ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ




          สืบเนื่องจากบทความเรื่อง การดำเนินงานทางโบราณคดีโบราณสถานวัดเขาพระบาทใหญ่ (ต.ต. 45) ก่อนหน้าที่ทางแอดมินเพจอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยได้เผยแพร่ไป ซึ่งได้เกริ่นถึงรอยพระพุทธบาทที่วัดเขาพระบาทใหญ่ไว้ว่า เมื่อ พุทธศักราช 1902 พระมหาธรรมราชาลิไททรงโปรดฯ ให้จำลองแบบรอยพระพุทธบาทจากเขาสุมนกูฏ ประเทศศรีลังกา และสร้างรอยพระพุทธบาทประดิษฐานไว้ ณ ยอดเขาสุมนกูฏ (เขาพระบาทใหญ่) บริเวณทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองสุโขทัย ในครั้งนี้ทางเพจอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยจะขอนำเสนอความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับรอยพระพุทธบาท อันถือเป็นโบราณวัตถุชิ้นสำคัญที่พบจากเขาพระบาทใหญ่          รอยพระพุทธบาทได้ประดิษฐานไว้ ณ ฐานประดิษฐานรอยพระพุทธบาททางทิศตะวันตกของวิหารวัดเขาพระบาทใหญ่ จนกระทั่งเมื่อพุทธศักราช 2470 ท่านเจ้าคุณโบราณวัตถาจารย์ ได้เล็งเห็นว่า หากยังคงประดิษฐานรอยพระพุทธบาทไว้ที่บนเขาวัดพระบาทใหญ่ในที่เดิมต่อไป อาจถูกผู้ร้ายทุบแตกทำลาย หรือทำให้เสียหายได้ จึงเกณฑ์ชาวบ้านและพระเณรบ้านธานี และบ้านเมืองเก่า อัญเชิญพระพุทธบาทศิลาลงมาจากเขาพระใหญ่ โดยใช้แรงคนจำนวนมากชักลากด้วยความระวัง คือ ใช้หม่อนไม้ท่อนกลม ๆ หลายอันเป็นหมอนลูกกลิ้งมีไม้กระดานรองรอยพระพุทธบาท ใช้เชือกที่ทำด้วยหนังสัตว์ขันชะเนาะ 3 สาย ขึงตรึงไว้กับต้นไม้ ค่อย ๆ ปล่อยเชือกประคองพระพุทธบาทลงมา แล้วจึงใส่ล้อเกวียนนำไปประดิษฐานไว้ที่มณฑปกลางน้ำในวัดตระพังทองดังปรากฏเช่นในปัจจุบัน          รอยพระพุทธบาทมีลักษณะเป็นรอยพระพุทธบาทข้างขวา จำหลักหินเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีขนาดกว้าง 202 เซนติเมตร ยาว 207 เซนติเมตร บริเวณภายในกรอบหินที่สลักเป็นพระบาทพุทธบาทมีขนาดความกว้าง (วัดจากขอบนอกนิ้วหัวแม่เท้าถึงขอบนอกของนิ้วก้อย) 58 เซนติเมตร ยาว (วัดจากปลายสุดของนิ้วกลางถึงปลายสุดของส้นพระบาท) 131 เซนติเมตร ตรงกลางรอยฝ่าพระพุทธบาทสลักเป็นธรรมจักรขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 21 เซนติเมตร และสลักเป็นตารางสี่เหลี่ยมเป็นช่อง ๆ อยู่โดยรอบธรรมจักร แกะสลักภายในเป็นภาพเขียนมงคล 108 ประการอยู่ภายใน ลักษณะการของการจัดวางลวดลายมงคล 108 ประการ ที่บรรจุอยู่ในช่องตาราง และเว้นที่ตรงกลางพระบาทสำหรับลวดลายธรรมจักรนี้ มีความคล้ายคลึงกับรอยพระพุทธบาทบาทที่พบในพุกาม ประเทศเมียนมาร์          บริเวณพื้นที่ส่วนล่างขนาบข้างทางด้านซ้ายของรอยพระพุทธบาท สลักเป็นภาพพระพุทธสาวกยืนพนมมือถือช่อดอกไม้หันหน้าเข้าหารอยพระพุทธบาท ซึ่งแสดงออกถึงการกราบไหว้ บูชารอยพระพุทธบาทอย่างนอบน้อมคารวะ ความสูงของพระพุทธสาวกเฉพาะส่วนองค์ (จากเศียรถึงพระบาท) 40 เซนติเมตร โดยพระพุทธสาวกยืนอยู่บนแท่นขนาดกว้าง 15 เซนติเมตร สูง 9 เซนติเมตร          บริเวณพื้นที่ส่วนล่างขนาบข้างทางด้านขวาของรอยพระพุทธบาท สลักเป็นภาพพระอิศวรยืนย่อองค์อ่อนน้อมพนมมือถือดอกไม้หันหน้าเข้าหารอยพระพุทธบาท พระอิศวรมีขนาดความสูงเท่ากันกับภาพพระพุทธสาวก องค์พระอิศวรทรงสวมมงกุฎ สร้อยสังวาล เครื่องประดับต่าง ๆ มากมาย          ส่วนบริเวณขอบแผ่นศิลาของรอยพระพุทธบาทแกะสลักเป็นรูปดอกจันทร์เรียงกันเป็นขอบรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าล้อไปกับขอบแผ่นศิลา ด้านยาวมีดอกจันทร์ด้านละ 35 ดอก ด้านกว้างมีดอกจันทร์ด้านละ 19 ดอก รวมทั้งสี่ด้านมีจำนวน 108 ดอก          การสร้างรอยพระพุทธบาทไว้บนเขาสุมนกูฏของพระมหาธรรมราชาลิไทเป็นการจำลองมาทั้งลักษณะรูปแบบของรอยพระพุทธบาท และชื่อเขาที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท แสดงให้เห็นถึงการเน้นย้ำว่ารอยพระพุทธบาทมีความสำคัญ อันประดิษฐานอยู่บนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คือเขาสุมนกูฏดังเช่นที่ประเทศศรีลังกา อีกทั้งยังแสดงถึงการรับคติพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ อันสัมพันธ์กับหลักฐานการรับพุทธศาสนาประเภทอื่น ๆ ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ด้วย เช่น การปลูกต้นศรีมหาโพธิ์ คติเรื่องเจดีย์ช้างล้อม เจดีย์ทรงลังกา เป็นต้น ดังนั้นเขาพระบาทใหญ่จึงถือเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเมืองสุโขทัย ซึ่งมีความสำคัญทั้งในแง่ของการเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่ผู้คนสามารถใช้ประโยชน์ได้ และในแง่ของการเป็นเขตพุทธสถานบนเขาตามคติพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ของเมืองสุโขทัยด้วย------------------------------------------------เรียบเรียงข้อมูลโดย นายสุเมธ สารีวงษ์ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย------------------------------------------------สามารถอ่านหรือดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็มได้ที่ https://drive.google.com/.../10l0fRTLev.../view... อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับรอยพระพุทธบาท หนังสือที่ระลึกพระราชพิธียกจุลมงกุฏและสมโภชพระพุทธบาทจังหวัด สระบุรี พุทธศักราช 2542. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, 2542. นันทนา ชุติวงศ์. รอยพระพุทธบาทในศิลปะเอเชียใต้และเอเชียอาคเนย์. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, 2533. . ติดตามข้อมูลอื่นๆได้ที่เพจอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย https://www.facebook.com/skt.his.park หรือให้คำแนะนำข้อมูลได้ที่โพสต์ต้นฉบับ https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=3920864161299396&id=180332008685982


เศียรพระพุทธรูปหินทรายพบที่วัดพระแก้ว กลางเมืองกำแพงเพชร เป็นงานที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะเขมรและศิลปะสุโขทัยผสมผสานกันอย่างงดงาม ลักษณะพระพักตร์รูปไข่แบบพระพุทธรูปสุโขทัย ขมวดพระเกศาเล็ก พระอุษณีษะเป็นต่อมนูนใหญ่ พระรัศมีหายไป มีไรพระศกอยู่เหนือพระนลาฏ พระขนงโก่ง พระเนตรเรียวเหลือบลงต่ำ พระนาสิกโด่ง ปลายพระนาสิกงุ้มเล็กน้อย พระโอษฐ์มีเส้นขอบสองชั้นทำให้ดูคล้ายมีพระมัสสุอยู่เหนือพระโอษฐ์ พระพักตร์แสดงอาการยิ้มเล็กน้อย ไม่เคร่งขรึมตามแบบพระพุทธรูปศิลปะเขมรทั่วไป ถือเป็นเศียรพระพุทธรูปหินทรายที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์มากที่สุดที่มีการค้นพบจากบริเวณเมืองกำแพงเพชร เอกสารอ้างอิง - กรมศิลปากร. นำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร. กรุงเทพฯ : รุ่งศิลป์การพิมพ์, ๒๕๕๗. - กรมศิลปากร. นำชมอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯ : สมาพันธ์, ๒๕๕๒. เรียบเรียงโดยนางสาวมาริษา เสนอิ่ม  พนักงานประจำห้องพิพิธภัณฑ์อย่าลืมสแกน QR-Code แผ่นพับเรื่องเศียรพระพุทธรูปหินทรายด้วยนะคะ


เลขทะเบียน : นพ.บ.110/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  72 หน้า ; 4 x 55 ซ.ม. : ทองทึบ-ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 61 (179-187) ผูก 1 (2564)หัวเรื่อง : พระเจ้า 28 พระองค์--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.143/5ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  44 หน้า ; 5 x 52 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 86 (346-361) ผูก 5 (2564)หัวเรื่อง : ธมฺมปปทวณฺณนา ธมฺปฎฐกถา ขุทฺทกนิกายฎฐกถา (ธรรมบท)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


ชื่อผู้แต่ง           สุภาภรณ์  ขำสุวัฒน์และชวนธนากร  ขำสุวัฒน์   ชื่อเรื่อง           ไทยเสียดินแดนให้ฝรั่งเศษ และสวนอักษร   ครั้งที่พิมพ์          สถานที่พิมพ์   พระนคร      สำนักพิมพ์     โรงพิมพ์อักษรวัฒนา      ปีที่พิมพ์        2495         จำนวนหน้า     30      หมายเหตุ               พิมพ์ในงานพระราชเพลิงศพพระยาอภัยรณฤทธิ์(เกษียร  อมาตยกุล)                                            สาเหตุและลำดับเหตุการณ์ข้อพิพาทระหว่างไทยกับประเทศฝรั่งเศสในการเสียดินแดนพระตะบอง  เสียมราช  และศรีโสภณ ส่วนสวนอักษรเป็นการรวบรวมพระบรมราโชวาทของ ร6  และคำกล่าวที่ให้คติของบุคคลสำคัญในยุคนั้น


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน) เลขที่ ชบ.บ.12/1-3 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


ชื่อเรื่อง : ประมวลพิธีมงคลของไทย ชื่อผู้แต่ง : จันทร์ ไพจิตร ปีที่พิมพ์ : 2509 สถานที่พิมพ์ : พระนคร สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์เลี่ยงเชียง จำนวนหน้า : 488 หน้าสาระสังเขป : เป็นหนังสือที่ประมวลพิธีต่างๆ ตั้งแต่เกิดตลอดจนมีชีวิต – ตาย และตายไปแล้ว พิธีทั้งหลายมีอยู่ในหนังสือครบบริบูรณ์ จึงเหมาะแก่พ่อบ้าน สมภารเจ้าวัด ภิกษุ สามเณร และบุคลลทั่วไป ในหนังสือนี้ พิธีบางอย่าง นอกจากจะกล่าวจำเพาะเจาะจงแล้ว ข้าพเจ้าพยายามให้ความรู้ในเรื่องเดียวกันกว้างออกไป ตามที่เห็นสมควร บางอย่างก็กล่าวไว้รวบรัด ตามที่เห็นว่า สำเร็จประโยชน์พอต้องการของผู้กระทำ อย่างไรก็ดี หนังสือเล่มนี้ จักเป็นเสมือนผู้ให้ความสะดวกแก่การกระทำพิธีมงคลต่างๆ บ้างมิใช่น้อย


     มหามกุฏราชสันตติวงศ์ ๑ มกราคม ๒๔๓๕ วันพระราชสมภพสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระนามเดิม สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๖๙ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพแต่สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี      พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๔๓๕       พระองค์มีพระเชษฐาและพระเชษฐภคินีที่ประสูติร่วมพระราชมารดา ได้แก่   สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร  สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอิศริยาลงกรณ์  สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าวิจิตรจิรประภา อดุลยาดิเรกรัตน ขัตติยราชกุมารี  สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัย กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์  สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร และ  สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าศิราภรณ์โสภณ พิมลรัตนวดี      ในพุทธศักราช ๒๔๔๖ ทรงสถาปนาเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช นเรศวรมหาราชาธิบดินทร์ จุฬาลงกรณนรินทรางกูร สมบูรณ์เบญจพรศิริสวัสดิ์ ขัตติยวโรภโตสุชาต คุณสังกาศเกียรติประกฤษฐ์ ลักษณพิจิตรพิสิษฐบุรุษย์ ชนุตมรัตนพัฒนศักดิ์ อรรควรราชกุมาร กรมขุนสงขลานครินทร ถึงพุทธศักราช ๒๔๔๘ ไปทรงศึกษาวิชาชั้นต้นในประเทศอังกฤษ ก่อนจะไปทรงศึกษาที่โรงเรียนนายร้อยชั้นต้นปอตสดัม ประเทศเยอรมนี ระหว่างศึกษาได้รับพระราชทานยศ นายร้อยตรี แล้วต่อมาไปทรงศึกษาที่โรงเรียนนายร้อยชั้นสูงที่โกรสลิชเตอร์เฟลเด้ แล้วทรงศึกษาวิชาทหารเรือที่ โรงเรียนนายเรือเฟลนส์บูร์ก มุรวิก ระหว่าง พุทธศักราช ๒๔๕๖ – ๒๔๕๗      เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๑ เกิดขึ้น พระบรมเชษฐาธิราช โปรดให้เสด็จกลับเข้ามายังราชอาณาจักร ทรงรับราชการในกรมเสนาธิการทหารเรือ กระทรวงทหารเรือ แล้วทรงย้ายไปรับราชการในกองอาจารย์นายรเอ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ได้รับพระราชทานยศ นายพันเอกทหารบก และนายนาวาเอกทหารเรือ เป็นราชองครักษ์พิเศษ แล้วจึงเสด็จไปทรงศึกษาวิชาสาธารณสุขที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา ได้รับประกาศนียบัตรสาธารณสุข ต่อมาทรงรับตำแหน่งข้าหลวงสำรวจการศึกษาทั่วไป กระทรวงศึกษาธิการและอธิบดีกรมมหาวิทยาลัย ทรงเป็นอาจารย์สอนนิสิตเตรียมแพทย์ คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ทรงปรับปรุงและวางรากฐานการแพทย์ของคณะแพทย์ศาสตร์และศิริราชพยาบาล ก่อนจะเสด็จไปทรงศึกษาต่อจนจบวิชาแพทย์ได้รับเกียรตินิยม จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในพุทธศักราช ๒๔๗๑ ครั้นเสด็จกลับมาสยาม เสด็จไปทรงงานในฐานะแพทย์ประจำบ้านที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิค จังหวัดเชียงใหม่ในต้นปีพุทธศักราช ๒๔๗๒ก่อนจะทรงพระประชวร และเสด็จกลับกรุงเทพ ก่อนที่จะสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๔๗๒ พระชนมายุได้ ๓๘ พรรษา เป็นต้นราชสกุล มหิดล      พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริว่า สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดชฯ เป็นพระราชภราดาพระองค์หนึ่งที่สนิทชิดชอบพระราชอัธยาศัยมาแต่ยังทรงพระเยาว์ ได้ทรงประจักษ์ในพระปรีชาญาณ และทรงรอบรู้ในกรณียกิจต่างๆ อันเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ ได้มีพระราชดำรัสสั่งไว้แล้ว ในการที่จะเลื่อนกรมสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดชฯ ขึ้นเป็น สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวง ในมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษาครบสามรอบ แต่ก็มาด่วนสิ้นพระชนม์ไปเสียก่อน ทรงพระราชดำริว่า อันคุณความดีไม่มีเวลาที่จะจืดจาง แม้สิ้นพระชนม์แล้วก็จะทรงสถาปนาให้สมพระราชประสงค์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเป็น สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช นเรศวรมหาราชาธิบดินทร จุฬาลงกรณินทรวรางกูร สมบูรณเบญจพรศิริสวัสดิ ขัตติยวโรภโตสุชาต คุณสังกาศเกียรติประกฤษฏ์ ลักษณพิจิตรพิสิฐบุรุษ ชนุดมรัตนพัฒนศักดิ อัครวรราชนรินทรเชษฐาธิบดี กรมหลวงสงขลานครินทร์      ต่อมาในรัชกาลที่ ๘ สถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระราชบิดา เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดชฯ กรมหลวงสงขลานครินทร์ ครั้นในรัชกาลที่ ๙โปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระนามพระอัฐิ เป็น สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๑๓ และพระราชทานยศ จอมพลเรือ เมื่อพุทธศักราช ๒๕๔๑      สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก นับเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ที่สืบสายจากพระบรมชนกนาถ   ภาพ : พันเอก(พิเศษ) จอมพลเรือ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ข้อมูล : ณัฐพล ชัยมั่น / วสันต์ ญาติพัฒ ภัณฑารักษ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี   อ้างอิง กัลยาณิวัฒนา, สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ. เจ้าฟ้าทหารเรือ. กรุงเทพฯ : วงจร, ๒๕๓๕. ศิลปากร, กรม.จดหมายเหตุเรื่องทรงตั้งพระบรมวงศานุวงศ์กรุงรัตนโกสินทร์ เล่ม ๒. กรุงเทพฯ : บริษัท รุ่ง ศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗) จำกัด, ๒๕๔๕. ________.ราชสกุลวงศ์. พิมพ์ครั้งที่ ๑๔ .กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ สกสค.ลาดพร้าว, ๒๕๕๔. ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม ๑๑๕ ตอนที่ ๔ ข วันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๔๑. ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง  พระราชทานพระยศทหาร.[ออนไลน์] สืบค้นเมื่อ ๑ มกราคม ๒๕๖๔ จาก   http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2541/B/004/1.PDF


ชื่อผู้แต่ง :   วันรัต สังฆนายก, สมเด็จพระ ชื่อเรื่อง :    ไตรรัตนานุสสติกกถา ปีที่พิมพ์ :    2500 สถานที่พิมพ์ :  สงขลา โรงพิมพ์      :   กรุงเทพ จำนวนหน้า    28  หน้า                    หนังสือไตรรัตนานุสสติกถา สมเด็จพระวันรัต  สังฆนายกพิมพ์แจกแก่วัดทั้งหลาย เนื่องในวันวิสาขบูชา  ประจำปี 2500 ได้กล่าวถึงประวัติของวันวิสาสขบูชา และเพื่อเป็นการฉลอง 2500 ปี แห่งพุทธศาสนา    



เมืองศรีมโหสถ ตั้งอยู่ที่อำเภอศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี เป็นเมืองโบราณที่มีพัฒนาการตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ – ๑๘ หรือราว ๑,๕๐๐ ปีมาแล้ว ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำบางปะกง ติดชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ศรีมโหสถจึงเป็นทั้งเมืองท่าการค้าที่ติดต่อกับดินแดนโพ้นทะเล ศูนย์กลางการคมนาคมของบ้านเมืองตอนในของแผ่นดิน และเมืองชายฝั่งทะเลใกล้เคียง           เมืองโบราณแห่งนี้จึงมีความหลากหลายในด้านศิลปวัฒนธรรม และความเชื่อทางศาสนา ที่เดินทางมาพร้อมกับผู้คนจากต่างแดน ด้วยพัฒนาการบ้านเมืองที่ยาวนาน จึงปรากฏการสร้างศาสนสถานทับซ้อนกันอยู่หลายสมัย อีกทั้งยังพบพระพุทธรูป รูปเคารพต่างๆ รวมถึงวัตถุและสินค้าจากต่างแดน สะท้อนถึงความมั่งคั่ง และเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองในช่วงเวลานั้น ผังเมืองศรีมโหสถ           เมืองศรีมโหสถเป็นเมืองโบราณขนาดใหญ่ มีแผนผังของเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมค่อนข้างรี ขอบมุมทั้ง ๔ โค้งมน มีคูน้ำและคันดินล้อมรอบ ตัวเมืองตั้งอยู่ตามแนวทิศตะวันออกเฉียงเหนือ – ตะวันตกเฉียงใต้ ขนาดของเมืองกว้าง ๗๐๐ เมตร ยาว ๑,๕๕๐ เมตร ตอนกลางของเมืองมีคูน้ำชื่อ “คูลูกศร” คั่นแบ่งตัวเมืองเป็น ๒ ส่วน เพื่อประโยชน์ทางการคมนาคม และการกักเก็บน้ำภายในตัวเมือง พบโบราณสถานทั้งในเมืองและนอกเมืองเป็นจำนวนมาก โบราณวัตถุสำคัญ ของเมืองศรีมโหสถ เช่น • พระคเณศ ศิลปะทวารวดี ต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๒ • พระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะทวารวดี พุทธศตวรรษที่ ๑๓- ๑๔ • พระพุทธรูปปางตรัสรู้ ศิลปะทวารวดี พุทธศตวรรษที่ ๑๔- ๑๕ • จารึกกรอบคันฉ่องและจารึกเชิงเทียน ศิลปะเขมรในประเทศไทย พุทธศตวรรษที่ ๑๘ --------------------------------------------------------------ผู้เรียบเรียง : นางสาววัชรี ชมภู ภัณฑารักษ์ชำนาญการพิเศษ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี --------------------------------------------------------------อ้างอิง : - กรมศิลปากร. “นำชม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี”กรุงเทพฯ, ๒๕๔๒. - กรมศิลปากร. “โบราณคดีเมืองศรีมโหสถ” กรุงเทพฯ, ๒๕๔๘. - กรมศิลปากร. “ประวัติศาสตร์และโบราณคดี เมืองศรีมโหสถ”กรุงเทพฯ, ๒๕๓๕.


          ๕๕ ปี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง          พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร :           พระมหากรุณาธิคุณต่องานด้านพิพิธภัณฑสถาน           พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงสนพระราชหฤทัยในวิทยาการต่างๆ เพื่อพัฒนาประเทศให้เจริญไปอย่างถูกทิศทาง ทรงตระหนักในคุณค่าของโบราณวัตถุ โบราณสถาน อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่ง จำเป็นต้องคุ้มครอง ดูแล และอนุรักษ์ไว้เป็นสมบัติของชาติ เพื่อเป็นเกียรติประวัติและเสริมสร้างความสามัคคีกลมเกลียวในหมู่อนุชนรุ่นต่อ ๆ ไป ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สังกัดกรมศิลปากร ทั้งส่วนกลางและภูมิภาคของประเทศไทย จำนวน ๗ แห่ง           โอกาสที่พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระองค์ได้พระราชทานพระราชดำริ และกระแสพระราชดำรัสที่แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถด้านการพิพิธภัณฑ์ และการอนุรักษ์โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ที่สำคัญ เช่น เมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๐ มีเหตุการณ์คนร้ายลักลอบขุดกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และพบโบราณวัตถุเป็นจำนวนมาก พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ไปทอดพระเนตรโบราณวัตถุดังกล่าว ณ กองกำกับการตำรวจภูธร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๐๐ ขณะทอดพระเนตรสิ่งของต่าง ๆ มีรับสั่งถามว่า   “จะไปเก็บไว้ที่ใด...”   พระราชดำรัสดังกล่าวก่อให้เกิดการจัดตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ที่สมบูรณ์แบบขึ้นในส่วนภูมิภาคเป็นแห่งแรก ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และในวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๐๔ ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา ทรงมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า “...ข้าพเจ้าได้คิดมานานแล้วว่า โบราณวัตถุและศิลปวัตถุของท้องถิ่นใด ก็ควรจะเก็บรักษาและตั้งแสดงไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติของจังหวัดนั้นๆ...” เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย ทรงมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งที่แสดงถึงพระราชหฤทัยเปี่ยมด้วยพระมหากรุณาธิคุณต่อกิจการพิพิธภัณฑสถานในประเทศไทยว่า “...นี่ถ้ากรมศิลปากรไปสร้างพิพิธภัณฑ์ที่ไหนนะ ฉันจะไปเปิดให้...”            พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง กรมศิลปากร ได้รับการจัดตั้งขึ้นในพุทธศักราช ๒๕๐๒ เพื่อรวบรวมโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุที่ได้จากการสำรวจ ขุดแต่งบูรณะ และขุดค้นพบภายในบริเวณเมืองโบราณอู่ทอง และบริเวณใกล้เคียง พุทธศักราช ๒๕๐๘ - ๒๕๐๙ กรมศิลปากรได้จัดสร้างอาคารจัดแสดงพิพิธภัณฑสถานถาวร พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๐๙ นับเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในภูมิภาคแห่งที่ ๓ ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิด            ด้วยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นอกจากเป็นสถานอนุรักษ์โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ อันทรงคุณค่ายิ่งของชาติ ยังเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับคนในชาติ ดังปรากฏในพระราชดำรัสเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง ตอนหนึ่งว่า “พิพิธภัณฑสถาน นับเป็นสิ่งหนึ่ง ที่แสดงถึงความเจริญของบ้านเมือง และมีประโยชน์เกื้อกูลการศึกษาของประชาชน โดยเฉพาะพิพิธภัณฑ์ทางโบราณคดี ย่อมเป็นอุปกรณ์สำคัญอย่างยิ่ง แก่การศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์ การที่ทางราชการเร่งรัดดำเนินการด้านสำรวจขุดค้นทางโบราณคดี และด้านการจัดตั้งพิพิธภัณฑสถานเช่นนี้ จึงเป็นที่น่ายินดีโดยทั่วกัน” เป็นเวลา ๕๕ ปีมาแล้ว นับตั้งแต่วันที่เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง กรมศิลปากรได้น้อมนำพระราชดำริ และแนวทางจากพระราชดำรัสมาพัฒนางาน ให้เกิดความเจริญก้าวหน้าทั้งกิจการพิพิธภัณฑ์และการอนุรักษ์โบราณวัตถุ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม    


ชื่อเรื่อง                         วินยธรสิกฺขปท (สิกขาบท)     สพ.บ.                           390/1 หมวดหมู่                       พุทธศาสนา ภาษา                           บาลี/ไทยอีสาน หัวเรื่อง                        พุทธศาสนา                                  พระวินัยปิฎก ประเภทวัสดุ/มีเดีย            คัมภีร์ใบลาน ลักษณะวัสดุ                   56 หน้า : กว้าง 5.7 ซม. ยาว 54.5 ซม.  บทคัดย่อ เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


black ribbon.