ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 41,342 รายการ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลาง สำนักศิลปากรที่ 12 นครศรีธรรมราช จัดการบรรยายทางวิชาการออนไลน์สาธารณะ ประจำปี พ.ศ.2566 "คนพิพิธภัณฑ์อยากจะเล่า" ครั้งที่ 7 ขอเชิญร่วมฟังเรื่องเล่า ในหัวข้อ "พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา จัดกิจกรรมอย่างไรให้มีความน่าสนใจ" เล่าเรื่องโดย นางสาวธีรนาฎ มีนุ่น ภัณฑารักษ์ชำนาญการ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา วันอาทิตย์ที่ 20 สิงหาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 10.30 น. เป็นต้นไป
ผู้สนใจสามารถติดตามชมการถ่ายทอดสดผ่านทาง facebook live : Thalang National Museum พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลาง
เหรียญรูปปูรณฆฏะและศรีวัตสะ สมัยทวารวดี
เหรียญรูปปูรณฆฏะและศรีวัตสะ จัดแสดงอาคารจัดแสดง ๒ ชั้น ๒ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง
เหรียญเงินกลมแบน เส้นผ่านศูนย์กลาง ๒.๕ เซนติเมตร มีรูปสัญลักษณ์มงคลทั้ง ๒ ด้าน แต่ละด้านมีรายละเอียด ดังนี้
ด้านที่ ๑ มีรูปปูรณฆฏะขนาดใหญ่เต็มพื้นที่ตรงกึ่งกลางเหรียญ โดยมีลักษณะเป็นหม้อทรงกลม ป่องกลาง คอคอด ปากกว้างผายออก มีลายพันธุ์พฤกษาห้อยลงมาทั้งสองข้าง ใต้หม้อมีสิ่งรองรับอาจเป็นใบไม้หรือดอกไม้ ขอบด้านนอกตกแต่งด้วยลายจุดกลมโดยรอบ
ด้านที่ ๒ มีรูปศรีวัตสะ และสัญลักษณ์มงคลอื่นๆ ประกอบ โดยมีศรีวัตสะอยู่ตรงกึ่งกลาง ลักษณะเป็นโครงลายเส้น โดยเส้นฐานล่างเป็นเส้นตรง เส้นด้านข้างทั้งสองด้านเชื่อมกับเส้นฐานล่าง ส่วนด้านบนตรงกึ่งกลางมีลักษณะคล้ายสามเหลี่ยมหน้าจั่ว ด้านในมีรูปวัชระ ลักษณะเป็นอาวุธมีปลายแฉกทั้ง ๒ ด้าน ส่วนบนด้านขวาเป็นรูปพระอาทิตย์ และด้านซ้ายเป็นรูปพระจันทร์ ถัดลงมาด้านขวามีรูปอังกุศ (ขอสับช้าง) ลักษณะเป็นแท่งยาวมีปลายแหลมยื่นออกมาที่ด้านข้าง ส่วนด้านซ้ายสันนิษฐานว่าเป็นภาพจามร (แส้) ลักษณะเป็นแท่งยาวมีพู่ ใต้ศรีวัตสะมีรูปปลาหันไปทางขวา
ลวดลายที่ปรากฏบนเหรียญเป็นสัญลักษณ์มงคลที่เกี่ยวข้องกับกษัตริย์และความอุดมสมบูรณ์ พบเหรียญตราในลักษณะคล้ายคลึงกันนี้ตามแหล่งโบราณคดีสมัยทวารวดี แต่มีรายละเอียดสัญลักษณ์มงคลบางประการแตกต่างกันออกไป ได้แก่ เหรียญรูปสังข์และศรีวัตสะ เหรียญรูปพระอาทิตย์และศรีวัตสะ เหรียญรูปภัทรบิฐและศรีวัตสะ เหรียญรูปสัตว์และศรีวัตสะ เป็นต้น
นอกจากเหรียญตราชิ้นนี้แล้ว ยังพบเหรียญรูปปูรณฆฏะและศรีวัตสะที่มีรายละเอียดของลวดลายแตกต่างกันบางประการอีกจำนวนหนึ่ง ที่เมืองนครปฐมโบราณ จังหวัดนครปฐม และแหล่งโบราณคดีบ้านพรหมทิน จังหวัดลพบุรี กำหนดอายุเหรียญตราชิ้นนี้ในสมัยทวารวดี พุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๖ หรือประมาณ ๑,๐๐๐ – ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว
เอกสารอ้างอิง
วิภาดา อ่อนวิมล. “เหรียญตราในประเทศไทยช่วงพุทธศตวรรษที่ ๙-๑๖”. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดี บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๖๑.
ประเพณีการแอ่วสาว ผิดผี และความเชื่อเรื่องผีประจำตระกูล อาณาจักรหลักคำ หรือกฎหมายเมืองน่าน สร้างขึ้นและใช้ในพุทธศักราช ๒๓๙๖ – ๒๔๕๑เพื่อใช้เป็นกฎหมายเฉพาะของเมืองน่าน และเมืองต่างๆ ที่ขึ้นกับเมืองน่าน ในด้านความเชื่อชาวน่านนับถือพุทธศาสนาเป็นหลัก อย่างไรก็ตามความเชื่อในเรื่องผีก็ยังคงอยู่ในวิถีชีวิตอยู่ไม่น้อย เช่น การนับถือผีปู่ย่าตายาย หรือผีบรรพบุรุษ เมื่อบรรพบุรุษเสียชีวิตไปก็เชื่อว่าวิญญาณของท่านเหล่านั้นยังวนเวียน หรือไปสู่สุคติแล้วบางโอกาสยังมาดูแลเป็นที่พึ่งของลูกหลานอยู่ เช่น ผีเรือน ผีปู่ย่า เป็นต้น รวมถึงผีประจำในชุมชนที่มีฐานะเป็นผีเมืองหรือผีอารักษ์ โดยส่วนใหญ่ผีระดับเมืองมักออกนามเป็นเจ้าหลวง ซึ่งในอดีตเป็นเจ้าเมือง ผู้นำ หรือผู้ปกครอง ที่ได้รับความเคารพนับถือ มีวีรกรรมความกล้าหาญ หรือแม้กระทั่งการตายที่ผิดปกติ บางหมู่บ้านยังมี ใจบ้าน เป็นเสาหลักปักกลางหมู่บ้าน เป็นสิ่งที่คู่กันมากับการตั้งหมู่บ้าน ชาวบ้านเชื่อว่าสามารถให้คุณให้โทษ ต้องเคารพบูชาหรือเซ่นไหว้ตามประเพณีในทุกๆปี แอ่ว ในภาษาโบราณแปลว่าเกี้ยวสาว ซึ่งระยะหลังนอกจากเป็นคำกริยาที่แปลว่า เที่ยวไป หรือไปหา เพื่อประสงค์ความสนุกหรือสบาย การแอ่วสาวหรือการไป "จีบผู้หญิง" เป็นกิจกรรมที่พวกบ่าวหรือชายหนุ่มจะไปกันในเวลากลางคืน โดยเริ่มเวลาประมาณตั้งแต่ ๒ ทุ่มขึ้นไป การไปนั้นอาจไปคนเดียว ไป ๒ คน หรือไปเป็นกลุ่ม บางกลุ่มอาจบรรเลงเครื่องดนตรีไปตามทางด้วยเครื่องดนตรีก็มีสะล้อ ซึ่ง ขลุ่ย ในระหว่างที่เดินทางบ่าวอาจจะช้อย (อ่าน "จ๊อย") หรือขับเพลงไปตามทางด้วย การแอ่วสาวเป็นการเสนอตัวของฝ่ายชายให้สาวเป็นผู้เลือกคู่ครอง โดยชายจะขอความรักความเห็นใจจากฝ่ายหญิง การอู้สาวก็คือการพูดจาเกี้ยวหญิง เมื่อหญิงใดอยู่นอกก็แสดงว่าพร้อมที่จะเลือกคู่ ในการไปแอ่วสาวซึ่งอยู่ในหมู่บ้านหรือตำบลที่อยู่ห่างไกลพวกหนุ่มจะพกอาวุธเพื่อป้องกันตัวในระหว่างการเดินทางไปด้วยอาวุธส่วนใหญ่จะเป็นมีดเล็กปลายแหลมที่เรียกว่า มีดซุยหรือไม่ก็เป็นดาบแลว ซึ่งเป็นดาบขนาดกลาง การนำอาวุธติดตัวไปก็เพื่อการป้องกันตัว ป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากคนร้ายหรือสัตว์ร้าย ซึ่งเมื่อไปถึงบ้านสาวก่อนจะขึ้นบ้านจะต้องนำอาวุธเหล่านั้นซ่อนไว้ข้างล่าง เช่น ตามโคนไม้ พุ่มหญ้าจะไม่นำขึ้นบ้านสาว เพราะว่าสาวจะไม่ชอบถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติแก่สาว ในอาณาจักรหลักคำเมื่อแอ่วสาวผู้ชายห้ามพกอาวุธ ปกปิดหน้าตา ดังข้อความที่ว่า....อัน 1 ด้วยคนทังหลายและร้างบ่าวอันเป็นลูกเจ้าหลานนาย ลูกท้าวหลานขุนไพร่ไทยทังหลาย แอ่วค่ำมาคืนก็ดี แอ่วร้างจาสาวตามปเวณีบ้านเมือง อย่าได้ถือสาตราอาวุธและกระทำตัวบ่หื้อหันหน้า หันตาและบ่หื้อรู้จักตัว พ้อยเอาผ้าปกบังเสีย กระทำฉันนี้บ่แม่นปเพณีบ้านเมือง เหตุบ่รู้จักว่าเป็นผู้ร้ายผู้ดี อย่าหื้อได้กระทำเป็นอันขาด คันว่าบุคคลผู้ใดบ่ฟังยังกระทำจับตัวได้ จักเอาตัวเข้าใส่ราชวัตรไว้เฆี่ยน 30 แส้..การเสียผี.เสียผีหรือใส่ผี คือพิธีกรรมอย่างหนึ่งที่จัดทำขึ้นเมื่อเกิดการผิดผีขึ้นในครัวเรือน เมื่อทำเรื่องผิดจริยธรรมหรือผิดผี ผิดจารีตประเพณีจึงต้องเซ่นพลีเสียผีตามความผิดที่หนักเบาเพื่อให้ผียกโทษ ทั้งนี้เพราะในเรือนนั้นจะมีผีเรือนหรือผีบรรพบุรุษของแต่ละตระกูล ผีนี้จะให้คุณให้โทษแก่บุคลคลในเรือน โดยเฉพาะในกรณีที่มีลูกสาวอยู่ในเรือนด้วยนั้นจะต้องระวังไม่ให้มีการผิดผีเกิดขึ้น การผิดผีในกรณีนี้หมายถึงการที่หญิงสาวถูกชายถูกเนื้อต้องตัวทั้งในที่ลับหรือที่แจ้ง ทั้งโดยความยินยอมหรือไม่ยินยอมของหญิงก็ตาม ทั้งฝ่ายชายล่วงล้ำจนถึงธรณีประตูเรือนนอนของฝ่ายหญิง ชายนั้นจะต้องเสียผีทุกกรณี หรือการเสียเงินค่าผี หรือเลี้ยงผีบรรพบุรุษตามประเพณีในกรณีที่ผู้ชายทำผิดผี และฝ่ายหญิงก็พึงพอใจที่จะได้ชายนั้นมาเป็นคู่ครอง หญิงก็จะบอกให้พ่อแม่ของตนไปสัญญาคือบอกกล่าวแก่ผู้ใหญ่ฝ่ายชายให้ไปเสียผีตามธรรมเนียมและจะได้จัดการแต่งงานกันต่อไปการเสียผีในกรณีนี้เรียกว่า ใส่เอาส่วนการเสียผีอีกวิธีหนึ่งเรียกว่า ใส่บ่เอา หรือเสียผีไม่เอา ในกรณีที่บ่าวสาวไม่ปลงใจจะแต่งงานกัน แต่เกิดการผิดผีขึ้นแล้ว ฝ่ายชายจะต้องเสียผี การเสียแบบนี้ต้องเสียเงินมากกว่าการใส่เอาและนับเป็นเรื่องที่น่าอาย สาวที่ถูกชายผิดผีแล้วไม่เอาเป็นเมียนั้นจะถูกนินทา บางคนถูกหนุ่มหลอกผิดผีหลายครั้งจนอายถึงกับต้องย้ายไปอยู่ถิ่นอื่นเพื่อไม่ให้ฝ่ายชายกระทำผิดประเพณีการลักลอบขึ้นบ้านฝ่ายหญิงแล้วมีการได้เสียกันแต่ฝ่ายชายไม่รับผิดชอบ กฎหมายอาณาจักรหลักคำจึงให้ฝ่ายชายจ่ายเงินให้พ่อแม่ฝ่ายหญิง ไม่ว่าเป็นหญิงชาวบ้านหรือลูกหลานเจ้านายและห้ามต่อรอง อัตราค่าเสียผีเป็นเงินจำนวนมากหรือน้อยนั้น แล้วแต่ผีของฝ่ายสาวกินไก่หรือหมูหรือควาย ดังนี้... คันว่าผู้ญิงมานแล้ว พ้อยบ่เอา หื้อแปงค่าเดือนไฟ 72 น้ำผ่ายากต่อเกิ่ง คันออกดีเป็นแล้ว คันออกบ่ดีตาย หื้อเสียค่าเฝ้า 330 น้ำผ่ายากต่อเกิ่ง ในเนื้อความทังหลายฝูงนั้น คันได้ชำระกันเถิงกว้านหื้อขุนกินยากต่อเกิ่ง คันว่าบ่ได้ชำระ หากยอมกันนอก กว้านด้วยดี หื้อเอายากเกิ่งยากด้วยลายแปงผีนั้น คันว่าผีกระกูลกินควายก็ดี ผีกินหมูก็ดี ผีกินไก่ก็ดี หื้อแปงผีกินควายตัวเดียวหื้อเป็นแล้ว คันว่าผีกระกูลกินหมูก็ดี ผีกินไก่ก็ดี หื้อแปงผีกินหมูตัวเดียวเป็นแล้ว...#องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน #ฮาโลวีน #ผิดผี เอกสารอ้างอิงชฎาพร จีนชาวนา. การวิเคราะห์สังคมเมืองน่านจากกฎหมายอาณาจักรหลักคำ (พ.ศ.2395-2451). ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ไทย บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. 2549.ศรีเลา เกษพรหม. "แอ่วสาว (การไปจีบผู้หญิง)ง)." สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือ เล่ม 15. กรุงเทพฯ: มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์, 2542.อู้สาว (พูดคุยเกี้ยวสาว)." สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือ เล่ม 15. กรุงเทพฯ: มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์, 2542
ชื่อเรื่อง สพ.ส.47 กฎหมายประเภทวัสดุ/มีเดีย สมุดไทยขาวISBN/ISSN -หมวดหมู่ กฏหมายลักษณะวัสดุ 30; หน้า : ไม่มีภาพประกอบหัวเรื่อง กฏหมาย ภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึก ประวัติวัดป่าเลไลยก์ ต.รั้วใหญ่ อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี มอบให้หอสมุดฯ วันที่ 16 ส.ค..2538
พระพุทธรูปปางห้ามพระแก่นจันทน์ แห่งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชัยนาทมุนี
..
ภายในห้องจัดแสดงนิทรรศการถาวร ชั้นล่างของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชัยนาทมุนี มีการจัดแสดงพระพุทธรูปยืนปางห้ามพระแก่นจันทน์อยู่ ๑ องค์ เป็นพระพุทธรูปยืนที่หล่อขึ้นจากโลหะผสมประเภทสำริด มีการตกแต่งพระพุทธรูปองค์นี้ด้วยการลงรักปิดทองและประดับกระจก และทำลวดลายบนจีวร ด้วยเทคนิคขึ้นลายด้วยรักกระแหนะ
..
พระพุทธรูปยืนปางห้ามพระแก่นจันทน์องค์นี้ เป็นพระพุทธรูปในอิริยาบถยืน พระกรขวาทอดลงข้างพระวรกาย พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นมาเสมอพระอุระ แสดงอภัยมุทรา มีการครองจีวรห่มเฉียง โดยจีวรนั้นมีการตกแต่งลวดลายให้เป็นลายดอกพิกุล ด้วยเทคนิคขึ้นลายด้วยรักกระแหนะ ซึ่งเป็นเทคนิคของช่างที่ทำให้ลวดลายของจีวรคมชัด ซึ่งจีวรลายดอกพิกุลนี้เป็นที่เป็นที่นิยมมากในการสร้างพระพุทธรูปในสมัยรัตนโกสินทร์เลยก็ว่าได้
..
พระพุทธรูปยืนองค์นี้ปรากฎอุษณีษะ พระรัศมีหักหายไป และยังมีความชำรุดของผิวพระพุทธรูปด้วยลวดลายบางส่วนแตกหลุดหายไป ตามกาลเวลา พระพุทธรูปยืนองค์นี้ ยืนบนฐานบัวทรงกลม ที่รองรับด้วยฐานแปดเหลี่ยมที่ซ้อนกัน ๔ ชั้น บริเวณฐานพระพุทธรูปชั้นล่างสุด ด้านหน้า ปรากฎจารึกว่า “นายพุ้ม เป็นที่หลวงประชุม คุนแม่ทิมภรรยา ทร่างแต่ปี ๑๑๖” จากจารึกดังกล่าวทำให้ทราบว่าพระพุทธรูปองค์นี้สร้างขึ้นในปีพุทธศักราช ๒๔๔๐ ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ซึ่งเป็นปีที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ ๑
..
ความเป็นมาของการสร้างพระพุทธรูปปางห้ามพระแก่นจันทน์ มีอยู่ว่า เมื่อครั้งสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์แห่งเมืองสาวัตถีและชาวเมือง
ต่างระลึกถึงพระพุทธองค์ พระเจ้าปเสนทิโกศล จึงโปรดให้ช่างสลักรูปพระพุทธองค์ด้วยไม้แก่นจันทน์หอมอย่างดี ประดิษฐานไว้บนพระแท่น ในพระราชนิเวศน์เดิมของพระพุทธเจ้า เพื่อไว้ทรงกราบไหว้บูชา ครั้นต่อมาเมื่อพระพุทธองค์เสด็จกลับลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มาถึงที่ประทับ พระพุทธรูปไม้แก่นจันทน์นั้นก็เสมือนมีชีวิตจิตใจ จึงได้ลุกขึ้นเพื่อถวายความเคารพพระพุทธองค์ พร้อมกับเคลื่อนองค์ออกจากพระแท่นที่ประทับ แต่พระพุทธเจ้าก็ได้ยกพระหัตถ์ซ้ายห้ามเอาไว้ พระพุทธรูปไม้แก่นจันทน์จึงกลับขึ้นประทับยังพระแท่นที่ประทับดังเดิม
พระพุทธรูปปางห้ามพระแก่นจันทน์องค์นี้ เดิมอยู่ที่วัดพระบรมธาตุวรวิหาร โดยพระชัยนาทมุนี (นวม สุทัตโต) เป็นผู้รวบรวมไว้ ภายหลังจึงมอบให้กับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชัยนาทมุนี เก็บรักษาและจัดแสดงจวบจนถึงปัจจุบัน
ความรู้สึกทั้งหมด
2828
โบราณสถานวัดน้ำรอบ
ตั้งอยู่ที่หมู่ ๑ บ้านน้ำรอบ ตำบลน้ำรอบ อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
วัดน้ำรอบ เป็นวัดเก่าแก่ สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยอยุธยา พร้อมกันกับวัดถ้ำสิงขร และวัดเขาพระอานนท์ มีตำนานกล่าวว่า ในอดีตมีลูกสาวชาวบ้านน้ำรอบนางหนึ่งได้เป็นพระสนมในพระเจ้าแผ่นดิน พี่ชายมีความปรารถนาที่จะพบน้องสาวจึงบวชเป็นพระไปศึกษาบาลีในเมืองหลวงจนสำเร็จเปรียญ และต่อมาได้รับนิมนต์เข้าไปรับสลากภัตในพระราชวัง ทำให้ได้พบกับพระสนมผู้เป็นน้องสาว พระสนมกราบบังคมทูลให้พระเจ้าแผ่นดินทรงทราบ จึงโปรดให้สร้างวัดขึ้น ๓ วัดคือ วัดถ้ำสิงขร วัดน้ำรอบ และวัดเขาพระอานนท์
สิ่งสำคัญภายในวัด ได้แก่ อุโบสถ สร้างด้วยไม้ตำเสา เป็นอาคารทรงไทยหลังคาจั่วมีช่อฟ้าใบระกาและปีกนกรองรับ ๒ ชั้น หลังคาแอ่นโค้งคล้ายท้องสำเภาผนังโบสถ์เป็นผนังเตี้ย ก่ออิฐฉาบปูนตำ อิฐก่อขึ้นมาจากพื้น ไม่มีฐานบัวรองรับเหมือนโบสถ์ทั่วไป สันนิษฐานว่าของเดิมอาจเป็นไม้ทั้งหลัง
ภายในอุโบสถปรากฏงานศิลปกรรมท้องถิ่นสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ราวรัชกาลที่ ๓ นอกจากนี้ยังพบเจดีย์ราย ก่ออิฐอีก ๒ องค์ ตั้งอยู่ด้านหน้าอุโบสถทางทิศตะวันออก และฐานเจดีย์ก่ออิฐ ย่อมุมไม้สิบสองขนาดเล็ก เหลือเพียงส่วนฐานกับตอนล่างขององค์ระฆัง อยู่ทางด้านทิศเหนือของอุโบสถ
ส่วนโบราณวัตถุที่พบ ได้แก่ พระพุทธรูปทรงเครื่องประทับยืนปางห้ามญาติ พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร สำริด พระพุทธรูปปางห้ามสมุทร พระพุทธรูปปางอุ้มบาตรสำริดลงรักปิดทอง และศิลาจารึก ทำจากหินชนวนเป็นจารึกอักษรไทย ภาษาไทย จารึกใน พ.ศ. ๒๓๙๑ สันนิษฐานว่าเป็นเนื้อความย่อจากเอกสารกัลปนา วัดน้ำรอบ
อายุสมัย : สมัยอยุธยา - สมัยรัตนโกสินทร์
โบราณสถานวัดน้ำรอบ ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑๑๔ ตอนพิเศษ ๘๐ ง หน้า ๕ วันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๔๐ พื้นที่โบราณสถานประมาณ ๘๑ ตารางวา
จัดทำโดย
นางสาวเพ็ญณิกา เตี้ยพานิช นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพสาขาวิชาการจัดการทางวัฒนธรรม
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
คณะจาก อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ (เวลา 13.30) จำนวน 150 คนวันพฤหัสบดีที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๗ เวลา ๑๓.๓๐ น. คณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอำเภอบางพลี จ.สมุทรปราการ เข้าศึกษาดูงาน ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครนายก พระบรมชนกชลพัฒน์ โดยมีนายธิริทธิ์ เรืองทวีทรัพย์ ตำแหน่ง หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครนายก พระบรมชนกชลพัฒน์ และว่าที่ร้อยตรีรุ่งเรือง ชื่นชม ตำแหน่ง พนักงานประจำพิพิธภัณฑ์ เป็นวิทยากรนำชมในครั้งนี้
สำนักหอสมุดแห่งชาติ ขอเชิญฟังการบรรยายเรื่อง "กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์กับละครร้อง" ภายใต้โครงการเผยแพร่ความรู้ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ฯ ประจำปี 2567 วิทยากรโดย ผศ. ดร.สุรัตน์ จงดา ผู้ช่วยอธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ในวันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม 2567 เวลา 13.30-16.30 น. ณ อาคารดำรงราชานุภาพ 2490 ถนนหน้าพระธาตุ เขตพระนคร กรุงเทพฯ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 08 6891 2548, 08 9545 3194 9 สามารถติดตามชมการถ่ายทอดสดผ่าน Facebook Live : National Library of Thailand https://www.facebook.com/NationalLibraryThailand
ชื่อเรื่อง ลักษณะพระพุทธรูปสมัยต่างๆโดยสังเขปผู้แต่ง -ประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือหายากหมวดหมู่ ศาสนาเลขหมู่ 294.31873 ล225สถานที่พิมพ์ พระนครสำนักพิมพ์ ห้างหุ้นส่วนจำกัดศิวพร ปีที่พิมพ์ 2511ลักษณะวัสดุ 88 หน้า หัวเรื่อง พระพุทธรูปภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึกรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธรูป
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร ขอเชิญร่วมกิจกรรมประดิษฐ์กระทงจากวัสดุธรรมชาติ เนื่องในเทศกาลลอยกระทง พุทธศักราช 2567 ระหว่างวันที่ 14 - 15 พฤศจิกายน 2567 ณ อาคารจัดแสดง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร (ไม่มีค่าธรรมเนียมในการเข้าร่วมกิจกรรม)
ผู้แต่ง : ชมรมอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีเชียงใหม่ ปีที่พิมพ์ : 2539 สถานที่พิมพ์ : ม.ป.ท. สำนักพิมพ์ : ม.ป.พ. เชียงใหม่มีอายุยืนยาวนานมาถึง 700 ปี ในปีพ.ศ. 2539 เป็นปีที่มีความหมายสำหรับชาวเชียงใหม่ ที่มีความสำคัญสำหรับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมือง โดยเฉพาะเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามหลายสิ่งหลายประการที่ได้นิยมนับถือปละปฏิบัติสืบสานกันต่อมา ในด้านวัฒนธรรมประเพณีท่านที่มีความรู้ ผู้ทรงคุณวุฒิ พระสงฆ์องค์เจ้า ได้รวบรวมจัดทำคู่มือเป็นหนังสือรูปเล่มอยู่จำนวนไม่น้อย ที่จะได้ถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจเป็นแบบปฏิบัติในด้านประเพณีต่างๆ ของบ้านเมืองไว้เป็นมรดกตกทอดสืบสานต่อไปยังลูกหลาน ในวาระที่บ้านเมืองมีอายุได้ถึง 700 ปีในครั้งนี้ชมรมอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีเชียงใหม่จึงได้รวบรวมเรียบเรียงประเพณีที่ดีงามต่างๆ ของท้องถิ่น และยังมีความจำเป็นสำหรับวิถีชีวิตประจำวันขึ้นในเวลาที่เป็นมงคล
โบราณสถานนอกกำแพงเมืองทิศตะวันออก
ชื่อโบราณสถาน วัดตระพังช้าง
ที่ตั้ง อยู่นอกกำแพงเมืองบริเวณห่างจากมุมกำแพงเมืองด้านทิศตะวันออก เฉียงเหนือประมาณ ๓๐๐ เมตร และฝั่งตะวันออกของห้วยแม่ลำพันบริเวณที่เป็นคันดินยกพื้นสูง ที่เรียกว่าคันน้ำอ่างเก็บน้ำโบราณหมาย เลข ๒ ในเขตตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย
พิกัดทางภูมิศาสตร์ รุ้ง ๑๗ องศา ๑ ลิปดา ๓๕ พิลิปดาเหนือ
แวง ๙๙ องศา ๔๒ ลิปดา ๕๙ พิลิปดาตะวันออก
อายุสมัย -
ลักษณะและสภาพ เป็นเนินโบราณสถาน ไม่ทราบรูปร่าง มีแนวก่ออิฐและร่องรอยของชิ้นส่วนกระเบื้องมุงหลังคา เนินโบราณสถานแห่งนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๑๐ เมตร ทางทิศตะวันออกของโบราณสถาน มีสระน้ำใหญ่ขนาดกว้าง ๕๐ เมตร ยาว ๘๐ เมตร อยู่ เรียกว่า ตะพังช้าง เป็นส่วนหนึ่งของโบราณสถานกลุ่มนี้
ประวัติ ไม่ปรากฏหลักฐานทางด้านเอกสารและศิลาจารึก
การดำเนินการ ๑. ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๕๒ ตอนที่ ๗๕ วันที่ ๘ มีนาคม ๒๔๗๘
๒. ขุดแต่ง พ.ศ.2556
ชื่อโบราณสถาน วัดโบสถ์
ที่ตั้ง อยู่นอกกำแพงเมืองสุโขทัยทางด้านทิศตะวันออก โดยอยู่ห่างจากมุมกำแพงเมืองด้าน ทิศตะวันออกเฉียงเหนือไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๑.๕ กิโลเมตร และอยู่ในเขต อ่างเก็บน้ำโบราณหมายเลข ๒ ใกล้กับคันดินกั้นน้ำ บริเวณมุมอ่างเก็บน้ำด้านทิศ ตะวันออกเฉียงใต้ ในเขตตำบลเมืองนา อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย
พิกัดทางภูมิศาสตร์ รุ้ง ๑๗ องศา ๑ ลิปดา ๓๐ พิลิปดาเหนือ
แวง ๙๙ องศา ๔๓ ลิปดา ๓๐ พิลิปดาตะวันออก
อายุสมัย -
ลักษณะและสภาพ เป็นเนินโบราณสถานที่อยู่บริเวณอ่างเก็บน้ำโบราณ โดยมีร่องรอยแนวศิลาแลงเป็นผนังกั้นดินอยู่โดยรอบเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดพื้นที่กว้าง ๒๐ เมตร ยาว ๓๐ เมตร บนเนินดินเป็นซากโบรานสถานยังไม่ได้ขุดแต่งและบูรณะ มีร่องร่อยของการเรียงอิฐ และเสาศิลาแลงกลม ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นอุโบสถกลางน้ำ ตามชื่อที่เรียก
ประวัติ ไม่ปรากฏหลักฐานทางด้านเอกสารและศิลาจารึก
การดำเนินการ ๑. ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๕๒ ตอนที่ ๗๕ วันที่ ๘ มีนาคม ๒๔๗๘
๒. ยังไม่ได้มีการขุดแต่งและบูรณะ
ชื่อโบราณสถาน วัดปากท่อ
ที่ตั้ง อยู่นอกกำแพงเมืองเก่าสุโขทัยด้านทิศตะวันออก โดยห่างจากมุมกำแพงด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ออกมาทางทิศตะวันออกประมาณ ๑.๖ กิโลเมตร และอยู่ติดกับมุมด้านนอกของอ่างเก็บน้ำโบราณหมายเลข ๒ ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ โดยห่างประมาณ ๒๐-๓๐ เมตร ในเขตตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย
พิกัดทางภูมิศาสตร์ รุ้ง ๑๗ องศา ๑ ลิปดา ๒๘ พิลิปดาเหนือ
แวง ๙๙ องศา ๔๓ ลิปดา ๑ พิลิปดาตะวันออก
อายุสมัย -
ลักษณะและสภาพ เป็นเนินโบราณสถาน ไม่ทราบรูปร่าง มีร่องรอยของแนวอิฐและเสาศิลาแลงกลมปรากฏอยู่ เส้นผ่าศูนย์กลางของโบราณสถานนี้ประมาณ ๒๗ เมตร โบราณสถานนี้มีร่องรอยของคูน้ำล้อมรอบบริเวณเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้าง ๒๕ เมตร ยาว ๓๐ เมตร คูน้ำตื้นเขินไปมากแล้ว ขนาดความกว้างของคูประมาณ ๗-๘ เมตร
ประวัติ ไม่ปรากฏหลักฐานทางด้านเอกสารและศิลาจารึก
การดำเนินการ ขุดแต่ง พ.ศ.2556
ชื่อโบราณสถาน วัดอีฝ้าย
ที่ตั้ง อยู่นอกกำแพงเมืองด้านทิศตะวันออก โดยอยู่ห่างจากประตูกำแพงหักไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ ๖๐๐ เมตร และอยู่ห่างจากวัดหญ้ากร่อนไปทางทิศเหนือประมาณ ๑๕๐ เมตร ในเขตตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย
พิกัดทางภูมิศาสตร์ รุ้ง ๑๗ องศา ๑ ลิปดา ๒๐ พิลิปดาเหนือ
แวง ๙๙ องศา ๔๓ ลิปดา ๐ พิลิปดาตะวันออก
อายุสมัย -
ลักษณะและสภาพ เป็นเนินโบราณสถานมีแนวเรียงอิฐและเสาศิลาแลงกลม ไม่ทราบรูปร่างแน่ชัด มีขนาดของเนินดินกว้าง ๑๕ เมตร ยาว ๒๕ เมตร
ประวัติ ไม่ปรากฏหลักฐานทางด้านเอกสารและศิลาจารึก
การดำเนินการ ๑. ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่ม๕๒ ตอนที่ ๗๕ วันที่ ๘ มีนาคม ๒๔๗๘
๒. ขุดแต่ง พ.ศ. 2555
ชื่อโบราณสถาน วัดหญ้ากร่อน
ที่ตั้ง อยู่นอกกำแพงเมืองด้านทิศตะวันออก โดยอยู่ห่างจากประตูกำแพงหักไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ประมาณ ๔๐๐ เมตร และอยู่ห่างจากห้วยแม่ลำพันไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๑๕๐ เมตร ในเขตตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย
พิกัดทางภูมิศาสตร์ รุ้ง ๑๗ องศา ๑ ลิปดา ๑๕ พิลิปดาเหนือ
แวง ๙๙ องศา ๔๓ ลิปดา ๐ พิลิปดาตะวันออก
อายุสมัย สุโขทัย
ลักษณะและสภาพ เป็นกลุ่มโบราณสถานขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ที่โดยรอบเนินที่ตั้งมีคูน้ำล้อมรอบอยู่ทั้ง ๔ ด้าน กลุ่มโบราณสถานวัดหญ้ากร่อนนี้ประกอบด้วย โบราณสถานดังต่อไปนี้
๑. ฐานวิหาร ๕ ห้อง ก่ออิฐ และมีเสาทำด้วยศิลาแลงกลม ขนาดกว้างประมาณ ๘ เมตร ยาว ๑๘ เมตร ตั้งอยู่กลางเนิน
๒. ฐานเจดีย์ทรงกลมแบบลังกา ขนาด ๑๒ x ๑๒ เมตร ก่อด้วยอิฐตั้งอยู่ด้านหลัง หรือทิศตะวันตกของวิหาร
๓. ฐานเจดีย์รายก่ออิฐ จำนวน ๔ องค์ ตั้งอยู่เรียงรายทั่วไป
๔. ฐานวิหารเล็กก่ออิฐ เสาทำด้วยศิลาแลง ขนาดกว้าง ๓ เมตร ยาว ๕ เมตร ตั้งอยู่ระหว่างกลางของวิหาร ๕ ห้อง กับเจดีย์ประธานทรงกลม
๕. ฐานศาลาก่ออิฐ ทำด้วยศิลาแลงกลม ขนาด ๔ เมตร ยาว ๕ เมตร ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของวิหารใหญ่
๖. คูน้ำที่ล้อมรอบกลุ่มโบราณสถานทั้งหมดไว้มีขนาดกว้างประมาณ ๖ เมตร ล้อมรอบพื้นที่ที่ตั้งโบราณสถานเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีขนาดกว้าง ๔๐ เมตร ยาว ๖๐ เมตร
ประวัติ ไม่ปรากฏหลักฐานทางด้านเอกสารและศิลาจารึก
การดำเนินการ ๑. ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๔๒ ตอนที่ ๗๕ วันที่ ๘ มีนาคม ๒๔๗๘
๒. ขุดแต่งและบูรณะ พ.ศ. ๒๕๑๕