ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,755 รายการ
“เครื่องเคลือบเขียนลายสีดำ หรือสีน้ำตาลใต้เคลือบ (Black/Brown Painting Underglaze Wares)” เป็นเครื่องเคลือบที่ได้รับแบบอย่างมาจากเครื่องลายครามของจีน โดยมีการวาดลวดลายต่าง ๆ ด้วยสีน้ำตาลไหม้หรือสีดำบนผิวภาชนะ แล้วเคลือบด้วยน้ำยาเคลือบสีใสถึงสีเขียวใส รูปแบบภาชนะมักเป็นชาม จาน ตลับหรือผอบ แจกัน ขวด กาน้ำ และตุ๊กตา เป็นต้น
“ภาชนะไม่เคลือบผิว (Unglazed Wares)” เป็นภาชนะที่ไม่ได้เคลือบด้วยน้ำยาเคลือบ มีสีเทาถึงสีน้ำตาลเข้ม บางชิ้นมีขี้เถ้าปลิวไปติดที่ผิวภาชนะ ทำให้ผิวมีความมันวาวเหมือนเคลือบผิว เรียกว่า “เคลือบขี้เถ้า” โดยมากมักเป็นภาชนะประเภทโอ่ง ไห ครก และแจกัน
“เครื่องเคลือบสีเขียว หรือเซลาดอน (Celadon Wares)” เป็นเครื่องเคลือบในกลุ่มสีเขียวใส สันนิษฐานว่าพัฒนามาจากเครื่องถ้วยสีเขียวมะกอกหรือสีเขียวอมน้ำตาลของเครื่องถ้วยเชลียง และได้รับอิทธิพลมาจากเครื่องเคลือบสีเขียวแบบหลงฉวนของจีน เครื่องเคลือบประเภทนี้มีรูปแบบค่อนข้างหลากหลาย ได้แก่ ชาม จาน ถ้วย ขวดทรงป่อง กระปุกทรงน้ำเต้า กาน้ำ ตุ๊กตาเสียกบาล ตุ๊กตารูปสัตว์ เป็นต้น
องค์ความรรู้ เรื่อง "พินิจพิพิธภัณฑ์ : พระคเณศ" ค้นคว้า/เรียบเรียงข้อมูล โดย นางสาวชุติณัฐ ช่วยชีพ ภัณฑารักษ์ปฏิบัติการ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช
เลขทะเบียน : นพ.บ.143/6ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 40 หน้า ; 5 x 52 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 86 (346-361) ผูก 6 (2564)หัวเรื่อง : ธมฺมปปทวณฺณนา ธมฺปฎฐกถา ขุทฺทกนิกายฎฐกถา (ธรรมบท)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ชื่อผู้แต่ง นาวาเอกพระชำนาญนาวากล ( เนียม วัชรเสถียร)
ชื่อเรื่อง ความดำเนินของการต่อเรือ การกลฝ่ายเรืออู่หลวงและนายเรือ
ครั้งที่พิมพ์ พิมพ์ครั้งแรก
สถานที่พิมพ์ พระนคร
สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์ข่าวทหารอากาศดอนเมือง
ปีที่พิมพ์ 2503
จำนวนหน้า 93
หมายเหตุ พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพลเรือตรีพระจักรานุกรกิจ(วงษ์ สุจริตกุล)
ความดำเนินของการต่อเรือการกลฝ่ายเรืออู่หลวงและนายเรือเป็นหนังสือที่เคยจัดพิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชพิธีเปืดสะพานพุทธยอดฟ้า พ.ศ. ๒๔๗๕ แต่การพิมพ์ครั้งนี้ได้พิมพ์เพิ่มเติมเนื้อหาในส่วนพบเพิ่มเติม
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.12/1-4
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ชื่อเรื่อง : ไซ่ฮั่น เล่ม 1 ชื่อผู้แต่ง : - ปีที่พิมพ์ : 2507สถานที่พิมพ์ : พระนคร สำนักพิมพ์ : องค์การค้าคุรุสภา จำนวนหน้า : 392 หน้า สาระสังเขป : "ไซฮั่น" คือ วรรณกรรมจีนที่ถูกถ่ายทอดเป็นภาษาไทยพร้อมๆ กับสามก๊ก ซึ่งอุบัติขึ้นจากพระราชดำริในรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ วรรณกรรมฝาแฝดคู่นี้เปรียบประดุจอัญมณีประดับวงวรรณกรรมไทยมาตั้งแต่สมัยนั้น ไซฮั่นที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นครั้งแรกก็เป็นเฉกเช่นสามก๊กฉบับแรกที่มิได้แปลเก็บรวบรวมความสมบูรณ์ไว้อย่างครบถ้วน หากแต่ไซฮั่นฉบับที่อยู่ในมือคุณนี้ นับเป็นฉบับแรกที่มีการแปลทุกถ้อยกระบวนความ ทุกเกร็ดสำคัญ และแปลบทกวีไว้ทั้งหมด พร้อมทั้งแทรกคำอธิบาย และคำวิจารณ์ของผู้แปลเพิ่มเติมอีกด้วย
ซึง ภาษาลีซู เรียกว่าซือบือ เครื่องดนตรีชนิดเครื่องดีดคล้ายพิณ 3 สาย ทำด้วยไม้เนื้อแข็งชิ้นเดียวกัน ประกอบด้วย 3 ส่วน ดังนี้
-ส่วนหัว ทำด้วยไม้เนื้อแข็งเจาะช่องทะลุสำหรับใส่อุปกรณ์ปรับสายให้ตึงหรือหย่อน ส่วนปลายเหลาโค้งไปด้านหลัง
ส่วนสะพานเสียงรูปทรงเหมือนไม้บรรทัดโคนถ่างออกเล็กน้อยผิวหน้าเรียบ
-ส่วนกล่องเสียง เกลาเป็นกล่องทรงกลมภายในกลวงเปิดด้านหน้าขึงด้วยหนังตะกวด ตรงกลางแผ่นหนังมีแป้นไม้รองรับสายโลหะที่ขึงมาจากส่วนหัว ด้านล่างฉลุลายรูปคล้ายเมล็ดข้าวสาร มีเชือกสะพายคล้องมาจากส่วนหัวกับส่วนกล่องเสียง
ประวัติ จัดซื้อด้วยเงินงบประมาณ ปี2563 จากนายสุพจน์ หลี่จา
นายกสมาคมสร้างเสริมสุขภาวะชุมชนชาติพันธุ์
วัดเสม็ดไม่ปรากฏเด่นชัดว่าสร้างในสมัยใด แต่จากรูปแบบสถาปัตยกรรมของอุโบสถและภาพจิตรกรรมฝาผนัง ทำให้สันนิษฐานได้ว่าน่าจะสร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์รัชกาลที่๓-๔ อุโบสถของวัดเสม็ดเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน หลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้องดินเผา รอบอาคารมีพาไล หน้าบันประดับปูนปั้นลายพันธุ์พฤกษา ภายในอุโบสถประดิษฐานพระประธานปางมารวิชัย มีการเขียนจิตรกรรมฝาผนังทั้ง ๔ ด้าน โดยดำเนินเรื่องแบบทักษิณาวัตร เป็นการดำเนินเรื่องโดยเวียนไปทางขวาอย่างเข็มนาฬิกา โดยเริ่มเรื่องจากห้องภาพทางด้านซ้ายของพระประทาน ผนังด้านหน้าพระประธานหรือผนังหุ้มกลองหน้า มีการแบ่งห้องภาพออกเป็น ๒ ส่วน โดยใช้ลายหน้ากระดานเป็นลายประจำยามก้านแย่งเป็นตัวคั่น คือ ๑.ห้องภาพบริเวณผนังเหนือบานประตู มีการสลักรอยพระบาทลงรักปิดทองเป็นรอยลึกลงไปจากระดับผนัง อยู่บริเวณด้านบนกึ่งกลางผนัง ท่ามกลางภาพจิตรกรรมที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความอุตสาหะ พยายามของผู้คนทุกหมู่เหล่า ไม่ว่าจะเป็น ภิกษุ ฆราวาส ตลอดจนเหล่าเทวดา บนสวรรค์ที่ต่างก็เดินทางดั้นด้นมาเพื่อนมัสการรอยพระบาท ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นตัวแทนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ประดิษฐานไว้บนยอดเขาแห่งนี้ โดยการผสมผสานระหว่างประติมากรรมและจิตรกรรมได้อย่างลงตัว ๒.ห้องภาพระหว่างบานประตู เขียนเรื่องวิกขายิตกอสุภ ซึ่งเป็นหนึ่งในเรื่องของพระอสุภกรรมฐาน อันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการปลงและพิจารณาร่างกายของซากศพที่ถูกสัตว์ยื้อแย่งกัดกิน (โดยเป็นห้องภาพที่เรียงต่อจากผนังระหว่างบานหน้าต่างด้านซ้ายของพระประธาน) ภาพที่ ๑ ผนังเหนือบานประตูด้านหน้าพระประธาน ภาพที่ ๒ ห้องภาพระหว่างบานประตูด้านหน้าพระประธาน ผนังด้านหลังพระประธานหรือผนังหุ้มกลองหลัง มีการแบ่งห้องภาพเช่นเดียวกับผนังด้านหน้าพระประธาน มีการใช้ลายหน้ากระดานแบ่งคั่น เช่นเดียวกัน โดยผนังด้านบนเขียนเรื่องไตรภูมิ ผนังด้านล่าง ผนังบริเวณฐานชุกชี เขียนเป็นภาพนรก สัตว์เปรตภาพที่ ๓ ผนังด้านหลังพระประธานหรือผนังหุ้มกลองหลัง ผนังด้านซ้ายและด้านขวาของพระประธาน มีการเขียนและจัดวางภาพ โดยใช้ลายหน้ากระดานคั่น แบ่งภาพจิตรกรรมออกเป็นสองส่วน ในลักษณะเช่นเดียวกันกับผนังด้านหน้าและด้านหลังพระประธาน คือ ภาพจิตรกรรมเหนือบานหน้าต่าง และภาพจิตรกรรมระหว่างบานหน้าต่าง ภาพจิตรกรรมเหนือบานหน้าต่างนั้นเป็นภาพ เทพเทวดา พระภิกษุ นักสิทธิวิทยาธร มาชุมนุมกัน มีลายหน้ากระดานลักษณะเป็นลายประจำยามก้านแย่ง แบ่งออกเป็นชั้นๆ จำนวน ๓ ชั้น และชั้นบนสุดเขียนเส้นสินเทาคั่นเพียงชั้นเดียว และทุกตัวภาพทุกชั้นหันไปทางพระประธาน ประหนึ่งเป็นการแสดงการนมัสการสักการะบูชาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไปในแต่ละชั้น ดังนี้ ชั้นแรก ชั้นเทพชุมนุม เป็นชั้นที่ถัดขึ้นมาจากลายหน้ากระดานที่คั่นระหว่างห้องภาพเหนือบานหน้าต่างและห้องภาพระหว่างบานหน้าต่าง เป็นชั้นที่มีการเขียนตัวภาพ เทวดา ยักษ์ ลิง ครุฑ ลงไปบนพื้นหลังสีน้ำตาล โดยแต่ละตัวภาพ มีทิพยดอกไม้ (ลักษณะของดอกไม้ที่จัดวางเป็นทรงพุ่มก้านยาวคล้ายตาลปัตร) เป็นตัวคั่น เหนือลายหน้ากระดานชั้นที่ ๒ และ ๓ ขึ้นไป เป็นภาพพระภิกษุถวายอัญชลี นั่งเรียงเป็นแถวในลักษณะภาพซ้ำอย่างเป็นระเบียบ ในชั้นที่ ๒ นี้ใช้พื้นหลังเป็นสีน้ำเงิน ส่วนชั้นที่ ๓ ใช้พื้นหลังเป็นสีน้ำตาล เหนือขึ้นไปจากภิกษุในชั้นที่ ๓ มีการใช้เส้นสินเทาเขียนแบ่งห้องภาพระหว่างชั้นที่ ๓ และ ๔ โดยพื้นที่ของชั้นที่ ๔ นี้เริ่มจากเส้นสินเทาจรดเพดาน เขียนแสดงภาพบรรยากาศของท้องฟ้า และก้อนเมฆ มีนักสิทธิวิทยาธรในมือถือมวลดอกไม้บุปผาชาติ เพื่อนำมานมัสการองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภาพที่ ๔ ภาพจิตรกรรมเหนือบานหน้าต่างผนังด้านซ้ายและด้านขวาของพระประธาน ส่วนบริเวณผนังระหว่างบานหน้าต่างทางด้านซ้ายและขวาของพระประธาน เขียนบรรยายเรื่องพระอสุภกรรมฐาน โดยแต่ละห้องจะมีการเขียนภาพการปลง สังขารหรือการพิจารณาซากศพที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นการเขียนภาพบรรยายลักษณะพระภิกษุกำลังปลงและพิจารณาซากศพ โดยความหมายของคำว่าอสุภกรรมฐานแยกออกเป็น ๒ คำคือคำว่า อสุภ แปลว่า ไม่สวย ไม่งาม กรรมฐาน แปลว่า ตั้งอารมณ์ไว้ให้เป็นการเป็นงาน รวมได้ความว่า ตั้งอารมณ์เป็นการงานในอารมณ์ที่เห็นว่าไม่มีอะไรสวยสด งดงาม มีแต่ความสกปรกโสโครก น่าเกลียด อสุภกรรมฐานนี้เป็นเครื่องกำจัดราคะ ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย คลายรัก ยึดถือร่างกาย คลายความหลงรูป หลงสวย หลงงาม หลงได้ภาพที่ ๕ ผนังระหว่างบานหน้าต่างทางด้านซ้ายและขวาของพระประธาน เขียนบรรยายเรื่องพระอสุภกรรมฐาน--------------------------------------------------------ผู้เขียน : นางสาววรรัก นวลวิไลลักษณ์ (นายช่างศิลปกรรมชำนาญงาน) สำนักศิลปากรที่ ๕ ปราจีนบุรี--------------------------------------------------------
แผ่นดินเผารูปเทวดาเหาะ จำนวน ๒ แผ่น พบจากเจดีย์หมายเลข ๓ เมืองโบราณอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี
แผ่นดินเผาขนาดใหญ่ รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า แผ่นที่ ๑ มีสภาพเกือบสมบูรณ์ กว้างประมาณ ๓๐ เซนติเมตร ยาว ๓๖ เซนติเมตร แผ่นที่ ๒ ชำรุดหักหายไปส่วนหนึ่ง กว้างประมาณ ๑๙ เซนติเมตร ยาว ๓๒ เซนติเมตร หากมีสภาพสมบูรณ์น่าจะมีรูปแบบเช่นเดียวกับแผ่นดินเผาแผ่นที่ ๑ แผ่นดินเผาทั้งสองแผ่นมีการตกแต่งผิวหน้าด้วยภาพนูนต่ำรูปบุคคลเหาะ สันนิษฐานว่าผลิตขึ้นโดยใช้เทคนิคการขึ้นรูปด้วยแม่พิมพ์แล้วนำไปเผา เพื่อให้ได้ประติมากรรมรูปแบบเดียวกันจำนวนหลายชิ้น มีร่องรอยแกลบข้าวในเนื้อดิน ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของอิฐ หรือประติมากรรมดินเผาที่สร้างขึ้นในสมัยทวารวดี กำหนดอายุสมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๔ (ประมาณ ๑,๒๐๐ – ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว)
รูปบุคคลในท่าเหาะ ซึ่งน่าจะหมายถึงเทวดาเหาะนี้ ยกเข่าซ้ายตั้งขึ้น งอเข่าขวาเหยียดไปทางด้านหลัง มือซ้ายยกขึ้นระดับอกถือวัตถุซึ่งน่าจะเป็นดอกไม้ ส่วนมือขวาปล่อยไปทางด้านหลัง สวมเครื่องประดับศีรษะ ตุ้มหูแบบห่วงกลมขนาดใหญ่ และสร้อยคอ นุ่งผ้าสั้นเหนือเข่า คาดผ้าผูกเอวโดยผูกเป็นปมที่ด้านขวาและปล่อยชายผ้าปลิวไปทางด้านหลังแสดงถึงการเคลื่อนไหว ลักษณะของเทวดาเหาะนี้คล้ายคลึงกับรูปเทวดาเหาะที่พบในภาพสลักเล่าเรื่อง และบนประภามณฑลของพระพุทธรูป ซึ่งปรากฏในศิลปะอินเดียหลายสมัย ทั้งนี้ช่างพื้นเมืองทวารวดีน่าจะรับอิทธิพลทางด้านรูปแบบมาปรับเปลี่ยนจนมีเอกลักษณ์เฉพาะของตน
แผ่นดินเผานี้น่าจะใช้เพื่อประดับส่วนฐานของเจดีย์ ในลักษณะเดียวกับประติมากรรมรูปคนแคระแบกที่พบทั่วไปตามเมืองโบราณสมัยทวารวดี หรืออาจประกอบอยู่กับภาพเล่าเรื่องประดับเจดีย์ก็เป็นได้ นอกจากที่เมืองโบราณอู่ทองแล้วยังพบประติมากรรมรูปบุคคลเหาะในลักษณะคล้ายกัน เป็นประติมากรรมปูนปั้นประดับศาสนสถานที่เขาคลังใน เมืองโบราณศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ อีกด้วย
เอกสารอ้างอิง
กรมศิลปากร. โบราณคดีเมืองอู่ทอง. นนทบุรี : สหมิตรพริ้นติ้ง, ๒๕๔๕.
วิภาดา อ่อนวิมล. “อิฐมีลวดลายในสมัยทวารวดี”. เอกสารการศึกษาเฉพาะบุคคล ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๖.
สฤษดิ์พงศ์ ขุนทรง. รายงานการวิจัยเรื่องพัฒนาการของเมืองอู่ทองจากหลักฐานทางโบราณคดี. กรุงเทพฯ : คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๙.
ชื่อเรื่อง วินยธรสิกฺขปท (สิกขาบท)
สพ.บ. 390/1ก
หมวดหมู่ พุทธศาสนา
ภาษา บาลี/ไทยอีสาน
หัวเรื่อง พุทธศาสนา
พระวินัยปิฎก
ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลาน
ลักษณะวัสดุ 60 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 55 ซม.
บทคัดย่อ
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี