีลักษณะเป็นจารึกบนแผ่นใบเสมาหินทรายแบนยอดแหลม อักษรไทยน้อย จำนวน ๒ หลัก ได้แก่ ศิลาจารึกผดุงสุข ๑ (นค.๑๐) ระบุจุลศักราช ๙๑๓ (พ.ศ.๒๐๙๔) กล่าวถึงการพระราชทานที่ดินให้แก่วัดศรีสุวรรณของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช และศิลาจารึกผดุงสุข ๒ (นค.๑๑) (ศิลาจารึกวัดถิ่นดุง) ด้านที่ ๑ ระบุจุลศักราช ๙๓๒ (พ.ศ.๒๑๑๓) กล่าวถึง พระยาปากเจ้า (เจ้าเมืองปากห้วยหลวง) และเจ้านายอื่นๆ ได้อุทิศที่ดินแก่มหาป่าเจ้า ด้านที่ ๒ กล่าวถึงชื่อพระสุมังคลไอยโกโพธิสัตว์ และกล่าวถึงการกัลปนาหรืออุทิศที่ดินและอาณาเขตที่ดินให้แก่ศาสนา
กรมศิลปากรประกาศกำหนดจำนวนโบราณสถานสำหรับชาติ “วัดตีนดุง อำเภอโพนพิสัย ตำบลวัดหลวง” ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๕๓ วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๔๗๙ และประกาศขึ้นทะเบียนโบราณวัตถุในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑๐๘ ตอนที่ ๗๐ วันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๓๔ จำนวน ๒ รายการ ได้แก่ ศิลาจารึกวัดผดุงสุข ๑ และ ศิลาจารึกวัดผดุงสุข ๒
Wat Ph-dung Suk (Wat Thin Dung)
Wat Ph-dung Suk (original name: Wat Thin Dung) is located at Ban Thin Dung, Wat Luang Sub-district, Phon Phisai District, Nong Khai Province. It was permitted to establish the land in February 24, 1983. The complex consists of Ubosot, a square shape brick-stucco built in northeastern style, stated at the west. At the left side of Ubosot there are two brick-made stupas, which the first one only left with the base, unable to describe it design. The other was built in the visual of Lan Xang art, a square layout-based top with square-shaped lotuses body.
Two of Sema, a flat-shaped boundary stone, engraved with Tai Noi inscriptions were found within the temple. The first slab mentions the name of King Setthathirath given the land authority to Wat Sri Suwan in 1551. The second stone had inscriptions on both flat sides. The front side referred to Phra Ya Pak Chao (ruler of Pak Huai Luang), along with other nobles, donated the land to Maha Pa Chao. Other sentence on the back had the name “Sen Soulintha” who donated the land as religious property.
The Fine Arts Department has announced “Wat Thin Dung, Amphoe Phon Phisai, Tambon Wat Luang” in the Government Gazette, Volume 53, on September 27, 1936. It is later has been registered and published in the Government Gazette, Volume 108, Part 70, on April 19, 1991. The area of ancient monument is 7036 square meters.
นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2568กระทรวงวัฒนธรรม ได้จัดกิจกรรมของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน โดยกรมศิลปากร ร่วมจัดกิจกรรม ดังนี้
1. เปิดให้บริการและงดเก็บค่าเข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุทยานประวัติศาสตร์ และโบราณสถานที่อยู่ในความดูแลของกรมศิลปากร (ยกเว้นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ศิลป พีระศรี อนุสรณ์ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชาวนาไทย) ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวม 3 วัน ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 1 มกราคม 2568 โดยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติทั่วประเทศอัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญออกให้พุทธศาสนิกชนสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลในเทศกาลปีใหม่ อีกด้วย
2. กิจกรรมสักการะ นบพระปฏิมา 9 นครามหามงคล 2568 สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร อัญเชิญพระพุทธรูปกอปรด้วยพุทธศิลป์อันงดงาม มีประวัติความเป็นมาจากนครโบราณต่าง ๆ ของไทย โดยมีพระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) เป็นพระประธาน พร้อมด้วยพระพุทธรูปอีก 9 องค์ ได้แก่ พระพุทธรูปปางมารวิชัย เมืองเชียงใหม่ พระพุทธรูปยืนปางแสดงธรรม 2 พระหัตถ์ เมืองลพบุรี พระพุทธรูปปางมารวิชัย เมืองสรรคบุรี จ.ชัยนาท พระพุทธรูปยืนปางประทานอภัย เมืองสุโขทัย พระพิมพ์ลีลาในซุ้มเรือนแก้ว (พระกำแพงศอก) เมืองสุพรรณบุรี พระพุทธรูปปางมารวิชัย พระนครศรีอยุธยา พระพุทธรูปปางมารวิชัย เมืองนครศรีธรรมราช พระพุทธรูปยืนปางประทานอภัย 2 พระหัตถ์ เมืองพิษณุโลก และพระชัยเมืองนครราชสีมา นำมาประดิษฐานให้พุทธศาสนิกชนได้สักการบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคลในวาระแห่งการเริ่มต้นศักราชใหม่ ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ระหว่างวันที่ 25 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2568 เวลา 09.00 – 16.00 น.
3. ชมพิพิธภัณฑ์ยามค่ำและท่องเที่ยวโบราณสถานยามราตรี เปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี ให้เข้าชมความงดงามของเรือพระราชพิธี มรดกวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าแห่งสายน้ำ ตั้งแต่เวลา 09.00 น. – 20.00 น. ระหว่างวันที่ 27 - 29 ธันวาคม 2567 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม จัดกิจกรรม Night at The Palace ย้อนเวลา ชมวัง 4 ศตวรรษ พระราชวังจันทรเกษม เปิดให้เข้าชมวันศุกร์ - อาทิตย์ เวลา16.30 - 21.00 น. (เฉพาะภายนอกอาคาร) และอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เปิดให้เข้าชมวัดพระราม วัดมหาธาตุ วัดราชบูรณะ และวัดไชยวัฒนาราม จนถึงเวลา 21.00 น. ในวันศุกร์ – อาทิตย์ ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568
4. เชิญชวนมอบหนังสือเป็นของขวัญปีใหม่ “ให้หนังสือเท่ากับให้ปัญญา” นำหนังสือที่จัดพิมพ์โดยหน่วยงานในสังกัดกรมศิลปากร ลดราคาสูงสุด 20% ตั้งแต่บัดนี้ถึง 15 มกราคม 2568 พร้อมกันนี้ได้จัดพิมพ์สมุดบันทึก “เรือพระราชพิธี ศรีแห่งนครา” ให้เลือกสรรเป็นของขวัญปีใหม่ สามารถเลือกซื้อได้ที่ร้านหนังสือกรมศิลปากร ชั้น 1 อาคารเทเวศร์ หรือสั่งซื้อหนังสือทางออนไลน์ได้ที่ https://bookshop.finearts.go.th
5. กิจกรรม Night Library อ่านกันยามค่ำ ณ สำนักหอสมุดแห่งชาติ วันที่ 1 มกราคม - 31 มีนาคม 2568 หอสมุดแห่งชาติ เปิดให้บริการ อาคาร 1 ชั้น 1, 2 และอาคาร Smart Library วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 09.00 – 19.30 น. วันเสาร์ – อาทิตย์ เวลา 09.00 – 17.00 น.
สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช แจ้งข่าวประชาสัมพันธ์เวลาเปิด - ปิดโบราณสถาน ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๘ ได้แก่ หอพระสิหิงค์ หอพระสูง หอพระอิศวร หอพระนารายณ์ และโบสถ์พราหมณ์ อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ วันจันทร์ - อาทิตย์ เวลา ๐๘.๓๐ - ๑๖.๐๐ น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางกล่องข้อความ facebook สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช หรือ โทร. ๐ ๗๕๓๕ ๖๔๕๘
- หอพระสิหิงค์ หรือหอพระพุทธสิหิงค์ เป็นสถานที่ประดิษฐาน “พระพุทธสิหิงค์” พระพุทธรูปสำคัญคู่เมืองนครศรีธรรมราช กำหนดอายุในสมัยอยุธยา (ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑) หอพระสิหิงค์ตั้งอยู่บนถนนราชดำเนิน ตำบลในเมือง อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครศรีธรรมราช เดิมเป็นหอพระตั้งอยู่บริเวณจวนเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งปัจจุบันคือที่ตั้งศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช “พระพุทธสิหิงค์” ถือเป็นพระพุทธรูปสำคัญของบ้านเมือง ซึ่งในประเทศไทยปรากฏพระพุทธสิหิงค์เพียง ๓ องค์ องค์แรกประดิษฐานในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร องค์ที่ ๒ ประดิษฐานในวิหารลายคำ วัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่ และองค์ที่ ๓ ประดิษฐานในหอพระพุทธสิหิงค์ จังหวัดพระนครศรีธรรมราช
- หอพระสูง หรือ พระวิหารสูง เป็นสถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปประธานปางมารวิชัย ศิลปะสมัยอยุธยาตอนปลายหรือรัตนโกสินทร์ตอนต้น (ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๓ - ๒๔) หอพระสูงถือเป็นโบราณสถานสำคัญแห่งหนึ่งในเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ตั้งอยู่ที่ตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยตั้งอยู่บนเนินดินขนาดใหญ่ นอกกำแพงเมืองนครศรีธรรมราชด้านทิศเหนือ มีข้อสันนิษฐานหลายประการเกี่ยวกับประวัติการสร้างหอพระสูงและที่มาของเนินดิน เช่น เชื่อว่าเนินดินนี้เกิดจากชาวเมืองนครศรีธรรมราชช่วยกันขุดดินจากบริเวณคลองหน้าเมืองมาถมจนเป็นเนินใหญ่ เพื่อใช้ตั้งปืนใหญ่ในการสกัดกั้นทัพพม่าในคราวที่มีการยกทัพมาตีหัวเมืองภาคใต้ตั้งแต่มะริด ถลาง ไชยา เรื่อยมาจนถึงนครศรีธรรมราช เมื่อครั้งสงคราม ๙ ทัพใน พ.ศ. ๒๓๒๘ ภายหลังเนินดินแห่งนี้ได้กลายเป็นที่รกร้าง มีต้นไม้ขึ้นปกคลุมหนาแน่น ราว พ.ศ.๒๓๗๗ เจ้าพระยานคร (น้อย) เห็นว่าควรจะสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ชาวเมือง จึงให้สร้างพระพุทธรูปขนาดหน้าตักประมาณ ๕ ศอก สูงประมาณ ๘ ศอกขึ้นบนเนินนั้น และสร้างวิหารสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปด้วยหลังหนึ่ง เรียกว่า “หอพระสูง” และเรียกสถานที่แห่งนี้ว่าหอพระสูงมาตั้งแต่บัดนั้น
- หอพระอิศวร ตั้งอยู่บนถนนราชดำเนิน ตำบลในเมือง อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นศาสนสถานในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ลัทธิไศวนิกาย ซึ่งบูชาพระอิศวรหรือพระศิวะเป็นใหญ่เหนือเทพองค์อื่น สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานศิวลึงค์ศิลา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระองค์ สันนิษฐานว่าหอพระอิศวรสร้างขึ้นในสมัยอยุธยา โดยสร้างขึ้นพร้อมกับหอพระนารายณ์ และโบสถ์พราหมณ์ ตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่เจริญควบคู่มากับการตั้งถิ่นฐานของเมืองนครศรีธรรมราช นอกจากนั้นภายในหอพระอิศวรยังเคยเป็นที่ประดิษฐานเทวรูปสำริดอื่นๆ ได้แก่ พระศิวนาฏราช พระอุมา พระคเณศ และรูปหงส์ ปัจจุบันได้นำไปเก็บรักษาและจัดแสดงไว้ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช
- หอพระนารายณ์ ตั้งอยู่ตรงข้ามกับหอพระอิศวร เป็นโบราณสถานในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ลัทธิไวษณพนิกาย บูชาพระนารายณ์เป็นใหญ่เหนือเทพองค์อื่น สร้างขึ้นเพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมเนื่องในลัทธิศาสนาและประดิษฐานเทวรูปพระนารายณ์ หอพระนารายณ์ มีการบูรณะมาแล้วหลายครั้ง การบูรณะครั้งใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นในสมัยพระยารัษฎานุประดิษฐ์ฯ (สิน เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งข้าหลวงประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช (พ.ศ. ๒๕๖๒ – ๒๔๗๕) หลักฐานสำคัญที่พบในหอพระนารายณ์ ได้แก่ เทวรูปพระนารายณ์ สี่กร ทำด้วยหินทรายลักษณะเป็นเทวรูปรุ่นเก่า อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐ – ๑๑ ปัจจุบันนำมาเก็บรักษาและจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ส่วนเทวรูปพระนารายณ์ที่ประดิษฐานอยู่ภายในหอนั้น กรมศิลปากรได้จำลองแบบตามภาพถ่ายเก่า ลักษณะเป็นเทวรูปในศิลปะอยุธยา จากการขุดค้นทางโบราณคดีเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๘ พบว่าอาคารหอพระนารายณ์หลังปัจจุบัน สร้างทับอาคารหลังเก่าที่สร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยอาคารปัจจุบันมีขนาดเล็กกว่า
- โบสถ์พราหมณ์ เป็นเทวสถานสำคัญประจำเมืองนครศรีธรรมราช สร้างขึ้นในสมัยอยุธยา ใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมสำคัญของพราหมณ์ โดยเฉพาะพิธีตรียัมปวาย และตรีปวาย ภายในเคยเป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพเนื่องในศาสนาพราหมณ์ที่สำคัญหลายองค์ ได้แก่ พระศิวนาฏราชสำริด พระอุมาสำริด พระวิษณุสำริด พระหริหระสำริด พระคเณศสำริด และหงส์สำริด ภายหลังโบสถ์พราหมณ์หลังที่สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยอยุธยามีสภาพชำรุดมาก จึงถูกรื้อลงใน พ.ศ. ๒๕๐๕ กระทั่งใน พ.ศ.๒๕๕๗ สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช ดำเนินการขุดค้นทางโบราณคดี พบฐานรากอาคารของโบสถ์พราหมณ์ห่างจากหอพระอิศวรมาทางทิศใต้ ๕ เมตร ลักษณะเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หันหน้าไปทางด้านทิศตะวันออก ขนาดกว้าง ๖.๕๐ เมตร ยาว ๒๒ เมตร ภายในอาคารด้านในสุดมีห้องคูหาก่ออิฐทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสและมีแท่นสำหรับประดิษฐานรูปเคารพอยู่ภายใน ในครั้งนั้นได้มีการนำตัวอย่างอิฐที่พบจากการขุดค้นทางโบราณคดีไปกำหนดอายุด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ด้วยเทคนิคเรืองแสงความร้อน (TL) ได้ค่าอายุประมาณ ๔๕๐ - ๕๐๐ ปีมาแล้ว ซึ่งตรงกับสมัยอยุธยา จากการดำเนินงานทางโบราณคดีครั้งดังกล่าว ใน พ.ศ. ๒๕๖๒ สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช จึงดำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์โบสถ์พราหมณ์ขึ้นใหม่ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ในการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์ และเพื่อเป็นการคงคุณค่าความสำคัญของโบสถ์พราหมณ์ในฐานะโบราณสถานเนื่องในศาสนาพราหมณ์แห่งเมืองนครศรีธรรมราช
วัดนางนองวรวิหาร ตั้งอยู่ ณ แขวงบางค้อ เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร พระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร ตั้งอยู่ริมคลอง สนามชัยหรือคลองด่าน ซึ่งเชื่อมกับแม่น้ำเจ้าพระยาสายเก่า วัดนางนองนั้น ตั้งอยู่ในย่านข้าหลวงเดิม (สมัยก่อนเรียกบางขุนเทียน) หรือหลักแหล่งเครือญาติ และข้ารับใช้รัชกาลที่ ๓ ตั้งแต่ก่อนเสวยราชย์ ดังพบวัดต่าง ๆ ในละแวกเดียวกัน ได้แก่ วัดราชโอรสาราม ราชวรวิหาร และวัดหนัง ๓ เดิมบริเวณนี้เป็นชุมชนเก่าแก่เรียก นางนอง หรือบางนางนอง วัดแห่งนี้ไม่ทราบประวัติการสร้างที่แน่ชัด สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ราวรัชสมัยของสมเด็จพระศรีสรรเพชญ์ที่ ๘ (ขุนหลวงสรศักดิ์) หรือพระเจ้าเสือ (ครองราชย์ ระหว่าง พ.ศ. ๒๒๔๕ - ๒๒๕๑) ดังปรากฏหลักฐานในวรรณคดีหรือโคลงกำสรวลสมุทร ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๓ เมื่อพ.ศ. ๒๓๗๕ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้รื้อและปฏิสังขรณ์พระอารามใหม่ทั้งหมด และสร้างอาคารพระอุโบสถและพระวิหารคู่ตามแบบศิลปกรรมพระราชนิยมในรัชกาลที่ ๓
โบราณวัตถุสถานสำคัญ ๑.พระอุโบสถ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของวัด หันหน้าลงสู่คลองสนามชัย (คลองด่าน) ซึ่งแตกต่างไปจากคติของการสร้างอุโบสถโดยทั่วไปที่มักหันหน้าไปทางด้านทิศตะวันออก มีขนาดกว้าง มีกำแพงแก้วล้อมรอบ ซุ้มประตูทางเข้าสู่บริเวณพระอุโบสถทำเป็นยอดโค้งแหลมแสดงอิทธิพลศิลปะจีนผสมฝรั่ง หน้าบันของซุ้มประตูทางเข้าตกแต่งด้วยปูนปั้นรูปเทพนมบนพื้นหลังสีน้ำเงิน หลังคาพระอุโบสถเป็นทรงจั่วแหลมสูงซ้อนกัน ๒ ชั้น ๓ ตับ ประกอบด้วย ผืนหลังคาหลักทางด้านยาวและหลังคาพาไลมุงกระเบื้องราง หน้าบันที่ตับที่ ๑ และ ๒ ตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบเป็นภาพดอกไม้ร่วง
รุูปพระอุโบสถ
ผนังก่ออิฐถือปูนขนาดกว้าง ๕ ช่วงเสาใช้กำแพงและเสาระเบียงรับน้ำหนักหลังคา ระเบียงมีพนักเตี้ยกรุด้วยกระเบื้องปรุเคลือบสีแบบจีน ประตูทางเข้าที่ด้านสกัดด้านละ ๒ ประตู บานประตูลงรักประดับมุกแผ่น เขียนลายทองเป็นรูปเครื่องมงคลจีนต่าง ๆ ซุ้มและกรอบประตูประดับด้วยปูนปั้นปิดทองประดับกระจกเป็นลายเทศ หรือลายที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกผสมกับรสนิยมแบบจีน บริเวณขอบผนังประตูด้านนอกเป็นลายกำเนิดรัตนะที่มาแห่งอัญมณีอันมีค่าที่สัมพันธ์กับเรื่องราวของพระจักรพรรดิราช หน้าต่างด้านละ ๕ ช่องตกแต่งหน้าบานด้วย ลายรดน้ำปิดทอง ซุ้มและกรอบหน้าต่างประดับด้วยปูนปั้นปิดทองประดับกระจกลายเทศเช่นเดียวกับบานประตู ฐานพระอุโบสถรับผนังเป็นฐานสิงห์ลูกแก้ว ส่วนระเบียงและพาไลเป็นฐานบัวคว่ำบัวหงายมีบันไดทางขึ้นด้านละ ๒ ฝั่ง พนักบันไดประดับด้วยรูปจำหลักหินสิงโตขนาดย่อมอยู่บนแท่นสี่เหลี่ยม ภายในอาคารพระอุโบสถ ประดิษฐานพระพุทธมหาจักรพรรดิ เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่อง ปางมารวิชัย ประทับขัดสมาธิราบหล่อด้วยสำริดลงรักปิดทองเครื่องทรงทุกชิ้นสามารถถอดแยกได้ พระพักตร์อย่างพุทธศิลป์สุโขทัย หน้าตักกว้าง ๑ เมตร ๒๕ เซนติเมตร ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีประดับลายปูนปั้นปิดทองประดับกระจก นอกจากนี้ ผนังเขียนภาพจิตรกรรม เป็นภาพจิตรกรรมไทยประเพณีเล่าเรื่องท้าวมหาชมพูบริเวณเหนือกรอบหน้าต่าง และภาพกำมะลอเรื่องสามก๊กที่เขียนเล่าเรื่องแบ่งออกเป็นตอน ๆ ในช่องรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสบริเวณผนังระหว่างบานประตูและบานหน้าต่างทั้ง ๔ ด้าน ส่วนผนังระหว่างกรอบประตูทั้ง ๒ ด้านประดับลวดลายมงคลอย่างจีน ได้แก่ รูปฮก ลก ซิ่ว ที่ผนังสกัดทางหน้าของพระพุทธรูปประธาน และลวดลาย นกกระเรียน ที่ผนังสกัดด้านหลัง
รูปพระพุทธมหาจักรพรรดิ
๒. เจดีย์ประธาน เจดีย์ทรงเครื่องขนาดใหญ่ย่อมุมไม้ยี่สิบ ตั้งอยู่กึ่งกลางวัดด้านหน้าพระอุโบสถ จากลักษณะของเจดีย์ประธานสามารถเทียบเคียงได้กับเจดีย์ที่สร้างขึ้นในรัชกาลที่ ๓ เช่น เจดีย์ประธานวัดเชตุพนวิมลมังคลาราม
๓. พระวิหารคู่ (ทิศเหนือและทิศใต้) เป็นอาคาร ๒ หลังตั้งขนานกันบริเวณหน้าวัด พระวิหารมีขนาดกว้าง ๕ ช่วงเสา มีหลังคาปีกนกล้อมรอบระเบียงรับด้วยเสาพาไลสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ หลังคาพระวิหารทิศเหนือเป็นหลังคาทรงจั่วลดชั้นหน้า-หลัง ซ้อนชั้น ๓ ตับ แต่พระวิหารด้านใต้ซ้อน ๒ ตับ หน้าบันของอาคารมีลักษณะแบบปิดหรือทึบตัน หน้าบันทั้งตับที่ ๑ ตกแต่ง ด้วยกระเบื้องเคลือบอย่างประณีตเป็นภาพหงส์และมังกร ส่วนตับที่ ๒ เป็นภาพทิวทัศน์ และสถาปัตยกรรมแบบจีนหรือถะ ส่วนหน้าบันของพระวิหารหลังทิศใต้ตกแต่งเป็นลายมังกรคู่กำลังเล่นลูกไฟ ประกอบเครื่องมงคลจีนต่าง ๆ กัน ภายในพระวิหารทิศเหนือประดิษฐานพระพุทธรูป “หลวงพ่อผุด” ฝีมือช่างอยุธยาตอนปลาย โดยตั้งอยู่ด้านหน้า “หลวงพ่อผาด” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปประธานองค์เดิม พระพุทธรูปทั้ง ๒ องค์นั้น เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยขนาดใหญ่ ประดิษฐานอยู่บนฐานสิงห์ ลักษณะทางประติมากรรม และการจัดวางประดิษฐานเทียบได้กับพระพุทธรูปในสมัยอยุธยาตอนปลาย ทำให้เชื่อว่าน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอุโบสถหลังเก่าหลังนี้ให้เป็นวิหารในรัชกาลที่ ๓ ฝ้าเพดาน ภายในวิหารหลังนี้ทาสีแดง ส่วนในพระวิหารทิศใต้ ประดิษฐานพระประธานขนาดเล็กปางมารวิชัย ห่มจีวรลายดอก อันเป็นลักษณะที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓ จึงสันนิษฐานว่าได้หล่อขึ้นใหม่ เพื่อประดิษฐานในพระวิหารโดยเฉพาะ พระวิหารแต่ละหลังล้อมด้วยกำแพงแก้วเตี้ย ๆ มีปรางค์จำลองขนาดเล็กที่มุมกำแพง บริเวณด้านหลังของพระวิหารก่อปรางค์หกเหลี่ยมยกเก็จคร่อมอยู่บนกำแพงแก้ว
นอกจากนี้ ภายในวัดยังมีศาลาการเปรียญ ศาลาท่าน้ำ ศาลารับเสด็จ ศาลาเก๋งจีน หมู่กุฏิสงฆ์และหอระฆัง
กรมศิลปากร ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๔ ตอนที่ ๗๕ วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๒๐
ได้มาจากวัดห้วยสะพาน ต.หนองโรง อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2533
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน)อย.บ. 136/7ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 30 หน้า กว้าง 5.3 ซม. ยาว 55.7 ซม.หัวเรื่อง พระอภิธรรมปิฎก พระมหาปัฏฐานบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับล่องชาด ไม้ประกับธรรมดา ได้รับจาก วัดประดู่ทรงธรรม อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา