ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,611 รายการ
ชื่อเรื่อง มหานิปาตวณฺณนา (เวสฺสนฺตรชาดก)ชาตกฎฐกถา ขุทฺทกนิกายฏฐกถา (ทานขันธ์-นครกัณฑ์)
สพ.บ. 250/7ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 32 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 58 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา--การศึกษาและการสอน ชาดก
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ-ล่องรัก ได้รับบริจาคมาจากวัดทุ่งอุทุมพร ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
เค้าสนามหลวงหลังจากเชียงใหม่ขับไล่พม่าออกจากเมืองได้สำเร็จ ภายใต้การสวามิภักดิ์และความร่วมมือของพระยาจ่าบ้านและเจ้ากาวิละ (โอรสเจ้าฟ้านครลำปาง) เชียงใหม่จึงตกอยู่ภายใต้การปกครองของสยามในฐานะเมืองประเทศราช เมื่อพระยาวชิรปราการ เจ้าเมืองเชียงใหม่ถึงแก่กรรมลง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้แต่งตั้งพระเจ้ากาวิละขึ้นปกครองนครเชียงใหม่ พระเจ้ากาวิละทรงฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่จากการเป็นบ้านเมืองร้าง ให้เป็นศูนย์กลางการปกครองและทรงฟื้นฟูระบบการปกครองล้านนาให้มีเอกภาพดังเดิม มีการแต่งตั้งเสนาบดี ๔ ตำแหน่งเช่นเดียวกับขุนนางจตุสดมภ์ของส่วนกลาง และเค้าสนามหลวง เพื่อทำหน้าที่ถวายข้อคิดเห็นตามที่มีทรงหารือ คำว่า “เค้าสนามหลวง” หรือ “เค้าสนาม” ปรากฏในเอกสารจดหมายเหตุและหนังสือทั่วไป (เรียกชื่ออื่นได้ว่า ข่วง ข่วงสนาม หรือสนาม) ซึ่งคำนี้เป็นคำในภาษาถิ่นพายัพและเป็นคำโบราณ ไม่ปรากฎหลักฐานแน่ชัดว่าเริ่มมีมาตั้งแต่เมื่อใดราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายคำว่า เค้าสนามหลวง (ถิ่น-พายัพ; โบ) น. สำนักผู้ปกครองบ้านเมือง ที่ว่าราชการเมือง คณะผู้ว่าการบ้านเมืองซึ่งประกอบด้วย เจ้าผู้ครองเมืองหรือผู้ครองเมืองข้าหลวงประจำนครหรือเมือง ซึ่งต่อมาเรียกว่า ปลัดมณฑลประจำจังหวัด และข้าหลวงผู้ช่วย มีหน้าที่บังคับบัญชารับผิดชอบในกิจการทั่วไปของเมือง เค้าสนาม ก็ว่า อรวรรณ ภิรมจิตรผ่อง (อ้างถึง สินชัย กระบวนแสง, ๒๕๔๕) อธิบายคำว่า เค้าสนาม ว่า เป็นชื่อเรียกคณะบุคคลคณะหนึ่งที่ทำงานสำคัญต่าง ๆ ถวายพระเจ้าเชียงใหม่ วรชาติ มีชูบท อธิบายคำว่า เค้าสนามหลวง หรือที่ภาษาถิ่นล้านนาออกเสียงว่า เก๊าสนามหลวง หรือ เก๊าสนาม นั้น คือ องค์คณะขุนนางผู้ทำหน้าที่บริหารราชการบ้านเมือง เปรียบได้กับเสนาบดีจตุสดมภ์และลูกขุน ณ ศาลา และลูกขุน ณ ศาลหลวง จินตนา กิจมี กล่าวถึงพื้นที่บริเวณหอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่ ว่า “...เดิมเป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่สมัยพระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงษ์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ ๖ ถึงเจ้าเทพไกรสร พระธิดา ซึ่งเสกสมรสกับเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ ๗ ซึ่งทรงใช้เป็น “หอคำ” ซึ่งอยู่ในบริเวณคุ้มกลางเวียง หรือ “เค้าสนามหลวง” สำนักผู้ปกครองบ้านเมือง หรือที่ว่าราชการเมืองในสมัยนั้น...” ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีนโยบายรวมหัวเมืองประเทศราชเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสยาม โปรดเกล้าฯ ให้ปฏิรูปการปกครองในหัวเมืองฝ่ายเหนือ อันประกอบด้วย เมืองเชียงใหม่ เมืองลำพูน และเมืองลำปางขึ้นเป็นหัวเมืองลาวเฉียง โดยทรงแต่งตั้งให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นพิชิตปรีชากร ไปบัญชาการการปฏิรูป ซึ่งทรงมีนโยบายปรับปรุงรูปแบบการปกครองให้มีความสอดคล้องกับการปกครองตามประเพณีเดิม โดยคงเค้าสนามไว้ แต่ตั้งกรมใหม่ขึ้น ๖ กรม ได้แก่ กรมมหาดไทย กรมทหาร กรมคลัง กรมยุติธรรม กรมวัง และกรมนา มีตำแหน่งเสนาทำหน้าที่เป็นเจ้ากรมเค้าสนาม มีหน้าที่คัดเลือกเจ้านายท้องถิ่น ขุนนางท้องถิ่น มาดำรงตำแหน่งเสนา เสนารอง แล้วเสนอให้พระเจ้าเชียงใหม่ทรงแต่งตั้ง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาล เชียงใหม่ยังคงใช้ระบบปกครองให้สอดคล้องกับประเพณีเดิม โดยมีเค้าสนามเป็นคณะกรรมการบริหารและเสนา ๖ ตำแหน่งตามเดิม แต่ได้ยุบตำแหน่งที่ไม่เหมาะสมไป จนตำแหน่งเค้าสนามและเสนาทั้ง ๖ หมดไป ในส่วนของเอกสารจดหมายเหตุ พบในเอกสารสำคัญหลายฉบับที่ระบุถึงคณะทำงาน “เค้าสนามหลวง” ยกตัวอย่างเช่น เอกสารที่กล่าวถึงการเสด็จฯ นครเชียงใหม่ชั่วคราวของเจ้าดารารัศมี ในปี ร.ศ. ๑๒๗ – ๑๒๘ (ประมาณ พ.ศ. ๒๔๕๑) พบว่า เมื่อมีคำสั่งเรื่องการเสด็จนครเชียงใหม่ของพระนางเจ้าดารารัศมี ทางส่วนราชการได้มอบหมายให้คณะทำงานเค้าสนามหลวง และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทำการรับเสด็จอย่างสมพระเกียรติ คณะทำงานเค้าสนามหลวง จึงได้สั่งการแก่กองตำรวจภูธรนครเชียงใหม่เรื่องการรับเสด็จและการจัดริ้วกระบวนดำเนินการต่อไป ผู้เรียบเรียง: นางเกษราภรณ์ กุณรักษ์ นักจดหมายเหตุชำนาญการ และนางสาวอริสรา คงประเสริฐ นักจดหมายเหตุ อ้างอิง: ๑. กรมศิลปากร. ๒๕๖๐. ปกิณกศิลปวัฒนธรรม เล่ม ๒๓ จังหวัดเชียงใหม่. กรุงเทพมหานคร: รุ่งศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗). ๒. จินตนา กิจมี. ๒๕๖๒. “เค้าสนามหลวง.” ใน วงศ์สักก์ ณ เชียงใหม่ (บรรณาธิการ). เชียงใหม่ นครแห่งอมต. เชียงใหม่: บริษัท วิทอินดีไซน์ จำกัด, ๖๕-๗๒.๓. ราชบัณฑิตยสถาน. ๒๕๕๔. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร: ศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้น.๔. วรชาติ มีชูบท. ๒๕๕๖. เจ้านายฝ่ายเหนือและตำนานรักมะเมียะ. กรุงเทพมหานคร: เอ.พี.กราฟิคดีไซน์และการพิมพ์.๕. หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่. เอกสารการจัดเตรียมต้อนรับพระราชชายาเจ้าดารารัศมี เสด็จกลับเมืองเชียงใหม่ ครั้งแรก พ.ศ. ๒๔๕๑-๒๔๕๒. ๖. อรวรรณ ภิรมจิตรผ่อง. ๒๕๖๑. “เค้าสนามหรือเค้าสนามหลวง.” เดลินิวส์ (๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑): ๒๓.
เลขทะเบียน : นพ.บ.181/2กห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 46 หน้า ; 4 x 48 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 103 (91-100) ผูก 2ก (2565)หัวเรื่อง : แปดหมื่นสี่พันธ์ขันธ์ --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
กฐินานิสํสกถา (อานิสํสกถิน)
ชบ.บ.60/1-1
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ชื่อเรื่อง มิลินฺทปญฺหาสงฺเขป (มิลินทปัญหา)สพ.บ. 322/1ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 52 หน้า : กว้าง 4.6 ซม. ยาว 56.7 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา ชาดก บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจาก วัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
เลขทะเบียน : นพ.บ.282/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 60 หน้า ; 4 x 52 ซ.ม. : ชาดทึบ-ล่องชาด ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 118 (240-247) ผูก 1 (2565)หัวเรื่อง : สุจินฺทชาดก(สุจินทชาดก)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
พระราชดำรัสด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติ “...ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นพิภพนี้มีอยู่จำกัด ในขณะที่ประชากรของโลกนั้นเพิ่มจำนวนขึ้นมาก รวดเร็ว และคนทั้งหลายก็คิดอยากจะประกอบกิจการต่าง ๆ มากขึ้น ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติหลายอย่างเกิดขาดแคลน ทั้งนี้ไม่ได้เป็นเฉพาะประเทศนั้น ประเทศนี้ แต่เป็นวิกฤตกาลทั่วโลกที่กำลังเป็นอยู่ ทำให้การดำรงชีวิตยากลำบากขึ้นทุกวัน ภาวะเช่นนี้ก็มิใช่จะเป็นภาวะที่เกิดขึ้นชั่วคราว “... หากแต่จะต้องเป็นไปโดยตลอดและจะทวี ความรุนแรงขึ้นต่อไป...” แต่ถ้าทุกฝ่ายเห็นใจกัน มีความรอบรู้และเข้าใจว่าเวลานี้ทั่วโลกเกิดความยากเข็ญเพราะภาวะการเงินปั่นป่วนสั่นสะเทือน เพราะขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ ๆ หลายอย่าง แล้วพยายามที่จะอะลุ้มอล่วยกัน ไม่เห็นแต่ประโยชน์ตัวข้างเดียว ต่างฝ่ายต่างตั้งใจที่จะค้ำจุนซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือกันคนละไม้คนละมือ พอที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างสะดวกสบาย...”พระราชดำรัสในพิธีพระราชทานเข็มที่ระลึกแก่ผู้บริจาคโลหิตให้สภากาชาดไทย ประจำปี ๒๕๑๗ ครั้งที่ ๔ ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๑๘ภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
บ่อเกิดแห่งละครเสภา เรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพระไวยแตกทัพ
"ขุนช้างขุนแผน” เป็นวรรณคดีที่มีเค้าจากเรื่องจริงในสมัยกรุงศรีอยุธยาพัฒนามาจากนิทานประกอบคำกลอนแบบเป็นตอนมาเป็นนิทานคำกลอนที่ใช้การขับเสภา และการขับร้อง มีวิวัฒนาการจากนิทานพื้นบ้านมาเป็นวรรณคดีราชสำนักในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีการเผยแพร่การพิมพ์ครั้งแรกในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยโรงพิมพ์หมอสมิท ต่อมาพุทธศักราช ๒๔๖๐ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงชำระวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ ซึ่งมีการประพันธ์เนื้อเรื่องขึ้นใหม่ และตัดเนื้อหาในบางส่วน รวบรวมจัดพิมพ์ และเผยแพร่ทั้งหมด ๔๓ ตอน ให้เป็นฉบับแบบแผนที่สืบทอดมาจนทุกวันนี้ ด้วยความสำคัญของวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน กรมส่งเสริมวัฒนธรรม จึงประกาศขึ้นบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เมื่อพุทธศักราช ๒๕๕๓ ในสาขาวรรณกรรมพื้นบ้านและภาษา ประเภทนิทานพื้นบ้าน เพื่อให้วรรณคดีเรื่องนี้ได้รับการศึกษาและอนุรักษ์ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของชาติอย่างยั่งยืนสืบไป นอกจากนี้ขุนช้างขุนแผนยังเป็นวรรณคดีที่ได้รับความนิยมเรื่องหนึ่งจึงถูกหยิบยกนำมาจัดการแสดงในรูปแบบภาพยนตร์ ละครเวที ละครโทรทัศน์ และละครเสภาอย่างต่อเนื่อง
ละครเสภามีวิวัฒนาการมาจากการขับเสภา ที่นิยมนำเรื่องราวของวรรณคดีต่างๆ มาขับเสภา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องขุนช้างขุนแผน แต่เดิมการขับเสภาไม่มีดนตรีประกอบ ผู้ขับเป็นผู้ขยับกรับสอดแทรกในทำนองขับเสภาของตนเท่านั้น ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงโปรดการขับเสภาเป็นอย่างยิ่ง จึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มีวงปี่พาทย์บรรเลงประกอบ มีการแทรกเพลงสำหรับร้องส่งให้ปี่พาทย์รับในบทที่สมควรแก่การขับร้อง ส่วนบทที่เห็นว่าเป็นการดำเนินเรื่องก็ให้ใช้ขับเสภา ส่วนตอนใดเป็นบทสู้รบและอื่นๆ ปี่พาทย์ก็จะบรรเลงเพลงหน้าพาทย์ประกอบบทนั้น ๆ เมื่อการขับเสภามีทั้งเพลงร้องและการบรรเลงเพลงหน้าพาทย์เช่นนี้ จึงมีวิวัฒนาการโดยให้ตัวละครมาแสดงตามบทเหมือนกับการแสดงละครนอก เรียกการแสดงเช่นนี้ว่า “ละครเสภา”
พุทธศักราช ๒๔๙๒ นายธนิต อยู่โพธิ์ ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองการสังคีต กรมศิลปากร ได้เล็งเห็นความสำคัญของละครเสภา เรื่องขุนช้างขุนแผน โดยปรารภที่จะให้ศิลปินและนักเรียนนาฎศิลป ในกองการสังคีต กรมศิลปากร และโรงเรียนนาฏศิลป ฝึกหัดบทบาทลีลาท่ารำตามแบบละครไทยที่นิยมกันว่างดงาม นอกจากนั้นยังให้ฝึกหัดท่ารำท่าเต้นกระบี่กระบอง อันเป็นศิลปะแบบ War Dance หรือระบำวีรชัย ซึ่งนิยมดัดแปลงให้เข้ากับท่าทางนาฏศิลป์ จากนั้นจึงได้ค้นคว้าบทละครเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพระไวยแตกทัพ สำนวนของหลวงพัฒนพงศ์ภักดี ที่ท่านเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรงสั่งให้ประพันธ์บทละครเพื่อให้คณะละครของท่านแสดง และบทละครสำนวนของนางมัลลี คงประภัศร์ ซึ่งเป็นบทละครที่ปรับปรุงมาจากบทของท่านเจ้าพระยามหินทรศักดิธำรงเช่นกันกัน จากนั้นถวายบทละครให้หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล กับหม่อมเจ้าหญิงพัฒนายุ ดิศกุล ทรงนำไปปรับกับบทเสภาขึ้นใหม่ เพื่อให้เหมาะสมแก่การแสดงมากยิ่งขึ้น ต่อมาในเดือนกรกฎาคม ๒๔๙๒ นายธนิต อยู่โพธิ์ หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล หม่อมเจ้าหญิงพัฒนายุ ดิศกุล ท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี ศิลปินแห่งชาติ นายมนตรี ตราโมท ศิลปินแห่งชาติ จึงได้ร่วมกันปรับปรุงบทละคร พร้อมทั้งบรรจุเพลงที่บ้านท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี แล้วจึงจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มบทละครสำหรับฝึกซ้อมศิลปินและนักเรียน นาฏศิลป ของกรมศิลปากร
ละครเสภา เรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพระไวยแตกทัพ จัดการแสดงครั้งแรกเมื่อพุทธศักราช ๒๔๙๒ ณ โรงละคอนศิลปากร ทุกวันศุกร์ วันเสาร์ วันอาทิตย์ เวลา ๑๔.๐๐ น. และ ๒๐.๐๐ น. ในวันอาทิตย์จะเพิ่มรอบเช้าเวลา ๑๐.๐๐ น. ซึ่งฝึกหัดนาฏศิลปินโดยท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี ศิลปินแห่งชาติ และครูนาฏศิลปิน ของกรมศิลปากร ฝึกซ้อมการบรรเลงและขับร้องโดยหม่อมเจ้าหญิงพัฒนายุ ดิศกุล และนายมนตรี ตราโมท ศิลปินแห่งชาติ ออกแบบและสร้างฉากโดยหม่อมเจ้าหญิงพิไลเลขา ดิศกุล และนายโหมด ว่องสวัสดิ์ ศิลปินแห่งชาติ ออกแบบเครื่องแต่งกายโดยหม่อมเจ้าหญิงพูนพิสมัย ดิศกุล และท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี การจัดการแสดงละครในครั้งนี้ได้กำหนดผู้แสดงในบทบาทตัวละครเอกจำนวน ๒ ชุด คือ ชุดศิลปินชาย และชุดศิลปินหญิง ผลัดเปลี่ยนกันแสดงชุดละ ๑ สัปดาห์ อันมีรายนาม ดังนี้
ชุดศิลปินชาย
พระพันวษา นายอร่าม อินทรนัฏ
พระไวย นายอาคม สายาคม
ขุนแผน นายยอแสง ภักดีเทวา
พลายชุมพล (ไทย) นายธีรยุทธ ยวงศรี
พลายชุมพล (มอญ) นายจำนง พรพิสุทธิ์
พระยากลาโหม นายกรี วรศะริน
เจ้าหมื่นศรีสรรักษ์ นายบุญชัย เฉลยทอง
ชุดศิลปินหญิง
พระพันวษา นางส่องชาติ ชื่นศิริ ศิลปินแห่งชาติ
พระไวย นางสุวรรณี ชลานุเคราะห์ ศิลปินแห่งชาติ
ขุนแผน นางประทิน พวงสำลี
พลายชุมพล (ไทย) นางศิริวัฒน์ ดิษยนันทน์ ศิลปินแห่งชาติ
พลายชุมพล (มอญ) นางสินีนาฏ โพธิเวส
พระยากลาโหม นางวิไล เศษโชติ
เจ้าหมื่นศรีสรรักษ์ นางสาวปราณี สำราญวงศ์
ปัจจุบันสำนักการสังคีต กรมศิลปากร ยังคงอนุรักษ์ สืบทอดรูปแบบ วิธีการแสดง การกำหนดผู้แสดง และกระบวนท่ารำของตัวละครในการแสดงละครเสภา เรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพระไวยแตกทัพ พร้อมทั้งพัฒนา สร้างสรรค์ ต่อยอดทางด้านองค์ประกอบการแสดงด้วยระบบฉาก แสง เสียง ที่ทันสมัย ก่อให้เกิดอรรถรสในการชมการแสดงมากยิ่งขึ้น
การแสดงละครเสภา เรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพระไวยแตกทัพ ในรอบพิเศษนี้ยังได้การกำหนดผู้แสดงบทบาทตัวละครเอกชุดศิลปินชายและชุดศิลปินหญิงตามรูปแบบการจัดการแสดงในครั้งแรกเมื่อพุทธศักราช ๒๔๙๒ ซึ่งจัดการแสดงในวันเสาร์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๕ (ชุดศิลปินชาย หญิง) และวันอาทิตย์ ๖ มีนาคม ๒๕๖๕ (ชุดศิลปินหญิง) เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ โรงละครแห่งชาติ กำกับการแสดงโดย ปกรณ์ พรพิสุทธิ์
บัตรราคา ๒๐๐, ๑๕๐, ๑๐๐ บาท เริ่มจำหน่ายบัตรตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ณ ห้องจำหน่ายบัตร โรงละครแห่งชาติ และจำหน่ายบัตรออนไลน์ที่ https://ntt.finearts.go.th นอกจากนี้ท่านที่ซื้อบัตรชมการแสดงทั้งสองรอบจะได้รับของที่ระลึกสุดพิเศษจากศิลปิน กรมศิลปากร
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม (วันและเวลาราชการ) โทร. ๐ ๒๒๒๔ ๑๓๔๒ และ ๐ ๒๒๒๑ ๐๑๗๑
ทั้งนี้การจัดการแสดงอยู่ภายใต้มาตรการป้องกันโรคตามแผนมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยและมาตรการที่ทางราชการกำหนด
เรียบเรียงโดยนายรัฐศาสตร์ จั่นเจริญ นักวิชาการละครและดนตรีชำนาญการ กลุ่มวิจัยและพัฒนาการสังคีต
ข้อมูลอ้างอิง
๑. กรมศิลปากร, สูจิบัตรการแสดงละคอน เรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพระไวยแตกทัพ นำออกแสดงที่โรงละคอนศิลปากร, พ.ศ. ๒๔๙๓.
๒. กรมศิลปากร, บทละคอน เรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพระไวยแตกทัพ จัดพิมพ์ขึ้นไว้สำหรับฝึกซ้อมศิลปินและนักเรียนนาฏศิลป, พ.ศ. ๒๔๙๒.
๓. Dhanit Yupho, THE KHON and LAKON by DHANIT YUPHO Dance Dramas Present by THE DEPARTMENT OF FINE ARTS, B.E 2506
ชื่อเรื่อง มอญบางขันหมากผู้แต่ง ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม สถาบันราชภัฏเทพสตรีประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือท้องถิ่นISBN/ISSN -หมวดหมู่ ประเพณี ขนบธรรมเนียมเลขหมู่ 390.09593 ร425มสถานที่พิมพ์ ลพบุรี สำนักพิมพ์ กรุงไทยการพิมพ์ปีที่พิมพ์ 2533ลักษณะวัสดุ 76 หน้า : ภาพประกอบ ; 27 ซม.หัวเรื่อง มอญ -- การละเล่นพื้นบ้าน มอญ -- ความเป็นอยู่และประเพณี มอญ -- รวมเรื่องภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึก หนังสือเอกสารเล่มนี้จะเพิ่มความรู้เรื่องมอญบางขันหมากให้กว้างขวางยิ่งขึ้นและคงช่วยส่งเสริมแนวทางการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของชาติพันธุ์มอญ ตำบลบางขันหมาก ให้สืบทอดต่อไปยังลูกหลาน และมรดกทางวัฒนธรรมของชาติพันธุ์มอญจะคงอยู่คู่เมืองลพบุรีสืบไป
นิทานจากเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ตีรณสาร, 2516. เรื่องขุนช้างขุนแผนในหนังสือที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพของพระตีรณสารวิศวกรรม นี้ เป็นนิทานจากเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน พร้อมทั้งอธิบายแผนที่สังเขปแสดงที่ตั้งเมืองและสถานที่บางแห่ง และคำอธิบายเรื่องเมืองและสถานที่ตามที่ปรากฏในเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน
วัดมโนภิรมย์ หมู่ ๑ บ้านชะโนด ตำบลชะโนด อำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร วัดมโนภิรมย์สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๐ โดยท้าวคำสิงห์และญาติพี่น้องรวมทั้งบริวารที่อพยพเคลื่อนย้ายมาจากฝั่งลาว พร้อมกับการตั้งบ้านชะโนด เดิมชื่อวัดใช้ชื่อเดียวกับชื่อหมู่บ้านและชื่อของลำห้วยที่ไหลผ่านพื้นที่ทางทิศเหนือลงสู่แม่น้ำโขงทางทิศตะวันออก แต่ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดมโนภิรมย์ ส่วนวิหารสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๒๙๖ นับเป็นแม่แบบของงานสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมท้องถิ่นที่สำคัญสำหรับใช้ในการศึกษาเปรียบเทียบประวัติศาสตร์ศิลปะท้องถิ่นอีสาน สิ่งสำคัญที่ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน ได้แก่ วิหาร
. วิหาร ตามประวัติระบุว่า สร้างขึ้นราว พ.ศ.๒๒๙๖ โดยอาจารย์โชติ อาจารย์ขะ และอาจารย์โมข ช่างจากเวียงจันทร์ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง ๙.๔๕ เมตร ยาว ๑๖.๓๕ เมตร สูงประมาณ ๙.๖๓ เมตร หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ส่วนฐานเป็นชุดฐานบัวงอนลูกแก้วอกไก่เตี้ย ๆ ตัวอาคารแบ่งออกเป็น ๕ ช่วงเสา โดยช่วงเสาแรกเป็นมุขโถงด้านหน้า มีบันไดทางขึ้น ๓ ด้าน คือ ด้านหน้าและด้านข้าง ๒ ข้าง ราวบันไดประดับปูนปั้นรูปสัตว์ศิลปกรรมท้องถิ่น ห้องวิหารมีขนาด ๔ ช่วงเสา ประตูทางเข้าเป็นบานไม้ เหนือกรอบประตูประดับลายปูนปั้นสวยงาม ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นนาคปรกปางมารวิชัยเป็นประธานบนฐานชุกชี
ส่วนภายนอก หน้าบันด้านหน้าประดับไม้สลักลวดลาย เสาวิหารทาสี หัวเสาประดับบัวปูนปั้น ส่วนหลังคาเป็นเครื่องไม้ทรงจั่วมุงกระเบื้องดินเผา กลางสันหลังคาประดับเจดีย์จำลอง มีโหง่ว(ช่อฟ้า)รูปหัวหงส์ ใบระกาและหางหงส์ม้วนงอนประดับ ทุกช่วงเสาทั้ง ๒ ด้าน ประดับคันทวยหูช้างเป็นไม้สลักลายรองรับชายหลังคา ผนังด้านข้างทำช่องแสงลูกมะหวด ๓ ช่วงเสา ส่วนช่วงเสาท้ายวิหารทำเป็นประตูทางเข้า-ออกด้านข้างทั้ง ๒ ด้าน ผนังด้านหลังวิหารก่อปิดทึบ ส่วนหน้าบันด้านหลังทำช่องแสงรูปสี่เหลี่ยมไม่ประดับลวดลายปูนปั้น
. กรมศิลปากร โดยสำนักศิลปากรที่ ๑๑ อุบลราชธานี (สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี ในปัจจุบัน) ได้ดำเนินการบูรณะวิหารและศาลาการเปรียญวัดมโนภิรมย์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๓-๒๕๔๔ และกรมศิลปากร ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานวัดมโนภิรมย์ในราชกิจจานุเบกษาเล่ม ๙๙ ตอนที่ ๑๓๐ วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๒๕ ระวางแนวเขตโบราณประมาณ ๑ ไร่ ๓๔ ตารางวา
--------------------------------------------------
++++อ้างอิงจาก++++
. กรมศิลปากร. วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดมุกดาหาร. กรุงเทพฯ:
โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๔๔. หน้า ๑๔๓.
. สำนักศิลปากรที่ ๑๑ อุบลราชธานี. รายชื่อโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนแล้ว จังหวัดมุกดาหาร. เอกสารอัดสำเนา
, ๒๕๕๒.
ข้อมูล : กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี
ไอเซ็นเฮาวร์, ดไวท์ ดี. รำพึงถึงความหลัง = At Ease : Stories I Tell to Friends. แปลโดยพิจิตร กุลละวณิชย์. พระนคร: สหมิตรการพิมพ์, 2514.
รวบรวมเรื่องราวชีวิตของผู้นำที่ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งของอเมริกาคือ ดไวท์ ดี. ไอเซ็นเฮาวร์ ตั้งแต่ชีวิตในวัยเด็ก การศึกษาที่เวสปอยต์ จนถึงชีวิตทหารที่รุ่งโรจน์ การได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัย ชีวิตความเป็นอยู่และครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีที่สำคัญในชีวิตของดไวท์ ดี. ไอเซ็นเฮาวร์ คือ มารดาและภรรยา นอกจากนี้ยังกล่าวถึงบุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียงจากทั่วโลกผ่านมุมมองและการเล่าเรื่องผ่านตัวอักษรจากตัวผู้เขียนเอง
ชื่อเรื่อง สพ.ส.29 ไสยศาสตร์ประเภทวัสดุ/มีเดีย สมุดไทยดำISBN/ISSN -หมวดหมู่ ไสยศาสตร์ลักษณะวัสดุ 20; หน้า : มีภาพประกอบหัวเรื่อง โหราศาสตร์ ภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึก เนื้อหาว่าด้วยบทไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่เรียกว่ามงคล ๑๐๘ เป็นการภาวนาคาถาทางไสยศาสตร์หรือพุทธศาสตร์ที่เชื่อว่าทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ กล่าวถึงการชุมนุมเทพต่างๆ อาทิ พระอินทร์ พระยม ท้าวเวสสุวรรณ เป็นต้น เป็นการตั้งยันต์ ชุมนุมยันต์ คาถา และมีภาพยันต์ ประวัติวัดสามทอง ต.ตลิ่งชัน อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี มอบให้หอสมุดฯ วันที่ 9 ส.ค.2538