ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,637 รายการ
สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช แจ้งข่าวประชาสัมพันธ์เวลาเปิด - ปิดโบราณสถาน ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๘ ได้แก่ หอพระสิหิงค์ หอพระสูง หอพระอิศวร หอพระนารายณ์ และโบสถ์พราหมณ์ อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ วันจันทร์ - อาทิตย์ เวลา ๐๘.๓๐ - ๑๖.๐๐ น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางกล่องข้อความ facebook สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช หรือ โทร. ๐ ๗๕๓๕ ๖๔๕๘
- หอพระสิหิงค์ หรือหอพระพุทธสิหิงค์ เป็นสถานที่ประดิษฐาน “พระพุทธสิหิงค์” พระพุทธรูปสำคัญคู่เมืองนครศรีธรรมราช กำหนดอายุในสมัยอยุธยา (ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑) หอพระสิหิงค์ตั้งอยู่บนถนนราชดำเนิน ตำบลในเมือง อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครศรีธรรมราช เดิมเป็นหอพระตั้งอยู่บริเวณจวนเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งปัจจุบันคือที่ตั้งศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช “พระพุทธสิหิงค์” ถือเป็นพระพุทธรูปสำคัญของบ้านเมือง ซึ่งในประเทศไทยปรากฏพระพุทธสิหิงค์เพียง ๓ องค์ องค์แรกประดิษฐานในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร องค์ที่ ๒ ประดิษฐานในวิหารลายคำ วัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่ และองค์ที่ ๓ ประดิษฐานในหอพระพุทธสิหิงค์ จังหวัดพระนครศรีธรรมราช
- หอพระสูง หรือ พระวิหารสูง เป็นสถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปประธานปางมารวิชัย ศิลปะสมัยอยุธยาตอนปลายหรือรัตนโกสินทร์ตอนต้น (ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๓ - ๒๔) หอพระสูงถือเป็นโบราณสถานสำคัญแห่งหนึ่งในเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ตั้งอยู่ที่ตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยตั้งอยู่บนเนินดินขนาดใหญ่ นอกกำแพงเมืองนครศรีธรรมราชด้านทิศเหนือ มีข้อสันนิษฐานหลายประการเกี่ยวกับประวัติการสร้างหอพระสูงและที่มาของเนินดิน เช่น เชื่อว่าเนินดินนี้เกิดจากชาวเมืองนครศรีธรรมราชช่วยกันขุดดินจากบริเวณคลองหน้าเมืองมาถมจนเป็นเนินใหญ่ เพื่อใช้ตั้งปืนใหญ่ในการสกัดกั้นทัพพม่าในคราวที่มีการยกทัพมาตีหัวเมืองภาคใต้ตั้งแต่มะริด ถลาง ไชยา เรื่อยมาจนถึงนครศรีธรรมราช เมื่อครั้งสงคราม ๙ ทัพใน พ.ศ. ๒๓๒๘ ภายหลังเนินดินแห่งนี้ได้กลายเป็นที่รกร้าง มีต้นไม้ขึ้นปกคลุมหนาแน่น ราว พ.ศ.๒๓๗๗ เจ้าพระยานคร (น้อย) เห็นว่าควรจะสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ชาวเมือง จึงให้สร้างพระพุทธรูปขนาดหน้าตักประมาณ ๕ ศอก สูงประมาณ ๘ ศอกขึ้นบนเนินนั้น และสร้างวิหารสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปด้วยหลังหนึ่ง เรียกว่า “หอพระสูง” และเรียกสถานที่แห่งนี้ว่าหอพระสูงมาตั้งแต่บัดนั้น
- หอพระอิศวร ตั้งอยู่บนถนนราชดำเนิน ตำบลในเมือง อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นศาสนสถานในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ลัทธิไศวนิกาย ซึ่งบูชาพระอิศวรหรือพระศิวะเป็นใหญ่เหนือเทพองค์อื่น สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานศิวลึงค์ศิลา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระองค์ สันนิษฐานว่าหอพระอิศวรสร้างขึ้นในสมัยอยุธยา โดยสร้างขึ้นพร้อมกับหอพระนารายณ์ และโบสถ์พราหมณ์ ตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่เจริญควบคู่มากับการตั้งถิ่นฐานของเมืองนครศรีธรรมราช นอกจากนั้นภายในหอพระอิศวรยังเคยเป็นที่ประดิษฐานเทวรูปสำริดอื่นๆ ได้แก่ พระศิวนาฏราช พระอุมา พระคเณศ และรูปหงส์ ปัจจุบันได้นำไปเก็บรักษาและจัดแสดงไว้ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช
- หอพระนารายณ์ ตั้งอยู่ตรงข้ามกับหอพระอิศวร เป็นโบราณสถานในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ลัทธิไวษณพนิกาย บูชาพระนารายณ์เป็นใหญ่เหนือเทพองค์อื่น สร้างขึ้นเพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมเนื่องในลัทธิศาสนาและประดิษฐานเทวรูปพระนารายณ์ หอพระนารายณ์ มีการบูรณะมาแล้วหลายครั้ง การบูรณะครั้งใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นในสมัยพระยารัษฎานุประดิษฐ์ฯ (สิน เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งข้าหลวงประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช (พ.ศ. ๒๕๖๒ – ๒๔๗๕) หลักฐานสำคัญที่พบในหอพระนารายณ์ ได้แก่ เทวรูปพระนารายณ์ สี่กร ทำด้วยหินทรายลักษณะเป็นเทวรูปรุ่นเก่า อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐ – ๑๑ ปัจจุบันนำมาเก็บรักษาและจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ส่วนเทวรูปพระนารายณ์ที่ประดิษฐานอยู่ภายในหอนั้น กรมศิลปากรได้จำลองแบบตามภาพถ่ายเก่า ลักษณะเป็นเทวรูปในศิลปะอยุธยา จากการขุดค้นทางโบราณคดีเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๘ พบว่าอาคารหอพระนารายณ์หลังปัจจุบัน สร้างทับอาคารหลังเก่าที่สร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยอาคารปัจจุบันมีขนาดเล็กกว่า
- โบสถ์พราหมณ์ เป็นเทวสถานสำคัญประจำเมืองนครศรีธรรมราช สร้างขึ้นในสมัยอยุธยา ใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมสำคัญของพราหมณ์ โดยเฉพาะพิธีตรียัมปวาย และตรีปวาย ภายในเคยเป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพเนื่องในศาสนาพราหมณ์ที่สำคัญหลายองค์ ได้แก่ พระศิวนาฏราชสำริด พระอุมาสำริด พระวิษณุสำริด พระหริหระสำริด พระคเณศสำริด และหงส์สำริด ภายหลังโบสถ์พราหมณ์หลังที่สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยอยุธยามีสภาพชำรุดมาก จึงถูกรื้อลงใน พ.ศ. ๒๕๐๕ กระทั่งใน พ.ศ.๒๕๕๗ สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช ดำเนินการขุดค้นทางโบราณคดี พบฐานรากอาคารของโบสถ์พราหมณ์ห่างจากหอพระอิศวรมาทางทิศใต้ ๕ เมตร ลักษณะเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หันหน้าไปทางด้านทิศตะวันออก ขนาดกว้าง ๖.๕๐ เมตร ยาว ๒๒ เมตร ภายในอาคารด้านในสุดมีห้องคูหาก่ออิฐทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสและมีแท่นสำหรับประดิษฐานรูปเคารพอยู่ภายใน ในครั้งนั้นได้มีการนำตัวอย่างอิฐที่พบจากการขุดค้นทางโบราณคดีไปกำหนดอายุด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ด้วยเทคนิคเรืองแสงความร้อน (TL) ได้ค่าอายุประมาณ ๔๕๐ - ๕๐๐ ปีมาแล้ว ซึ่งตรงกับสมัยอยุธยา จากการดำเนินงานทางโบราณคดีครั้งดังกล่าว ใน พ.ศ. ๒๕๖๒ สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช จึงดำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์โบสถ์พราหมณ์ขึ้นใหม่ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ในการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์ และเพื่อเป็นการคงคุณค่าความสำคัญของโบสถ์พราหมณ์ในฐานะโบราณสถานเนื่องในศาสนาพราหมณ์แห่งเมืองนครศรีธรรมราช
วัดนางนองวรวิหาร ตั้งอยู่ ณ แขวงบางค้อ เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร พระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร ตั้งอยู่ริมคลอง สนามชัยหรือคลองด่าน ซึ่งเชื่อมกับแม่น้ำเจ้าพระยาสายเก่า วัดนางนองนั้น ตั้งอยู่ในย่านข้าหลวงเดิม (สมัยก่อนเรียกบางขุนเทียน) หรือหลักแหล่งเครือญาติ และข้ารับใช้รัชกาลที่ ๓ ตั้งแต่ก่อนเสวยราชย์ ดังพบวัดต่าง ๆ ในละแวกเดียวกัน ได้แก่ วัดราชโอรสาราม ราชวรวิหาร และวัดหนัง ๓ เดิมบริเวณนี้เป็นชุมชนเก่าแก่เรียก นางนอง หรือบางนางนอง วัดแห่งนี้ไม่ทราบประวัติการสร้างที่แน่ชัด สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ราวรัชสมัยของสมเด็จพระศรีสรรเพชญ์ที่ ๘ (ขุนหลวงสรศักดิ์) หรือพระเจ้าเสือ (ครองราชย์ ระหว่าง พ.ศ. ๒๒๔๕ - ๒๒๕๑) ดังปรากฏหลักฐานในวรรณคดีหรือโคลงกำสรวลสมุทร ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๓ เมื่อพ.ศ. ๒๓๗๕ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้รื้อและปฏิสังขรณ์พระอารามใหม่ทั้งหมด และสร้างอาคารพระอุโบสถและพระวิหารคู่ตามแบบศิลปกรรมพระราชนิยมในรัชกาลที่ ๓
โบราณวัตถุสถานสำคัญ ๑.พระอุโบสถ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของวัด หันหน้าลงสู่คลองสนามชัย (คลองด่าน) ซึ่งแตกต่างไปจากคติของการสร้างอุโบสถโดยทั่วไปที่มักหันหน้าไปทางด้านทิศตะวันออก มีขนาดกว้าง มีกำแพงแก้วล้อมรอบ ซุ้มประตูทางเข้าสู่บริเวณพระอุโบสถทำเป็นยอดโค้งแหลมแสดงอิทธิพลศิลปะจีนผสมฝรั่ง หน้าบันของซุ้มประตูทางเข้าตกแต่งด้วยปูนปั้นรูปเทพนมบนพื้นหลังสีน้ำเงิน หลังคาพระอุโบสถเป็นทรงจั่วแหลมสูงซ้อนกัน ๒ ชั้น ๓ ตับ ประกอบด้วย ผืนหลังคาหลักทางด้านยาวและหลังคาพาไลมุงกระเบื้องราง หน้าบันที่ตับที่ ๑ และ ๒ ตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบเป็นภาพดอกไม้ร่วง
รุูปพระอุโบสถ
ผนังก่ออิฐถือปูนขนาดกว้าง ๕ ช่วงเสาใช้กำแพงและเสาระเบียงรับน้ำหนักหลังคา ระเบียงมีพนักเตี้ยกรุด้วยกระเบื้องปรุเคลือบสีแบบจีน ประตูทางเข้าที่ด้านสกัดด้านละ ๒ ประตู บานประตูลงรักประดับมุกแผ่น เขียนลายทองเป็นรูปเครื่องมงคลจีนต่าง ๆ ซุ้มและกรอบประตูประดับด้วยปูนปั้นปิดทองประดับกระจกเป็นลายเทศ หรือลายที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกผสมกับรสนิยมแบบจีน บริเวณขอบผนังประตูด้านนอกเป็นลายกำเนิดรัตนะที่มาแห่งอัญมณีอันมีค่าที่สัมพันธ์กับเรื่องราวของพระจักรพรรดิราช หน้าต่างด้านละ ๕ ช่องตกแต่งหน้าบานด้วย ลายรดน้ำปิดทอง ซุ้มและกรอบหน้าต่างประดับด้วยปูนปั้นปิดทองประดับกระจกลายเทศเช่นเดียวกับบานประตู ฐานพระอุโบสถรับผนังเป็นฐานสิงห์ลูกแก้ว ส่วนระเบียงและพาไลเป็นฐานบัวคว่ำบัวหงายมีบันไดทางขึ้นด้านละ ๒ ฝั่ง พนักบันไดประดับด้วยรูปจำหลักหินสิงโตขนาดย่อมอยู่บนแท่นสี่เหลี่ยม ภายในอาคารพระอุโบสถ ประดิษฐานพระพุทธมหาจักรพรรดิ เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่อง ปางมารวิชัย ประทับขัดสมาธิราบหล่อด้วยสำริดลงรักปิดทองเครื่องทรงทุกชิ้นสามารถถอดแยกได้ พระพักตร์อย่างพุทธศิลป์สุโขทัย หน้าตักกว้าง ๑ เมตร ๒๕ เซนติเมตร ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีประดับลายปูนปั้นปิดทองประดับกระจก นอกจากนี้ ผนังเขียนภาพจิตรกรรม เป็นภาพจิตรกรรมไทยประเพณีเล่าเรื่องท้าวมหาชมพูบริเวณเหนือกรอบหน้าต่าง และภาพกำมะลอเรื่องสามก๊กที่เขียนเล่าเรื่องแบ่งออกเป็นตอน ๆ ในช่องรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสบริเวณผนังระหว่างบานประตูและบานหน้าต่างทั้ง ๔ ด้าน ส่วนผนังระหว่างกรอบประตูทั้ง ๒ ด้านประดับลวดลายมงคลอย่างจีน ได้แก่ รูปฮก ลก ซิ่ว ที่ผนังสกัดทางหน้าของพระพุทธรูปประธาน และลวดลาย นกกระเรียน ที่ผนังสกัดด้านหลัง
รูปพระพุทธมหาจักรพรรดิ
๒. เจดีย์ประธาน เจดีย์ทรงเครื่องขนาดใหญ่ย่อมุมไม้ยี่สิบ ตั้งอยู่กึ่งกลางวัดด้านหน้าพระอุโบสถ จากลักษณะของเจดีย์ประธานสามารถเทียบเคียงได้กับเจดีย์ที่สร้างขึ้นในรัชกาลที่ ๓ เช่น เจดีย์ประธานวัดเชตุพนวิมลมังคลาราม
๓. พระวิหารคู่ (ทิศเหนือและทิศใต้) เป็นอาคาร ๒ หลังตั้งขนานกันบริเวณหน้าวัด พระวิหารมีขนาดกว้าง ๕ ช่วงเสา มีหลังคาปีกนกล้อมรอบระเบียงรับด้วยเสาพาไลสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ หลังคาพระวิหารทิศเหนือเป็นหลังคาทรงจั่วลดชั้นหน้า-หลัง ซ้อนชั้น ๓ ตับ แต่พระวิหารด้านใต้ซ้อน ๒ ตับ หน้าบันของอาคารมีลักษณะแบบปิดหรือทึบตัน หน้าบันทั้งตับที่ ๑ ตกแต่ง ด้วยกระเบื้องเคลือบอย่างประณีตเป็นภาพหงส์และมังกร ส่วนตับที่ ๒ เป็นภาพทิวทัศน์ และสถาปัตยกรรมแบบจีนหรือถะ ส่วนหน้าบันของพระวิหารหลังทิศใต้ตกแต่งเป็นลายมังกรคู่กำลังเล่นลูกไฟ ประกอบเครื่องมงคลจีนต่าง ๆ กัน ภายในพระวิหารทิศเหนือประดิษฐานพระพุทธรูป “หลวงพ่อผุด” ฝีมือช่างอยุธยาตอนปลาย โดยตั้งอยู่ด้านหน้า “หลวงพ่อผาด” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปประธานองค์เดิม พระพุทธรูปทั้ง ๒ องค์นั้น เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยขนาดใหญ่ ประดิษฐานอยู่บนฐานสิงห์ ลักษณะทางประติมากรรม และการจัดวางประดิษฐานเทียบได้กับพระพุทธรูปในสมัยอยุธยาตอนปลาย ทำให้เชื่อว่าน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอุโบสถหลังเก่าหลังนี้ให้เป็นวิหารในรัชกาลที่ ๓ ฝ้าเพดาน ภายในวิหารหลังนี้ทาสีแดง ส่วนในพระวิหารทิศใต้ ประดิษฐานพระประธานขนาดเล็กปางมารวิชัย ห่มจีวรลายดอก อันเป็นลักษณะที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓ จึงสันนิษฐานว่าได้หล่อขึ้นใหม่ เพื่อประดิษฐานในพระวิหารโดยเฉพาะ พระวิหารแต่ละหลังล้อมด้วยกำแพงแก้วเตี้ย ๆ มีปรางค์จำลองขนาดเล็กที่มุมกำแพง บริเวณด้านหลังของพระวิหารก่อปรางค์หกเหลี่ยมยกเก็จคร่อมอยู่บนกำแพงแก้ว
นอกจากนี้ ภายในวัดยังมีศาลาการเปรียญ ศาลาท่าน้ำ ศาลารับเสด็จ ศาลาเก๋งจีน หมู่กุฏิสงฆ์และหอระฆัง
กรมศิลปากร ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๔ ตอนที่ ๗๕ วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๒๐
ได้มาจากวัดห้วยสะพาน ต.หนองโรง อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2533
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน)อย.บ. 136/7ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 30 หน้า กว้าง 5.3 ซม. ยาว 55.7 ซม.หัวเรื่อง พระอภิธรรมปิฎก พระมหาปัฏฐานบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับล่องชาด ไม้ประกับธรรมดา ได้รับจาก วัดประดู่ทรงธรรม อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา
หนังสืองานชุมนุมชาวตรังเล่มนี้ เป็นหนังสือประกอบการจัดงานชุมนุมชาวตรัง ครั้งที่ ๗ ในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ภายในเล่มนำเสนอเนื้อหาความรู้เกี่ยวกับจังหวัดตรัง ได้แก่ พระยารัษฎานุประดิษฐ์ (คอซิมบี๊ ณ ระนอง) ทำเนียบผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๗๒ – ๒๕๑๘ แผนที่จังหวัดตรัง เรื่องเมืองตรัง ประวัติการจัดงานชุมนุมชาวตรัง การพัฒนาท่าเรือกันตัง และจดหมายเหตุประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ ร.ศ. ๑๒๘ ของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นต้นบรรณานุกรม งานชุมนุมชาวตรัง ครั้งที่ ๗. กรุงเทพฯ: สารมวลชน, ๒๕๑๘.
ชื่อแบบฉบับ : ตำนานวัดพระแก้วดอนเต้า (ผูก 1ง)
ชื่อเรื่อง : ตำนานดอนเต้า (ผูก 1ง)
เลขทะเบียน : ชม.บ.420/1ง
ผู้แต่ง : ไม่ปรากฏ ผู้สร้าง : ไม่ปรากฏ ปีที่สร้าง : ไม่ปรากฏ
จำนวน : 1 คัมภีร์ 6 ผูก (หอสมุดแห่งชาติฯ เชียงใหม่ มีผูก1, 1ก-1ง)
จำนวนบรรทัด : 5 บรรทัด จำนวนหน้า : 20 หน้า
อักษร : ธรรมล้านนา ภาษา : บาลี-ไทยล้านนา เส้น : จาร
ฉบับ : ชาดทึบ-รักทึบ-ลานดิบ ไม้ประกับ : ไม่มี ประเภทเอกสารโบราณ : คัมภีร์ใบลาน
ประวัติ : ได้มาจากวัดทุ่งมอก ต.มาง อ.เชียงม่วน จ.พะเยา เมื่อวันที่ 11 กรกฏาคม 2531
โครงการ : พัฒนาระบบบริการห้องสมุดดิจิทัล หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ ปี พ.ศ. 2568
เลขทะเบียน : นพ.บ.729/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 24 หน้า ; 4 x 56 ซ.ม. : ลานดิบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 228 (326-331) ผูก 3 (2568)หัวเรื่อง : วิภังคปกรณ์--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.790/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 80 หน้า ; 4 x 57 ซ.ม. : ลานดิบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 243 (477-487) ผูก 1 (2568)หัวเรื่อง : สงฺคีติกถา--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร ขอนำเสนอ E-book แนะนำสำนักช่างสิบหมู่ รวบรวมข้อมูลและออกแบบโดย นายธีระวัฒน์ สมโสภาพ นักวิชาการช่างศิลป์ชำนาญการ สังกัดศูนย์ศิลปะและการช่างไทย สำนักช่างสิบหมู่ ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลด E-book ได้ทางลิ้งค์ https://datasipmu.finearts.go.th/academic/62 ซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่อยู่ในระบบศูนย์ข้อมูลงานศิลปกรรม สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร
“ระบบศูนย์ข้อมูลงานศิลปกรรม สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร” เป็นช่องทางเผยแพร่ข้อมูลองค์ความรู้ด้านศิลปกรรมของสำนักช่างสิบหมู่ ผ่านทางเว็บไซต์ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลความรู้ได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งจะมีองค์ความรู้เกี่ยวกับงานศิลปะไทย ในรูปแบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) อาทิ งานช่างปิดทองประดับกระจก การสร้างลวดลายในงานโลหะ การจัดสร้างหุ่นหลวง การเขียนภาพจิตรกรรมไทย การตอกกระดาษตอกฉลุหนัง การแกะแม่พิมพ์หินสบู่ การประดับมุกแบบญี่ปุ่น ฯลฯ และชมผลงานของสำนักช่างสิบหมู่ได้อีกมากมาย ผู้สนใจสามารถเข้าถึงข้อมูลองค์ความรู้งานด้านศิลปกรรม ของสำนักช่างสิบหมู่ ผ่านทางเว็บไซต์ https://datasipmu.finearts.go.th
สำนักศิลปากรที่ ๓ พระนครศรีอยุธยา ขอเชิญบุคคลทั่วไปเข้าร่วมรับฟังการบรรยาย เรื่อง "การอนุรักษ์กระจกสเตนกลาส" ในวันที่ ๘ - ๙ มกราคม ๒๕๖๙ กิจกรรมประกอบด้วย วันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๙ รับฟังการบรรยายให้ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ ณ ห้องประชุมอาคารเครื่องทอง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๙ รับฟังการบรรยายและฝึกปฏิบัติการตรวจสอบสภาพกระจกสเตนกลาส ณ วัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา และเดินทางไปศึกษาดูงาน ณ วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ อำเภอบางปะอิน และพลับพลาที่ประทับ สถานีรถไฟบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนได้ทาง QR-CODE เปิดรับลงทะเบียนตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม โทร. ๐ ๓๕๒๔ ๒๔๔๘, ๐๙๒ ๙๔๖๒๘๙๒ ทั้งนี้ ไม่มีบริการที่พัก และรถรับ-ส่งในการศึกษาดูงาน โปรดเตรียมกล้องส่องทางไกล เพื่อใช้ในการศึกษาดูงาน (ถ้ามี)
เมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๙ เวลา ๗.๐๐ น. นายสหภูมิ ภูมิธฤติรัฐ รองอธิบดีกรมศิลปากร ผู้ทรงคุณวุฒิกรมศิลปากร ผู้บริหาร ข้าราชการ และประชาชน ร่วมทำบุญเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราขกุมารี หลังจากนั้น เวลา ๙.๐๐ น. รองอธิบดีกรมศิลปากร เป็นประธานเปิดนิทรรศการเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย พุทธศักราช ๒๕๕๙ และเปิดการสัมมนา เรื่อง "จารึกภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง" ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย จ.นครราชสีมา