ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 40,870 รายการ
ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จฯ กรมพระยา, 2405-2486. กระแสพระดำรัส ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงตอบคำถวายพระพรของนักเรียนไทย ที่กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2473. พระนคร: โรงพิมพ์พระจันทร์, 2473.
ที่มา: https://datasipmu.finearts.go.th/academic/71
สำนักการสังคีต กรมศิลปากร ขอเชิญชมโครงการจัดการแสดงนาฏศิลป์และดนตรี “เสาร์สนุก” วันเสาร์ที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๖ เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ หอสมุดดนตรีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ภายในบริเวณ หอสมุดแห่งชาติ เขตดุสิต กรุงเทพฯ
รายการแสดง ประกอบด้วย
การบรรเลงวง Woodwind Quintet โดยศุภชัย จงชนะไชย, เชาวลิต เจริญชีพ, ธีระพงษ์ ทรัพย์มูล, กุลชา แก้วเกตุสัมพันธ์ และ ธนวัฒน์ โงสว่าง
- Serenade for Woodwind quintet by Ferenc Farkas
- ตุ๊กตาขวัญใจเจ้าทุย
การบรรเลงดนตรีไทย
- การบรรเลงเดี่ยวระนาดเอกเพลงแขกมอญ ๓ ชั้น โดย อัญชิษฐา บุญเพ็ง
- กลองยาวออกภาษา โดย จตุพร ดำนิล และคณะ
- หลากสำเนียงพื้นถิ่นแผ่นดินสยาม โดย พงค์พันธ์ เพชรทอง และคณะ
การแสดงนาฏศิลป์ไทย
- รำฉุยฉายสุธรรมฤษี โดย อนุชา สุมามาลย์
- รำฉุยฉายอากาศตะไล โดย เกริกชัย ใหญ่ยิ่ง
- รำฉุยฉายลำหับ โดย สุชาดา ศรีสุระ
- การแสดงชุด “รักแท้แม่พันธุรัต” โดย อัญชลิกา หนอสิงหา
ชมฟรี!!! สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมไ (วันและเวลาราชการ) โทร. ๐ ๒๒๒๔ ๑๓๔๒ และ ๐ ๒๒๒๑ ๐๑๗๑
“จารึกเมืองศรีเทพ” ตามประวัติระบุว่า สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพบที่เมืองโบราณศรีเทพ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๙ ตรงกับ ร.ศ.๑๒๕ เมืองศรีเทพปัจจุบันอยู่ในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ จารึกนี้ส่งมาเก็บรักษาที่คลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๐
มีลักษณะเป็นเสากลมรูปคล้ายตะปูหัวเห็ดหรือคล้ายดอกบัวตูม ทำจากหินทรายเนื้อละเอียด จารึกอักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต จำนวน ๑ ด้าน มี ๖ บรรทัด มีคำว่า “ขีลัง” ซึ่งแปลว่า “หลัก” โดยปรากฏในหนังสือเรื่อง เที่ยวที่ต่างๆ ภาค ๓ เล่าเรื่องเที่ยวมณฑลเพชรบูรณ์ พระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ หน้า ๒๐ ความว่า
“ ...ศิลาจารึกพบที่เมืองศรีเทพครั้งนี้แปลกมาก สัณฐานคล้ายตะปูหัวเห็ด ข้างปลายที่เสี้ยมแหลมเป็นแต่ถากโคลน สำหรับฝังดินขัดเกลี้ยง แต่ที่หัวเห็ดจารึกอักษรไว้ที่นั้นเป็นอักษรคฤนถ์ชั้นก่อนหนังสือขอม แต่ตรงที่จารึกแตกชำรุดเสียมาก ได้เอาศิลานี้มาที่กรุงเทพ (หอวชิรญาณ) ให้อ่าน ดูเป็นภาษาสันสกฤตมีคำว่า ขีลัง ซึ่งแปลว่าหลัก จึงเข้าใจว่าศิลาแท่งนี้คือหลักเมืองศรีเทพแบบโบราณ เขาทำเป็นรูปตะปูตอกไว้ลงในแผ่นดิน ประสงค์ว่าให้มั่นคง...” และต่อมานายชะเอม แก้วคล้าย มีการอ่านชำระใหม่ เป็นคำว่า “ขิลํ” จากถ้อยความว่า “เวตฺตย ขิลํ สโจทฺยม” แปลว่า เขาเป็นผู้รู้ความรุ่งเรืองทั้งสิ้น
เนื่องจากเนื้อหินด้านหนึ่งของจารึกแตกหาย ข้อความจารึกแต่ละบรรทัดจึงเหลืออยู่เฉพาะช่วงกลาง เนื้อหาที่เหลือโดยสรุปกล่าวถึงการสรรเสริญบุคคลว่าเป็นผู้เปี่ยมด้วยความรู้และยังเป็นผู้มีธรรม ซึ่งอาจเป็นพระราชาหรือเชื้อพระวงศ์ที่ปกครองเมืองศรีเทพ ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๑
อ้างอิง
กรมศิลปากร. “จารึกในประเทศไทย เล่ม ๑ อักษรปัลลวะ หลังปัลลวะ พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๔”. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ภาพพิมพ์, ๒๕๒๙.
ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. “เรื่องเที่ยวที่ต่าง ภาค ๓ เล่าเรื่องเที่ยวมณฑล เพชรบูรณ์และเรื่องความไข้ เมืองเพชรบูรณ์”. กรุงเทพฯ: วิศัลย์การพิมพ์, ๒๕๑๙.
ดูรายละเอียดสำเนาจารึกได้ที่ : ฐานข้อมูลเอกสารโบราณ จารึก สมุดไทย http://manuscript.nlt.go.th/.../ctrlObjec.../mid/1855/id/207
หรือติดตามอ่านได้ในหนังสือที่ระลึก “คลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ”
จารึกโคมป่องทรงปราสาท โคมป่องทรงปราสาทสำหรับจุดไฟบูชาพระธาตุ เป็นทรงปราสาท ฐานสูง รองรับตัวเรือนธาตุซึ่งลฉลุโปร่งเป็นลวดลาย โดยด้านหน้าทำเป็นประตูขนาดเล็ก ฉลุลายดอกไม้และลายกระหนก สองข้างประตูทำเป็นรูปบุคคลยืนเหนือฐานแสดงอัญชลี (พนมมือ) ส่วนอีกสามด้าน ตรงกลางทำเป็นกรอบสี่เหลี่ยมและภายในฉลุลวดลายดอกไม้สี่กลีบ มุมทั้งสี่ประดับด้วยนาคมีปีกและขาทอดตัวลงมาตามแนวสันหลังคา ถัดขึ้นไปเป็นหลังคาซ้อนกัน ๒ ชั้น ส่วนยอดทำเป็นดอกบัวตูม ที่ขอบฐานชั้นบน มีจารึกตัวอักษรฝักขาม ระบุ พ.ศ. ๒๐๕๑ นอกจากโคมป่องทรงปราสาทที่อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย นี้แล้ว ที่มุมทั้ง ๔ ทิศของกำแพงรั้วพระธาตุหริภุญไชย ยังมีโคมป่องทรงปราสาทที่มีการประดับประดาตกแต่งอย่างงดงาม มีรูปแบบศิลปะที่คล้ายคลึงกันกับโคมป่องใบนี้ อาจสร้างขึ้นในระยะเวลาใกล้เคียงกันเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแก่พระธาตุหริภุญไชย จารึกโคมป่องกำหนดทะเบียนจารึกเป็น ลพ. ๔๒ อยู่บริเวณขอบฐานด้านบน มีจำนวน ๔ ด้าน จารึกด้วยอักษรฝักขาม ความว่า "ศักราชได้ ๘๗๐ ตัว ตรงกับ พ.ศ. ๒๐๗๑ รัชกาลพระเมืองแก้ว พระรัตนปัญญาเป็นประธานพร้อมด้วยพระมหาสามีศรีวิสุทธิ์วัดต้นแก้ว ชักชวนศรัทธาชาวยางหวานทั้งหลายที่อยู่ทิศตะวันตก ตะวันออก ทิศใต้และทิศเหนือ ได้รวบรวมทองสัมฤทธิ์หล่อเป็นปราสาทหลังนี้ หนัก ๕๘๐๐๐ สำหรับจุดไฟ บูชาพระมหาธาตุเจ้าตราบจนถึง ๕,๐๐๐ ปี" นอกจากนี้ด้านในโคมยังมีจารึกที่แผ่นรองด้านใน ทางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย จะได้นำภาพถ่ายมาให้ทุกท่านชมในโอกาสต่อไป อ้างอิง ก่องแก้ว วีระประจักษ์ (และคนอื่นๆ). จารึกล้านนา ภาค ๒ เล่ม ๑-๒ : จารึกจังหวัดเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน และแม่ฮ่องสอน. กรุงเทพฯ :กรมศิลปากร, ๒๕๕๑.ณัฏฐภัทร จันทวิช (บรรณาธิการ). โบราณวัตถุและศิลปวัตถุในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย . กรุงเทพฯ :ส.พิจิตรการพิมพ์, ๒๕๔๘.
องค์ความรู้จากสำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่เรื่อง แม่ข่า : ลำน้ำ – คู(เมือง) – คลอง และการจัดการน้ำเมืองเชียงใหม่เรียบเรียงโดย : นายสายกลาง จินดาสุ นักโบราณคดีชำนาญการ กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ แม่ข่า ลำน้ำสายนี้เป็นที่รู้จักในฐานะลำน้ำที่ไหลเลาะเลียบกำแพงเมืองเชียงใหม่ชั้นนอก (กำแพงดิน) อดีตที่ผ่านมาน้ำแม่ข่าทรุดโทรมจากการใช้ประโยชน์ จนยากจะเชื่อว่าปัจจุบันลำน้ำสายนี้กำลังได้รับการพัฒนาจนดีขึ้นทั้งคุณภาพน้ำและพื้นที่ริมน้ำ ตัวตนของแม่ข่าถูกเข้าใจไปในหลายทาง บางคนบอกว่า แม่ข่าเป็นลำน้ำ บ้างบอกว่าเป็นคูเมือง อีกไม่น้อยบอกว่าเป็นคลอง แล้วแม่ข่าที่เรารู้จัก คืออะไรกันแน่ วันนี้เราจะมาย้อนอดีตและทำความเข้าใจตัวตน ที่มาที่ไปของแม่ข่าและความหมายคุณค่าที่ลึกซึ้งที่มีต่อเมืองเชียงใหม่ เมื่อพิจารณากายภาพของลำน้ำสายนี้ พบว่าแม่ข่า เกิดจากน้ำสาขาที่ไหลจากดอยสุเทพ โดยไหลมาทั้งจากน้ำแม่สา ห้วยชะเยือง-ห้วยตึงเฒ่า ห้วยแม่จอกหลวง-ห้วยแม่หยวก ห้วยช่างเคี่ยน-ห้วยแก้ว ไหลรวมเป็นลำน้ำแม่ข่า ไหลลงมาทางทิศใต้อ้อมเมืองเชียงใหม่ไปทางทิศตะวันออกเลาะตามแนวกำแพงเมืองชั้นนอกและวกลงทางทิศใต้ไปบรรจบกับน้ำอีกสายคือ ลำคูไหว ที่ไหลเลาะตามแนวกำแพงเมืองชั้นนอกที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ (สำหรับท่านที่ไม่ใช่ชาวเชียงใหม่หรือไม่คุ้นเคยในกายภาพเมืองให้พยายามดูภาพแผนที่และภาพถ่ายทางอากาศเมืองเชียงใหม่ประกอบเพื่อความเข้าใจ) จากนั้นจึงไหลลงทางใต้ไปบรรจบกับแม่น้ำปิงทางใต้ของเวียงกุมกาม (เมืองที่พญามังรายสร้างก่อนการก่อตั้งเมืองเชียงใหม่) ถ้าดูจากต้นทางที่แม่ข่าไหลมาก่อนเลาะเลียบริมกำแพงเมืองชั้นนอก แม่ข่าน่าจะเป็นลำน้ำ แต่ถ้าดูจากการที่แม่ข่าไหลเลาะเลียบกำแพงเมืองชั้นนอก แม่ข่าคือคูเมืองชั้นนอก (การสร้างกำแพงเมือง คูน้ำและคันดินกำแพงเมืองเป็นองค์ประกอบที่ต้องมีคู่กัน เมื่อขุดคูเป็นแนวเขต ดินที่ได้จากการขุดจะถูกนำมากองเป็นคันยาวไปตามแนวคู) และความเข้าใจในปัจจุบัน แม่ข่าส่วนที่ผ่านเมือง ถูกใช้ประโยชน์เป็นคลอง ที่หลายส่วนมีการดาดคอนกรีต เพื่อความเข้าใจ เราจะย้อนไปดูที่เอกสารประวัติศาสตร์กันก่อน ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ มีเนื้อความกล่าวถึง แม่ข่า 2 ตอนสำคัญ ในสมัยพญามังราย ก่อนการสถาปนาเมืองเชียงใหม่ ในต้นพุทธศตวรรษที่ 19 มีเนื้อหากล่าวถึงชัยมงคล 7 ประการ ในการสร้างเมืองเชียงใหม่ และแม่ข่าก็ปรากฏอยู่ใน ชัยมงคลที่ 5 กล่าวคือ มีลำน้ำที่ไหลจากดอยสุเทพ โดยไหลขึ้นทางทิศเหนือ แล้ววกไปทางตะวันออก แล้วไหลลงใต้ จากนั้นจึงไหลไปทางตะวันออกเกี้ยวเวียงกุมกาม จากเนื้อความนี้ แสดงให้เห็นว่า แม่ข่ามีสถานะเป็นลำน้ำตลอดทั้งสายตั้งแต่ต้นน้ำจากดอยสุเทพจนไหลอ้อมมาทางตะวันออก และไหลลงทางใต้และไหลไปทางตะวันตกเล็กน้อยอ้อมเวียงกุมกาม และการกล่าวถึงแม่ข่าอีกครั้งหนึ่งในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 20 ที่ทำให้เราทราบว่า ลำน้ำสายนี้ นอกจากรู้จักกันในนามแม่ข่าแล้ว ยังถูกเรียกขานอีกชื่อว่า “แม่โท” เนื้อความกล่าวถึง นางจีมคำ อัครมเหสีของพญากือนา ไปเวียงกุมกาม โดยการจะไปถึงเวียง กุมกามนั้นต้องข้ามน้ำแม่โท เมื่อพิจารณาจะเห็นว่าลำน้ำแม่โทนั้นก็คือสายน้ำเดียวกับลำน้ำแม่ข่าที่ไหลลงมาทางใต้เมืองเชียงใหม่และไหลผ่านเวียงกุมกามทางตะวันตก ดังนั้นจึงสรุปในขั้นต้นได้ว่า ก่อนสร้างเมืองเชียงใหม่และหลังจากสถาปนาเมืองเชียงใหม่ในระยะแรก น้ำแม่ข่า หรือแม่โทนี้ มีสถานะเป็นลำน้ำสายหนึ่งที่อยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำปิง และไหลเป็นคู่ขนานกันไป ทั้งนี้หลักฐานที่ช่วยคลี่ให้เห็นพัฒนาการของลำน้ำแม่ข่านี้ชัดเจนขึ้น คือ แผนที่ผังเมืองเชียงใหม่ และภาพถ่ายทางอากาศเมืองเชียงใหม่ ที่ถ่ายใน พ.ศ.2497 แผนที่ผังเมืองเชียงใหม่ ที่จัดทำขึ้นในสมัยรัชการที่ 5 แสดงให้เห็นแนวเส้นเชื่อมต่อระหว่างเวียงสวนดอกกับลำคูไหวทางตะวันตก และยังเห็นแนวเส้นอีกแนวที่เฉียงออกไปจากมุมด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของวัดสวนดอก เมื่อเรานำภาพถ่ายทางอากาศเมืองเชียงใหม่และพื้นที่โดยรอบ พ.ศ.2497 มาพิจารณาเพิ่ม ก็จะเห็นภาพกว้างและพบบริบทที่มีนัยยะสำคัญมากขึ้น คือ แนวเส้นนั้นไปเชื่อมต่อกับแนวเส้นที่วางตัวในแนวเหนือใต้ที่อยู่เฉียงขึ้นไปอีก ที่สำคัญคือ แนวเส้นดังกล่าวนี้เป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของคันดินรูปสี่เหลี่ยมที่ปัจจุบันตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คันดินที่กล่าวถึงนี้ ปัจจุบันคือ คันดินที่สันนิษฐานว่าเป็นสันอ่างเก็บน้ำโบราณ ที่ตั้งอยู่ติดรั้วด้านทิศตะวันออกของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเหลืออยู่สองจุด คือคันดินด้านตะวันตก ด้านหลังอาคารสนามกีฬาในร่ม และคันดินด้านตะวันออกที่อยู่ใกล้รั้วด้านตะวันออกของมหาวิทยาลัยโดยขนานไปกับแนวรั้ว อ่างเก็บน้ำโบราณนี้ทำหน้าที่เสมือนแก้มลิงที่รับน้ำที่หลากลงมาจากดอยสุเทพ อ่างเก็บน้ำนี้มีคันบังคับน้ำให้น้ำเลี่ยงออกไปทางทิศใต้ ไม่เข้าปะทะเมืองเชียงใหม่โดยตรง ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าในแผนที่เมืองนครเชียงใหม่ ที่ประกอบในแผนที่แสดงพระราชอาณาเขตสยามและหัวเมืองประเทศราช พ.ศ.2443 แสดงให้เห็นว่าคันดินนี้เชื่อมต่อกับคูเวียงสวนดอกด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ดังนั้นทางน้ำที่ต่อเนื่องจากคูเวียงสวนดอกทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ไปที่ลำคูไหว ที่ปรากฏในแผนที่โบราณ จึงอาจเป็นองค์ประกอบหนึ่งในระบบการจัดการน้ำที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กัน จากทางตะวันตกของเมืองเชียงใหม่ที่เป็นดอยสุเทพ ถ่ายเทสู่พื้นที่แก้มลิงรับน้ำคืออ่างเก็บน้ำโบราณในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จากนั้นจึงถ่ายเทน้ำ ออกไป 2 ส่วน โดยส่วนแรกเข้าคูเมืองสวนดอก และถ่ายลงสู่คูเมืองชั้นนอกด้านทิศตะวันตก (ปัจจุบันคือลำคูไหว) และอีกส่วนหนึ่งที่น่าจะถ่ายเทเบี่ยงออกจากเมืองด้านตะวันออกเฉียงใต้โดยไม่ผ่านคูเวียงสวนดอก ระบบน้ำดังกล่าวทำให้เกิดการจัดการน้ำที่หลากจากดอยสุเทพมาชะลอและกักเก็บ และเลี่ยงการที่น้ำจะหลากเข้าปะทะเมืองและพื้นที่เกษตรกรรมรอบเมืองโดยตรง คำถามต่อมาคือ ระบบการจัดการน้ำนี้ควรเกิดขึ้นเมื่อใด คำตอบที่พอจะวิเคราะห์ได้ในเบื้องต้น คือ ระบบการจัดการน้ำเหล่านี้ควรเกิดขึ้นหลังการสร้างเวียงและวัดสวนดอก ในสมัยพญากือนา ช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 20 เนื่องจากระบบการจัดการน้ำเหล่านี้ ล้วนเป็นส่วนที่มาเชื่อมต่อกับคูเวียงสวนดอก ผลจากการขุดศึกษาบริเวณป้อมหายยาที่ตั้งอยู่มุมกำแพงเมืองชั้นนอกด้านตะวันตกเฉียงใต้ในปี 2546 พบว่าใต้ชั้นคันดินกำแพงเมืองชั้นนอกเป็นชั้นดินที่พบภาชนะดินเผาประเภทต่างๆ จากแหล่งเตาล้านนาและเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หมิงที่มีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20-21 จากข้อมูลนี้สรุปได้ว่าพื้นที่อันเป็นที่ตั้งของกำแพงเมืองชั้นนอก เป็นชุมชนที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20-21 มาก่อนจากนั้นจึงมีการสร้างคูและกำแพงเมืองชั้นนอกขึ้นภายหลัง จึงแปลความได้ว่า ลำคูไหวที่เกิดขึ้นทางทิศตะวันตก เป็นลำน้ำที่เกิดจากการขุดลอกพื้นที่ชุมชนชานเมืองทางทิศใต้ของเมืองเชียงใหม่ ให้กลายเป็นคูและกำแพงเมือง ทั้งนี้ถ้าหากเจาะจงระยะเวลาลงไปอีกนิด ช่วงเวลาที่น่าสนใจอย่างมากคือ สมัยพระเมืองแก้ว ราวกลางพุทธศตวรรษที่ 21 เนื่องจากปรากฏหลักฐานกล่าวถึงการสร้างกำแพงเมืองขึ้นใหม่ในสมัยนี้ รวมถึงปรากฏเนื้อความในโคลงนิราศหริภุญชัยที่น่าจะแต่งขึ้นใน พ.ศ.2061 ที่เนื้อความกล่าวถึงการเดินทางจากเมืองเชียงใหม่ไปเมืองลำพูนโดยผ่านกำแพงเมืองถึงสองชั้น ย้อนกลับมาที่คำถามว่า หากกำแพงเมืองชั้นนอกและการปรับเปลี่ยนลำน้ำแม่ข่าให้เป็นคูเมืองชั้นนอกรวมถึงการขุดคูเมืองชั้นนอกทางทิศใต้และทิศตะวันตก(ลำคูไหว) ในห้วงเวลาดังกล่าว อะไรคือเหตุผลของการสร้าง เมื่อพิจารณากำแพงเมืองชั้นนอกนี้มิได้โอบรอบกำแพงเมืองชั้นในครบทุกด้าน และถ้าพิจารณาลักษณะทางจากกายภาพจะพบว่า กำแพงเมืองชั้นนอกมีจุดเริ่มต้นที่มุมเมืองด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือโดยบรรจบกับแจ่งศรีภูมิ และโอบรอบเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยววกมาทางใต้บรรจบกับมุมเมืองด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งจะสังเกตได้ว่ากายภาพของกำแพงเมืองชั้นนอกมีการวางตัวที่สอดรับกับความโค้งของลำน้ำปิงที่ตวัดเข้ามาใกล้เมืองเชียงใหม่ จึงพอจะเห็นเค้าลางว่า คูและกำแพงเมืองชั้นนอกทางด้านตะวันออก คือคันกันน้ำที่เป็นระบบป้องกันน้ำท่วมเมืองเชียงใหม่และระบบการถ่ายเทน้ำจากพื้นที่ด้านเหนือของเมือง เมื่อประกอบร่องรอยหลักฐานที่ปรากฏทั้งด้านตะวันตกและตะวันออกของเมืองเชียงใหม่เข้าด้วยกัน จึงสรุปได้ว่า ในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 21 น่าจะมีการสร้างระบบการจัดการน้ำครั้งใหญ่ของเมือง ทำให้ปรากฏหลักฐานเป็นคูคลองและคันดิน ระบบการจัดการน้ำนี้ดำเนินการโดยทำการประยุกต์ลำน้ำแม่ข่าที่เป็นทางน้ำธรรมชาติช่วงที่เลาะเลียบเมืองเชียงใหม่ให้กลายเป็นคูเมืองชั้นนอกและกำแพงเมือง เพื่อจัดการน้ำด้านทิศเหนือและตะวันออกของเมือง และทำการขุดคูขึ้นใหม่และสร้างกำแพงเมืองทางทิศตะวันตกและใต้รวมถึงแนวทางน้ำที่เชื่อมกับคูเวียงสวนดอกรวมถึงอ่างเก็บน้ำโบราณ(แก้มลิงโบราณ)และคันบังคับน้ำ เพื่อจัดการน้ำด้านทิศตะวันตกของเมือง คือ น้ำป่าจากดอยสุเทพ จากร่องรอยหลักฐานที่ได้เรียบเรียงและนำมาบอกเล่าทุกท่านในวันนี้ คงพอจะทำให้ทุกท่านเข้าใจพัฒนาการของน้ำแม่ข่า ที่มิได้มีคุณค่าและความหมายเฉพาะเพียงสายน้ำนี้ แต่ยังยึดโยงไปถึงทางน้ำและระบบการจัดการน้ำในส่วนอื่นๆ รวมถึงมองเห็นภาพความเชื่อมโยงสัมพันธ์ของธรรมชาติและการออกแบบสร้างสรรค์ของบรรพชนล้านนา กลายเป็นหลักฐานประจักษ์พยานที่ยิ่งใหญ่ที่บ่งบอกคุณค่าและความหมายทั้งการเป็นปัจจัยทางธรรมชาติอันเป็นมงคลเมือง การป้องกันยามศึกสงคราม และการบริหารจัดการน้ำ ที่ยากจะมีที่ใดเหมือน
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี ขอเชิญร่วมกิจกรรม ฮีต 12 ฮอยฮีตคองวัฒนธรรม “บุญฮดสรง สรงกรานต์ สรงใจ” ระหว่างวันที่ 2 - 5 เมษายน 2567 พบกับกิจกรรมสรงน้ำพระแบบดั้งเดิม, ตบประทาย ขนทรายเข้าวัด, การละเล่นพื้นบ้านแบบดั้งเดิม, การสาธิตการทำน้ำอบฮดสรง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี สามารถติดตามข่าวสารกิจกรรมเพิ่มเติมได้ทาง Facebook : Ubon Ratchathani National Museum : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี
องค์ความรู้ สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี
เรื่อง แหล่งโบราณคดีเมืองงิ้ว
ผู้เรียบเรียง : นายอภิรัตน์ บุตรวงษ์ นักศึกษาฝึกประสบการณ์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ผู้ควบคุมงาน: นายกฤษณพงศ์ พูนสวัสดิ์ นักโบราณคดีปฏิบัติการ สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี