ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,754 รายการ
กรมศิลปากร โดยสำนักช่างสิบหมู่ ขอเชิญร่วมกิจกรรม Workshop การขึ้นรูปชิ้นงานจานและการเขียนสีใต้เคลือบ ในงานนิทรรศการพิเศษ “เซรามิกแห่งแหลมทองและแดนอาทิตย์อุทัย: สานตำนานสายใยไม่เสื่อมคลายในพาณิชยวัฒนธรรมโลก” ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนร่วมกิจกรรมโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายได้ทาง https://forms.gle/TizU2wEYujkzxTKv7
ตามที่กรมศิลปากรได้จัดนิทรรศการพิเศษ เรื่อง “เซรามิกแห่งแหลมทองและแดนอาทิตย์อุทัย: สานตำนานสายใยไม่เสื่อมคลายในพาณิชยวัฒนธรรมโลก” โดยนำโบราณวัตถุเครื่องเคลือบเซรามิกจากพิพิธภัณฑสถานเซรามิกแห่งคิวชู ประเทศญี่ปุ่น และเครื่องปั้นดินเผาของไทยจากหลากหลายแหล่ง มาจัดแสดงร่วมกันระหว่างวันที่ ๑๔ กันยายน ถึงวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๕ ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรมศิลปากรได้มอบหมายสำนักช่างสิบหมู่ร่วมจัดกิจกรรมเวิร์กชอป (Workshop) ภายในงาน แบ่งเป็น
๑. การขึ้นรูปชิ้นงานจาน จานใบเล็กขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ ๑๒ ซม. ใช้ดินสโตนแวร์
ขึ้นรูปด้วยพิมพ์กด ตกแต่งลวดลายด้วยการปั้นตกแต่งเพิ่มเติมหรือการขูดลาย ในวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๕ วันที่
๙ และ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๕ รวม ๓ วันๆ ละ ๔ รอบ ผู้ร่วมกิจกรรมรอบละ ๓๐ คน
๒. การเขียนสีใต้เคลือบ ในวันที่ ๖ และ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ และ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๕ รวม
๓ วันๆ ละ ๔ รอบ ผู้ร่วมกิจกรรมรอบละ ๓๐ ท่าน โดยผู้ร่วมกิจกรรมจะได้รับจานใบเล็กขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ ๑๒ ซม. คนละ ๒ ใบ และที่วางตะเกียบปลาคู่ ๒ ชิ้น สำหรับเขียนตกแต่งด้วยสีใต้เคลือบ
ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเลือกเวลาร่วมกิจกรรม โดยการกรอกแบบฟอร์มลงทะเบียนได้ที่ https://forms.gle/TizU2wEYujkzxTKv7 หรือ QR Code ที่แนบ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์กรมศิลปากร finearts.go.th
ชื่อเรื่อง มัดหมี่ จังหวัดสุพรรณบุรีผู้แต่ง สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสุพรรณบุรีประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือท้องถิ่นISBN/ISSN -หมวดหมู่ ผลิตภัณฑ์เลขหมู่ 677.6 ว394มสถานที่พิมพ์ สุพรรณบุรีสำนักพิมพ์ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสุพรรณบุรีปีที่พิมพ์ 2550ลักษณะวัสดุ 178 หน้า : ภาพประกอบ ; 29 ซม.หัวเรื่อง มัดหมี่ -- สุพรรณบุรี ผ้าสุพรรณบุรี ภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึก รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลภูมิปัญญางานช่างฝีมือพื้นบ้าน ผ้ามัดลายมัดหมี่ ที่เสี่ยงต่อการสูญหายหรืออาจสูญหาย หาแนวทางการอนุรักษ์ ส่งเสริม ถ่ายทอด องค์ความรู้ให้คงอยู่ สืบค้นภูมิปัญญาด้านงานช่างฝีมือพื้นบ้าน เพื่อสืบทอด ไว้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมให้แก่อนุชนรุ่นหลังสืบไป
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 27/4ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 36 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 54.4 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 36/1ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 46 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 54 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 131/1เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 166/7 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
สุขสันต์วันเด็ก ๒๕๖๖.ภาพนักเรียนหญิงโรงเรียนรังษีเกษม น่าน หรือโรงเรียนน่านคริสเตียนศึกษาในปัจจุบัน .โรงเรียนน่านคริสเตียนศึกษา ได้เริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อ วันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๔๗ ณ บ้านพักมิชชันนารี บ้านดอนเชียงยืน ถนนมะโน อำเภอเมือง จังหวัดน่าน โดยมี ดร.ซามูเอล ซี พีเพิล ดำเนินการในลักษณะของโรงสอน ต่อมา ดร.ฮิวจ์ เทเลอร์ และครอบครัวย้ายมาจากจังหวัดลำปางท่านได้รวบรวมทรัพย์จากการบริจาคของญาติ พี่น้องมิตรสหายในประเทศสหรัฐอเมริกา นำมาสร้างโรงเรียน ที่ถนนสุมนเทวราช เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๔๕๐ ให้ชื่อว่า “โรงเรียนลินกัล์นอะแคเดมี่” รับเฉพาะนักเรียนชาย ส่วนนักเรียนหญิง เรียนที่บ้านพักมิชชันนารีที่ถนนรังสีเกษม ต่อมา ดร.ฮิวจ์ เทเลอร์ได้ร่วมมือกับมิสลูซี่ สตาร์ลิง สร้างอาคารหลังแรกขึ้นระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๕๓-๒๔๕๘ ที่บ้านดอนแก้ว ตำบลในเวียง อำเภอเมือง จังหวัดน่าน ขนานนามว่า”โรงเรียนรังษีเกษม” ตามพระนามของสมเด็จพระราชปิตุลา บรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช รับเฉพาะนักเรียนหญิง ใน ปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ทางกองการศึกษา มูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทยโดย ดร.คอนรัด คิงส์ฮิวส์ เป็นผู้รวมกิจการโรงเรียนลินกัล์นอะแคเดมี่ และโรงเรียนรังสีเกษมเข้าด้วยกัน ตั้งชื่อว่า “โรงเรียนน่านคริสเตียนศึกษา” ปัจจุบันเขตรังษีเกษมเป็นสถานที่เรียนระดับประถมศึกษา เขตลินกัล์นอะแคเดมี่ เป็นสถานที่เรียนระดับมัธยมศึกษา และปฐมวัย เขตนารินใช้เป็สนามกีฬาและสระว่ายน้ำที่มาข้อมูล : ประวัติโรงเรียนน่านคริสเตียนศึกษา เข้าถึงได้โดย https://ncs.ac.th/?p=page-detail&page_id=1ที่มาภาพ : หอจดหมายเหตุ มหาวิทยาลัยพายัพ
กรมศิลปากร ขอเชิญรับชมถ่ายทอดสด Facebook Live รายการไขความรู้จากครูกรมศิลป์ ตอน “สืบจากไม้ผ่านเรือโบราณพนมสุรินทร์ ” วิทยากรโดย นายวสันต์ เทพสุริยานนท์ ผู้อำนวยการกองโบราณคดีใต้น้ำ และนางสาวปรียานุช จุมพรม นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๑ ราชบุรี ดำเนินรายการโดย นายสิทธิพร บุปผา นักวิชาการเผยแพร่ กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ในวันพฤหัสบดีที่ ๙ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๖ ตั้งแต่เวลา ๑๑.๐๐ – ๑๑.๔๕ น.
ผู้สนใจสามารถติดตามชมได้ทาง Facebook Live : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม และ Facebook Live : กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร
มหามกุฎราชสันตติวงศ์ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๔๕๘ วันประสูติหม่อมเจ้าอุทัยเฉลิมลาภ วุฒิชัย
นาวาโท หม่อมเจ้าอุทัยเฉลิมลาภ วุฒิชัย เป็นพระโอรสในพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร ที่ประสูติแต่หม่อมเจ้าพร้อมเพราพรรณ วุฒิชัย ประสูติเมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๔๕๘
หม่อมเจ้าอุทัยเฉลิมลาภ สำเร็จการศึกษาจากประเทศอังกฤษ ได้รับการบรรจุเป็นนายทหารเรือ ยศว่าที่เรือโท สำรองราชการกรมเสนาธิการทหารเรือ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๘๑ และสำเร็จการศึกษาหลักสูตรเสนาธิการทหารเรือ รุ่นที่ ๑๓ ปีการศึกษา ๒๔๙๐ โรงเรียนนายทหารชั้นต้นพรรคนาวิน โรงเรียนนายทหารเรือ
ในภารกิจร่วมรบกับสหประชาชาติ ณ สาธารณรัฐเกาหลี หม่อมเจ้าอุทัยเฉลิมลาภ ได้ดำรงตำแหน่งผู้บังคับการหมู่เรือราชการเกาหลี และผู้บังคับการการเรือหลวงประแส โดยได้ปฏิบัติภารกิจทำลายเรือหลวงประแสที่เกยตื้นเมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๔๙๔ โดยได้อำนวยการให้ต้นหนและต้นปืนทำลายสิ่งที่อาจเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายข้าศึก ด้วยการราดน้ำมันและวางดินปืนในที่ต่างๆ ก่อนออกจากเรือเป็นคนสุดท้าย หลังจากนั้นเรือพิฆาตยูเอสเอส อิงลิช ได้ระดมยิงเรือหลวงประแสจนกระทั่งตัวเรือเสียหายกลายสภาพเป็นเศษเหล็ก หมู่เรือคุ้มกันและช่วยเหลือจึงเดินทางกลับฐานทัพที่ซาเซโบ รวมเวลาที่ใช้ในการกู้เรือหลวงประแสจนถึงทำลายเรือเป็นเวลา ๗ วัน จากภารกิจครั้งนี้ทำให้มีทหารจากเรือหลวงประแสและเรือหลวงบางปะกงบาดเจ็บจำนวนมากและเสียชีวิต ๒ นาย ต่อมากองทัพเรือได้จัดเรือหลวงประแสลำที่ ๒ และเรือหลวงท่าจีนไปทดแทน จนเสร็จสิ้นภารกิจสงครามเกาหลี
หม่อมเจ้าอุทัยเฉลิมลาภ เสกสมรสกับพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิมลฉัตร มีโอรสธิดาสองคน ได้แก่ หม่อมราชวงศ์เฉลิมฉัตร วุฒิชัย และหม่อมราชวงศ์พร้อมฉัตร สวัสดิวัตน์
หม่อมเจ้าอุทัยเฉลิมลาภ นับเป็นพระราชปนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
หม่อมเจ้าอุทัยเฉลิมลาภ วุฒิชัย สิ้นชีพตักษัยในรัชกาลที่ ๙ เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๐๑ สิริชันษา ๔๔ ปี พระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๒
ภาพ : หม่อมราชวงศ์เฉลิมฉัตร วุฒิชัย, นาวาโท หม่อมเจ้าอุทัยเฉลิมลาภ วุฒิชัย และพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิมลฉัตร
ชื่อเรื่อง : วรรณคดีไทย เรื่อง พระอภัยมณี ชื่อผู้แต่ง : - ปีที่พิมพ์ : 2505สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯสำนักพิมพ์ : ศึกษาภัรฑ์พาณิชย์ จำนวนหน้า : 1,328 หน้า สาระสังเขป : เรื่องราวของหนังสือเล่มนี้ เริ่มต้นด้วยประวัติสุนทรภู่ ตั้งแต่ก่อนรับราชการ ตอนรับราชการ ตอนออกบวช ตอนตกยาก ตอนสิ้นเคราะห์ ว่าด้วยหนังสือที่สุนทรภู่แต่ง ว่าด้วยเกียรติคุณของสุนทรภู่ บันทึกเรื่องผู้แต่ง นิราศพระแท่นดงรัง อธิบายว่าด้วยเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่ ทั้งหมด 64 ตอน มีนิทานเรื่องพระอภัยมณีต่อจากคำกลอน
ชื่อผู้แต่ง วัดนางนองวรวิหาร
ชื่อเรื่อง วัดนางนองวรวิหาร
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ กรุงเทพฯ
สำนักพิมพ์ บริษัทนิวไทยมิตรการพิมพ์
ปีที่พิมพ์ ๒๕๕๐
จำนวนหน้า ๖๒ หน้า
วัดนางนองวรวิหาร บริเวณวัดปัจจุบัน แบ่งได้เป็น 3 ส่วน คือ 1. เขตพุทธาวาส 2. เขตสังฆาวาส 3. เขตจัดประโยชน์ ได้แก่ โรงเรียน สุสาน ตึกแถวร้านค้า
ประวัติวัดนางนองวรวิหาร เป็นวัดในกลุ่มวัดสำคัญอยู่ย่านจอมทอง ได้แก่ วัดราชโอรส วัดนางนองและวัดหนัง ตั้งอยู่บริเวณคลองด่าน ซึ่งเป็นคลองที่มีความสำคัญมาแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เนื่องจากเชื่อมต่อกับคลองมหาชัย และเชื่อมทางคมนาคมในสมัยโบราณ ระหว่างเมืองในลุ่มแม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลอง และแม่น้ำเจ้าพระยา
เลขทะเบียน : นพ.บ.450/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 50 หน้า ; 4 x 51 ซ.ม. : ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 159 (163-173) ผูก 3 (2566)หัวเรื่อง : สังฮอมธาตุ--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.601/1 ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 30 หน้า ; 4 x 55 ซ.ม. : รักทึบ-ลานดิบ-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 192 (392-398) ผูก 1 (2566)หัวเรื่อง : นิโสชาลีพิเสก--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
องค์ความรู้ ส่งเสริมการอ่านผ่านออนไลน์ เรื่อง “ทุเรียนพันธุ์หมอนทอง”
จันทบุรีเป็นเมืองผลไม้ ที่มีผลไม้นานาชนิด ทุเรียน เป็นผลไม้ปลูกกันมากที่สุด สามารถแปรรูปได้หลายอย่างเพื่อเก็บไว้กินนานๆ ในเดือนเมษายนนี้มีทุเรียนออกสู่ท้องตลาดมากที่สุด ทั้งพันธุ์กระดุม ก้านยาว พวงมณี ชะนี หมอนทอง สำหรับทุเรียนพันธุ์หมอนทอง เป็นทุเรียนที่ปลูกส่งขายกันมากที่สุด
โดยชาวสวนจะนำผลผลิตที่ได้นำไปส่งขายตามล้งต่างๆที่รับซื้อให้ราคาดี ทั้งล้งจีน ล้งไทย เพื่อนำผลผลิตออกจำหน่ายในไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะที่จีน เป็นประเทศส่งออกมากที่สุด และพันธุ์หมอนทองที่ชาวจีนชื่นชอบมากต้องมาจากแหล่งปลูกจันทบุรี
ล้งหรือสถานที่รับซื้อผลไม้ จะรับซื้อทุเรียนโดยแบ่งเป็นขนาดและน้ำหนัก สำหรับทุเรียนหมอนทอง ขนาดที่รับซื้อแบ่งเป็น ขนาด AB ถือว่าลูกใหญ่ ขนาดกำลังดี ได้ราคาดีที่สุด 130-150 บาท ขนาด C เป็นขนาดรองลงมา ได้ราคาต่ำลงมา ราว 100-110 บาท และยังมีขนาด D ขนาดตกไซต์ โบ้เข้ ที่ขนาดไม่ได้ตามที่รับซื้อ ราคาจะตกลงมาไม่ถึงร้อยบาท แล้วแต่ล้งไหนจะให้ราคาอย่างไร
ทุเรียนพันธุ์หมอนทอง เป็นสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมและขายได้ราคาดี ให้ผลผลิตขนาดกลาง บริเวณที่มีน้ำขังไม่เหมาะต่อการปลูกทุเรียนพันธุ์นี้ ถ้าดินอุดมสมบูรณ์ มีการดูแลรักษาดี สามารถให้น้ำได้อย่างเพียงพอ จะให้ผลผลิตดีมาก ลักษณะเฉพาะของทุเรียนหมอนทอง จะเป็นทรงพุ่มโปร่งคล้ายรูปกรวยคว่ำ กิ่งใหญ่จะตั้งฉากกับลำต้นและจะยาวมาก จึงทำให้กิ่งอ่อนและลู่ลงด้านล่าง ลำต้นไม่ตั้งฉากกับพื้นดิน บริเวณด้านหน้าผิวเป็นลักษณะลุ่มๆดอนๆ ไม่เสมอเรียบ ใบมีช่องระหว่างใบต่อใบห่างมาก ความยาวของใบจะยาวมากกว่าพันธุ์อื่นๆ โดยเฉพาะส่วนปลายของใบจะยาวมากจนสังเกตเห็นได้ชัด
ดอกมีรูปร่างคล้ายผลละมุดฝรั่ง ส่วนของปลายดอกจะโค้งมน ก้านดอกสั้น มีความยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร
ผล เมื่อโตเต็มที่มีขนาดปานกลาง น้ำหนักประมาณ 3-4 กิโลกรัม รูปร่างค่อนข้างยาว ปลายผลแหลม ร่างพูมองเห็นชัดเจน มักจะพบมีพูใหญ่เพียงอันเดียว เรียกว่า “พูเอก” ฐานหนามเป็นเหลี่ยม ระหว่างหนามใหญ่จะมีหนามเล็กวางแซมอยู่ทั่วไป เรียกหนามชนิดนี้ว่า “เขี้ยวงู” ก้านผลใหญ่แข็งแรง เนื้อหนาสีเหลืองอ่อนละเอียด เนื้อค่อนข้างแห้ง ไม่แฉะติดมือ รสชาติหวานมัน เมล็ดน้อยและลีบเป็นส่วนใหญ่
อ้างอิง : อภิชาติ ศรีสอาด. ทุเรียนยุคใหม่ และ ระยะชิด : นาคา อินเตอร์มีเดีย. ม.ป.ป..
ผู้เรียบเรียง : นายประพนธ์ รอบรู้ นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี
ออกแบบโดย นายเกียรติศักดิ์ สุวรรณพงศ์ จิตรกรชำนาญการพิเศษ ผู้อำนวยการกลุ่มจิตรกรรม สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร
แนวความคิดในการออกแบบตราสัญลักษณ์
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการเคียงคู่ในหลวง รัชกาลที่ ๙ พระราชจริยวัตรงดงาม พระองค์ทรงเป็นที่รักและเทิดทูนยิ่งของปวงชนชาวไทย นำมาสู่แรงบันดาลใจในการออกแบบตราสัญลักษณ์ ซึ่งทุกรายละเอียดมีความหมาย อักษรพระนามาภิไธย ส.ก.อยู่ภายในกรอบรูปหัวใจพื้นสีฟ้า อักษร “ส” สีฟ้าเป็นสีประจำวันพระราชสมภพ อักษร “ก” สีขาว เป็นสีเดชของวันพระราชสมภพ พื้นกรอบสีชมพูลายดอกมะลิ สีชมพูเป็นสีแห่งศรีของวันพระราชสมภพ การให้สีดูละมุนละไม สื่อความเป็นผู้หญิงและพระเมตตา ดอกไม้มะลิเป็นดอกไม้มงคลสัญลักษณ์วันแม่แห่งชาติ ทรงเป็นแม่ของแผ่นดิน ด้านบนเป็นพระมหามงกุฎภายในประดิษฐานพระแสงจักรและพระแสงตรี สื่อถึงทรงอยู่ในพระบรมราชจักรีวงศ์ ขนาบซ้าย ขวา พระมหามงกุฎด้วยพระสัปตปฎลเศวตฉัตร ฉัตรขาว ๗ ชั้น เป็นฉัตรประกอบพระราชอิสริยยศของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
"การนำดอกมะลิมาร้อยเรียงเป็นมาลัยลายเกลียวรูปหัวใจรอบอักษรพระนามาภิไธย ส.ก. สื่อถึงการร้อยเรียงดวงใจอย่างแน่นแฟ้นกลมเกลียวในโอกาสมหามงคล ๙๐ พรรษา ถวายพระผู้ทรงเป็นศูนย์รวมดวงใจพสกนิกรไทยทั้งชาติ และผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐต่อลูก คือ ชาวไทยทุกหมู่เหล่าให้พ้นทุกข์ยาก รูปลายหงส์ประคองฉัตร ซ้าย ขวา หมายถึง พระสิริโฉมสง่างามสูงค่าดังหงส์ ลวดลายไทย หมายถึงพระปรีชาด้านศิลปวัฒนธรรม พระราชทานกำเนิดศิลปาชีพ และทรงส่งเสริมเอกลักษณ์ชาติไทยให้แพร่หลายในไทยและต่างประเทศ เลขไทย ๙๐ ภายใต้มาลัยหัวใจ สื่อถึงเลขมงคลที่ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๙๐ พรรษา เป็นความภาคภูมิใจของจิตรกรไทยคนหนึ่งได้ถวายงานอย่างสุดความสามารถ ตราสัญลักษณ์ที่สร้างสรรค์ขึ้นได้นำไปใช้จัดงานเฉลิมพระเกียรติต่าง ๆ ทั้งยังร่วมอนุรักษ์จิตรกรรมไทยโบราณผสมผสานศิลปะสมัยใหม่สู่ตราสัญลักษณ์ที่มีความร่วมสมัย ไม่ละทิ้งเอกลักษณ์ของชาติไทย" นายเกียรติศักดิ์ กล่าว ที่มา: https://datasipmu.finearts.go.th/academic/81