ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 40,813 รายการ
ปาฎิโมกฺข (พฺรปาฎิโมกฺข) ชบ.บ 119/1ก
เอกสารโบราณ
(คัมภีร์ใบลาน)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 160/5เอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)
โบราณวัตถุที่พบจากกลุ่มโบราณสถานคอกช้างดิน เมืองโบราณอู่ทอง
กลุ่มโบราณสถานคอกช้างดิน ตั้งอยู่เชิงเขาด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเขาคอก นอกคูเมืองโบราณอู่ทอง ห่างไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ ๓ กิโลเมตร ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ประมาณ ๑.๕ กิโลเมตร พบโบราณสถานทั้งหมด ๒๐ กลุ่มใหญ่ ประกอบด้วยโบราณสถานที่สร้างเป็นคันดิน และโบราณสถานที่สร้างด้วยโครงสร้างอิฐ
ศิลาแลง และหิน
กลุ่มโบราณสถานคอกช้างดินที่สร้างเป็นคันดินมีทั้งหมด ๔ แห่ง ลักษณะเป็นคันดินคล้ายอ่างเก็บน้ำ เดิมเชื่อว่าเป็นคอกขังช้างหรือเพนียดคล้องช้าง แต่ปัจจุบันพบหลักฐานจากการดำเนินงานทางโบราณคดีที่โบราณสถานคอกช้างดินหมายเลข ๓ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๔ พบว่าสร้างขึ้นเพื่อกักเก็บน้ำที่ไหลมาจากเขาคอกทางทิศเหนือ
โบราณสถานที่สร้างด้วยอิฐ ศิลาแลง และอิฐ ตั้งอยู่บริเวณที่ราบเชิงเขาคอก ปัจจุบันปรากฏเป็นเนินดิน แบ่งเป็นกลุ่มได้ ๑๖ กลุ่ม ส่วนมากยังไม่ได้ขุดศึกษา โบราณสถานคอกช้างดินที่สร้างด้วยอิฐ ศิลาแลง และอิฐ
ซึ่งผ่านการดำเนินงานทางโบราณคดีมาแล้วและพบหลักฐานที่สำคัญ มีดังนี้
• โบราณสถานคอกช้างดิน หมายเลข ๕ ผ่านการขุดค้นทางโบราณคดีเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๐๙ โบราณวัตถุสำคัญที่พบได้แก่ เอกมุขลึงค์
• โบราณสถานคอกช้างดิน หมายเลข ๖ ผ่านการขุดค้นทางโบราณคดีเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๔๔ โบราณวัตถุสำคัญที่พบได้แก่ ขันสำริด เชิงเทียนสำริด ตุ้มเหล็ก และแท่งเหล็ก เป็นต้น
• โบราณสถานคอกช้างดิน หมายเลข ๗ ผ่านการขุดค้นทางโบราณคดีเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๔๔ โบราณวัตถุสำคัญที่พบได้แก่ ภาชนะดินเผาบรรจุแท่งเงินตัด เหรียญเงินมีจารึก "ศรีทวารดี ศวรปุณยะ" เหรียญเงินมีสัญลักษณ์มงคล (รูปหอยสังข์ รูปศรีวัตสะ รูปพระอาทิตย์) ชิ้นส่วนหัวงูดินเผา เครื่องถ้วยจีน เคลือบสีเขียวสมัยราชวงศ์ถัง เป็นต้น
• โบราณสถานคอกช้างดิน หมายเลข ๑๓ ผ่านการขุดค้นทางโบราณคดี เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๔ โบราณวัตถุสำคัญที่พบได้แก่ แผ่นเหล็กคล้าย ใบมีดเหล็ก แหวนสำริด แม่พิมพ์หรือเบ้าหลอมดินเผา เป็นต้น
• โบราณสถานคอกช้างดินหมายเลข ๑๘ ผ่านการขุดค้นทางโบราณคดี เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๙ โบราณวัตถุสำคัญที่พบได้แก่ กระปุกดินเผาบรรจุเหรียญเงิน เป็นต้น
โบราณวัตถุที่สำคัญมี ดังนี้
o ชิ้นส่วนภาชนะมีพวย เป็นชิ้นส่วนภาชนะดินเผาเนื้อดินส่วนปาก คอ และบ่า มีพวยหนึ่งข้าง สันนิษฐานว่าป็นภาชนะสำหรับใช้สรงน้ำในพิธีกรรม โบราณวัตถุชิ้นนี้พบจากโบราณสถานคอกช้างดิน หมายเลข ๓
o ศิวลึงค์ เป็นศิวลึงค์ที่ทำจากหินขนาดสูง เพียง ๑๘.๕ เซนติเมตร ส่วนฐานเป็น แท่งสี่เหลี่ยมส่วนปลายเป็นแท่งกลมมน เนื่องจากเป็นศิวลึงค์ขนาดเล็ก จึงสันนิษฐานว่าอาจไม่ใช่ศิวลึงค์ประจำ ศาสนสถาน แต่สามารถพกพาเพื่อนำไปประกอบพิธีกรรมหรือบูชาได้
o ภาชนะดินเผาบรรจุเหรียญเงินตราสังข์ เป็นภาชนะดินเผา ส่วนลำตัวคล้ายบาตรพระ ส่วนคอแคบสูง ภายในบรรจุเหรียญ เงินตราสังข์เต็มกระปุก พบจากโบราณสถานคอกช้างดิน หมายเลข ๑๘
o ขัน เป็นขันสำริดทรงกระบอก เนื้อหนาผิวไม่สม่ำเสมอ สันนิษฐานว่าขึ้นรูปด้วยการตี และเป็นเครื่องใช้ในพิธีกรรม โบราณวัตถุชิ้นนี้พบจากโบราณสถานคอกช้างดิน หมายเลข ๖
o เชิงเทียน เป็นเชิงเทียนสำริด สันนิษฐานว่าขึ้น รูปด้วยการตี และเป็นเครื่องใช้ ในพิธีกรรม พบจากโบราณสถาน คอกช้างดิน หมายเลข ๖
o ตุ้มเหล็กเป็นตุ้มเหล็กรูปสี่เหลี่ยมคางหมู สภาพไม่สมบูรณ์ มีสนิมกินทั้งชิ้น ไม่ทราบลักษณะการใช้งาน แต่สันนิษฐานว่าเป็นตุ้มถ่วงชั่งน้ำหนัก พบจากโบราณสถานคอกช้างดิน หมายเลข ๖
o แท่งเหล็ก เป็นแท่งเหล็กเรียวยาวสภาพไม่สมบูรณ์ มีสนิม ไม่ทราบลักษณะ การใช้งานแต่สันนิษฐานว่าเป็นคานที่ใช้กับเครื่องชั่งน้ำหนัก เนื่องจากพบจากโบราณสถานคอกช้างดิน หมายเลข ๖ ใกล้กับตุ้มเหล็ก
o ใบมีด เป็นแผ่นเหล็กแบนยาว ด้านหนึ่งบางกว่าอีกด้าน คล้ายกับใบมีด มีสนิมเกาะทั้งแผ่น พบจากโบราณสถานคอกช้างดิน หมายเลข ๑๓
o แหวน เป็นเส้นลวดขดเกลียวเป็นเส้น และขดเป็นวงแหวน ไม่ทราบ ลักษณะการใช้งานที่แท้จริง สันนิษฐานว่าอาจเป็นของใช้ในพิธีกรรม พบจากโบราณสถานคอกช้างดิน หมายเลข ๑๓
o เบ้าหลอมเป็นแผ่นดินเผา มีหลุมตรงกลาง สันนิษฐานว่าเป็นเบ้าหลอมหรือ แม่พิมพ์ พบจากโบราณสถาน คอกช้างดิน หมายเลข ๑๓
โบราณสถานคอกช้างดิน มีทั้งส่วนที่คันดินสำหรับกักเก็บน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค และส่วนที่เป็นอาคารศาสนสถานเนื่องในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เนื่องจากพบศิวลึงค์ ซึ่งเป็นรูปเคารพในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ไศวนิกาย สัมพันธ์กับการเลือกใช้ภูเขาเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ อันเปรียบเสมือนเขาไกรลาศ ที่ประทับของพระศิวะ พื้นที่บริเวณคอกช้างดินจึงน่าจะเป็นพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทำพิธีกรรมของพราหมณ์ในไศวนิกาย
ที่มาข้อมูล
กรมศิลปากร. โบราณคดีคอกช้างดิน. กรุงเทพฯ : ฟันนี่พับบลิชชิ่ง, ๒๕๔๕.
กรมศิลปากร. โบราณคดีเมืองอู่ทอง. สหมิตรพริ้นติ้ง : นนทบุรี, ๒๕๔๕.
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 15/2ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 36 หน้า : กว้าง 4.7 ซม. ยาว 56 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
เลขวัตถุ
ชื่อวัตถุ
ขนาด (ซม.)
ชนิด
สมัยหรือฝีมือช่าง
ประวัติการได้มา
ภาพวัตถุจัดแสดง
51/2553
ชิ้นส่วนลูกหินบดยา ทรงกระบอก
ย.6.1
Ø 5.2
หิน
ทวารวดี
ได้จากแหล่งโบราณคดีบ้านดงละคร จ.นครนายก นายจำเนียร ทองจันทร์ มอบให้เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2549
เลขทะเบียน : นพ.บ.427/6กห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 68 หน้า ; 5 x 58.5 ซ.ม. : ชาดทึบ-ล่องชาด-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 154 (120-128) ผูก 6ก (2566)หัวเรื่อง : มาลาวิภักค์--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
วันเสาร์ที่ 8 เมษายน พุทธศักราช 2566 เวลา 14.00 น. นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เป็นประธานในพิธีเปิดการแสดงคอนเสิร์ต “2 ทศวรรษ เพชรในเพลง พุทธศักราช 2566” ณ โรงละครศรีอยุธยา หอวชิราวุธานุสรณ์ สำนักหอสมุดแห่งชาติ โดยมีประชาชนเข้าร่วมงานกว่า 200 คน
นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า การแสดงคอนเสิร์ต “2 ทศวรรษ เพชรในเพลง พุทธศักราช 2566” ในวันนี้ จัดขึ้นเพื่อเผยแพร่ผลงานของศิลปินนักร้องผู้ได้รับรางวัล “เพชรในเพลง” ในรอบ 2 ทศวรรษ เพื่อเป็นแบบอย่างในการใช้ภาษาไทยที่ถูกต้อง งดงาม และสร้างสรรค์ ในโอกาสสัปดาห์วันอนุรักษ์มรดกไทย พุทธศักราช 2566 อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมบทเพลงและศิลปินเพชรในเพลงให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย
กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ตระหนักถึงความสำคัญของเพลงต่อการธำรงรักษาภาษาไทย จึงจัดโครงการประกวดเพลง “เพชรในเพลง” เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อพุทธศักราช 2547 มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและเป็นขวัญกำลังใจให้ศิลปินนักร้องและนักประพันธ์เพลงที่ใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้องและสร้างสรรค์ เป็นการร่วมอนุรักษ์ภาษาไทยอันเป็นมรดกวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งของชาติมาอย่างสืบเนื่อง นับเป็นเวลาครบ 20 ปี หรือ 2 ทศวรรษ มีผู้ได้รับรางวัลมาแล้วทั้งสิ้น 406 รางวัล เนื่องในสัปดาห์วันอนุรักษ์มรดกไทย วันที่ 2 – 8 เมษายน 2566 กรมศิลปากรได้จัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับมรดกไทย ตลอดจนส่งเสริมผู้อนุรักษ์มรดกไทยทุกสาขา จึงเป็นโอกาสอันดีที่กรมศิลปากรได้จัดกิจกรรมการแสดงคอนเสิร์ต “2 ทศวรรษ เพชรในเพลง พุทธศักราช 2566” เพื่อเผยแพร่ผลงานของศิลปินคุณภาพที่ได้รับรางวัลเพชรในเพลงในรอบ 2 ทศวรรษให้เป็นแบบอย่างในการส่งเสริมและอนุรักษ์มรดกไทยด้านภาษาและคีตศิลป์ในสังคมไทยต่อไป โดยมีศิลปินทรงคุณวุฒิ ได้แก่ อาจารย์รวงทอง ทองลั่นธม และอาจารย์วินัย พันธุรักษ์ ศิลปินแห่งชาติ รวมถึงอาจารย์โฉมฉาย อรุณฉาน และปาน ธนพร แวกประยูร ผู้ทำหน้าที่กรรมการตัดสินการประกวดเพลง “เพชรในเพลง” พร้อมทั้งศิลปินนักร้องคุณภาพผู้ได้รับรางวัลเพชรในเพลง อาทิ เท่ห์ อุเทน พรหมมินทร์, หนู มิเตอร์, แจ๊ค ธนพล, รัชนก ศรีโลพันธุ์, นัน อนันต์ อาศัยไพรพนา, ใบเฟิร์น สุทธิยา, บูม ชญาภา, ปะแป้ง พลอยชมพู, หมิว เขมจิรา, นิตา ลลดา, มิวสิค โรสซาวด์ ร่วมขับขานบทเพลงไพเราะกว่า 25 เพลง บรรเลงโดยวงดุริยางค์สากล กรมศิลปากร
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย ประจำปี ๒๕๖๖ การจัดนิทรรศการพิเศษ เรื่อง “เงินตราในประเทศไทย : วิวัฒน์เงินตราไทย จากสุโขทัยถึงรัตนโกสินทร์” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพและวันอนุรักษ์มรดกไทย และเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับเรื่องเงินตราที่ใช้ในประเทศไทย พัฒนาการของเงินตรา รูปแบบของเงินตราในสมัยต่าง ๆ โดยเฉพาะที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร ให้แก่นักเรียนนักศึกษา ครูอาจารย์ และประชาชนทั่วไป
นิทรรศการพิเศษดังกล่าวจะบอกเล่าเรื่องราวของเงินตราในหัวข้อต่าง ๆ ได้แก่
๑. เงินตราในฐานะสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน
๒. พัฒนาการเงินตราในประเทศไทย
๓. เบี้ย : ความหมายของเบี้ย เบี้ยในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ หลักฐานการใช้เบี้ยเป็นเงินตราในประเทศไทย การยกเลิกใช้เบี้ย
๔. พดด้วง สมัยสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์
๕. มาตราเงินไทยโบราณ
๖. การปฏิรูประบบเงินตราในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
๗. เมื่อแรกปรากฏพระบรมรูปบนเหรียญกษาปณ์ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ กับการเปิดรับความเจริญจากชาวตะวันตก
๘. เงินตราสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ถึง พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ ๘
๙. เงินตราสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙
๑๐. เงินตราสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐
นอกจากนี้ ภายในนิทรรศการยังมีการจัดแสดงโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ประเภทเงินตราต่าง ๆ เช่น เบี้ย สมัยอยุธยา พุทธศตวรรษที่ ๒๐ – ๒๓, เงินพดด้วง ชนิดราคา ๑ บาท ในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม สมเด็จพระนารายณ์ และสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ ช่วงสมัยอยุธยาตอนกลางถึงตอนปลาย ซึ่งเป็นโบราณวัตถุที่พบในพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชร
เบี้ย สมัยอยุธยา
เงินพดด้วง ราคา ๑ บาท สมัยอยุธยา รัชกาลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม
เงินพดด้วง ราคา ๑ บาท สมัยอยุธยา รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
เงินพดด้วง ราคา ๑ บาท สมัยอยุธยา รัชกาลสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ
เหรียญพระบรมรูป – ตราแผ่นดิน ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ บนเหรียญไม่ระบุศักราช เริ่มผลิตครั้งแรก ร.ศ. ๙๕ หรือ พ.ศ. ๒๔๑๙ ถือเป็นครั้งแรกที่มีการอัญเชิญพระบรมรูปพระมหากษัตริย์ประทับบนหน้าเหรียญ
เหรียญพระบรมรูป – ตราไอราพต ผลิตขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๕๖ จนถึง พ.ศ. ๒๔๖๘ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๔๖๑ เศรษฐกิจตกต่ำ ราคาโลหะเงินเพิ่มสูงขึ้น จึงมีการลดส่วนผสมในการผลิตเงิน
เหรียญตราอุณาโลม – พระแสงจักร ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นเหรียญที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผลิตตามลักษณะแบบสตางค์รูที่เคยจัดทำในสมัยรัชกาลที่ ๕ แต่มีรายละเอียดแตกต่างกันบ้าง เช่น ศักราชที่ระบุบนเหรียญในสมัยนี้ใช้ปีพุทธศักราช (พ.ศ.) ส่วนในสมัยรัชกาลที่ ๕ ใช้ปีรัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.)
เหรียญพระบรมรูป – ตราพระครุฑพ่าห์ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ซึ่งตราพระครุฑพ่าห์ รัชกาลที่ ๖ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นตราพระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน
เหรียญพระบรมรูป – ตราแผ่นดิน ชนิดราคา ๑ บาท ผลิตใน พ.ศ. ๒๕๐๕ สมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นเหรียญบาทที่มีลักษณะโดดเด่น เนื่องจากมีขนาดใหญ่ เส้นผ่านศูนย์กลาง ๒๗ มิลลิเมตร
เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเนื่องในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ ๑๐ วันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ด้านหน้าของเหรียญเป็นพระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนด้านหลังมีรูปตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์ มีรัศมีโดยรอบ
ธนบัตร แบบ ๓ รุ่น ๑ ชนิดราคา ๑ บาท เริ่มออกใช้ตั้งแต่พุทธศักราช ๒๔๗๗ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นธนบัตรแบบแรกที่เชิญพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ของพระมหากษัตริย์เป็นภาพประธาน และมีการพิมพ์ข้อความแจ้งโทษของการปลอมแปลงธนบัตรเป็นครั้งแรก
ธนบัตรแบบ ๙ ชนิดราคา ๕๐ สตางค์ ประกาศออกใช้ครั้งแรก วันที่ ๒๖ มกราคม ๒๔๙๑ สมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นธนบัตรที่ไม่ปรากฏพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ รัชกาลที่ ๙ อีกทั้งไม่มีลายมือชื่อผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และไม่มีลายน้ำ
ผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมได้ระหว่างเดือนเมษายนถึงมิถุนายน ๒๕๖๖ โดยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร เปิดให้บริการทุกวันพุธถึงวันอาทิตย์ เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. หยุดวันจันทร์ วันอังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ค่าธรรมเนียมเข้าชม ชาวไทย ๒๐ บาท ชาวต่างชาติ ๑๐๐ บาท ยกเว้น นักเรียนนักศึกษา นักบวชทุกศาสนา และผู้สูงอายุ
---------------------------------------------
ข้อมูลวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๖
โดยนางสาวพรรณลักษณ์ พันธ์วนิชดำรง ภัณฑารักษ์ชำนาญการ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร
วันอาทิตย์ที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๖) เวลา ๑๐.๐๐ น. นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมวันพิพิธภัณฑ์ไทย ประจำปี ๒๕๖๖ “การจัดการคลังและวัตถุพิพิธภัณฑ์สู่ความยั่งยืน” ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
พุทธศักราช ๒๕๓๘ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้วันที่ ๑๙ กันยายนของทุกปี เป็นวันพิพิธภัณฑ์ไทย กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากร ได้จัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี และใน ปีนี้ กรมศิลปากร โดยสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ร่วมกับเครือข่ายพิพิธภัณฑ์ทั่วประเทศ จัดกิจกรรมพิเศษเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในหมู่นักวิชาชีพพิพิธภัณฑ์ในการพัฒนากิจการพิพิธภัณฑสถานให้สามารถตอบสนองต่อสังคมในมิติของความยั่งยืน ภายใต้หัวข้อ “การจัดการคลังและวัตถุพิพิธภัณฑ์สู่ความยั่งยืน” โดยแนวคิดหลักที่นำมาสู่หัวข้อการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากแนวทางการทำงานพิพิธภัณฑ์สากลของสภาการพิพิธภัณฑ์ระหว่างชาติ หรือ ICOM ที่ได้ประกาศไว้ในวันพิพิธภัณฑ์สากล ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๖ ที่ผ่านมา ว่า “Museums, Sustainability and well-being: พิพิธภัณฑ์เป็นสถาบันที่มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมการมีสุขภาวะที่ดี พร้อมการพัฒนาสังคมได้อย่างยั่งยืน” ด้วยเล็งเห็นว่า “คลังพิพิธภัณฑ์” และ “วัตถุพิพิธภัณฑ์” เป็นหัวใจสำคัญของพิพิธภัณฑ์ ดังนั้นการดูแลบริหารคลังพิพิธภัณฑ์และวัตถุพิพิธภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพ จึงถือได้ว่าเป็นการสร้างความยั่งยืนแก่มรดกทางวัฒนธรรมและมรดกทางธรรมชาติให้คงอยู่สืบไป
กิจกรรมเนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทย ประจำปี ๒๕๖๖ “การจัดการคลังและวัตถุพิพิธภัณฑ์สู่ความยั่งยืน” กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๗ - ๑๙ กันยายน ๒๕๖๖ ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากพิพิธภัณฑ์เครือข่าย จำนวน ๒๐ แห่ง และหน่วยงานในสังกัดกรมศิลปากร จำนวน ๙ แห่ง มีกิจกรรมต่าง ๆ ดังนี้
ส่วนที่ ๑ กิจกรรมการนำเสนอผลงานความก้าวหน้าทางวิชาการพิพิธภัณฑสถานวิทยา โดยเครือข่ายพิพิธภัณฑ์ นำเสนอข้อมูลและมุมมองที่แตกต่างในการทำงานเกี่ยวกับคลังพิพิธภัณฑ์ การนำเทคโนโลยีปัจจุบันเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์ การดูแลรักษาวัตถุพิพิธภัณฑ์ และการถอดบทเรียนจากงานทำงานคลังพิพิธภัณฑ์ในช่วงสถานการณ์โควิด-19
ส่วนที่ ๒ การจัดนิทรรศการแสดงผลงานร่วมกันของเครือข่าย ในหัวข้อ “Museum Unveiling: เรื่องลึก เบื้องหลังพิพิธภัณฑ์ไทย” นำเสนอเรื่องราวความรู้ในศาสตร์ด้านต่าง ๆ ผ่านโบราณวัตถุในคลังที่หลายคนอาจยังไม่เคยเห็น
ส่วนที่ ๓ การจัดกิจกรรม Workshop ด้านการอนุรักษ์วัตถุพิพิธภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน
ส่วนที่ ๔ งานออกร้านแสดงผลงานหรือสินค้าต่อยอดกิจการพิพิธภัณฑ์
นอกจากนี้ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ได้เปิดการนำชมพิเศษ “ยลพิพิธภัณฑ์ยามค่ำคืน” (Night at the Museum) ภายในหมู่พระวิมาน จำนวน ๒ รอบ เวลา ๑๗.๐๐ น. และ ๑๘.๐๐ น. (เปิดลงทะเบียนล่วงหน้าเวลา ๑๖.๑๕ น.) และกิจกรรม “มหาคณปติบูชา” เนื่องในเทศกาลคเณศจตุรถี ร่วมสักการะขอพรพระคเณศ ณ เทวาลัยชั่วคราว ห้องศรีวิชัย อาคารมหาสุรสิงหนาท และนำชมรอบพิเศษ “กำเนิดพระคเณศ” วันละ ๑ รอบ ในเวลา ๑๘.๐๐ น. (เปิดลงทะเบียนล่วงหน้าเวลา ๑๗.๓๐ น.)
ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมเนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทย ๒๕๖๖ ระหว่างวันที่ ๑๗ – ๑๙ กันยายน ๒๕๖๖ เวลา ๐๙.๓๐ – ๑๙.๓๐ น. ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
วันที่ 11 สิงหาคม 2566กลุ่มโบราณคดี ทำการสำรวจโบราณสถานในพื้นที่อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี จำนวน 2 แห่ง คือ1).โบราณสถานบริเวณที่พักสงฆ์วัดไทย บ้านหัวสวยพบซากเจดีย์ (ธาตุ) ก่ออิฐฉาบปูนแปดเหลี่ยม และฐานอาคารในผังสี่เหลี่ยมวางตัวนแนวแกนตะวันออก – ตะวันตก(ธาตุอยู่ด้านหลังอาคารในผังสี่เหลี่ยม)2).เจดีย์ (ธาตุ) ร้าง ก่ออิฐ มีต้นไม้ปกคลุม ไม่สามารถศึกษารายะเอียดได้มากนักสันนิษฐานว่าโบราณสถานทั้ง 2 แห่ง สร้างขึ้นในสมัยวัฒนธรรมล้านช้าง เมื่อราว 400 – 100 ปีมาแล้วสอบถามหรือแจ้งข้อมูลโบราณสถาน 043-242129 Line: finearts8kk E-mail: fad9kk@hotmail.comพื้นที่ในความรับผิดชอบขอนแก่น เลย หนองบัวลำภู อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ สกลนคร#ความรู้ #องค์ความรู้ทางวิชาการ #บทความ #สำนักศิลปากรขอนแก่น #ขอนแก่น #กรมศิลปากร #แหล่งโบราณคดี #โบราณคดี
นิทรรศการหมุนเวียน
"Object of the Month" วัตถุจากคลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี
ประจำเดือน "มิถุนายน" ระหว่าง
วันที่ ๑ - ๓๐ มิ.ย. ๒๕๖๖ เชิญพบกับ
"พระพุทธรูปปางมารวิชัย" ปางสัมผัสแผ่นดิน
องค์ความรู้สุพรรณบุรี เรื่อง ราชินีลูกทุ่ง พุ่มพวง ดวงจันทร์
ผู้เรียบเรียง :
นางอภิญญานุช เผ่าพงษ์คล้าย บรรณารักษ์ชำนาญการ
หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ
เสาปริศนาที่วัดป่ามะม่วง. วัดป่ามะม่วง เป็นโบราณสถานด้านทิศตะวันตกของเมืองสุโขทัย มีการค้นพบศิลาจารึกที่กล่าวถึงวัดแห่งหนึ่งที่สร้างขึ้นที่ป่ามะม่วง เมื่อ พ.ศ. ๑๙๐๔ ได้มีการอาราธนา ‘มหาสามีสังฆราช’ จากเมืองพัน (มอญ) มาจำพรรษา โดยในเวลาต่อมาพระเถระรูปนี้ได้ทำพิธีบวชให้แก่พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พญาลิไท) ภายในวัดประกอบด้วยอุโบสถ เจดีย์ราย และเจดีย์ประธาน นอกจากนี้ภายในวัดยังมีเสาศิลาแลงตั้งอยู่ด้านหลังเจดีย์ประธาน ปัจจุบันยังไม่ทราบรูปแบบการใช้งานที่แน่ชัด แต่นักวิชาการบางท่านสันนิษฐานว่า อาจเป็นเสาประดับรูปหงส์ที่สร้างขึ้นโดยพระเถระชาวมอญจากเมืองพันที่มาจำพรรษาที่วัดป่ามะม่วง โดยที่มาของเสาหงส์ เกิดจากเรื่องเล่าที่เล่าต่อ ๆ กันมาว่า ภายหลังที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๘ ปี พระองค์เสด็จโปรดเวไนยสัตว์ในแคว้นต่าง ๆ เมื่อเสด็จมาถึงเขาสุทัศนมรังสิต ทางด้านทิศเหนือของสะเทิมได้ทอดพระเนตรเห็นเนินดินกลางทะเล โดยมีหงส์ทอง ๒ ตัวเล่นน้ำอยู่จึงทำนายว่า เนินดินที่หงส์ทั้งสองเล่นน้ำอยู่นั้น จะเป็นมหานครที่ชื่อว่า ‘หงสาวดี’ เป็นที่ตั้งพระธาตุสถูปเจดีย์พระศรีมหาโพธิ์และพระศาสนา ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานได้ ๑,๐๐๐ ปี จากเนินดินที่อยู่กลางทะเลกลายเป็นแผ่นดินใหญ่ พระราชบุตรของพระเจ้าเสนาคงคา นามว่า ‘สมลกุมาร’ และ ‘วิมลกุมาร’ เป็นผู้รวบรวมไพร่พลก่อตั้งเมืองขึ้น แล้วให้ชื่อว่าเมืองหงสาวดี ชาวมอญจึงใช้หงส์เป็นสัญลักษณ์ของประเทศนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ดังนั้นคนมอญหรือชนชาติมอญจึงมีจิตใจมุ่งมั่นในพระพุทธศาสนาและมีการประดิษฐานเสาหงส์ตามวัดวาอารามต่าง ๆ นั่นเอง อย่างไรก็ตาม การสร้างเสาสูงภายในศาสนสถานก็เคยปรากฏมาแล้วในอินเดีย ยกตัวอย่างเช่นเสาศิลาของพระเจ้าอโศก ที่ปักอยู่ด้านหน้าพุทธสถานและสถานที่สำคัญในพุทธประวัติ เพื่อใช้ในการจารึกพุทธธรรมหรือคำประกาศ ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่ได้รับความนิยมมากในรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ แบบที่ไม่มีธรรมจักรด้านบนและประเภทที่มีธรรมจักรด้านบน โดยธรรมจักรเป็นสิ่งที่แสดงถึงธรรมของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ยังสื่อถึงความเป็นพระจักรพรรดิราชของพระเจ้าอโศกมหาราชอีกด้วย.อ้างอิง ๑. เชษฐ์ ติงสัญชลี. (๒๕๖๓). ประวัติศาสตร์ศิลปะอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้. พิมพ์ครั้งที่ ๔. นนทบุรี. มิวเซียมเพรส. ๒. ศักดิ์ชัย สายสิงห์. (๒๕๖๑). ศิลปกรรมโบราณในอาณาจักรสุโขทัย. นนทบุรี: มิวเซียมเพรส. ๓. ที่ระลึกงาน ประเพณีแห่หงส์ ธงตะขาบ. (๒๕๔๙). กรุงเทพฯ: บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน).