ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,749 รายการ
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (วิภังค์-มหาปัฏฐาน)
สพ.บ. 377/4ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 22 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 58 ซม.หัวเรื่อง ธรรมเทศนา
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทย-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ-ล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
__ก้อนศิลา “ขอมดำดิน” ในวัดมหาธาตุ เมืองสุโขทัย__. ภาพถ่ายเก่าก้อนศิลา ซึ่งสันนิษฐานกันว่าเป็น ขอมดำดิน ในวัดมหาธาตุ เมืองสุโขทัย ถูกถ่ายเมื่อปี พ.ศ.2450 ครั้งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ได้เสด็จประพาสเมืองสุโขทัยและกล่าวถึงตำนานพระร่วงกับขอมดำดินในพระราชนิพนธ์เที่ยวเมืองพระร่วงว่า. “...อนึ่ง วัดมหาธาตุนี้ราษฎรนับถือกันว่าเป็นที่สำคัญนัก เพราะกล่าวว่าเป็นที่พระร่วง (นายส่วยน้ำ) ได้ทรงผนวชอยู่ ยังมีสิ่งที่ชี้เป็นพยานกันอยู่คือ ขอมดำดิน ซึ่งตามนิทานว่าดำดินมาแต่นครธม มาโผล่ขึ้นในลานวัดกลางเมืองสุโขทัยเพียงแค่อก เห็นพระร่วงซึ่งผนวชเป็นภิกษุกวาดลานวัดอยู่ ขอมไม่รู้จักจึงถามหาพระร่วง พระร่วงก็บอกว่าให้ขอมคอยอยู่ก่อน จะไปตามพระร่วงมาให้ กายขุนขอมก็เลยกลายเป็นศิลาติดอยู่ที่ลานวัดนั้นเอง ก้อนศิลาซึ่งสมมุติเรียกกันว่าขอมดำดินนี้ อยู่ในลานพระมหาธาตุข้างด้านใต้ ที่ยังแลเห็นได้นั้นเป็นรูปมนๆคล้ายหัวไหล่คน ถ้าแม้ต่อศีรษะเข้า ก็พอจะคล้ายรูปคนโผล่ขึ้นมาจากดินเพียงหน้าอกได้...”. ตำนานเรื่องพระร่วงกับขอมดำดินนี้เป็นร่องรอยหลักฐานหนึ่งที่สำคัญ อันแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ในเชิงอำนาจทางการเมืองของขอมหรือเขมรโบราณที่เข้ามามีอิทธิพลในสุโขทัยในช่วงแรกได้เป็นอย่างดี ซึ่งสัมพันธ์กันกับการพบหลักฐานทางโบราณคดีจากการขุดค้นและรูปแบบศิลปกรรมที่ปรากฏจากโบราณสถานต่างๆ ภายในเมืองสุโขทัย เช่น วัดพระพายหลวง ศาลตาผาแดง และวัดศรีสวาย .*ปัจจุบันก้อนศิลาขอมดำดิน เก็บรักษาและจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง**ภาพจาก : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ รหัสภาพ ภ 002 หวญ 22-9(1)***ข้อมูลจาก : พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว. เที่ยวเมืองพระร่วง. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2521. (อ่านหนังสือออนไลน์ได้จาก https://www.finearts.go.th/.../23924-%E0%B9%80%E0%B8%97...)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
ชบ.บ.41/1-1
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
มหานิปาตวณฺณนา(ทสชาติ) ชาตกฎฺฐกถา ขุทฺทกนิกายฎฺฐกถา (สุวณฺณสาม,มโหสถ,วิธูร,เนมิราชชาตก)
ชบ.บ.105.7ง/1-1
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
เลขทะเบียน : นพ.บ.331/5ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 80 หน้า ; 4.5 x 54.5 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 131 (338-342) ผูก 5 (2565)หัวเรื่อง : มิลินฺทปญฺหา(พระยามิลินทะ)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ด้วยวันที่ ๑๒ ตุลาคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสถาปนาหอสมุดแห่งชาติ ดังนั้น ในวาระครบ ๑๑๖ ปี เพจคลังกลางฯ จึงขอเชิญชวนทุกท่านเรียนรู้ประวัติ พร้อมทั้งทำความรู้จักโบราณวัตถุยุคบุกเบิกที่เกี่ยวข้องกับหอสมุดแห่งชาติ คือ ตู้พระธรรม ซึ่งเดิมเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ปัจจุบันถูกนำมาเก็บรักษาที่คลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โดยเบื้องต้น หอสมุดแห่งชาติเกิดขึ้นจากการรวมหอสมุดทั้ง ๓ แห่ง แล้วสถาปนาขึ้นเป็นหอพระสมุดสำหรับพระนคร ในสมัยรัชกาลที่ ๕ กระทั่งหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐบาลได้โอนหอพระสมุดให้อยู่ในความดูแลของกรมศิลปากร จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น หอสมุดแห่งชาติ ในปัจจุบัน
“กรมพระดำรงอย่าทิ้งหอพระสมุดนะ” พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีต่อสมเด็จฯ กรมพระดำรงราชานุภาพ (พระยศขณะนั้น) ในคราวโปรดเกล้าฯ ให้ทรงว่าการหอพระสมุดฯ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเก็บรวบรวมบรรดา “ตู้ทองลายรดน้ำ” ที่ถูกทิ้งไว้ตามวัดมาใช้ใส่หนังสือในหอพระสมุดฯ ตู้พระธรรมที่ถูกเก็บรักษาโดยหอสมุดแห่งชาติในปัจจุบันจึงถือเป็นผลจากการดูแลเก็บรักษาในคราวนั้น ด้วยตู้เหล่านี้เป็นโบราณวัตถุที่ทรงคุณค่าด้านศิลปกรรม ซึ่งถูกปรับเปลี่ยนหน้าที่จากเดิมถูกทิ้งไว้อยู่ตามวัดวาอาราม เป็นตู้สำหรับเก็บรักษาหนังสือ สมุดไทย ตลอดจนตำราสำคัญของชาติ
นอกจากนี้ ยังมีการอนุรักษ์ตู้พระธรรมเหล่านั้นให้ทรงคุณค่า พร้อมทั้งยังนำมาใช้การได้ ดังที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายไว้ในพระนิพนธ์ เรื่อง ตำนานหอพระสมุด ระบุว่า “... อนึ่ง ตู้ไทยของโบราณมักปิดทองแลเขียนลายแต่ ๓ ด้าน ด้านหลังเปนแต่ลงรักฤาทาสี การที่จะใช้ใส่หนังสือในหอพระสมุดฯ ได้คิดแก้ติดบานกระจกเปิดข้างด้านหลังให้แลเห็นสมุดในตู้นั้นได้ แลไม่ต้องจับทางข้างบานตู้ให้ลายหมอง ...” มีตัวอย่างเป็นตู้ชิ้นสำคัญ เป็นตู้ขาหมู ลายม่านทอง เครื่องกี๋จีน ด้านหลังเป็นกระจก เก็บรักษาอยู่ที่คลังกลางฯ ศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ มีประวัติระบุว่า “สร้างประดิษฐ์ไว้ในหอไตรวัดราชโอรสมีอยู่ ๓ ใบ ถูกฝนและปลวกผุทั้งหนังสือหมด คงใช้ได้ ๑ ใบ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ สภานายกหอพระสมุดสำหรับพระนคร มีรับสั่งให้ย้ายมารักษาไว้ ณ หอพระมณเฑียรธรรมสำหรับเก็บพระไตรปิฎกหอพระพุทธศาสนาต่อไป” ซึ่งลายม่านนี้ ยังสอดคล้องกับความนิยมเขียนม่านประดับในงานจิตรกรรมสมัยรัชกาลที่ ๓ - รัชกาลที่ ๔ ด้วย
ระยะเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้หน้าที่ของตู้พระธรรมรวมถึงวิธีการเก็บรวบรวมและอนุรักษ์เอกสารแปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ปัจจุบันจึงมีการจัดแสดงตู้พระธรรมในตึกถาวรวัตถุเพื่อเป็นการเผยแพร่องค์ความรู้และส่งเสริมให้เห็นคุณค่าของงานช่างไทยในอดีต ดังนั้น ตู้พระธรรมหรือตู้ที่ใช้เก็บหนังสือสมุดไทย จึงถือเป็นวัตถุชิ้นสำคัญและมีบทบาทต่อพิพิธภัณฑ์ด้วยเช่นกัน ส่งท้ายบทความวันนี้ หากท่านใดอยากชมตู้พระธรรม ศึกษาลวดลายต่าง ๆ สามารถเข้าชมนิทรรศการตู้ลายทอง ณ อาคารถาวรวัตถุ (ตึกแดง) ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
เผยแพร่โดย ศรัญ กลิ่นสุคนธ์ ภัณฑารักษ์ และอาทิมา ชาโนภาษ ผู้ช่วยภัณฑารักษ์
ภาพโดย กิตติยา เชื้อทอง นายช่างภาพปฏิบัติงาน
เทคนิคภาพโดย ณัฐดนัย อรุณมาศ ผู้ช่วยภัณฑารักษ์
กลุ่มทะเบียน คลังพิพิธภัณฑ์และสารสนเทศ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร
วันจันทร์ที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ เวลา ๐๙.๓๐ น. นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดี กรมศิลปากร เป็นประธานในพิธีรับมอบเงินสนับสนุนโครงการอนุรักษ์ประติมากรรมปูนปั้นวัดช้างรอบ อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ระหว่างกรมศิลปากรและบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) จำนวน ๒ ล้านบาท โดยมีศาสตราจารย์ ดร.อภินันท์ โปษยานนท์ นายอนันต์ ชูโชติ และนายนิติกร กรัยวิเชียร เป็นผู้แทนบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เข้าร่วมในพิธี ณ ห้องประชุมชั้น ๕ กรมศิลปากร (อาคารเทเวศร์) อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า การรักษาสืบทอดมรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติ จะต้องอาศัยความ ร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ตลอดจนประชาชน การสนับสนุนงบประมาณในโครงการอนุรักษ์ประติมากรรมปูนปั้นวัดช้างรอบ อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ของบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ในครั้งนี้ ถือเป็นตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ซึ่งจะเป็นพลังสำคัญในการร่วมกันขับเคลื่อนความสำเร็จของงานไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในการอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งมรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติ ให้ยั่งยืนสืบไป อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในฐานะแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ โบราณคดีและศิลปวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งของจังหวัดกำแพงเพชร โดยโบราณสถานวัดช้างรอบ ตั้งอยู่นอกเมืองกำแพงเพชร ในพื้นที่เขตอรัญญิก มีเจดีย์ประธานเป็นศูนย์กลางของวัด ซึ่งคุณค่าความโดดเด่นของเจดีย์ประธานที่วัดช้างรอบแห่งนี้ คือ การประดับประติมากรรมช้างปูนปั้นรอบฐานเจดีย์ประธาน จำนวน ๖๘ เชือก มีเทคนิคการสร้างด้วยการใช้ศิลาแลงเป็นโกลนด้านในแล้วพอกแต่งปูนให้เกิดความสวยงามบนผิวภายนอก ประติมากรรมช้างพบครึ่งตัว มีส่วนหัวและขาหน้ายื่นออกมาจากฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส ลักษณะที่พิเศษคือ การทำปูนปั้นเป็นเครื่องประดับบนตัวช้าง เรียกว่า ช้างทรงเครื่อง พื้นที่ผนังที่คั่นระหว่างช้างแต่ละเชือกมีปูนปั้นนูนต่ำลายพันธุ์พฤกษาประดับโดยรอบ ขณะนี้ประติมากรรมรูปช้างและลวดลายปูนปั้นต่าง ๆ อยู่ในสภาพชำรุด เสี่ยงต่อการพังทลายในอนาคต จึงมีความจำเป็นต้องอนุรักษ์อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ กรมศิลปากร โดยอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร สำนักศิลปากรที่ ๖ สุโขทัย และกลุ่มอนุรักษ์จิตรกรรมประติมากรรม กองโบราณคดี จึงได้ร่วมกันจัดทำแนวทางการดำเนินงานอนุรักษ์ประติมากรรมรูปช้างและลวดลายปูนปั้นประดับวัดช้างรอบ อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร โดยจะดำเนินการให้แล้วเสร็จในปี ๒๕๖๕ เพื่อให้โบราณสถานดังกล่าวซึ่งเป็นมรดกทรัพย์สินทางวัฒนธรรมของชาติที่เป็นแหล่งมรดกโลกของไทยให้มั่นคงแข็งแรง สวยงามต่อไป สำหรับแนวทางในการอนุรักษ์ จะมุ่งเน้นไปที่การทำความสะอาดคราบไคล สิ่งสกปรกและวัชพืช ต่าง ๆ รวมถึงการเสริมความมั่นคงของศิลาแลง อิฐ ดินเผา ลวดลายประดับตกแต่ง ชั้นปูนฉาบและชั้นปูนปั้น เป็นหลัก โดยใช้วัสดุดั้งเดิมที่ใช้สำหรับการอนุรักษ์หรือวัสดุทดแทนที่ได้รับการยอมรับตามหลักสากล ไม่เป็นอันตรายต่อโบราณสถาน ไม่ทำให้พื้นผิวของวัสดุเปลี่ยนสภาพไป และไม่ปิดกั้นการระบายความชื้นภายในเนื้อวัสดุ ส่วนกรณีการปั้นซ่อมหรือเพิ่มเสริมให้ครบสมบูรณ์จะพิจารณาเฉพาะพื้นที่ที่จำเป็นเท่านั้น
ชื่อเรื่อง : พระราชประวัติสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ชื่อผู้แต่ง : ชุมสาย สมพงษ์
ปีที่พิมพ์ : 2512
สถานที่พิมพ์ : พระนคร
สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์การศาสนา
จำนวนหน้า : 172 หน้า
สาระสังเขป : เรียงความเรื่องพระราชประวัติสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นเรียงความที่ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับที่ 2 การประกวดเรียงความของจังหวัดลพบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2509 โดยกรมศิลปากรเป็นกรรมการตัดสินการประกวด มีเนื้อหากล่าวถึงพระราชประวัติของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อาทิ การประสูติเมื่อปีวอก จุลศักราช 994 (พ.ศ. 2075) การขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตราธิราช การบูรณะเมืองลพบุรี และพระราชกรณียกิจด้านต่าง ๆ นอกจากนี้ ได้จัดพิมพ์บทความเรื่องสุริยคราสครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ ของบุญช่วย สมพงษ์ ไว้ในเล่มเดียวกัน
องค์ความรู้สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่เรื่อง : หลักฐานทางโบราณคดีจากแหล่งโบราณคดีหมู่บ้านสันติภาพ 2 จังหวัดน่าน Archaeological remains from Santipharp 2 Archaeological Site, Nan Provinceโดย : นางสาวชญาดา สุวรัชชุพันธุ์เรียบเรียง : นายจตุรพร เทียมทินกฤต-บทนำ-. แหล่งโบราณคดีหมู่บ้านสันติภาพ 2 ตั้งที่ตำบลไชยสถาน อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน อยู่ในแอ่งที่ราบระหว่างหุบเขา ที่ปรากฏกระบวนการพัดพา กัดเซาะของแม่น้ำน่านซึ่งพัดพาตะกอนมาสะสมตัวในแอ่งนี้ โดยอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของเมืองเก่าน่าน ที่พิกัด UTM WGS 1984 Datum Zone 47 Q 685472.14 m E 2077495.36 m (ใช้เครื่อง GPS Garmin 60 Cs อ้างอิงแผนที่ทางทหาร แผ่นที่ 5146 I L7018 พิมพ์ครั้งที่ 1-RTSD) สภาพพื้นที่เป็นเนิน-ที่ดอนในที่ลาดระดับต่ำจากทิศตะวันตก ไปทางตะวันออก มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 207 เมตร ในบริเวณนั้นเนินดินหลายเนินบนลานตะพักลำน้ำเลียบไปกับพื้นที่ตามทางเดินสายเก่าของแม่น้ำน่านเก่าซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของแหล่งโบราณคดี เดิมคงจะเป็นทะเลสาปรูปแอกวัว(Axe Bow Lake) ปัจจุบันได้ตื้นเขิน ถูกใช้ในการเกษตรกรรม และมีลำห้วยเหมืองหลวงไหลผ่านกลางแหล่งโบราณคดี ซึ่งจะไหลไปบรรจบกับห้วยลี่ ก่อนจะถูกชักน้ำไปที่คูเมืองน่านด้านทิศตะวันตก. ในปี พ.ศ. 2557 สำนักศิลปากรที่ 7 น่าน(ในขณะนั้น) ได้รับแจ้งจากนายสันติภาพ อินทรพัฒน์ เจ้าของที่ดินถึงการพบหลักฐานทางโบราณคดีประเภทอิฐและชิ้นส่วนกระเบื้อง เป็นแนวทรงกลมจากการปรับพื้นที่เพื่อทำสนามแบดมินตัน ในหมู่บ้านสันติภาพ 2 ทางกลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 7 น่านจึงทำการสำรวจทางโบราณคดีเมื่อ พบเนินดิน 5 เนินที่มีหลักฐานทางโบราณคดีกระจายทั่วบริเวณ เนินด้านทิศใต้สุดของแหล่งโบราณคดีปรากฏแนวอิฐก่อเป็นวงกลมเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 เมตร แต่ละเนินพบชิ้นส่วนกระเบื้องดินขอ และชิ้นส่วนภาชนะดินเผาจากแหล่งเตาเมืองน่าน แหล่งเตาเวียงกาหลง และชิ้นส่วนเครื่องถ้วยจีน สมัยราชวงศ์หมิง กระจายทั่วไป จึงจัดทำโครงการขุดค้นทางโบราณคดีเพื่อดำเนินงาน และในปีงบประมาณ 2559 ได้รับงบประมาณ การขุดค้นทางโบราณคดีเริ่มดำเนินการเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2559 โดยการทำผังคลุมทั้งบริเวณของแหล่งโบราณคดีตามแนวแกนทิศเหนือ-ใต้ และแบ่งพื้นที่ออกเป็นช่องๆ ช่องละ 4x4 เมตร โดยทำการขุดค้นทั้งสิ้น 4 พื้นที่ คือ เนินด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแหล่งโบราณคดี 3 พื้นที่ และเนินด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 1 พื้นที่ การขุดค้นเริ่มขุดบริเวณที่ปรากฏแนวอิฐ โดยปรากฏแนวอิฐต่อเนื่องลงไป และขยายพื้นที่ไปทางทิศเหนือ ตามร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดี วิธีการขุดค้นใช้การขุดลอกชั้นสมมติทีละ 5-10 เซนติเมตร-ชั้นทับถมทางโบราณคดี-. จากการดำเนินการขุดค้นทางโบราณพบชั้นทับถมทางโบราณคดีในหลุมขุดค้นทั้ง 4 หลุม จากผนังแสดงชั้นดิน 3 ชั้นหลัก ดังนี้ 1. ชั้นผิวดิน หนาประมาณ 0-30 เซนติเมตร เป็นชั้นดินธรรมชาติที่เกิดหลังจากการใช้กิจกรรมในสมัยโบราณ พบหลักฐานที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์สมัยปัจจุบัน 2. ชั้นทับถมทางวัฒนธรรม 2.1 ชั้นทับถมทางวัฒนธรรมชั้นบน อยู่ใต้ชั้นผิวดิน หนาประมาณ 20-60 เซนติเมตร เป็นดินเหนียวผสมทรายแป้ง ปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการใช้เตาเผา ซึ่งจำแนกเป็นเตาเผาหมายเลข 1, 2, 3 และ 4 2.2 ชั้นทับถมทางวัฒนธรรมชั้นล่าง เป็นดินเหนียวผสมเม็ดหินปูน ปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการฝังศพ ซึ่งจำแนกเป็นโครงกระดูกหมายเลข 1 และ 2-หลักฐานทางโบราณคดีที่พบในชั้นทับถมทางวัฒนธรรม- 1. หลักฐานทางโบราณคดีที่พบในชั้นทับถมทางวัฒนธรรมชั้นบน เป็นการใช้พื้นที่สมัยที่ 2 โดยพบหลักฐานเกี่ยวกับการทำกิจกรรมการใช้เตาเผา ซึ่งน่าผลผลิตจะเป็นการเผากระเบื้องดินขอ เป็นหลัก โดยพบหลักฐานทางโบราณคดีหลายประเภท ดังนี้ 1.1 โบราณวัตถุประดิษฐ์ เบื้องต้นแบ่งออกได้ ดังนี้ ชิ้นส่วนกระเบื้องดินขอ, ชิ้นส่วนอิฐ, ชิ้นส่วนภาชนะดินเผา และตะปูโลหะ 1.2 ร่องรอยกิจกรรมมนุษย์โบราณ พบเตาเผาระบายความร้อนในแนวดิ่ง 4 เตา ซึ่งมีลักษณะและองค์ประกอบย่อยแตกต่างกันออกไป - เตาเผาหมายเลข 1 (S5E6 & S5E7) มีลักษณะเป็นเตาตะกรับ ตัวเตา ø 2 ม. สูง 70 ซม. ช่องใส่เชื้อเพลิงขนาด 50x80 เซนติเมตร อยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของตัวเตา โดยมีความลาดเอียงเล็กน้อยลงไปทางทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ จากการขุดตรวจภายในเตาพบชิ้นส่วนดินเผาอยู่สูงกว่าพื้นเตาประมาณ 30 ซม. มีลักษณะเป็นดังรังผึ้ง จึงสันนิษฐานว่า คือ ส่วนตะกรับ ใต้ชั้นตะกรับนี้พบว่ามีอิฐวางเรียงกันน่าจะเป็นส่วนฐานเตาเพื่อการรองรับโครงสร้างเตาเผา - เตาเผาหมายเลข 2 (S4E7&S3E7&S3E8) เป็นรูปเกือบสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด 2.05x3.00 ม. สูง 40-50 เซนติเมตร ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือเป็นช่องใส่เชื้อเพลิง 2 ช่อง ที่ทำจากดินดิบทำส่วนบนของเตาโค้งรับกัน กว้างช่องละ 60 เซนติเมตร พบชิ้นส่วนระบายความร้อนที่มีร่องรอยการโดนอุณหภูมิสูงภายในช่องใส่เชื้อเพลิงนี้ และบริเวณถัดไปทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้พบชิ้นส่วนกระเบื้องดินขอ และชิ้นส่วนภาชนะดินเผากระจายตัวอยู่ ซึ่งพบเช่นเดียวกันกับบริเวณหน้าช่องใส่เชื้อเพลิงของเตาหมายเลข 1 - เตาเผาหมายเลข 3 (S3E10&S3E11&S2E10&S2E11) เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า 4.3x3.0 เมตร มีช่องใส่เชื้อเพลิงวางตัวตามด้านกว้างของเตาทั้งหมด 6 ช่อง แต่ละช่องกว้างประมาณ 20 เซนติเมตร อิฐของเตานี้มีขนาดและเนื้อดินต่างไปจากทุกเตา คือ มีขนาด 15x7x4 เซนติเมตร - เตาเผาหมายเลข 4 พบในเนินดินด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของแหล่งโบราณคดีใกล้กับลำห้วยมุ่น มีลักษณะคล้ายเตาเผาหมายเลข 2 แต่มีขนาดเล็กกว่ามาก 2. หลักฐานทางโบราณคดีพบในชั้นทับถมทางวัฒนธรรมชั้นล่าง เป็นการใช้พื้นที่สมัยแรก หลักฐานทางโบราณคดีที่พบเกี่ยวข้องกับกิจกรรมการฝังศพ มีรายละเอียด ดังนี้ 2.1 โบราณวัตถุประดิษฐ์ ได้แก่ ภาชนะดินเผา, เครื่องมือหินขัด, ขวานสำริด และลูกปัดเปลือกหอย? 2.2 โบราณนิเวศวัตถุ ได้แก่ หอยเบี้ย 2.3 ร่องรอยกิจกรรมมนุษย์โบราณ - โครงกระดูกมนุษย์หมายเลข 1 พบที่ระดับความลึกผิวดินประมาณ 10 เซนติเมตร ผลจากการวิเคราะห์โดยคุณประพิศ พงศ์มาศ นักโบราณคดีผู้เชี่ยวชาญทางด้านมานุษยวิทยากายภาพ ระบุว่า โครงกระดูกไม่สมบูรณ์ แตกหัก แต่ยังคงวางอยู่ในสภาพเดิมของร่างกาย เป็นเพศชายพิจารณาจาก Greater Sciatic notch ที่มีลักษณะเป็นรูปตัว V เป็นมุมแหลม เล็กแคบ อายุเมื่อตาย มากกว่า 35 ปี มีพิธีกรรมการปลงศพ โดยโครงกระดูกหันศีรษะไปทางทิศเหนือ นอนหงาย แขนขวาวางอยู่บนหน้าท้อง แขนซ้ายวางเฉียงอยู่บนหน้าท้อง มือวางเกยอยู่บนมือขวา ขาเหยียดยาว บริเวณข้อเท้าคล้ายถูกมัด ลักษณะทั่วไปของโครงกระดูกสันนิษฐานว่า น่าจะมีการห่อและมัดศพก่อนนำมาฝัง โบราณวัตถุที่พบ ได้แก่กลุ่มภาชนะดินเผาลายเชือกทาบ วางอยู่ด้านล่างไหล่ด้านซ้าย และสะโพกด้านซ้าย, ลูกปัดเปลือกหอยทรงกระบอก ø 3-4 มิลลิเมตร หนา 1-3 มิลลิเมตร พบบริเวณข้อมือทั้งสองข้างและกระดูกสะโพก, ขวานสำริดมีบ้องสภาพชำรุด วางอยู่บริเวณระหว่างกลางของกระดูกหน้าแข้ง และชิ้นส่วนเปลือกหอยทะเล? วางอยู่บริเวณปลายเท้า - โครงกระดูกมนุษย์หมายเลข 2 พบใต้โครงกระดูกหมายเลข 1 โดยอยู่ลึกจากโครงกระดูกมนุษย์หมายเลข 1 ตั้งแต่ประมาณ 2 – 20 เซนติเมตร สภาพทั่วไปของกระดูก โครงกระดูกไม่สมบูรณ์ แต่ยังคงวางอยู่ในสภาพเดิมของร่างกาย ไม่สามารถระบุเพศได้ เป็นผู้ใหญ่ มีพิธีกรรมการปลงศพ โครงกระดูกหันศีรษะไปทางทิศตะวันออก นอนหงาย แขนขวาเหยียดยาว ไม่มีร่องรอยของการมัดหรือห่อศพ พบโบราณวัตถุที่อุทิศให้แก่ผู้ตาย ประกอบด้วย เครื่องมือหินขัด 2 ชิ้น ลักษณะคล้ายสิ่ววางอยู่ข้างศีรษะทางด้านซ้าย, ลูกปัดเปลือกหอยทะเลลักษณะเป็นแว่น พบบริเวณลำตัวช่วงบนตั้งแต่คอถึงหน้าท้อง, เครื่องมือหินขัดมีบ่า วางอยู่ระหว่างกระดูกหน้าแข้ง, กลุ่มภาชนะดินเผา ถูกทุบและวางไว้บริเวณใกล้กับมือข้างซ้าย และกลุ่มภาชนะดินเผาอย่างน้อย 5 ใบ พบว่ามีการทุบภาชนะดินเผาให้แตกปูรองพื้นและคลุมทับส่วนล่างของโครงกระดูกตั้งแต่ต้นขาลงไป 2.4 ชิ้นส่วนจากร่างกายมนุษย์สมัยโบราณ ได้แก่ ชิ้นส่วนกระดูกต้นขา, ชิ้นส่วนของกระดูกขากรรไกรล่าง และชิ้นส่วนฟันมนุษย์-การลำดับอายุชั้นวัฒนธรรม-. สำนักศิลปากรที่ 7 น่าน(เดิม) ได้ดำเนินการส่งตัวอย่างหลักฐานทางโบราณคดีทั้งสองชั้นทับถมทางวัฒนธรรม โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1. ชั้นทับถมทางวัฒนธรรมชั้นบน มีอายุประมาณ 1,023-606 ปีมาแล้ว โดยค่าอายุได้จากการหาค่าอายุด้วยวิธีการเรืองแสงความร้อน (Thermoluminescence, TL) โดยภาควิชาวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (บางเขน) จำนวน 6 ตัวอย่าง รายละเอียด ดังนี้ - เตาเผาหมายเลข 1: Kiln1 (131 cm.dt.) Brick 896+/-40 และ Kiln1 (143-174 cm.dt.) Soil 916+/-46 - เตาเผาหมายเลข 2: Kiln2 (103 cm.dt.) Brick 669+/-30 และ Kiln2 (92 cm.dt) Brick 641+/-35 - เตาเผาหมายเลข 4: Kiln4 (Soil) 648+/-36 และ Kiln4 (155 cm.dt.) Brick 984 +/-39 2. ชั้นทับถมทางวัฒนธรรมชั้นล่าง เบื้องต้นกำหนดอายุโดยการศึกษาเปรียบเทียบโดยพิจารณาจากหลักฐานทางโบราณคดีประเภทต่างๆ ดังนี้ - เครื่องมือหินขัด สันนิษฐานว่าผลิตจากหินโคลนกึ่งแปร (Metamorphosed Mudstone)งน่าจะมีแหล่งวัตถุดิบจากดอยหินแก้ว ที่อยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 3 กม. ซึ่งกำหนดอายุราว 700-4,000 ปีมาแล้ว ร่วมสมัยกับแหล่งโบราณคดีภูซาง - ขวานสำริดมีบ้อง รูปแบบมีความคล้ายคลึงกับขออุทิศที่พบในหลุมฝังศพหมายเลข 3 และ 4 จากหลุมขุดค้นหมายเลข 4 แหล่งโบราณคดีบ้านโป่งตะขบ ตำบลวังม่วง อำเภอวังม่วง จังหวัดสระบุรี ซึ่งมีการกำหนดอายุด้วยวิธี AMS (Accelerator Mass Spectrometry) ไว้ราว 3,100 ปีมาแล้ว อย่าไรก็ตาม ได้ส่งตัวอย่างเพื่อตรวจหาค่าอายุทางวิทยาศาสตร์ด้วยวิธี AMS (Accelerator Mass Spectrometry) จำนวน 4 ตัวอย่าง เพื่อวิเคราะห์ ณ ห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ Beta Analytic 4985 S.W. 74th Court Miami FL 12429 สหรัฐอเมริกา ผลที่ได้ดังนี้ 1. ชิ้นส่วนเครื่องประดับทำจากเปลือกหอย จากโครงกระดูกมนุษย์หมายเลข 2 ค่าอายุ 3,820-3,435 ปีมาแล้ว 2. ชิ้นส่วนเปลือกหอย จากโครงกระดูกมนุษย์หมายเลข 1 ค่าอายุ 4,890-4,520 ปีมาแล้ว 3. ชิ้นส่วนฟัน จากระดับชั้นดินสมมติ 130-140 cm.dt. (เป็นชั้นดินที่มีร่องรอยการรบกวน) ค่าอายุ 480-300 ปีมาแล้ว 4. ตัวอย่างถ่าน จากเตาเผาหมายเลข 2 1,695-1,655 ปีมาแล้ว และ 1,630-1,535 ปีมาแล้ว จากการขุดค้นทางโบราณคดีแสดงให้เห็นว่า พื้นที่บริเวณหมู่บ้านสันติภาพ 2 มีการเข้าใช้พื้นที่ 2 ช่วงก่อนถึงสมัยปัจจุบัน สมัยแรกสุดที่พบร่องรอยกิจกรรมมนุษย์ ในช่วงเวลาประมาณ 3,800-3,000 ปีมาแล้ว ถูกใช้ในหน้าที่เป็นแหล่งฝังศพ (Burial Site) ในช่วงสมัยต่อมา ประมาณ 600-900 ปีมาแล้ว ซึ่งร่วมสมัยที่ตั้งเมืองน่านใน ปี พ.ศ. 1911 ตามพงศาวดารเมืองน่าน พื้นที่ถูกใช้ในหน้าที่ผลิตกระเบื้องดินขอ อิฐเป็นต้น(Industrial Site) อาจด้วยจากบริเวณนั้นเป็นแม่น้ำเก่ามีดินเนื้อละเอียดที่เหมาะสมในการใช้งาน *มีบางท่านเสนอว่า เตาที่พบจากลักษณะน่าเป็นเตาเผาปูน แต่ในการดำเนินการขุดค้นทางโบราณคดี ไม่พบเศษปูนเลย ข้อสันนิษฐานนี้จึงละไว้--------------------------------อ้างอิง-จตุรพร เทียมทินกฤต. “การศึกษากระบวนการผลิตเครื่องมือหิน กรณีศึกษาหลุมขุดค้น N – Hill ปี พ.ศ.2548 แหล่งโบราณคดีภูซาง ตำบลนาซาว อำเภอเมือง จังหวัดน่าน.” วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ภาควิชาโบราณคดี บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2552.ชวนันท์ จันทร์ประเสริฐ. “การศึกษาแหล่งหินและชนิดหินของแหล่งผลิตเครื่องมือหินดอยภูซาง ตำบลนาซาว อำเภอเมือง จังหวัดน่าน.” เอกสารการศึกษาเฉพาะบุคคลปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดี บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2550.ทิพย์วรรณ วงศ์อัสสไพบูลย์. “ข้อมูล สารสนเทศ และความรู้เพิ่มใหม่จากจากการขุดค้นแหล่งโบราณคดีบ้านโป่งตะขบ ตำบลวังม่วง อำเภอวังม่วง จังหวัดสระบุรี พ.ศ.2557.” ใน ข้อมูล สารสนเทศ และความรู้เพิ่มใหม่จากงานวิจัยโบราณคดีลุ่มแม่น้ำป่าสัก, สุรพล นาถะพินธุ, บรรณาธิการ, กรุงเทพมหานคร: บริษัท จรัญสนิทวงศ์การพิมพ์ จำกัด, 2558.
พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) กับเจ้าจอมมารดาจันทร์ (สกุลเดิม สุกุมลจันทร์) (พระนามเดิม : พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าศศิพงศ์ประไพ) ดำรงพระอิสริยยศ “พระเจ้าพี่นางเธอ พระองค์เจ้าศศิพงศ์ประไพ” เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๘ สิ้นพระชนม์วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๔๗๗ พระชันษา ๕๓ ปี (ดูเพิ่มเติมใน กรมศิลปากร, ราชสกุลวงศ์, พิมพ์ครั้งที่ ๑๔, (กรุงเทพฯ: สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, ๒๕๕๔), ๘๙.)
Cigarette Cards ชุดเจ้านายไทย (๑ สำรับ ประกอบด้วย พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ พระฉายาสาทิสลักษณ์ และรูปเขียนคล้ายพระรูปพระบรมวงศานุวงศ์บนแผ่นกระดาษ จำนวน ๕๐ รูป) ลำดับที่ ๔๑ โดยบริษัท ยาสูบซำมุ้ย จำกัด (SUMMUYE & CO) ผลิตราวปี พ.ศ. ๒๔๗๗ (หมายเลขทะเบียน ๒/๒๕๑๖/๑) มีประวัติระบุว่า คุณหลวงฉมาชำนิเขต มอบให้เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๑๖
(เผยแพร่โดย ศรัญ กลิ่นสุคนธ์ ภัณฑารักษ์ / เทคนิคภาพ อริย์ธัช นกงาม ภัณฑารักษ์ปฏิบัติการ กลุ่มทะเบียน คลังพิพิธภัณฑ์และสารสนเทศ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร)
ชื่อเรื่อง พระราชนิพนธ์เรื่องไกลบ้าน ฉบับมีรูปภาพพร้อมด้วยจดหมายเหตุประกอบเล่ม 1ผู้แต่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือหายากหมวดหมู่ ภูมิศาสตร์ และการท่องเที่ยวเลขหมู่ 914 จ657พสถานที่พิมพ์ พระนครสำนักพิมพ์ แพร่พิทยาปีที่พิมพ์ 2508ลักษณะวัสดุ 1,016 หน้าหัวเรื่อง ยุโรป – ภูมิประเทศและการท่องเที่ยว ยุโรป – ความเป็นอยู่และประเพณีภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึกพระราชนิพนธ์เรื่องไกลบ้าน เป็นพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 5 เนื่องในการเสด็จประพาสทวีปยุโรปในปี ร.ศ126
กรมศิลปากร ขอเชิญรับชมถ่ายทอดสด Facebook Live รายการไขความรู้จากครูกรมศิลป์ ตอน “ยอร์ช เซเดส์” บรรณารักษ์ใหญ่แห่งหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร วิทยากรโดย นายสุวิชา โพธิ์คำ บรรณารักษ์ปฏิบัติการ กลุ่มบริการทรัพยากรสารสนเทศ สำนักหอสมุดแห่งชาติ ดำเนินรายการโดย นางกมลชนก พรภาสกร นักวิชาการโสตทัศนศึกษา กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ในวันพฤหัสบดีที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๕ ตั้งแต่เวลา ๑๑.๐๐ – ๑๑.๔๕ น.
ผู้สนใจสามารถติดตามชมได้ทาง Facebook Live : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม Facebook Live : กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร และ Youtube Live : กรมศิลปากร