ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 40,869 รายการ
วันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๕ เวลา ๑๓.๐๐ น. นางรักชนก โคจรานนท์ รองอธิบดีกรมศิลปากร ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ โต๊ะข่าวไลฟ์ (Life) ในประเด็นการจัดนิทรรศการพิเศษ เรื่อง เซรามิกแห่งแหลมทองและแดนอาทิตย์อุทัย: สานตำนานสายใยไม่เสื่อมคลายในพาณิชยวัฒนธรรมโลก โดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุประสงค์การจัดนิทรรศการ การคัดเลือกชิ้นงานจัดแสดง และการแนะนำชิ้นงานที่น่าสนใจ ฯลฯ ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร รวมทั้งยังได้มอบหนังสือประกอบนิทรรศการให้แก่ผู้สื่อข่าว เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการเขียนบทความเพิ่มเติมอีกด้วย
บทความ เรื่อง วันสงขลาและศาลหลักเมืองสงขลา
โดย นางพัชรินทร์ ลั้งเเท้กุล นักจดหมายเหตุชำนาญการ หัวหน้าหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ สงขลา
มีความหมาย 3 ประการคือ 1. เอกสารต้นฉบับ (Original) ซึ่งสิ้นกระแสปฏิบัติงานของหน่วยงานรัฐส่วนราชการ หรือ เอกสารส่วนบุคคล ที่ผ่านการวินิจฉัยว่ามีคุณค่าสมควรเก็บไว้ตลอดไป เอกสารสำคัญนี้เรียกว่า เอกสารจดหมายเหตุ (Archives Materials)2. หน่วยงานที่มีหน้าที่รวบรวม จัดเก็บ สงวนรักษา และให้บริการเอกสารจดหมายเหตุ เรียกว่า หน่วยงานจดหมายเหตุ (Archives Agency)3. อาคาร หรือ ส่วนของอาคารที่เก็บรักษาเอกสารจดหมายเหตุ เรียกว่า หอจดหมายเหตุ (Archives Repository)ที่มา : คู่มือวิชาการพื้นฐานการบริหารและจัดการงานจดหมายเหตุ หน้า 3
จารึก จ.ป.ร. ณ ปราสาทพนมวัน
23 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือพระปิยมหาราช ผู้เป็นที่รักแห่งปวงชนชาวไทย
เนื่องในวันปิยมหาราชนี้ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย ขอน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณด้วยการพาทุกท่านไปยังปราสาทพนมวัน สถานที่พบจารึก จ.ป.ร. หรือจารึกพระนามาภิไธยย่อของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จารึกดังกล่าวอยู่บริเวณประตูชั้นในด้านทิศใต้ของปราสาทประธาน ปราสาทพนมวัน นอกจากพระนามาภิไธยย่อ จ.ป.ร. แล้วยังมีจารึกระบุวันเวลาที่เสด็จ ดังนี้
“พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินประพาส เมื่อ รัตนโกสินทรศก 119 แลลงวันตามจันทรคติ วัน 2 เดือน 2 ขึ้น 4 ค่ำ พุทธศักราช 2443 จุลศักราช 1262”
เมื่อสอบทานกับบันทึกการเสด็จประพาสนครราชสีมาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 วันที่ 24 ธันวาคม 2443 หน้าที่ 113-114 ตอนหนึ่ง มีความว่า “...แล้วเสร็จทรงม้าพระที่นั่งไปประพาสวัดพนมวัน ทอดพระเนตรวิหารอันเป็นของโบราณทำด้วยศิลาแท่งใหญ่ ๆ ประดับซ้อนขึ้นไป แล้วทรงจารึกพระบรมนามาภิไธยเป็นอักษรย่อ จ.ป.ร. ในแผ่นศิลาฝาผนึกวิหาร และ มีอักษรว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินประพาสเมื่อ รัตนโกสินทรศก 119 แลลงวันตามจันทรคติ วัน 2 เดือน 2 ขึ้น 4ค่ำ พุทธศักราช 2443 จุลศักราช 1262…”
ที่มาภาพ : กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 38/6ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 42 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 53 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
กฎหมายระว่างประเทศที่สำคัญฉบับหนึ่ง นั่นคือ อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยความปลอดภัยแห่งชีวิตในทะเล (International Convention for the Safety of Life at Sea) หรือที่ชาวเรือรู้จักกันในชื่อย่อว่า SOLAS กัน เป็นอนุสัญญาที่ผู้ปฏิบัติงานในเรือที่รัฐเจ้าของธง (flag state) เป็นภาคีอนุสัญญาฯ จะต้องเรียนรู้และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ “ลูกเรือ” ย้ำอีกครั้ง “ลูกเรือ”
วันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2455 เวลาประมาณ 00.05 น. กลางมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ กัปตันเอ็ดเวิร์ด สมิธ นายเรือบนเรือ อาร์เอ็มเอส ไททานิค เรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่สุดในตอนนั้น ได้ออกคำสั่งให้นายประจำเรือและลูกเรือทุกคนเตรียมอพยพผู้โดยสารลงเรือช่วยชีวิต หลังจากที่ประสบเหตุชนเข้ากับภูเขาน้ำแข็งที่ลอยตามกระแสน้ำออกจากแผ่นน้ำแข็งขั้วโลกจากอุณภูมิที่อุ่นขึ้นในเดือนเมษายน ส่งผลให้เกิดการรั่วที่ลำเรือ มีน้ำทะเลไหลท่วมห้อวระวางกั้นน้ำ 6 ระวาง เรือไททานิคได้รับการออกแบบมามีห้องระวางกั้นน้ำซึ่งสามารถปิดประตูกั้นน้ำไม่ให้ไหลถึงกันได้ในแต่ละระวางได้ แต่อย่างไรเสียเรือลำนี้สามารถรับน้ำท่วมห้องระวางได้เพียง 4 ห้องพร้อมกันที่หัวเรือเท่านั้น หากเกินกว่านั้น หัวเรือที่ค่อยจมลงจากน้ำหนักของน้ำจะทำให้น้ำล้นจากห้องระวางหนึ่งสู่อีกห้องระวางหนึ่งได้ คล้ายกับการที่เราเทน้ำใส่ถาดน้ำแข็งในตู้เย็น ดังนั้นน้ำที่ท่วมถึง 6 ห้องระวางจึงยืนยันว่า ไททานิค ต้องอับปาง!
จากความมั่นใจในการออกแบบประกอบกับกฎระเบียบเกี่ยวกับความปลอดภัยของเรือเดินทะเลที่ยังไม่เข้มงวด เรือช่วยชีวิตมีจำนวนไม่เพียงพอต่อลูกเรือและผู้โดยสาร การจัดการอพยพคนลงเรือช่วยชีวิตที่ไม่มีประสิทธิภาพทำให้เรือช่วยชีวิตบางลำมีผู้โดยสารไม่เต็ม ผู้โดยสารชั้นสามที่ดีรับการปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียม และเหตุปัจจัยอื่น ๆ ส่งผลให้เหตุอับปางของเรือไททานิคนั้น เกิดความสูญเสียอย่างมาก มีผู้เสียชีวิตจากการจมน้ำทะเลและหนาวตายถึง 1,500 ชีวิต โดยมีผู้รอดชีวิตเพียง 710 ชีวิต ไม่ถึงครึ่งของคนที่มากับเรือ
จากเหตุการณ์การอับปางของเรือไททานิค ได้นำมาสู่การร่างสัญญาระหว่างประเทศ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นกฎหมายที่ชาติสมาชิกจะต้องปฏิบัติตามในเรื่องของความปลอดภัยและขั้นตอนวิธีปฏิบัติต่าง ๆ เมื่อเรือประสบภัยในทะเล SOLAS นับว่าเป็นสัญญาระหว่างประเทศฉบับแรกที่มุ่งให้ความสำคัญการความปลอดภัยของเรือพาณิชย์ บังคับใช้ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2457 และมีการแก้ไขปรับปรุงเรื่อยมา ปัจจุบันคือ อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยความปลอดภัยแห่งชีวิตในทะเล พ.ศ. 2517 (1974) อยู่ภายใต้การกำกับดูแลขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization) หรือ IMO มีประเทศร่วมเป็นภาคีสมาชิกเกือบทุกประเทศเว้นแต่เพียงประเทศที่ไม่มีอาณาเขตติดต่อทางทะเล (landlocked states)
ภายในอนุสัญญาฯ ได้กำหนดให้เรือและรัฐเจ้าของธง ต้องกำหนดมาตรการให้สอกคล้องกับข้อกำหนดด้านความปลอยของ SOLAS เช่น ข้อกำหนดเกี่ยวกับมาตรฐานโครงสร้าง อุปกรณ์ความปลอดภัยภายในเรือ อุปกรณ์ช่วยชีวิต อุปกรณ์ดับไฟ เสื้อชูชีพ เรือและแพชูชีพ อุปกรณ์ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือต่าง ๆ ซึ่งที่กล่าวมาข้างต้นจะต้องมีเพียงพอต่อการช่วยเหลือลูกเรือและผู้โดยสารทุกคน รวมไปถึงการฝึกอบรมชาวเรือให้มีความรู้ความสามารถในการดำรงชีพในทะเลหากเกิดกรณีเรืออับปางด้วย
นอกจากนั้น SOLAS ยังกำหนดให้รัฐเจ้าของธงต้องจัดให้มีหน่วยงานกำกับดูแลรวมทั้งออกใบอนุญาตให้เรือและบริษัทเจ้าของเรือต้องจัดให้เรือมีอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยตามข้อกำหนดของ SOLAS ซึ่งมนกรณีของประเทศไทยมี กรมเจ้าท่า เป็นหน่วยงานกำกับดูแล อย่างไรก็ตาม SOLAS เป็นอนุสัญญาภายใต้การกำกับดูแลของ IMO ซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลเพียงเรือพาณิชย์และเรือพลเรือนเท่านั้น ไม่ได้บังคับแก่เรือของกองทัพเรือหรือเรือทางทหาร ซึ่งอาจปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยของกองทัพเหล่านั้นเอง
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 133/6เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 169/6 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 23/1ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 44 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 54.5 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 6/6ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 24 หน้า : กว้าง 4.6 ซม. ยาว 56.5 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
พระพุทธรูปปางแสดงธรรม จากเจดีย์หมายเลข ๒ เมืองโบราณอู่ทอง
พระพุทธรูปปางแสดงธรรม พบจากการขุดแต่งเจดีย์หมายเลข ๒ เมืองโบราณอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๖ จัดแสดงห้องโบราณคดีเมืองอู่ทอง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง
พระพุทธรูปนูนสูงสลักจากหิน กว้าง ๒๐ เซนติเมตร สูง ๒๕ เซนติเมตร พระเศียรชำรุดกะเทาะหายไป ครองจีวรห่มคลุมบางแนบพระวรกาย เห็นขอบสบงเป็นแผ่นโค้งบริเวณบั้นพระองค์ พระกรทั้งสองข้างหักหายไป หากมีสภาพสมบูรณ์สันนิษฐานว่าแสดงวิตรรกมุทราสองพระหัตถ์ (ปางแสดงธรรม) ตามความนิยมของพระพุทธรูปยืนสมัยทวารวดี ปรากฏจีวรพาดผ่านข้อพระกรทั้งสองข้าง แล้วทิ้งชายลงเป็นวงโค้งเบื้องหน้าอยู่เหนือขอบสบง ซึ่งยาวถึงข้อพระบาท ส่วนพระบาทชำรุดกะเทาะหายไป ยืนแบบสมภังค์ (ยืนตรง) มีศิรประภาหรือประภามณฑลรอบพระเศียรเป็นรูปวงกลมสองวงซ้อนกัน และมีประภาวลีหรือประภามณฑลรอบพระวรกายรูปร่างคล้ายเปลวไฟแผ่ออกมาโดยรอบ ซึ่งในปัจจุบันบริเวณเมืองโบราณอู่ทอง พบหลักฐานการทำประภามณฑลในลักษณะนี้เพียงพระพุทธรูปองค์นี้เท่านั้น
รูปแบบศิลปกรรมของพระพุทธรูปองค์นี้ ปรากฏลักษณะที่รับอิทธิพลจากศิลปะอินเดียผสมผสานกับลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ของศิลปะทวารวดี ได้แก่ การครองจีวรห่มคลุมตามอิทธิพลของศิลปะอินเดียแบบคุปตะและหลังคุปตะ ราวพุทธศตวรรษที่ ๙ – ๑๓ หรือประมาณ ๑,๓๐๐ – ๑,๗๐๐ ปีมาแล้ว แต่มีการปรับเปลี่ยนลักษณะการยืนจากท่าตริภังค์ (ยืนเอียงสะโพก) และแสดงมุทรา (ปาง) ด้วยพระหัตถ์ขวา ส่วนพระหัตถ์ซ้ายยึดชายจีวร ตามความนิยมที่ปรากฏในศิลปะอินเดีย มาเป็นการยืนในท่าสมภังค์ (ยืนตรง) พระหัตถ์ทั้งสองข้างแสดงวิตรรกมุทรา (ปางแสดงธรรม) แสดงถึงลักษณะเฉพาะซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของพระพุทธรูปสมัยทวารวดี ที่มีพัฒนาการจากศิลปะอินเดียซึ่งเป็นต้นแบบแล้ว จึงอาจกำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ - ๑๔ หรือประมาณ ๑,๒๐๐ - ๑,๓๐๐ ปีมาแล้ว
เอกสารอ้างอิง
กรมศิลปากร. โบราณคดีเมืองอู่ทอง. นนทบุรี : สหมิตรพริ้นติ้ง, ๒๕๔๕.
เชษฐ์ ติงสัญชลี. พระพุทธรูปอินเดีย. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : เรือนแก้วการพิมพ์, ๒๕๖๔.
ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะทวารวดี : วัฒนธรรมทางศาสนายุคแรกเริ่มในดินแดนไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๖๒.
ชื่อผู้แต่ง -
ชื่อเรื่อง พระมาลัย
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ -
สำนักพิมพ์ -
ปีที่พิมพ์ -
จำนวนหน้า ๑๕๐ หน้า
หมายเหตุ สข.๐๙๓ หนังสือสมุดไทยขาว อักษรขอมและอักษรไทย ภาษาบาลีและภาษาไทย เส้นหมึก
(เนื้อหา) พระมาลัยเป็นพระอรหันต์ชาวลังกา ท่านได้ขึ้นไปสวรรค์และนรกแล้วนำบุพกรรมของสัตว์ที่เสวยผลบุญอยู่ในวิมานสวรรค์ และสัตว์ที่ทนทุกข์อยู่ในนรกมาแสดงให้คนทำแต่กรรมดี ในเรื่องกล่าวถึงผลแห่งการทำบุญให้ทานซึ่งเป็นผลให้ไปเกิดเป็นเทวดามีบริวารมากมาย ประกอบด้วยทิพย์สมบัติต่างๆ คำพยากรณ์ของพระศรีอาริยะเมตไตรยถึงความสุขสบายในศาสนากาลของพระองค์
เลขทะเบียน : นพ.บ.469/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 46 หน้า ; 3.5 x 57 ซ.ม. : ชาดทึบ-รักทึบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 161 (183-194) ผูก 1 (2566)หัวเรื่อง : สัพทานนานิสงส์กถา--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.605/4 ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 36 หน้า ; 4 x 53.5 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดา มีฉลากไม้ชื่อชุด : มัดที่ 194 (408-415) ผูก 4 (2566)หัวเรื่อง : พระธัมมสังคิณี--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม