ค้นหา


รายการที่พบทั้งหมด 36,743 รายการ


โพธิปกฺขิยธมฺม (โพธิปกฺขิยธมฺม)  ชบ.บ.49/1-8  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


เลขทะเบียน : นพ.บ.184/9ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  56 หน้า ; 5.5 x 54 ซ.ม. : ทองทึบ-ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 106 (117-122) ผูก 9 (2565)หัวเรื่อง : ปาจิตฺติยปาลิ มหาริภงฺคปาลิ(พระปาจิตตีย์)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.254/1กห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 32 หน้า ; 4.5 x 55 ซ.ม. : ทองทึบ-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 116 (217-225) ผูก 1ก (2565)หัวเรื่อง : ขีรธารกถา(แทนน้ำนมแม่)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


. สวัสดีค่ะ กลับมาพบกับสาระความรู้ดีดีจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่กันอีกแล้วนะคะ ในวันนี้ทางเราขอเสนอ องค์ความรู้ เรื่อง โบราณวัตถุชิ้นเด่นในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ ตอน “สัปคับ” . สัปคับ คือ ที่นั่งบนหลังช้าง มีลักษณะคล้ายตั่งผูกติดบนหลังช้าง ใช้สำหรับนั่ง บรรทุกสัมภาระ เพื่อการเดินทางในภูมิประเทศที่มีลักษณะเป็นพื้นที่ราบและป่าเขา อาจเรียกว่าแหย่งช้างก็ได้ค่ะ หากใช้สำหรับพระมหากษัตริย์เรียกว่า “พระที่นั่ง” ( สัปคับพระที่นั่ง อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.facebook.com/chiangmainationalmuseum/posts/2621120284788708 ). ส่วนสัปคับองค์นี้ เดิมเป็นสัปคับช้างทรงของ เจ้านครเชียงใหม่ สร้างด้วยไม้สลักเป็นลวดลาย แบบจีน ตกแต่งด้วยการลงรักปิดทอง . ในปี พ.ศ. ๒๔๖๙ ได้ใช้เป็นสัปคับช้างทรงของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรง ราชานุภาพ ในริ้วกระบวนช้างพระนั่งเสด็จ เข้านครเชียงใหม่ . ต่อมาเมื่อสิ้นสุดยุคเจ้าผู้ครองนคร ทายาทจึงได้ เชิญมาถวายไว้ที่ วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร ต่อมาพระธรรมราชานุวัตร ได้มอบให้กับ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ จัดแสดง มาจนถึงปัจจุบันค่ะ. ลวดลายที่ปรากฏบนสัปคับองค์นี้ ล้วนเป็นสัญลักษณ์มงคล ตามคติความเชื่อแบบจีน สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลศิลปะจีนที่ เข้ามามีบทบาทในงานศิลปกรรมล้านนาในช่วงเวลานั้นได้เป็นอย่างดี . ลวดลายสัญลักษณ์ที่นำมาใช้ มักมีความหมายในทางมงคล คือ ให้มีความสุข อายุยืนยาว มีโชคลาภ สมปรารถนา ปัดเป่าสิ่งไม่ดี มีลูกหลานสืบสกุล มีตำแหน่งและก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลและเป็นการอวยพร ให้เกิดความสงบสุขแก่ผู้ใช้นั้นเองค่ะ"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""หากท่านใดสนใจอยากรับชมสัปคับทั้ง ๒ องค์ สามารถแวะมาชมกันได้ที่ พิพิธภัณฑ์ของเรานะคะ ไว้พบกันใหม่ในองค์ความรู้รอบหน้าค่ะ"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่เปิดให้บริการทุกวันพุธ – วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 09.00 - 16.00 น. (หยุดทุกวันจันทร์ อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์) e-mail : cm_museum@hotmail.comสอบถามเพิ่มเติมกรุณาติดต่อผ่านกล่องข้อความ หรือ โทรศัพท์ : 053-221308For more information, please leave your message via inbox or call : +66 5322 1308+




ชื่อผู้แต่ง        - ชื่อเรื่อง         พระอภิธรรม - พระมาติกา ครั้งที่พิมพ์      - สถานที่พิมพ์    - สำนักพิมพ์      - ปีที่พิมพ์         - จำนวนหน้า    ๑๕๘ หน้า หมายเหตุ.     - (เนื้อหา)            พระอภิธรรม ๗ คัมถีร์ มีพระสังคณี พระวิภังค์ พระธาตุกถา พระปุคคลบัญญัติ พระกถาวัตถุ พระยกมและพระมหาปัฏฐาน พร้อมด้วยบทมาติกาซึ่งสรุปเนื้อหาสาระของพระอภิธรรมอย่างย่อๆ


 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง “กรมศิลปากร” เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2454 จึงนับเป็นวันแรกแห่งการสถาปนากรมศิลปากร ตลอดระยะเวลา 110 ปี กรมศิลปากรได้ทำหน้าที่คุ้มครอง ป้องกัน อนุรักษ์ บำรุงรักษา ฟื้นฟู ส่งเสริม สร้างสรรค์ เผยแพร่ วิจัย พัฒนา สืบทอดศิลปะและทรัพย์สินมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ เพื่อธำรงคุณค่าและเอกลักษณ์ของความเป็นชาติให้คงอยู่สืบไป             ปัจจุบันกรมศิลปากร เป็นหน่วยงานภาครัฐ สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม แบ่งส่วนราชการ เป็น 26 หน่วยงาน แบ่งภารกิจหลักออกเป็น 4 ด้าน ได้แก่ ด้านดุริยางคศิลป์ ด้านโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์ ด้านภาษา เอกสารและหนังสือ และด้านสถาปัตยกรรมและศิลปกรรม




ชื่อเรื่อง : ประชุมพงศาวดาร เล่ม 34 (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 61 (ต่อ) - 62) พงศาวดารเมืองเงินยาง (ต่อ) เชียงแสน ว่าด้วยเรื่องทูตฝรั่งสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ชื่อผู้แต่ง : - ปีที่พิมพ์ : 2512 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์ : องค์การค้าของคุรุสภา จำนวนหน้า : 332 หน้า สาระสังเขป : ประชุมพงศาวดาร เล่ม 34 ภาคที่ 61 กล่าวถึงพงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสน (ต่อ) โดยอธิบายถึงเขตแดนเมืองเชียงแสน การรบกันในแถบนั้น และการครองเมือง เป็นต้น และประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 62 กล่าวถึงเรื่องทูตฝรั่ง สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นการเจริญไมตรีกับฝรั่งในสมัยรัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 3


          กรมศิลปากร ขอเชิญชวนประชาชนเข้าร่วมงานสัปดาห์อนุรักษ์มรดกไทย พุทธศักราช ๒๕๖๕ ระหว่างวันที่ ๒ – ๘ เมษายน ๒๕๖๕ เวลา ๑๖.๐๐ - ๒๐.๐๐ น. ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ยลพิพิธภัณฑ์ยามค่ำ (Night at the Museum) สักการะพระพุทธสิหิงค์และชมความงามของภาพจิตรกรรมฝาผนัง สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ สัมผัสวิถีชีวิตชาวไทยในอดีต ผ่านการจัดแสดง ณ พระตำหนักแดง และชมราชรถ ราชยาน ณ โรงราชรถ


ชื่อผู้แต่ง           - ชื่อเรื่อง            มาตานุสรณ์ ครั้งที่พิมพ์       - สถานที่พิมพ์   พระนคร สำนักพิมพ์      มิตรนราการพิมพ์ ปีที่พิมพ์          2513 จำนวนหน้า     238 หน้า รายละเอียด                  หนังสือที่ระลึกงานฌาปนกิจศพนางเศรษฐบุตรสิริสาร ( เวียน เศรษฐบุตร) ซึ่ง จัดพิมพ์ ๒ เล่ม เล่มนี้เป็นเรื่องของราชกิจจานุเบกษาซึ่งเริ่มออกในสมัย ร.๔ และราชกิจจานุเบกษาในสมัย ร.๕


          สำนักหอสมุดแห่งชาติ จัดกิจกรรมพัฒนาและเผยแพร่ความรู้ด้านวิชาการ ครั้งที่ ๒ ประจำปี ๒๕๖๕ การบรรยายหัวข้อ "Open Data : การปรับตัวของห้องสมุดในยุคสังคมดิจิทัล" ออนไลน์ผ่านโปรแกรม Zoom Meeting วันพฤหัสบดีที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๕ เวลา ๐๘.๓๐ - ๑๕.๓๐ น.           กิจกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับ Open Data การปรับตัวของห้องสมุดในยุคสังคมดิจิทัล แก่บุคลากรในวิชาชีพบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น          กิจกรรมแบ่งการบรรยายเป็น ๓ หัวข้อย่อย ได้แก่ ๑. การบรรยายเรื่อง “Open Government กับการเปิดเผยข้อมูล (Open Data)” วิทยากรโดย นายไกลก้อง ไวทยการ ที่ปรึกษาสถาบันเทคโนโลยีเพื่อนวัตกรรมสังคม มูลนิธิบูรณชนบทแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ๒. การบรรยายเรื่อง “มาตรฐานดิจิทัลภาครัฐ”วิทยากรโดย ดร.อุรัชฎา เกตุพรหมผู้อำนวยการฝ่ายมาตรฐานดิจิทัลภาครัฐ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) ๓. การบรรยายเรื่อง “การปรับตัวของห้องสมุดในยุคการศึกษาแบบเปิด (Toward Open Access)” วิทยากรโดย ดร.ฐิติมา ดีบุญมี ณ ชุมแพผู้จัดการงานบริการและจัดการความรู้ ฝ่ายบริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STKS) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)          ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนผ่านการสแกน QR Code ด้านล่าง หรือไปที่ https://forms.gle/TcZgWFHWGGscZQsy5 (ปิดรับลงทะเบียนวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๕ หรือหากมีผู้ลงทะเบียนเต็มจำนวนแล้ว) รีบสมัครด่วน รับจำนวนจำกัด


          กรมศิลปากร ขอเชิญชมนิทรรศการถาวร “ประณีตศิลป์สยาม ณ หมู่พระวิมาน พระราชวังบวร สถานมงคล” จัดแสดงโบราณวัตถุชิ้นเอก ศิลปะช่างหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และห้องจัดแสดงประวัติศาสตร์พระราชวังบวรสถานมงคล พร้อมแนะนำโบราณวัตถุ ๑๐ ชิ้นต้องชมในหมู่พระวิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร          หมู่พระวิมาน พระมณเฑียรที่ประทับของกรมพระราชวังบวรสถานมงคล สร้างขึ้นตั้งแต่ครั้ง รัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ หมู่พระวิมานมีลักษณะเป็นอาคารขนาดใหญ่เรียงกัน ๓ หลัง สำหรับประทับในฤดูฝน ฤดูหนาว และฤดูร้อน เชื่อมต่อกันด้วยมุขเป็นห้องหลังขวางทั้ง ๔ ทิศ รวมมีพระที่นั่ง ๑๑ องค์ ท้องพระโรง ๑ องค์ พุทธศักราช ๒๔๖๙ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานหมู่พระวิมาน พระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ให้เป็นห้องจัดแสดงของพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร จนกระทั่ง พุทธศักราช ๒๕๕๕ กรมศิลปากรได้ดำเนินโครงการอนุรักษ์และพัฒนาพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) โดยมีการปรับปรุงภูมิทัศน์ บูรณะอาคารต่าง ๆ ตลอดจนกลุ่มอาคารหมู่พระวิมาน และปรับปรุงการจัดแสดงนิทรรศการถาวรให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันดำเนินการแล้วเสร็จ โดยหมู่พระวิมานใช้เป็นห้องจัดแสดงโบราณวัตถุชิ้นเอกที่แสดงเอกลักษณ์อันวิจิตรของศิลปะช่างหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ รวม ๑๔ ห้องจัดแสดง เพื่อให้ผู้เข้าชมได้เรียนรู้งานประณีตศิลป์ของชาติ โดยมีฉากหลังเป็นบรรยากาศสถาปัตยกรรมและกลิ่นอายของวิถีชีวิตวังหน้า ประกอบด้วย พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย ท้องพระโรงวังหน้า มุขกระสัน ทางเชื่อมระหว่างมณเฑียรที่ประทับด้านในกับท้องพระโรง จัดแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติยศ กรมพระราชวังบวนสถานมงคล พระที่นั่งภิมุขมณเฑียร จัดแสดงเครื่องราชยาน คานหาม พระที่นั่งวายุสถานอมเรศ จัดแสดงเครื่องสูง พระแท่นราชบัลลังก์และพระโธรน พระที่นั่งทักษิณาภิมุข จัดแสดงเครื่องมหรสพและการละเล่น พระที่นั่งวสันตพิมาน (บน) จัดแสดงเครื่องที่ประทับวังหน้า พระที่นั่งวสันตพิมาน (ล่าง) จัดแสดงเครื่องถ้วยในราชสำนัก พระที่นั่งปัจฉิมาภิมุข จัดแสดงเครื่องโลหะศิลป์ พระที่นั่งปฤษฎางคภิมุข จัดแสดงเครื่องสัปคับ มุขเด็จ จัดแสดงเครื่องไม้แกะสลัก พระที่นั่งอุตราภิมุข จัดแสดง อิสริยพัสตราภูษาภัณฑ์ พระที่นั่งพรหมเมศธาดา (ล่าง) จัดแสดงศิลปะเครื่องมุก พระที่นั่งพรหมเมศธาดา (บน) จัดแสดงเครื่องใช้ในพุทธศาสนา และพระที่นั่งบูรพาภิมุข จัดแสดงเครื่องศัสตราวุธโบราณ          ทั้งนี้ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ได้แนะนำโบราณวัตถุ ๑๐ ชิ้นต้องชมในหมู่พระวิมาน ได้แก่๑. พระที่นั่งพุดตานฝ่ายพระราชวังบวร (พระที่นั่งพุดตานวังหน้า) ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔ กระทรวงวังส่งมา ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ ห้องเฉลิมพระเกียรติกรมพระราชวังบวรสถานมงคล มุขกระสัน พระที่นั่งพุดตาน            พระราชยานสำหรับเสด็จกระบวนพยุหยาตรา ใช้พลแบกหาม ๑๖ นาย สันนิษฐานว่ารัชกาลที่ ๔ พระราชทานแก่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นวังหน้าที่มีพระเกียรติยศเสมอพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่สอง ภายหลังจึงใช้เป็นเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสำหรับพระมหาอุปราชและสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร๒. พระที่นั่งราเชนทรยาน ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔ สำหรับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก กระทรวงวังส่งมา ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ ห้องราชยานคานหาม พระที่นั่งภิมุขมณเฑียร           พระที่นั่งราเชนทรยาน มีลักษณะเป็นทรงบุษบก ทำด้วยไม้แกะสลักปิดทองประดับกระจก ใช้พลแบกหาม ๕๖ นาย สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์ทรงในเวลาเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนแห่อย่างใหญ่ที่เรียกว่า กระบวนพยุหยาตราสี่สาย เช่น ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และใช้ในการอัญเชิญพระบรมโกศพระบรมอัฐิพระมหากษัตริย์ หรือพระโกศพระอัฐิพระบรมวงศ์จากพระเมรุท้องสนามหลวงเข้าสู่พระบรมมหาราชวัง๓. กลองวินิจฉัยเภรี สมัยรัตนโกสินทร์ พ.ศ. ๒๓๘๐ สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๓ สำหรับร้องทุกข์ถวายฎีกา ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ ห้องพระแท่นราชบัลลังก์และพระโธรน           พระที่นั่งวายุสถานอมเรศ เจ้าพระยาพระคลัง สร้างน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกลองวินิจฉัยเภรีที่ทิมดาบกรมวังในพระบรมมหาราชวัง สำหรับให้ราษฎรใช้ตีกลองร้องทุกข์ถวายฎีกา ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายไปไว้ที่หอริมประตูเทวาพิทักษ์ และโปรดเกล้าฯ ให้เลิกวิธี “ตีกลองร้องฎีกา” เปลี่ยนเป็นเสด็จรับฎีการาษฎรด้วยพระองค์เองทุกวันโกนเดือนละ ๔ ครั้ง ที่พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ โดยโปรดเกล้าฯ ให้ตีกลองวินิจฉัยเภรีเป็นอาณัติสัญญาณ๔. ศีรษะหุ่นพระยารักน้อย พระยารักใหญ่ ศิลปะรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒ กรมพิณพาทย์และโขนหลวงมอบให้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๙ ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ ห้องนาฏดุริยางค์ พระที่นั่งทักษิณาภิมุข           ศีรษะหุ่นหลวงพระราม-พระลักษมณ์ คู่นี้ เรียกกันว่า พระยารักใหญ่ พระยารักน้อย แกะสลักจากไม้รัก เป็นฝีพระหัตถ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ซึ่งทรงมีพระปรีชาชาญในการแกะสลักไม้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ นายช่างใหญ่แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ผู้ออกแบบวัดเบญจมบพิตร ตรัสชมว่า “งามไม่มีหน้าพระอื่นเสมอสอง” ๕. แพลงสรงจำลอง ศิลปะรัตนโกสินทร์ พ.ศ. ๒๔๒๙ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระราชทาน เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๐ ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ ห้องโลหศิลป์ พระที่นั่งปัจฉิมาภิมุข           แพลงสรงจำลอง ทำด้วยเงินกะไหล่ทองกับนาก สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ทรงสร้างถวายสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ในพระราชพิธีลงสรง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๙ พระราชพิธีลงสรงเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมพระนามาภิไธยตั้งพระนามพระราชกุมารที่ดำรงพระอิสริยยศชั้นเจ้าฟ้าอย่างเต็มตำราครั้งกรุงศรีอยุธยา ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ปรากฏหลักฐานการประกอบพระราชพิธีลงสรงเพียง ๒ ครั้งเท่านั้น ๖. สัปคับ สมัยรัตนโกสินทร์ ฝีมือช่างล้านนา ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๕ (๑๕๐ ปีมาแล้ว) พระเจ้าอินทวิชยานนท์ ถวายเป็นเครื่องราชบรรณาการแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในการพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๒๐ พรรษา (พ.ศ. ๒๔๑๖) ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ ห้องสัปคับ พระที่นั่งปฤษฎางคภิมุข           สัปคับจำหลักงาช้าง ฝีมือช่างชั้นเยี่ยมชาวล้านนา ฉลุโปร่งเป็นลายพันธุ์พฤกษา นกยูง และรูปบุคคล ทั้งนี้เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๒๐ พรรษา มีเหตุการณ์สำคัญกล่าวคือ พระราชพิธีทรงผนวช เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๔๑๖ และพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๔๑๖ โดยทรงมีพระราชอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินโดยสมบูรณ์ มิต้องมีผู้สำเร็จราชการแผ่นดินดังเดิม๗. ประตูพระวิหารหลวงวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ศิลปะรัตนโกสินทร์ พ.ศ. ๒๓๖๕ ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ ห้องเครื่องไม้จำหลัก มุขเด็จทิศตะวันตก           เดิมเป็นบานประตูคู่กลางด้านหน้าพระวิหารหลวงวัดสุทัศนเทพวราราม พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ทรงมีส่วนร่วมในการจำหลักด้วยพระองค์เอง ประตูจำหลักจากไม้แผ่นเดียวคว้านผิวลึกลงเป็นลวดลายพันธุ์พฤกษาตวัดเกี่ยวกันคล้ายกำลังเคลื่อนไหว สอดแทรกรูปสรรพสัตว์นานาพันธุ์ ลงรักปิดทองฝีมือประณีตงดงามอย่างยิ่ง ต่อมาในวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๐๒ เกิดไฟไหม้บานประตูชำรุดบานหนึ่ง จึงได้นำบานประตูคู่กลางด้านหลังมาใส่ไว้แทน และถอดบานประตูเดิมนี้ออกเก็บรักษาไว้ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร๘. ฉลองพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ สมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ สมบัติเดิมของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ ห้องอิสริยพัสตราภูษาภัณฑ์ พระที่นั่งอุตราภิมุข           ฉลองพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ลักษณะเป็นเสื้อนอกแบบยุโรป ชายเสื้อยาว แขนยาว คอตั้ง และที่ปกเสื้อปักรูปพระมหามงกุฎ พระบรมราชสัญลักษณ์ในรัชกาลที่ ๔ ฉลองพระองค์นี้มีต้นแบบจากชุดเครื่องแบบทหารยุโรป อันแสดงถึงอิทธิพลวัฒนธรรมการแต่งกายแบบตะวันตกที่เข้ามามีบทบาทในราชสำนักขณะนั้น ต่อมาในรัชกาลที่ ๕ จึงพัฒนาลวดลายปักที่เป็นแบบตะวันตกให้ผสมผสานกับลวดลายและฝีมือประณีตชั้นสูงของช่างไทยในราชสำนัก และใช้เป็นเครื่องแบบเต็มยศของพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการ ๙. ฉากไม้ลงรักประดับมุกพระพุทธเจ้าปางห้ามญาติ ขนาบข้างด้วยพระอัครสาวก ศิลปะรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ สมบัติเดิมของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ ห้องเครื่องประดับมุก พระที่นั่งพรหมเมศธาดา (ล่าง)           ฉากไม้ประดับมุกภาพพระพุทธเจ้าปางห้ามญาติ ขนาบข้างด้วยพระอัครสาวกในซุ้มเรือนแก้ว ฉากประดับมุกนี้แสดงถึงความวิจิตรบรรจงของช่างไทยในการฉลุเปลือกหอยให้เป็นลวดลายชิ้นเล็กชิ้นน้อยก่อนติดลงบนแผ่นไม้ แล้วใช้รักสมุกถมลงช่องว่างจนเกิดลวดลายสีขาวของเปลือกหอยตัดกับสีดำของยางรัก ฉากนี้ยังมีประวัติว่าได้นำไปจัดแสดงในนิทรรศการที่ต่างประเทศอยู่หลายวาระ อาทิ งานแสดงศิลปหัตถกรรมนานาชาติ ณ ชังป์ เดอมารส์ (Champ-de-Mars) ประเทศฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๐ หรือ มหกรรมแสดงสินค้าโลก ที่เมืองเซนต์หลุยส์ มลรัฐมิสซูรี สหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๗ เป็นต้น ๑๐. กลองสำหรับพระนคร สมัยรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔ (๒๐๐ ปีมาแล้ว) สมบัติเดิมของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ ห้องศัสตราวุธ พระที่นั่งบูรพาภิมุข           กลองทั้งสามใบนี้แต่เดิมอยู่ที่หอกลองประจำเมืองกรุงเทพฯ ที่สวนเจ้าเชตุ หน้าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) หอกลองมี ๓ ชั้น ชั้นล่าง “กลองย่ำพระสุริย์ศรี” ใช้สำหรับตีบอกสัญญาณย่ำรุ่ง-ย่ำค่ำ เวลาเปิดปิดประตูเมือง ชั้นกลาง “กลองอัคคีพินาศ” ใช้สำหรับตีบอกสัญญาณเมื่อเกิดอัคคีภัย และกลองชั้นสุดบน “กลองพิฆาตไพรี” ใช้สำหรับตีบอกสัญญาณเมื่อมีข้าศึกมาประชิดเมือง และเมื่อมีการใช้นาฬิกาแพร่หลายพ้นสมัยการตีกลองให้สัญญาณ จึงย้ายกลองทั้งสามใบนี้ไปยังหอนาฬิกาศาลสถิตยุติธรรม และหอนาฬิกาศาลาว่าการกระทรวงกลาโหมตามลำดับ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๖ พ.ศ. ๒๔๕๔ โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายมาเก็บรักษาในพิพิธภัณฑสถาน          ผู้สนใจสามารถเข้าชมนิทรรศการถาวร “ประณีตศิลป์สยาม ณ หมู่พระวิมาน พระราชวังบวร สถานมงคล” เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. ทุกวัน (ปิดวันจันทร์และอังคาร) ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร อัตราค่าเข้าชม คนไทย ๓๐ บาท ชาวต่างชาติ ๒๐๐ บาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. ๐ ๒๒๒๔ ๑๔๐๒ และ ๐ ๒๒๒๔ ๑๓๓๓


          กรมศิลปากร ขอเชิญรับชมถ่ายทอดสด Facebook Live รายการไขความรู้จากครูกรมศิลป์ ตอน "ไขความหมายอักษรขอมบาลีจากภาพจิตรกรรมฝาผนังศาลาแดง วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม" วิทยากรโดย นายภูชัย กวมทรัพย์ นายช่างศิลปกรรมอาวุโส กองโบราณคดี ดำเนินรายการโดย นางกมลชนก พรภาสกร นักวิชาการโสตทัศนศึกษา กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ในวันพฤหัสบดีที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๕ เวลา ๑๑.๐๐ – ๑๑.๔๕ น.           ผู้สนใจสามารถติดตามชมได้ทาง Facebook Live : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม Facebook Live : กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร และ Youtube Live : กรมศิลปากร