ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,755 รายการ
มงฺคลตฺถทีปนี (มงฺคลตฺถทีปนี เผด็จมงคลสูตร)
ชบ.บ.88ค/1-39
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
เลขทะเบียน : นพ.บ.356/5ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 38 หน้า ; 4.5 x 56 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 137 (397-401) ผูก 5 (2565)หัวเรื่อง : เทวทูตสุตฺต(เทวทูตสูตร)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ชื่อเรื่อง : ระยะทางเสด็จพระราชดำเนินประพาสทางบก ทางเรือ รอบแหลมมลายู รัตนโกสินทรศก 109 เล่ม 1 ชื่อผู้แต่ง : พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปีที่พิมพ์ : 2507 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์ : องค์การค้าของคุรุสภา จำนวนหน้า : 278 หน้า สาระสังเขป : เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินประพาสแหลมมลายูใน ร.ศ. 109 (พ.ศ. 2433) ได้มีหนังสือจดหมายเหตุทางราชการ และพระราชหัตถเลขาพระราชทานมายังกรรมการผู้รักษาพระนครในคราวนั้น กับหนังสือเล่มนี้ ซึ่งทรงพระราชนิพนธ์ไว้เป็นส่วนที่มิได้พระราชทานไปถึงใคร และพึ่งจะได้พบคราวนี้ จึงได้จัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ไปตามต้นฉบับเพื่อรักษาคุณค่าหนังสือไว้
สถาปัตยกรรมสมัยสุโขทัยหลายแห่ง เช่น เจดีย์หรืออาคารต่าง ๆ มักมีการประดับประดาด้วยประติมากรรมมากมาย หนึ่งในนั้นคือประติมากรรมรูป มกร สัตว์ผสมที่มีต้นกำเนิดมาจากอินเดีย ก่อนจะเผยแพร่ไปยังลังกาและดินแดนอุษาคเนย์ ดังพบงานศิลปกรรมรูปมกรตามพื้นที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกัมพูชา พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย เป็นต้น ในดินแดนประเทศไทย มีการค้นพบประติมากรรมรูปมกรในหลายวัฒนธรรม เช่น ทวารวดี ลพบุรี หริภุญไชย ล้านนา รวมถึงสุโขทัย การสร้างมกรในสมัยสุโขทัยปรากฏพบในงานปูนปั้นประดับศาสนสถาน ซึ่งรับอิทธิพลจากศิลปะเขมร มีลักษณะเป็นมกรคายนาคประดับอยู่บริเวณปลายกรอบหน้าบัน ก่อนจะพัฒนามาเป็นมกรสังคโลกซึ่งสร้างเลียนแบบมาจากงานปูนปั้น และปรับเปลี่ยนกลายเป็นมกรที่มีการผสมผสานระหว่างอิทธิพลศิลปะจีนและศิลปะเขมรในที่สุด โดยมีลักษณะของสัตว์หลายชนิดปะปนกัน เช่น มีเขาเหมือน กวาง มีงวงเหมือนช้าง มีปากเหมือนสิงห์ มีเคราเหมือนแพะ มีขาเหมือนจระเข้ และลำตัวมีเกล็ดเหมือนปลา นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่าประติมากรรมรูปมกรเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ประดับสถาปัตยกรรม ตามแนวคิดและความเชื่อหลายประการที่เข้ามาพร้อมกับคติการสร้างมกร อาทิ การเป็นสัญลักษณ์แทนน้ำ ซึ่งในความเชื่อของคนโบราณเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ การทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ดูแลศาสนสถาน รวมไปถึงแนวคิดเกี่ยวกับหลักธรรมซึ่งเปรียบมกรเป็นวิชชาและนาคเป็นอวิชชา เมื่อมกรกลืนกินนาคจึงหมายถึงการนำวิชชาไปครอบอวิชชานั่นเอง มกร จึงถือเป็นหลักฐานหนึ่งที่แสดงถึงความชาญฉลาดของคนสมัยสุโขทัยที่รับเอาคติความเชื่อและอิทธิพลทางศิลปะจากดินแดนต่าง ๆ แล้วนำมาผสมผสานจนเกิดเป็นงานศิลปกรรมแบบสุโขทัยที่ยังหลงเหลือไว้ให้คนรุ่นหลัง---------------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สวรรควรนายก---------------------------------------------------------------อ้างอิง โชติกา นุ่นชู. มกรคายนาค พุทธศิลป์แห่งดินแดนล้านนาไทย [ออนไลน์]. เข้าถึงเมื่อ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๔. เข้าถึงได้จาก silpa-mag.com/culture/article_35141 เพ็ญสุภา สุขคตะ. นาค มกร กิเลน ปัญจรูป วิวัฒนาการของศิลปะทวารวดี ขอม ลังกา พุกาม จีนในล้านนา (1) [ออนไลน์]. เข้าถึงเมื่อ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๔. เข้าถึงได้จาก matichonweekly.com/column/article_371989 _______. นาค มกร กิเลน ปัญจรูป วิวัฒนาการของศิลปะทวารวดี ขอม ลังกา พุกาม จีนในล้านนา (2) [ออนไลน์]. เข้าถึงเมื่อ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๔. เข้าถึงได้จาก matichonweekly.com/column/article_374305
องค์ความรู้หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ร.๙ นครราชสีมา เรื่อง "ประเพณีสงกรานต์ในเอกสารโบราณ: ทำนายวันสงกรานต์ และฮีต ๑๒ คลอง ๑๔ "
โดย นางสาวปรัศนีภรณ์ พลายกำเหนิด
นักภาษาโบราณปฏิบัติการ
อ่านรูปแบบpdf ได้ที่ QR code ด้านล่าง
วันพฤหัสบดีที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๕ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ชั้น ๕ อาคารกรมศิลปากร (เทเวศร์) นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมศิลปากร เป็นประธานพิธีถวายพระพรชัยมงคลและลงนามถวายพระพรสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๓ มิถุนายน ๒๕๖๕ โดยมีนายพนมบุตร จันทรโชติ รองอธิบดีกรมศิลปากร นางสาวพิมพ์พรรณ ไพบูลย์หวังเจริญ ผู้ทรงคุณวุฒิกรมศิลปากร นางรักชนก โคจรานนท์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง และผู้บริหารกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วมพิธี
ข้าวเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวอยู่ในตระกูลเดียวกับพืชประเภทหญ้า ลักษณะลำต้นเป็นปล้องกลวง ออกดอกเป็นช่อหรือรวง ดอกข้าวนี้จะเจริญเติบโตเป็นเมล็ดข้าวที่กลายเป็นอาหารของมนุษย์เรา ข้าวมีหลายสายพันธุ์ ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ลักษณะภูมิประเทศและสภาพอากาศ โดยสายพันธุ์ข้าวที่ปลูกในทวีปเอเชีย มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Oryza Sativa (อ่านว่า โอไรซ่า ซาติว่า) แบ่งออกได้เป็น ๓ ชนิดใหญ่ตามสภาพพื้นที่เพาะปลูก ดังนี้ - Oryza Sativa Indica (โอไรซ่า ซาติว่า อินดิก้า) ปลูกได้ดีในพื้นที่เขตร้อนชื้น บริเวณเส้นศูนย์สูตร เป็นพันธุ์ข้าวที่มาจากอินเดีย พบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นแผ่นดินใหญ่ (Mainland of Southeast Asia) ได้แก่ ไทย ลาว พม่า กัมพูชา เวียดนาม เป็นต้น ลักษณะเมล็ดข้าวยาวเรียว - Oryza Sativa Japonica (โอไรซ่า ซาติว่า จาโปนิก้า) ปลูกได้ดีในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศค่อนข้างหนาวเย็นถึงอบอุ่น) พบในประเทศญี่ปุ่น จีน และเกาหลี เมล็ดข้าวสั้นป้อม เมื่อหุงสุกแล้วมีลักษณะค่อนข้างเหนียว - Oryza Sativa Javanica (โอไรซ่า ซาติว่า ชาวานิก้า) ปลูกได้ดีในพื้นที่เขตร้อนชื้น เป็นพันธุ์ข้าวที่พบในประเทศอินโดนีเซีย ในดินแดนไทยพบร่องรอยของเมล็ดข้าวตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์เมื่อหลายพันปีมาแล้วที่ถ้ำปุงฮุง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ลักษณะเป็นข้าวเมล็ดสั้นซึ่งอาจเป็นข้าวป่าที่ขึ้นเองตามธรรมชาติภาพ: เมล็ดข้าวพบภายในถ้ำปุงฮุง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ยุคก่อนประวัติศาสตร์ สมัยหินกลาง อายุประมาณ ๗,๐๐๐ ปีมาแล้ว ที่มา: “Hoabinhian Horticulture : The Evidence and the Question From Northwest THAILAND”. ต่อมาเมื่อประมาณ ๒,๐๐๐ - ๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว ได้มีหลักฐานของข้าวปลูกที่แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี และที่แหล่งโบราณคดีโนนนกทา อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น โดยพบร่องรอยข้าวติดอยู่บนเครื่องมือเครื่องใช้ประเภทโลหะ ได้แก่ ขวานสำริด และเครื่องมือเหล็ก รวมทั้งยังพบอีกว่าคนโบราณสมัยนั้นได้ใช้แกลบข้าวเป็นส่วนผสมอยู่ในเนื้อภาชนะดินเผา นอกจากนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวได้มีหลักฐานที่แสดงร่องรอยการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ (วัวควาย) จากภาพเขียนสีบนผนังเพิงผาที่ผาหมอนน้อย ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติผาแต้ม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานีภาพเขียนสีบนผนังเพิงผา แสดงร่องรอยการเพาะปลูกข้าว (นาข้าว) และเลี้ยงปศุสัตว์ (วัวควาย) ที่ผาหมอนน้อย อุทยานแห่งชาติผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี--------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชาวนาไทย https://www.facebook.com/page/1088662974512680/search/?q=%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2
ใกล้เข้ามาแล้วกับวันพิพิธภัณฑ์ไทย ซึ่งตรงกับวันที่ ๑๙ กันยายน โดยถือเอาวันที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดฯ เปิด “หอคองคอเดีย” เพื่อใช้เป็นที่ตั้งจัดแสดงสิ่งของต่าง ๆ แก่สาธารณชนในวาระเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๒๑ พรรษา โดยกิจการตั้งมิวเซียมในคราวนั้นได้รับความสนใจอย่างมาก ดังมีหลักฐานบันทึกไว้ตอนหนึ่งว่า “...ข้าพเจ้าได้ยินเขาพูดว่า ของที่ไม่เคยได้เห็นก็มาได้เห็นในคราวนี้ ของในกรุงสยามมีเป็นอันมาก เหลือที่จะจดจำ...” ซึ่งปี ๒๕๖๕ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร กำหนดให้มีกิจกรรมเนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทย ภายใต้หัวข้อ The Power of Thai Museums โดยหนึ่งในกิจกรรมนั้น คือ Museum Travel กิจกรรมที่จะพาทุกท่านท่องเที่ยวไปในชุมชน สัมผัสวิถีชีวิตและชมพิพิธภัณฑ์ริมฝั่งมหานคร รวม ๔ เส้นทาง ระหว่างวันที่ ๑๗ - ๑๘ ศกนี้ เพจคลังกลางฯ จึงขอปูพื้นฐานเรื่องราวหนึ่งในสถานที่ที่เราจะไป อันเป็นอุโบสถร้างตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงข้ามพระบรมมหาราชวังฝั่งท่าราชวรดิฐ ภายในกรมอู่ทหารเรือ
“วัดวงศมูลวิหาร” เป็นวัดที่สร้างขึ้นภายในเขตจวนเดิมของสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เมื่อเสด็จเถลิงถวัลยราชย์เป็นรัชกาลที่ ๑ แล้ว ได้พระราชทานบ้านหลวงให้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอทั้ง ๒ พระองค์ ตามลำดับ กระทั่งในปี ๒๓๕๒ พระราชนิเวศน์เดิมจึงได้เป็นที่ประทับของพระองค์เจ้าชายประยงค์ หรือ “กรมขุนธิเบศรบวร” (ต้นราชสกุล บรรยงกะเสนา ณ อยุธยา) และเป็นเจ้านายผู้สร้างวัดนี้ขึ้น สันนิษฐานว่าเริ่มสร้างก่อนปี ๒๔๐๐ ด้วยมีหลักฐานระบุเรื่องวัดในสมัยรัชกาลที่ ๔ ว่า “...กรมขุนธิเบศบวรสร้างขึ้นที่หลังวังวัดหนึ่งก็ค้างอยู่ โปรดให้บุรณะปฏิสังขรณ์ต่อไป...” กระทั่งแล้วเสร็จบริบูรณ์ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ดังปรากฏว่ามีการพระราชทานวิสุงคามสีมาในปี ๒๔๑๘ สันนิษฐานภายในเขตพระอารามมีอาคารประกอบกิจของสงฆ์ เช่น พระอุโบสถ กุฏิสงฆ์ โรงทึม (โรงสำหรับตั้ง หรือเก็บศพ) รวมถึงพื้นที่เผาศพ ด้วยวัดวงศมูลวิหารถูกจัดเป็นวัดที่ห้ามเผาในฤดูลมตะวันตก (เพื่อไม่ให้กลิ่นสร้างความรำคาญแก่ชาวบ้าน หรือลอยเข้าพระบรมมหาราชวัง)
โดยความพิเศษของวัดวงศมูลวิหารประการหนึ่ง คือในส่วนของอาคารอุโบสถที่หันออกทางด้านแป ดังมีหลักฐานระบุใน “สาส์นสมเด็จ” ถึงเหตุแห่งซ่อมแปลง “...เล่ากันมาว่า เมื่อกรมขุนธิเบศร์บวรสร้างวัดวงศ์มูลก็หันหน้าโบสถ์และพระประธานไปทางตะวันออก เมื่อสร้างวัดแล้วอยู่มา กรมขุนธิเบศร์บวรไม่ทรงสบาย.. เห็นกันว่า เพราะสร้างวัดตั้งพระประธานหันหน้าเข้าไปทางตำหนัก จึงให้ย้ายพระประธานไปตั้งทางด้านแป...” จึงถือเป็นอาคารพิเศษที่หันออกทางด้านยาว ดังปัจจุบันปรากฏประตูทางเข้า ทั้งทางทิศตะวันออก และทิศเหนือ รวมถึงมีการประดับใบเสมาติดเสา ลักษณะคล้ายพระอุโบสถสกุลช่างวังหน้าอีกด้วย ต่อมาวัดนี้ถูกยุบเลิกไปในปี ๒๔๕๙ โดยกองทัพเรือได้ขอที่ดินของวัดเพื่อจัดสร้างอู่หมายเลข ๒ คงเหลือไว้เพียงอุโบสถหลังเดียวเท่านั้น
นอกเหนือจากความพิเศษของวัดวงศ์มูลวิหาร ยังมีสถานที่น่าสนใจในกิจกรรม Museum Travel ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นชุมชนตรอกข้าวเม่า พิพิธภัณฑ์อาคารสายสุทธานภดล พิพิธบางลำพู ฯลฯ ทั้งนี้ยังสามารถติดตามข่าวสารได้ทางแฟนเพจ Office of National Museums, Thailand ...แล้วพบกันนะครับ...
ภาพที่ ๑ ป้ายหน้าโบสถ์วัดวงศมูลวิหาร (โบราณสถาน) ภาพที่ ๒ โบสถ์วัดวงศมูลวิหารด้านทิศตะวันตก ประดับใบเสมาติดเสา ภาพที่ ๓ พระพุทธรูปในซุ้มหินอ่อน อิทธิพลศิลปะตะวันตก ด้านล่างมีแผ่นโลหะระบุศักราช ๑๑๑ (พ.ศ. ๒๔๓๖) ภาพที่ ๔ แนวกำแพงของพระนิเวศน์เดิม ภายในกรมอู่ทหารเรือ
เผยแพร่และภาพโดย ศรัญ กลิ่นสุคนธ์ ภัณฑารักษ์ กลุ่มทะเบียน คลังพิพิธภัณฑ์และสารสนเทศ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 29/6ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 48 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 53.7 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
แนะนำ E-book หนังสือหายาก
โบราณราชธานินทร์, พระยา. ระยะทางเสด็จประภาสลำแม่น้ำน้อยและลำแม่น้ำใหญ่. พระนคร: โรงพิมพ์บุญส่งการพิมพ์, 2504.
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 30/4ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 34 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 54.5 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 138/4เอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)