ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,827 รายการ

นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่พญามังราย ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์มังราย ทรงเริ่มต้นรวบรวมเมืองหรือแคว้นขนาดเล็กที่กระจัดกระจายและเป็นอิสระต่อกัน ให้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จนพัฒนาเป็นรัฐขนาดใหญ่ขึ้น โดยในระยะแรกพญามังรายทรงรวมแคว้นโยนกก่อน แล้วพยายามขยายอำนาจสู่หัวเมืองขนาดเล็กอื่น ๆ เป็นบริเวณกว้าง จากนั้นเริ่มขยายอำนาจสู่แคว้นหริภุญไชยที่มีความเจริญรุ่งเรืองในดินแดนแถบนี้ เมื่อพญามังรายยึดเมืองหริภุญไชยแล้วได้ผนวกเข้ากับแคว้นโยนก หลังจากนั้นได้เข้ายึดเมืองเขลางค์นคร พญามังรายจึงครอบครองดินแดนส่วนใหญ่ของภาคเหนือ และสถาปนาขึ้นเป็นอาณาจักรล้านนา นอกจากนี้ ทรงได้ทำสัญญาระหว่างพญางำเมืองและพ่อขุนรามคำแหง ใน พ.ศ. ๑๘๓๐ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าในการขยายอำนาจสู่แม่น้ำปิงนั้นจะไม่ถูกพญางำเมืองและพ่อขุนรามคำแหงขัดขวางหลังจากยึดเมืองหริภุญไชยได้แล้ว ทรงครองแคว้นอยู่ระยะหนึ่ง แล้วย้ายมาสร้างอีกเมืองหนึ่ง คือ เวียงกุมกาม โดยมีพระประสงค์ให้เป็นเมืองหลวงของอาณาจักร แต่ที่ตั้งของเวียงกุมกามเป็นที่ลุ่มต่ำ น้ำท่วมในฤดูน้ำหลาก พญามังรายจึงพยายามหาชัยภูมิเพื่อสร้างเมืองหลวงแห่งใหม่ จนพบพื้นที่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำปิง ตอนเหนือของเวียงกุมกาม บริเวณเชิงดอยสุเทพ เป็นบริเวณที่มีชัยภูมิดีเหมาะแก่การสร้างราชธานีถาวรและเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรล้านนา พระองค์ได้เชิญพระสหาย คือ พญางำเมืองและพ่อขุนรามคำแหง มาร่วมพิจารณาการสร้างเมือง พญามังรายทรงสร้างเมืองแห่งใหม่นี้โดยให้ชื่อว่า “นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่” ใน พ.ศ. ๑๘๓๙ ซึ่งถือเป็นปีแห่งการสถาปนาเมืองเชียงใหม่อย่างเป็นทางการ โดยวันสร้างเมืองเชียงใหม่ได้กำหนดฤกษ์ยามดวงเมืองไว้ คำนวณตามปีสุริยคติ ตรงกับวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๑๘๓๙ผู้เรียบเรียง : นางเกษราภรณ์ กุณรักษ์ นักจดหมายเหตุชำนาญการภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่  อ้างอิง :๑. กรมศิลปากร. ๒๕๖๐. ปกิณกศิลปวัฒนธรรม เล่ม ๒๓ จังหวัดเชียงใหม่. กรุงเทพฯ : รุ่งศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗).๒. คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ ในคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. ๒๕๔๔. วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดเชียงใหม่. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.๓. อรุณรัตน์ วิเชียรเขียว และ เดวิด เค. วัยอาจ. ๒๕๔๓. ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่. กรุงเทพ : โอ.เอส พริ้นติ้ง เฮ้าส์.๔. อรุณรัตน์ วิเชียรเขียว. ม.ป.ป. ประวัติศาสตร์จังหวัดเชียงใหม่ (ประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่ (สมัยราชวงศ์มังราย และสมัยพม่าปกครอง). ม.ป.ท.


ผ้าไหมมัดหมี่ เป็นศิลปะการทอผ้าพื้นเมืองชนิดหนึ่งนิยมทำมานานแล้ว ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และบางท้องที่ในเขตภาคกลาง เช่น จังหวัดสุพรรณบุรี อุทัยธานี กาญจนบุรี ลพบุรี และชัยนาท วิธีการทำผ้ามัดหมี่คือการมัดด้ายให้เป็นลายที่เส้นพุ่งหรือเส้นยืนด้วยเชือกแล้วนำไปย้อมสี เพื่อให้สีและลายตามที่กำหนด แล้วจึงนำมาทอเป็นผ้า ผ้าไหมมัดหมี่ในบ้านเราส่วนใหญ่นิยมทอผ้ามัดหมี่เส้นพุ่ง แต่มีบางจังหวัดที่มีการทำผ้ามัดหมี่โดยใช้เส้นยืน ซึ่งได้แก่จังหวัด เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ราชบุรี เพชรบุรี ส่วนใหญ่เป็นผ้าชาวเขาซึ่งเป็นผ้าซิ่นมัดหมี่ ราชบุรี สุพรรณบุรี ฯลฯ บางแห่งมีการทอผ้ามัดหมี่สลับกันกับลายขิต เพื่อเพิ่มความงดงามให้แก่ผ้าไหมมากยิ่งขึ้น ส่วนผ้ามัดหมี่จากสุรินทร์ มีชื่อเสียงทั้งในด้านความสวยงามของเส้นไหมและลวดลายซึ่งได้รับอิทธิพลจากเขมร มัดหมี่ (Ikat) เป็นชื่อเรียกกรรมวิธีการสร้างลวดลายบนผืนผ้าแบบหนึ่ง ที่เกิดจากการมัดเส้นด้ายที่จะนำไปใช้ในการทอผืนผ้าโดยมัดเส้นด้ายให้เป็นเปลาะ ๆ ตามลวดลายที่กำหนดไว้ให้แน่นด้วยวัสดุต่าง ๆ ตามแต่ละท้องถิ่นนิยมใช้ เช่น เชือกกล้วย เส้นด้ายฝ้าย ใบว่านสากเหล็กหรือต่อเหล่าอี้ หรือเส้นเชือกพลาสติกเพื่อปิดกั้นไม่ให้เส้นด้ายที่มัดไว้สัมผัสกับสีย้อม แล้วนำเส้นด้ายที่มัดแล้วไปย้อมสี แล้วแกะวัสดุที่มัดนั้นออก หากต้องการให้เกิดลวดลายที่มีหลายสี ต้องมัดและย้อมสีทับกันหลายครั้งเพื่อให้ได้ลวดลาย สีสันตามต้องการ ผ่านกระบวนการเตรียมเส้นเพื่อใช้ทอเป็นผืนผ้า เมื่อทอออกมาเป็นผืนผ้าสำเร็จแล้วจะเกิดเป็นลวดลายและสีสันที่ต้องการ มัดหมี่ เป็นชื่อเรียกที่รู้จักกัน โดยทั่วไป ในประเทศไทย โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสานซึ่งมีการทอผ้ามัดหมี่มากที่สุด ในภาคเหนือนิยมเรียกว่า มัดก่าน ในต่างประเทศนิยมใช้คำว่า ikatซึ่งเป็นคำศัพท์ภาษาอินโดนีเซีย-มลายูโดยกรรมวิธีการมัดหมี่แบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้ มัดหมี่เส้นยืน (warp ikat) คือมัดหมี่ที่มัดเส้นด้ายเฉพาะที่ใช้เป็นเส้นยืน ส่วนเส้นพุ่งจะย้อมให้เป็นสีพื้นเพียงสีเดียว โดยไม่มีการมัดลวดลายใด ๆ เลย ลวดลายของมัดหมี่ชนิดนี้จะปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อนำเส้นยืนมาขึงโยงยึดเข้ากับกี่เรียบร้อยพร้อมที่จะทอแล้ว แม้ว่าจะยังไม่นำเส้นพุ่งมาสอดทอเลยก็ตาม มัดหมี่เส้นพุ่ง (weft ikat) คือ มัดหมี่ที่มัดย้อมเส้นด้ายเฉพาะที่ใช้เป็นเส้นพุ่งลวดลายที่เกิดจากการมัดย้อมจะปรากฎให้เห็นได้ก็ต่อเมื่อทอออกมาเป็นผืนผ้าสำเร็จแล้วเท่านั้น มัดหมี่สองทาง (double ikat) คือ มัดหมี่ที่ต้องมัดย้อมเส้นด้ายทั้งเส้นยืนและเส้นพุ่ง ด้วยความประณีตและซับซ้อนเป็นอย่างมาก เพราะต้องมีการคำนวณด้วยมาตราส่วนของช่างทอเอง เพื่อให้การมัดย้อมเส้นยืนและเส้นพุ่งมีลวดลายตรงกันเมื่อนำมาทอเป็นผืนผ้า และในขณะที่ทอนั้นเองก็ต้องมีความระมัดระวังมากต้องคอยขยับเส้นพุ่งที่ทอให้ตรงกับลวดลายที่มัดย้อมไว้ก่อนแล้วบนเส้นยืน จึงทำให้มัดหมี่ประเภทนี้มีราคาสูงมาก การทอผ้ามัดหมี่โดยทั่วไป 2 ลักษณะ คือ 1.การทอผ้ามัดหมี่ 2 ตะกรอ เป็นลายขัดธรรมดา ผ้าจะใช้ได้เพียงหน้าเดียว 2. การทอผ้ามัดหมี่ 3 ตะกรอ เป็นการทอผ้าลายสอง เนื้อผ้าจะแน่น สามารถใช้ผ้าได้ทั้ง 2 ด้าน โดยด้านหน้าจะให้สีสดใส และลวดลายชัดกว่าด้านใน ผ้ามัดหมี่มีการทำกันอย่างแพร่หลาย สามารถทำได้ดีทั้งผ้าฝ้ายและผ้าไหม โดยเฉพาะผ้าไหมจะมีความสวยงามมาก นอกจากตัวผ้าไหมเองแล้ว ลวดลายและสีสันยังเป็นปัจจัยที่ช่วยสร้างความสวยงามให้มากยิ่งขึ้น ปัจจุบันมีการทอผ้ามัดหมี่หลากหลายรูปแบบ รวมทั้งมีการดัดแปลงลายพื้นบ้านผสมกับลายโบราณที่ถ่ายทอดสืบต่อมาเรื่อย ๆ นอกจากนี้ยังได้มีการนำผ้าไหมมัดหมี่มาออกแบบเสื้อผ้าสตรี-บุรุษได้อย่างสวยงามและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่โดดเด่นมากผ้าไหมมัดหมี่มีการผลิตกันมาก และเป็นที่ต้องการของตลาด เช่น ผ้าไหมมัดหมี่ลายต่างๆ ทั้ง 2 ตะกรอ และ 3 ตะกรอ ผ้าไหมมัดหมี่หน้านางธรรมดา ผ้ามัดหมี่หน้านางประยุกต์ ผ้ามัดหมี่หน้านางพิเศษ ซึ่งแต่ละชนิดจะมีความยากง่ายในการมัด และทอต่างกัน ความสวยงามก็จะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับความปราณีตละเอียดของขบวนการมัดหมี่และทอผ้าสำหรับลวดลายต่างๆ ที่ผู้ทอผ้ามัดหมี่ได้มีการออกแบบลวดลายนั้น ก็จะนำมาจากลวดลายเก่าแก่ที่ยังคงอยู่ ผสมกับแนวความคิดในการผสมลวดลายต่างๆ กัน เช่น ลายเครื่องตำลึง ลายพญานาคคู่ ลายลูกศร ลายมัดหมี่ผ้าปูมเขมร ลายขอพระเทพ เป็นต้น ข้อมูลอ้างอิง ประวัติผ้าไหมมัดหมี่.[ออนไลน์].สืบค้นเมื่อ 3 พฤษภาคม 2565, จาก:https://www.ketysmile.com/2020/11/13/ประวัติผ้าไหมมัดหมี่. 2563. กรมส่งเสริมวัฒนธรรม. งานช่างฝีมือดั้งเดิม : มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ.พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: กรมส่งเสริมวัฒนธรรม, 2560. เผ่าทอง ทองเจือ และกิตติกรณ์ นพอุดมพันธุ์. มัดหมี่ สายสัมพันธ์แห่งเอเชีย.พระนครศรีอยุธยา: ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน), 2559. เรียบเรียงโดย : นางสุพัชรี ฉันทเลิศวิทยา บรรณารักษ์ชำนาญการ สำนักหอสมุดแห่งชาติ


          พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติปราจีนบุรี เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติประจำภูมิภาคตะวันออกของไทย ได้ปรับปรุงการจัดแสดงนิทรรศการด้วยระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัย ปรับปรุงภูมิทัศน์ และสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับผู้พิการและผู้สูงอายุ ตามแผนพัฒนาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติของกรมศิลปากร ขณะนี้เปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบแล้ว           ส่วนการจัดแสดงนิทรรศการใหม่ นำเสนอเรื่องราวประวัติศาสตร์และโบราณคดีภาคตะวันออก ที่สมบูรณ์ที่สุด มีโบราณวัตถุชิ้นสำคัญจัดแสดงกว่า ๒๐๐ ชิ้น แบ่งส่วนจัดแสดงเป็น ๕ ห้อง ได้แก่           ๑. ห้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์และโบราณคดีในภาคตะวันออกด้วยสภาพภูมิประเทศที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้เหมาะแก่การตั้งถิ่นฐานของชุมชนผ่านการชมวีดิทัศน์ร่องรอยวัฒนธรรมลุ่มน้ำบางปะกงและภูมิภาคตะวันออก           ๒. ห้องชุมชนโบราณในภาคตะวันออกจัดแสดงเนื้อหาชุมชนโบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ในภูมิภาคตะวันออกที่สำคัญ ได้แก่ ชุมชนโคกพนมดีราว ๓,๕๐๐ – ๔,๐๐๐ ปี มาแล้ว และชุมชนหนองโนราว ๒,๗๐๐ – ๔,๕๐๐ปีมาแล้ว ผ่านหลุมศพจำลองเจ้าแม่โคกพนมดีและโบราณวัตถุที่พบจากแหล่งโบราณคดีโคกพนมดีและหนองโน จ.ชลบุรี           ๓. ห้องพัฒนาการของชุมชนและเมืองโบราณในภาคตะวันออก จัดแสดงพัฒนาการของชุมชนและเมืองโบราณในภาคตะวันออก เริ่มต้นจากความสัมพันธ์กับดินแดนโพ้นทะเล เข้าสู่ช่วงรับวัฒนธรรมทวารวดีและวัฒนธรรมเขมรโบราณในภาคตะวันออก โบราณวัตถุชิ้นสำคัญที่พบในภาคตะวันออก ได้แก่ทับหลังจากปราสาทเขาน้อยสีชมพู ทับหลังจากปราสาทสด๊กก๊อกธมรวมถึงจารึกที่พบจากปราสาททั้ง ๒ แห่ง           ๔. ห้องวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำบางปะกงจัดแสดงเรื่องราวของชุมชนในบริเวณลุ่มแม่น้ำบางปะกง ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนเข้าสู่วัฒนธรรมทวารวดี ผ่านผนังสื่อมัลติมีเดียโปรเจกเตอร์ทัช ที่สัมผัสเพื่อรับชมเนื้อหา           ๕. ห้องเมืองศรีมโหสถ นครรัฐแรกเริ่มแห่งลุ่มน้ำบางปะกงซึ่งกำเนิดขึ้นร่วมสมัยกับอาณาจักรฟูนันตอนปลาย และพัฒนาเข้าสู่วัฒนธรรมทวารวดีในพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๖ ก่อนที่วัฒนธรรมเขมรจะเข้ามาในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ - ๑๘ มีการแสดงพระคเณศพระวิษณุจตุรภุช พระพุทธรูปปางสมาธิ รวมถึงเครื่องสำริดประกอบพิธีกรรมที่มีจารึกภาษาเขมรกล่าวถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗           ขอเชิญชวนผู้สนใจเรียนรู้ประวัติศาสตร์อารยธรรมในภูมิภาคตะวันออกของไทย ชมโฉมใหม่ของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี เปิดทุกวันพุธ - วันอาทิตย์ เวลา ๐๙.๐๐ น. - ๑๖.๐๐ น. ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ และวันหยุดชดเชย สอบถามเพิ่มเติม โทร. ๐ ๓๗๒๑ ๑๕๘๖


      พระพิมพ์ลีลา        สมัยสุโขทัย พุทธศตวรรษที่ ๒๐ (ประมาณ ๖๐๐ ปีมาแล้ว)      ได้จากกรุที่มุมกำแพงแก้ว วิหารพระอัฏฐารส โบราณสถานวัดสะพานหิน เมืองเก่าสุโขทัย      ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ ณ ห้องสุโขทัย อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร       พระพิมพ์ดินเผารูปทรงคล้ายใบหอก กดประทับรูปพระพุทธเจ้า ตามแบบศิลปะสุโขทัย มีพุทธลักษณะสำคัญคือ พระรัศมีเป็นเปลวแหลม พระพักตร์รูปไข่ พระขนงโก่ง พระเนตรเหลือบต่ำ พระอังสากว้าง ครองจีวรห่มเฉียง พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นแสดงอภัยมุทรา (ปางประทานอภัย) พระกรขวาแนบพระวรกาย พระบาทขวายกขึ้นแสดงอิริยาบถลีลาบนฐานเขียง       พระพุทธรูปลีลา เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของงานศิลปกรรมสุโขทัย และได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ปรากฏทั้งงานประติมากรรมปูนปั้นประดับสถาปัตยกรรม งานประติมากรรมสัมฤทธิ์ และพระพิมพ์ โดยสัมพันธ์กับเรื่องราวทางพุทธประวัติ ตอนพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ภายหลังจากที่พระองค์เสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดา อีกทั้งรูปแบบของพระพุทธรูปลีลายังปรากฏในฐานะอดีตพุทธเจ้า เช่น ลวดลายบนรอยพระพุทธบาทสัมฤทธิ์วัดเสด็จ จังหวัดกำแพงเพชร สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๙๗๐* หรือรูปพระสาวกที่ฐานเจดีย์ประธานวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัยก็แสดงอิริยาบถลีลาด้วยเช่นกัน      สำหรับแรงบันดาลใจของการสร้างพระพุทธรูปลีลานั้น น่าจะได้รับอิทธิพลงานศิลปะลังกา มีตัวอย่างคือจิตรกรรมฝาผนัง วิหารติวังกะ (Tivanka Pilimage) สมัยโปลนนารุวะ (ประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๗ - ต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๘) นอกจากนี้การสร้างพระพุทธรูปลีลายังปรากฏในบ้านเมืองต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์กับสุโขทัย อาทิ พระพุทธรูปลีลาบนแผ่นทองจังโก พระธาตุหริภุญชัย จังหวัดลำพูน และพระพุทธรูปลีลา ณ วัดพระธาตุช้างค้ำ วัดพญาภู จังหวัดน่าน      *ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ ณ ห้องสุโขทัย อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร     อ้างอิง กรมศิลปากร. พระพิมพ์ : พระเครื่องเมืองไทย. นครปฐม: รุ่งศิลป์การพิมพ์, ๒๕๖๔. ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะสุโขทัย: บทวิเคราะห์หลักฐานทางโบราณคดี จารึกและศิลปกรรม. พิมพ์ครั้งที่ ๒.กรุงเทพฯ: ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๔๗.






บทความ เรื่อง วันสงขลาและศาลหลักเมืองสงขลา โดย นางพัชรินทร์ ลั้งเเท้กุล นักจดหมายเหตุชำนาญการ หัวหน้าหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ สงขลา


ชื่อเรื่อง                                  สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                     24/7ประเภทวัสดุ/มีเดีย               คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           30 หน้า : กว้าง 5.2 ซม. ยาว 55.2 ซม.หัวเรื่อง                                   พุทธศาสนา                                                 ชาดกบทคัดย่อ/บันทึก                เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


งานฤดูหนาวเชียงใหม่ดอกไม้ ลมหนาว สาวงาม          เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว งานรื่นเริงสังสรรค์ เทศกาลแห่งความสนุกสนานก็เริ่มขึ้นในชื่องานฤดูหนาว จังหวัดเชียงใหม่เป็นหนึ่งในหลายจังหวัดทางภาคเหนือที่มีการจัดงานดังกล่าว ซึ่งงานฤดูหนาวมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย โดยจัดขึ้นครั้งแรก ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๗๖         กิจกรรมในงานฤดูหนาวของจังหวัดเชียงใหม่ ยุคแรกเป็นการออกร้าน แสดงพืชผักของโรงเรียนฝึกหัดครูช้างเผือก ต่อมาเริ่มขยายสู่งานระดับจังหวัด โดยอำเภอต่าง ๆ จะเชิญชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน นำพืชผักผลไม้ ปศุสัตว์มาประกวด ต่อมาเริ่มมีการแสดงกายบริหาร ซึ่งใช้ผู้แสดงเป็นนักเรียนหญิงจากโรงเรียนเรยีนาเชลีวิทยาลัย ดาราวิทยาลัย วัฒโนทัยพายัพ เป็นต้น บางปีมีการแสดงรถไต่ถัง การแสดงละครญี่ปุ่น การประกวดสาวงามประจำร้านค้าและสาวงามประจำจังหวัด การประกวดศิลปหัตถกรรมของนักเรียน การฉายภาพยนตร์ การชกมวย การออกร้านของหน่วยงานต่าง ๆ โดยเก็บค่าเข้าชมในปี พ.ศ. ๒๔๘๐ จำนวน ๑๐ สตางค์ ครั้งหนึ่งได้รายได้ประมาณ ๘,๐๐๐ บาท โดยเฉลี่ยมีผู้เข้าร่วมงานประมาณ ๘๐,๐๐๐ คน         กิจกรรมสำคัญที่ทุกคนเฝ้ารอชมและเป็นเอกลักษณ์ของงาน คือการประกวดสาวงาม ซึ่งในยุคนั้นจะกำหนดให้สวมชุดเปิดไหล่ กางเกงขาสั้นเหนือเข่า อวดความสวยท่ามกลางลมหนาว เมื่อถึงช่วงบ่ายก่อนการประกวด บริเวณเส้นทางจากสถานีรถไฟเชียงใหม่ไปยังเวทีการประกวด จะคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่เฝ้ารอชมขบวนแห่ของนางงาม นำขบวนด้วยรถเวสป้า และขบวนม้า          จากข้อมูล “สมุดภาพนางงาม ในงานปีใหม่และรื่นเริงฤดูหนาวจังหวัดเชียงใหม่ ๓๑ ธ.ค. ถึง ๖ ม.ค. พ.ศ. ๒๕๐๓” ได้กล่าวว่ามีการกำหนดให้มีการประกวดนางสาวเชียงใหม่ จำนวน ๔ คืน แบ่งเป็นรอบคัดเลือก จำนวน ๓ คืน ผู้ผ่านรอบคัดเลือกแบ่งเป็นสามกลุ่ม ในคืนที่ ๔ จะนำผู้ที่ผ่านการคัดเลือก เข้าสู่การตัดสินรอบสุดท้าย โดยมีกติกาว่า ห้ามผู้เข้าประกวดใช้เครื่องสำอาง และเครื่องวิทยาศาสตร์ ตลอดจนเครื่องประดับใด ๆ ซึ่งเป็นการดัดแปลงความงามตามธรรมชาติ แต่ไม่ห้ามการดัดผม ทาปาก ทาเล็บ หรือใช้ฝุ่นบ้างตามสมควร          ปัจจุบันงานฤดูหนาวยังคงจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ความนิยมอาจลดลง เนื่องด้วยมีงานเทศกาลอื่น ๆ เพิ่มขึ้น ทั้งรูปแบบกิจกรรมอาจไม่ดึงดูดผู้คนเหมือนครั้งอดีต แต่หากมีโอกาสเข้ามาเยี่ยมชมสักครั้ง ก็หวนชวนคิดถึงความหลัง ความสนุกสนานท่ามกลางสายลมหนาวปลายเดือนธันวาคม#งานฤดูหนาว #งานฤดูหนาวเชียงใหม่ผู้เรียบเรียง : นายวีระยุทธ ไตรสูงเนิน นักจดหมายเหตุชำนาญการ ภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่. ภาพส่วนบุคคล ชุด นายบุญเสริม สาตราภัย.อ้างอิง๑. บุญเสริม  สาตราภัย. ๒๕๕๔. เชียงใหม่ในความทรงจำ. เชียงใหม่ : โรงพิมพ์แสงศิลป์.๒. สมุดภาพนางงาม ในงานปีใหม่และรื่นเริงฤดูหนาวจังหวัดเชียงใหม่ ๓๑ ธ.ค. ถึง ๖ ม..ค. ๒๕๐๓. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย.๓. อนุบาลรำลึก พิมพ์เป็นบรรณาการในงานพระราชทานเพลิงศพ อำมาตย์เอก พระยาอนุบาลพายัพกิจ (ปุ่น อาสนจินดา). ๒๕๑๒. ม.ป.ท.


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           32/5ประเภทวัดุ/มีเดีย                       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                              48 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 54.5 ซม.หัวเรื่อง                                        พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา



ปทฺวาทสปริตฺต (ทฺวาทสปริตฺต-ตติยภาณวาร-ภาณปลาย) ชบ.บ 124/1 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


     งาพลายชมภู      สมัยรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๕      เป็นของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร มาแต่เดิม       ปัจจุบันจัดอยู่ที่พระที่นั่งวสันตพิมาน (ชั้นบน) หมู่พระวิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร       งาช้างยาวประมาณ ๒ เมตร รองรับด้วยฐานไม้กลมปิดทองล่องชาด และอีกกิ่งรองรับด้วยฐานไม้กลมจำหลักลายพรรณพฤกษา       พลายชมภู เป็นชื่อช้างที่ขึ้นระวางสังกัดโรงช้างวังหน้า โดยอยู่ในทำเนียบช้างพลายวิเศษ สำหรับงาพลายชมภูคู่นี้ เป็นงาของพลายชมภูที่ขึ้นระวางในรัชกาลที่ ๔-๕ โดยเป็นช้างพลายที่ชาวกรุงเทพฯ รู้จักคุ้นเคย เหตุเพราะในฤดูหนาวช่วงเดือนธันวาคม-เดือนกุมภาพันธ์ เป็นช่วงเวลาที่ช้างพลายมีอาการตกมัน ช้างบางตัว จะดุร้ายชอบไล่แทงคน คนสมัยก่อนจึงมีกีฬาการละเล่น “ล่อช้างตกน้ำมัน” ในช่วงเวลานี้ของปี        ก่อนจะพาช้างตกน้ำมันลงอาบน้ำที่ท่าช้าง (วังหน้า) จะมีการตีฆ้องบอกสัญญาณมาตามทางก่อน เมื่อช้างตกน้ำมันออกจากโรง ผู้ที่มีใจกล้ามาเป็นผู้ผัด* กลุ่มหนึ่งเข้าล่อข้างหน้าช้างให้ไล่มาพักหนึ่ง จากนั้นพวกคนผัดกลุ่มที่อยู่ข้างหลัง ก็เข้าล่อให้ช้างกลับย้อนไปไล่ทางเดิม ช้างวิ่งไล่ไปทางไหน คนที่คอยดูอยู่โดยรอบก็จะพากันวิ่งหนี แม้เป็นที่ลุ้นระทึกและเสี่ยงอันตรายของผู้ผัดล่อ แต่ก็เป็นความสนุกของผู้ที่ชอบความโลดโผนและความเสี่ยงภัย       สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์ถึง “พลายชมพู” ในการล่อช้างตกน้ำมันว่า “...เวลาช้างเช่นนั้นตกน้ำมัน กรมช้างไม่เอาไปลงน้ำแต่เช้าตรู่เหมือนช้างอื่น รอไว้จนถึงเวลาเช้าราว ๘ นาฬิกา เมื่อคนจ่ายตลาดกันเสร็จแล้ว จึงเอาช้างตกน้ำมันตัวนั้นไปลงน้ำ และอนุญาตให้คนเข้าผัดล่อได้ ก็เกิดเป็นการสนุก ชอบใจคนทั้งหลายทั้งพวกอยากดูและพวกคะนองที่อยากเสี่ยงภัยล่อช้างเล่นให้สนุก คงมีช้างพลายบางตัวที่ตกน้ำมันทุกปี และชอบไล่คนจนขึ้นชื่อลือนามมาทุกรัชกาล ว่าตามที่ฉันเคยได้ยินชื่อ...ในรัชกาลที่ ๕ มีพลายศักดิ์ตัวหนึ่ง กับพลายชมพูอยู่ในโรงวังหน้าตัวหนึ่ง ฉันได้เคยแต่ดูสองตัวที่ออกชื่อข้างหลังเมื่อฉันยังเป็นนักเรียนนายร้อยทหารมหาดเล็ก**...”        *ความหมายหนึ่งของคำว่า “ผัด” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ หมายถึง “ย้ายไปย้ายมา หมุนไปมา ล่อให้ไล่”      **ประมาณ พ.ศ. ๒๔๒๐   อ้างอิง มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา. ทำเนียบนามภาค ๑-๔ และ ทำเนียบนามข้าราชการวังหลัง. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๖๓. ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จฯ กรมพระยา. นิทานโบราณคดี. พิมพ์ครั้งที่ ๑๕. กรุงเทพฯ: บรรณาคาร,๒๕๔๓. ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๕๖.


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           16/4ประเภทวัดุ/มีเดีย                          คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                                46 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 55 ซม.หัวเรื่อง                                       พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


black ribbon.