ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,748 รายการ

สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 165/7 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)



ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           20/1ประเภทวัดุ/มีเดีย                          คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                                32 หน้า : กว้าง 5.2 ซม. ยาว 56.5 ซม.หัวเรื่อง                                       พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา




๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖  ครบรอบ ๖๙ ปี  วันคล้ายวันสถาปนากองอาสารักษาดินแดน กองอาสารักษาดินแดน เป็นองค์กรขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทย มีฐานะเป็นนิติบุคคล จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกองอาสารักษาดินแดน พ.ศ. ๒๔๙๗ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้บัญชาการกองอาสารักษาดินแดน หลักการสำคัญในการจัดตั้งคือ เพื่อมีกำลังสำรองไว้ช่วยเหลือประชาชนและประเทศชาติ ทั้งยามปกติ และยามสงคราม โดยรับสมัครราษฎรที่สมัครใจอาสาเข้ามาเป็นสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (สมาชิก อส.) จุดเริ่มต้นของกองอาสารักษาดินแดน ในช่วงนั้น มีความพยายามที่จัดตั้งหน่วยพลเรือนอาสาขึ้นให้เป็นระบบ ทั้งในยามปกติและสงคราม มีการนำแนวคิดจากต่างประเทศมาใช้หลังจากมีการจัดตั้งกองเสือป่าขึ้น ทำให้จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้มีพระราชบัญญัติกำหนดหน้าที่คนไทยในเวลารบ พ.ศ. ๒๔๘๑ และพระราชบัญญัติให้อำนาจในการเตรียมการป้องกันประเทศ พ.ศ. ๒๔๘๔ ขึ้น เพื่อฝึกอบรมคนไทยให้รู้จักหน้าที่ในการที่จะป้องกันรักษาประเทศชาติในเวลาสงคราม โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าหน้าที่ดำเนินการ  มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติกองอาสารักษาดินแดน พ.ศ. ๒๔๙๗ เมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๗ ทำให้การดำเนินการด้านพลเรือนอาสา มีรูปแบบและระบบที่ชัดเจน ซึ่งต่อมาได้มีการพัฒนาตามลำดับจนถึงปัจจุบัน “ วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ของทุกปี จึงเป็นวันคล้ายวันสถาปนากองอาสารักษาดินแดน ” ขอขอบคุณข้อมูลจาก กองอาสารักษาดินแดน จัดทำโดย พัชมณ ศรีสัตย์รสนา บรรณารักษ์ชำนาญการ


ชื่อเรื่อง : เจ้าฟ้าธรรมธิเบศ พร้อมด้วย พระประวัติ และพระนิพนธ์บทร้อยกรอง ฉบับตรวจสอบชำระใหม่มีภาพและแผนที่ประกอบเรื่องชื่อผู้แต่ง : - ปีที่พิมพ์ : 2505 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์ : หจก.ศิวพร จำนวนหน้า : 370 หน้า สาระสังเขป : หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องพระประวัติ และพระนิพนธ์บทร้อยกรอง ของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศ พระราชนิพนธ์บทร้อยกรองอันได้แก่บทเห่เรือ 1. เห่ชมเรือกระบวร 2. เห่ชมปลา 3. เห่ชมไม้ บทเห่เรื่องกากี บทเห่สังวาสและเห่ครวญ กาพย์ห่อโคลง นิราศธารโศก กาพย์ห่อโคลง นิราศธารทองแดง นันโทปนันทสูตรคำหลวง พระมาลัยคำหลวง เพลงยาว ในส่วนของภาคผนวก ได้อธิบายเรื่อง อธิบายตำนานเห่เรือ บันทึกเรื่องธารโศกและธารทองแดง บันทึกเรื่องนันโทปนันสูตรและพระมาลัย


ชื่อผู้แต่ง            จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว,พระบาทสมเด็จพระ 2342-2411 ชื่อเรื่อง             พระคาถา ตำนานพระแก้วมรกฎสังเขป พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 4 ครั้งที่พิมพ์         - สถานที่พิมพ์      ม.ป.ท สำนักพิมพ์        ม.ป.พ. ปีที่พิมพ์            ๒๕25 จำนวนหน้า       28  หน้า    “คาถาตำนานพระแก้วมรกตสังเขป” นี้ เป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้ทรงพระราชนิพนธ์เป็นคาถาภาษามคธไว้เมื่อพุทธศักราช 2397 คือเมื่อ 128 ปี มาแล้ว และพันพุฒอนุราช (นายสิน เปรียญ) แปลเป็นภาษาไทย มูลนิธิภูมิพโลภิกขุ เห็นเป็นการสมควรและเป็นกาลที่เหมาะสม จึงได้จัดพิมพ์พระราชนิพนธ์ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี องค์ประธานกรรมการบูรณะและปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อพระราชทานเป็นวิทยาทานในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี พุทธศักราช 2525 นี้


เลขทะเบียน : นพ.บ.447/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 12 หน้า ; 5 x 54 ซ.ม. : ล่องชาด-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 158  (149-162) ผูก 1 (2566)หัวเรื่อง : เล่มหลวง--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.596/1                      ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ                                                                                หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 46 หน้า ; 4.5 x 56 ซ.ม. : ลานดิบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 191  (385-391) ผูก 1 (2566)หัวเรื่อง : สลากริวิชาสูด--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม




          วันพฤหัสบดีที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๖๖ เวลา ๑๓.๓๐ น. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกโปรดมีพระบัญชาให้สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราชเป็นผู้แทนพระองค์เปิดนิทรรศการพิเศษ เรื่อง "พระพุทธรูปสำคัญในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ" และนิทรรศการพิเศษ เรื่อง “เถลิงรัชช์หัตถศิลป์” ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร           เนื่องในโอกาสสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเจริญ พระชนมายุครบ ๘ รอบ ๙๖ พรรษา นับเป็นมหามงคลสมัยยิ่ง กรมศิลปากรจึงได้จัดนิทรรศการพิเศษ เรื่อง “พระพุทธรูปสำคัญในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ” ขึ้น ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร จัดแสดงเรื่องราวของคตินิยมในการสร้างรูปแทนพระพุทธเจ้าเพื่อสักการบูชา การออกแบบท่าทางหรือการแสดงปางอันมีความหมายทางประติมานวิทยา และได้คัดเลือกพระพุทธรูป จำนวน ๘๑ องค์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปโบราณที่มีพุทธศิลป์งดงามเป็นพิเศษในแต่ละสกุลช่าง มีความโดดเด่น สะท้อนถึงคติความเชื่อทางศาสนาและสุนทรียภาพความงามที่แตกต่างกันไปในแต่ละสมัยมาจัดแสดงเพื่อให้เห็นพัฒนาการของพระพุทธรูปในประเทศไทย ได้แก่ พระพุทธรูปรุ่นเก่า หมายถึงพระพุทธรูปรุ่นแรกที่พบในดินแดนประเทศไทย ซึ่งเข้ามาพร้อม ๆ กับการติดต่อค้าขายกับโลกภายนอก ประมาณ ๘๐๐ – ๑,๗๐๐ ปีมาแล้ว พระพุทธรูปศิลปะทวารวดี พระพุทธรูปศิลปะศรีวิชัย พระพุทธรูปศิลปะลพบุรี พระพุทธรูปศิลปะล้านนา พระพุทธรูปศิลปะล้านช้าง พระพุทธรูปศิลปะสุโขทัย พระพุทธรูปศิลปะอยุธยา และพระพุทธรูปศิลปะรัตนโกสินทร์ โดยเป็นพระพุทธรูปสำคัญที่จัดแสดงและเก็บรักษาอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ทั่วประเทศ อาทิ หลวงพ่อเพชร วัดพระบรมธาตุวรวิหาร จังหวัดชัยนาท ศิลปะสุโขทัย จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชัยนาทมุนี พระพุทธรูปปางลีลา ศิลปะสุโขทัย จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สวรรควรนายก จังหวัดสุโขทัย พระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะล้านนา จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงแสน จังหวัดเชียงราย พระพุทธรูปปางบำเพ็ญทุกรกิริยา และพระเจ้าเข้านิพพาน ศิลปะรัตนโกสินทร์ จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี            สำหรับนิทรรศการพิเศษ เรื่อง “เถลิงรัชช์หัตถศิลป์” ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก โบราณวัตถุที่นำมาจัดแสดง อาทิ แผ่นไม้สลักเครื่องราชกกุธภัณฑ์ และดอกพิกุลทอง ดอกพิกุลเงิน สมัยรัตนโกสินทร์ หนังสือสมุดไทย ฝาบาตรและเชิงบาตรประดับมุกที่ระลึกงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ ๕ นอกจากนี้ ยังมีงานศิลปกรรมในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และผลงานศิลปกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับพระบรมวงศ์ ซึ่งสำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากรได้สร้างสรรค์ขึ้น อาทิ ตราสัญลักษณ์พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ คนโทน้ำอภิเษก จังหวัดนนทบุรี หีบพระศรีพร้อมลูกหีบ ๓ องค์            ขอเชิญเข้าชมนิทรรศการพิเศษ เรื่อง "พระพุทธรูปสำคัญในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ" ระหว่างวันที่ ๙ มิถุนายน – ๑๐ กันยายน ๒๕๖๖ และนิทรรศการพิเศษ เรื่อง “เถลิงรัชช์หัตถศิลป์” ระหว่างวันที่ ๙ มิถุนายน – ๑๗ กันยายน ๒๕๖๖ เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร วันพุธ – วันอาทิตย์ (ปิดวันจันทร์ – วันอังคาร)  


ปราสาทโคกงิ้วหรือปราสาทโคกปราสาท ตำบลปะคำ อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์  ปราสาทโคกงิ้ว เป็นอาคารในส่วนของสุคตาลัยหรือศาสนสถานประจำโรงพยาบาล (อาโรคยศาลา) ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ราวคริสตศตวรรษที่ 12-13 หรือราว 800 ปีมาแล้ว ผังประกอบไปด้วยปราสาทประธานหันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีอาคารที่เรียกกันว่าบรรณาลัยอยู่ทางที่ตะวันออกเฉียงใต้ของปราสาทประธาน โดยหันหน้าไปทางทิศตะวันตก อาคารทั้งสองหลังมีกำแพงแก้วโอบล้อมอาคารไว้ โดยมีโคปุระเป็นซุ้มประตูทางเข้าอยู่ทางทิศตะวันออก ด้านนอกกำแพงแก้วทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นสระน้ำผังสี่เหลี่ยม    จากการสำรวจเมื่อพ.ศ.2502 โดยภัณฑารักษ์เอกมานิต วัลลิโภดม พบโบราณวัตถุสำคัญได้แก่ 1. ประติมากรรมพระไภษัชยคุรุ 2. พระโพธิสัตว์อโวลกิเตศวประทับนั่ง 4 กร 3. กรอบคันฉ่อง ซึ่งปรากฏจารึกภาษาเขมร อักษรขอมโบราณ กล่าวถึงการถวายไทยธรรม (ซึ่งน่าจะหมายถึงกรอบคันฉ่องนี้) โดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แก่อาโรคยศาลา ณ วิเรนทรปุระ เมื่อมหาศักราช 1115 (บางท่านอ่านเป็น 1114) ตรงกับ พ.ศ.1736 (หรือ 1735) นอกจากนี้จากการขุดศึกษาและบูรณะเมื่อ พ.ศ.2554 ยังพบโบราณวัตถุสำคัญอีกหลายชิ้น เช่น ทับหลังสลักภาพคชลักษมี, เสาประดับกรอบประตู ,ประติมากรรมรูปพระโพธิสัตว์วัชรปาณีทรงครุฑ,พระหัตถ์ด้านซ้าย ขวา ของพระอวโลกิเตศวร, เครื่องมือเครื่องใช้ และภาชนะดินเผาอีกจำนวนหนึ่ง จากการดำเนินงานทางโบราณคดีนี้ทำให้ทราบว่า คงมีการเคลื่อนย้ายองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมจากปราสาทหลังอื่นที่สร้างขึ้นในช่วงก่อนหน้ามาใช้ในปราสาทโคกงิ้วด้วย เนื่องจากทับหลังสลักภาพคชลักษมี และเสาประดับกรอบประตูที่พบ ภาพการบูรณะจากกลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา ภาพถ่ายเก่าปราสาทโคกงิ้วจากโครงการและรายงานการสำรวจและขุดแต่งโบราณวัตถุสถาน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พ.ศ. 2502


           กรมศิลปากร ขอเชิญรับชมถ่ายทอดสด Facebook Live รายการไขความรู้จากครูกรมศิลป์ ตอน “เถลิงรัชช์หัตถศิลป์” เรื่องราวงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก วิทยากร นายณัฐพงค์ ปิยมาภรณ์ นักวิชาการช่างศิลป์เชี่ยวชาญ, นายเกียรติศักดิ์ สุวรรณพงศ์ ผู้อำนวยการกลุ่มจิตรกรรม, นายภราดร เชิดชู หัวหน้ากลุ่มงานประติมากรรม สำนักช่างสิบหมู่, นายทัตพล พูลสุวรรณ นักอักษรศาสตร์ปฏิบัติการ สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ ผู้ดำเนินรายการ นายสิทธิพร  บุปผา นักวิชาการเผยแพร่ กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ในวันพฤหัสบดีที่ ๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ เวลา ๑๑.๐๐ – ๑๑.๔๕ น.             ผู้สนใจสามารถติดตามชมได้ทาง Facebook Live : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม และ Facebook Live : กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร


        พระบรมสาทิสลักษณ์  พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นมณฑปพระกระยาสนานประทับเหนือตั่งอุทุมพรราชอาสน์แปรพระพักต์สู่ทิศบูรพา         เทคนิค : เขียนสีฝุ่นบนภาพพระบฏ         ขนาด : กว้าง ๕๐ เซนติเมตร  ยาว ๑๓๐  เซนติเมตร         ศิลปิน : นายสิทธิพร  สระโพธิ์ทอง  จิตรกร         กลุ่มงาน : กลุ่มจิตรกรรม  สำนักช่างสิบหมู่  กรมศิลปากร         ผลงานศิลปกรรมออกแบบและจัดสร้างโดย  กลุ่มจิตรกรรม  สำนักช่างสิบหมู่  กรมศิลปากร  จัดแสดงในนิทรรศการพิเศษ “เถลิงรัชช์หัตถศิลป์” ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร  ระหว่างวันที่ ๙ มิถุนายน – ๑๗ กันยายน ๒๕๖๖  เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. วันพุธ – วันอาทิตย์ (ปิดวันจันทร์ – วันอังคาร)         การเขียนพระบรมสาทิสลักษณ์ด้วยเทคนิคการเขียนสีฝุ่นบนภาพพระบฏชิ้นนี้  จิตรกรได้บันทึกประวัติศาสตร์เหตุการณ์สำคัญในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก  ในวันเสาร์ที่ ๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒  พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จออกจากหอพระสุราลัยพิมานเข้ายังพระที่นั่งไพศาลทักษิณ  โดยริ้วขบวนพราหมณ์  เสด็จฯ ไปยังมณฑปพระกระยาสนาน  ณ ชาลาพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน  เมื่อเสด็จฯ ถึงทรงจุดธูปเงินเทียนทอง  สังเวยเทวดากลางหาว  แล้วเสด็จขึ้นมณฑปพระกระยาสนาน  ประทับเหนือตั่งอุทุมพรราชอาสน์  แปรพระพักต์สู่ทิศบูรพาเพื่อสรงพระมุรธาภิเษก           “มณฑปพระกระยาสนาน” หรือ “พระมณฑปพระกระยาสนาน” เป็นสถานที่สรงสนานสำหรับพระมหากษัตริย์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก  ลักษณะเป็นมณฑปหุ้มผ้าขาวแต่งด้วยเครื่องทองคำ  เพดานดาดผ้าขาว  มีสหัสธารา [สะ-หัด-สะ-ทา-รา] สำหรับไขน้ำพระมุรธาภิเษกจากบนเพดานให้โปรยลงยังที่สรง  ผูกพระวิสูตรขาวทั้ง ๔ ด้าน ภายในมณฑปตั้งตั่งอุทุมพรบนถาดทองรองน้ำสรง           วันสรงพระมุรธาภิเษก ตั้งถาดสรงพระพักตร์ มีครอบมุรธาภิเษกสนาน และวางใบไม้นามวันกาลกิณีสำหรับทรงเหยียบบนฐานมณฑปตั้งราชวัติทรงเครื่องพื้นขาวลายทอง  ตั้งฉัตร ๗ ชั้นทองแผ่ลวดพื้นโหมดทองเงินนาคทั้ง ๔ ด้าน ด้านละ ๓ องค์ มีบุษบกน้อยสำหรับประดิษฐานพระชัยนวโลหะ [พฺระ-ไช-นะ-วะ-โล-หะ] ทางทิศตะวันออกและประดิษฐานพระมหาพิฆเนศ [พฺระ-มะ-หา-พิ-คะ-เนด] ทางทิศตะวันตก ที่มุมฐานมณฑปทั้ง ๔ มุม ตั้งศาลจัตุโลกบาล [จัด-ตุ-โลก-กะ-บาน] สำหรับบูชาพระฤกษ์         “มุรธาภิเษก” แปลว่า การรดน้ำที่พระเศียร น้ำที่รดเรียกว่า “น้ำมุรธาภิเษก” การสรงพระมุรธาภิเษก หมายถึงการยกให้ หรือการแต่งตั้งโดยการทำพิธีรดน้ำ ซึ่งตามคติความเชื่อของพราหมณ์ถือว่า การยกให้ผู้ใดเป็นใหญ่ทรงสิทธิ์อำนาจนั้น จะต้องทำด้วยพิธีรดน้ำศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งน้ำสรงพระมุรธาภิเษกในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกที่บรรจุในทุ้งสหัสธารานั้น เจือด้วยน้ำปัญจมหานที ในมัธยมประเทศ (อินเดีย) และน้ำเบญจสุทธคงคา แม่น้ำสำคัญทั้งห้าของราชอาณาจักรไทย น้ำสี่สระ เจือด้วยน้ำอภิเษก ซึ่งทำพิธีพลีกรรม ตักมาจาก ปูชนียสถานสำคัญในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักร และเจือด้วยน้ำพระพุทธปริตรที่ได้ทำพิธีเตรียมไว้         ขั้นตอนปฏิบัติในการสรงพระมุรธาภิเษกมีแบบแผนคล้ายกันในทุกรัชกาลนับตั้งแต่ทรงผลัดฉลองพระองค์เศวตพัสตร์ เสด็จโดยริ้วขบวนจากหอพระสุราลัยพิมานมายังมณฑปพระกระยาสนาน ทรงจุดธูปเทียนเทียนบูชาเทวดากลางหาว แล้วเสด็จขึ้นประทับเหนือตั่งไม้อุทุมพรหุ้มผ้าขาวผินพระพักตร์สู่มงคลทิศในแต่ละรัชกาล ดังกรณีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแปรพระพักตร์ทิศพายัพ (ตะวันตกเฉียงเหนือ) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแปรพระพักตร์ทิศอาคเนย์ (ตะวันออกเฉียงใต้) พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงแปรพระพักตร์ทิศบูรพา (ตะวันออก)  การผินพระพักตร์ไปยังมงคลทิศต่าง ๆ นี้ เพื่อความเป็นสิริมงคลแด่พระองค์และความสวัสดิสุขแด่ปวงชน         นอกจากการแปรพระพักตร์ไปในมงคลทิศต่าง ๆ แล้ว ยังปรากฏธรรมเนียมการทอดใบไม้กาลกิณีให้ทรงเหยียบซึ่งแตกต่างกันในแต่ละรัชกาลด้วย เช่น รัชกาลที่ ๖ ทอดใบกระถิน รัชกาลที่ ๗ ทอดใบตะขบ รัชกาลที่ ๙ และรัชกาลปัจจุบัน ทอดใบอ้อ   ในส่วนของการถวายน้ำพระพุทธมนต์และน้ำเทพมนตร์ด้วยพระเต้า พระครอบ และพระมหาสังข์ต่าง ๆ นั้น โดยปกติบุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ได้แก่ สมเด็จพระสังฆราช พระบรมวงศ์ผู้ใหญ่ฝ่ายหน้า พระราชครูพราหมณ์ เจ้าพนักงาน แต่ในบางรัชกาลทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีบุคคลปฏิบัติหน้าที่ถวายน้ำเพิ่มเติม ดังเช่นในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเฉลิมพระราชมณเฑียรพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้อาราธนาสมเด็จพระราชาคณะ ๓ รูปถวายน้ำพระพุทธมนต์หลังจากที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา วชิรญาณวโรรสถวายน้ำพระพุทธมนต์ที่พระขนองและพระหัตถ์แล้ว รวมทั้งได้ทูลเชิญสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ถวายน้ำด้วยพระเต้าศิลายอดเกี้ยวที่พระขนองและพระหัตถ์ด้วย    บรรณานุกรม คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก.  คำเกี่ยวกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก. [ออนไลน์].  สืบค้นเมื่อ ๑๔ มกราคม ๒๕๖๔, จาก  http://www.phralan.in.th/coronation/vocabdetail.php?id=79 กรมศิลปากร.  เถลิงรัชช์หัตถศิลป์ = Coronation Art. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๖๖.      ผู้ที่สนใจขั้นตอนการการเขียนสีฝุ่นบนภาพพระบฏ  สามารถเข้าชมวีดิทัศน์ได้ทางลิ้งค์ด้านล่าง https://datasipmu.finearts.go.th/knowledge/26  


black ribbon.