ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,652 รายการ

          กรมศิลปากร ขอเชิญพุทธศาสนิกชน ร่วมกราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา โดยเปิดให้เข้าชมเป็นกรณีพิเศษเนื่องในวันมาฆบูชา พุทธศักราช 2567 ระหว่างวันที่ 24 – 25 กุมภาพันธ์ 2567 ตั้งแต่เวลา 09.00 - 16.00 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0 3524 1587 ทั้งนี้ สถูปประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ (ชั้นที่ 6) พบภายในกรุพระปรางค์ประธานวัดมหาธาตุ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 


           วันที่ 9 มีนาคม 2567 นางสาวเพ็ญพิสุทธิ์ จินตโสภณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการแสดงโขนประกอบแสงสี ณ วัดไชยวัฒนาราม เรื่องรามเกียรติ์ ชุด“สัจจะพาลี” โดยมีนักท่องเที่ยวและประชาชนชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดใกล้เคียงเข้าร่วมชมการแสดงโขนเป็นจำนวนมาก            นางสาวเพ็ญพิสุทธิ์ จินตโสภณ กล่าวว่า การจัดการแสดงโขน เรื่อง รามเกียรติ์ ชุด “สัจจะพาลี” โดยสำนักการสังคีต กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับมูลนิธิสุทธิรัตน์ อยู่วิทยา นับเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐและเอกชน เพื่อสร้างสรรค์และพัฒนาศิลปะการแสดงแบบโบราณของไทยให้สืบทอดต่อไปอย่างยั่งยืน ซึ่งการนำมรดกโลกทั้งสองรายการ ได้แก่ วัดไชยวัฒนาราม โบราณสถานสำคัญในนครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา และการแสดงโขน มารวมอยู่ในที่เดียวกัน โดยใช้เทคนิคแสง สี เสียงสมัยใหม่ ประยุกต์เข้ากับการแสดงโขนแบบโบราณ ทำให้เกิดความตระการตาและประทับใจแก่ผู้ชม สอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ของนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ตามนโยบายซอฟต์  พาวเวอร์ของรัฐบาล            การแสดงโขนประกอบแสงสี ณ วัดไชยวัฒนาราม เรื่องรามเกียรติ์ ชุด “สัจจะพาลี” ประกอบด้วย เทคโนโลยีที่ทันสมัยสุดตระการตาและการออกแบบเวทีการแสดงให้กลมกลืนกับโบราณสถานในทุกมิติ เพื่อสร้างมโนภาพต่อผู้ชมให้เกิดความงดงามชวนตื่นตาตื่นใจ  จัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 - 10 มีนาคม 2567  เวลา 19.00 น.  ณ วัดไชยวัฒนาราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นโบราณสถานที่มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อันมีเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของประเทศไทยที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก  บูรณาการร่วมกับ ศิลปะการแสดง “โขน” ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้จากองค์การยูเนสโกเช่นกัน               สำหรับการแสดงโขน เรื่องรามเกียรติ์ ชุด “สัจจะพาลี” มีเนื้อเรื่องย่อกล่าวถึง พระอิศวรมอบ บำเหน็จความชอบแก่พญากากาศที่ชะลอเขาพระสุเมรุที่เอนทรุดให้ตั้งตรงได้  โดยประทานนามให้ว่า “พญาพาลีธิราช” และประทานตรีเพชรสุรกานต์ให้เป็นอาวุธประจำกายแล้วประทานพรว่า เมื่อต่อสู้ให้ได้กำลังศัตรูแบ่งมาสมทบครึ่งหนึ่ง จากนั้นจึงออกพระโอษฐ์ฝากผอบบรรจุนางเทพดาราไปประทานแก่สุครีพน้องชาย แต่พระนารายณ์ทูลทัดทานว่าไม่ควรฝากไปเกรงจะไม่ถึงสุครีพ  พาลีจึงถวายสัตย์ว่าหากตนทรยศน้องชายขอให้ตายด้วยศรพระนารายณ์ เมื่อกลับถึงเมืองขีดขิน พาลีก็ผิดสัตย์สาบานจนถูกพระนารายณ์อวตารตามมาสังหารชีวิต พร้อมทั้งได้ไพร่พลวานรมาเป็นข้าทหารตามสัตย์สัญญาที่สุครีพให้ไว้ พระรามจึงยกกองทัพข้ามสมุทรไปทำสงครามสังหารทศกัณฐ์ที่ลอบลักนางสีดามเหสีมาไว้ที่กรุงลงกา  เมื่อเสร็จศึกพระพรตพระสัตรุดและสามพระมารดาเสด็จมาอัญเชิญพระราม นางสีดา และพระลักษมณ์กลับคืนสู่กรุงศรีอยุธยา พระรามเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นกษัตริย์ปกครองกรุงศรีอยุธยายังความปลาบปลื้มโสมนัสแก่เหล่าบรรดาเทพบุตรนางฟ้า มาร่วมรำถวายพระพรชัยมงคลให้ทรงพระเจริญ


          เทวรูปพระวิษณุ ๔ กร            พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓           ได้มาจากวัดธ่อ อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี           ปัจจุบันจัดแสดง ณ ห้องลพบุรี (บน) อาคารมหาสุรสิงหนาท พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร           เทวรูปพระวิษณุสลักจากหินทราย พระเศียรทรงกิรีฏมกุฎ พระพักตร์ค่อนข้างกลม พระขนงโก่ง พระเนตรเปิดมองตรง พระนาสิกใหญ่ ใต้พระนาสิกมีเส้นพระมัสสุ พระโอษฐ์แบะ ทรงมี ๔ กร พระกรขวาล่างชำรุดหักหายไป พระกรขวาบนทรงจักร พระกรซ้ายบนทรงสังข์ พระกรซ้ายล่างทรงคทา พระวรกายท่อนล่างทรงพระภูษายาว พระชานุโปน ส่วนพระบาทชำรุดหักหายไป           เทวรูปพระวิษณุองค์นี้ยังคงแสดงอิทธิพลจากศิลปะอินเดียใต้หลังสมัยคุปตะ (หลังพุทธศตวรรษที่ ๑๑) อย่างชัดเจน อาทิ การแสดงพระหัตถ์คู่บนทรงจักรและสังข์ (ซึ่งต่างจากเทวรูปพระวิษณุในศิลปะอินเดียเหนือ ที่พระหัตถ์คู่บนทรงคทาและจักร) รวมทั้งกิรีฏมกุฎ ซึ่งแสดงรูปแบบเดียวกับกลุ่มเทวรูปวิษณุในศิลปะอินเดียแบบปัลลวะ กล่าวคือ ลักษณะของศิราภรณ์เป็นหมวกทรงสูง เรียบ ไม่ตกแต่งลวดลาย รูปแบบดังกล่าวนี้ได้รับความนิยมมากในกลุ่มเทวรูปพระวิษณุที่สร้างขึ้นในภาคพื้นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งเทวรูปเขมรสมัยก่อนเมืองพระนคร กลุ่มเทวรูปพระวิษณุในประเทศไทยบริเวณคาบสมุทรภาคใต้และตามเมืองโบราณหลายแห่งทั้งพื้นที่ชายฝั่ง เช่น เพชรบุรี และศรีมโหสถ (ปราจีนบุรี) รวมทั้งเมืองตอนในแผ่นดิน เช่น เมืองศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นต้น           เทวรูปองค์นี้เป็นหนึ่งใน ๒ องค์ของวัดธ่อ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงมีลายพระหัตถ์ถึง อำมาตย์เอก พระยาสุรพันธเสนี (อิ้น บุนนาค) ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี ในขณะนั้น ลงวันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ ความตอนหนึ่งรับสั่งให้ย้ายเทวรูปพระวิษณุทั้ง ๒ องค์เข้ามายังพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร (พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ในปัจจุบัน) ว่า           “...ด้วยในการที่ฉันออกมาตรวจราชการโบราณวัตถุที่เมืองเพ็ชรบุรีครั้งนี้ มีกิจบางอย่างซึ่งใคร่จะขอความสงเคราะห์ของเจ้าคุณแลมีกิจบางอย่างซึ่งเห็นควรจะบอกเจ้าคุณไว้เพื่อจะได้คอยพิจารณาเพื่อเป็นการตรวจตรารักษาโบราณวัตถุ จะบรรยายข้อความดังต่อไปนี้คือ ๑ ที่วัดธ่อมีรูปพระนารายณ์ของโบราณชำรุดบ้างตั้งไว้ที่พระอุโบสถ ๒ รูป เปนของควรรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถาน ขอเจ้าคุณได้จัดส่งเข้าไปยังกรุงเทพฯ...”     อ้างอิง เชษฐ์ ติงสัญชลี. เทวรูปา: ประติมานวิทยาฮินดูจากประติมากรรมชิ้นเอกในศิลปะอินเดีย. กรุงเทพฯ: อมรินทร์ คอร์เปอเรชั่นส์, ๒๕๖๖. เชษฐ์ ติงสัญชลี. บทบาทของศิลปะอินเดียต่อเครื่องแต่งกายประติมากรรมบุคคลในเอเชียอาคเนย์. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๖๒. หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. สบ.๒.๓๑/๑. เอกสารส่วนพระองค์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เรื่อง นายกราชบัณฑิตยสภา เสด็จตรวจโบราณวัตถุมณฑลนครศรีธรรมราช และเรื่องโบราณวัตถุในเมืองเพชรบุรี ราชบุรี (๒๒ พ.ค. - ๒๒ ต.ค. ๒๔๖๙).


ชื่อเรื่อง                     ภาพเก่าเล่าตำนาน : งานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช 30 ปี ชมรมอนุรักษ์โบราณวัตถุ  และสิ่งแวดล้อม จังหวัดลพบุรีประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือท้องถิ่นหมวดหมู่                   ประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์เลขหมู่                      959.317 ภ456สถานที่พิมพ์               ลพบุรีสำนักพิมพ์                 โรงพิมพ์กรุงไทยการพิมพ์ปีที่พิมพ์                    2547ลักษณะวัสดุ               204 หน้า : ภาพประกอบ ; 24 ซม.หัวเรื่อง                     ลพบุรี – ประวัติ                              ลพบุรี -- ประวัติศาสตร์ -- ภาพภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึก          จัดพิมพ์เนื่องในวาระครบรอบ 30 ปี ชมรมอนุรักษ์โบราณวัตถุสถานและสิ่งแวดล้อม จังหวัดลพบุรี          



          วันอังคารที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๗ เวลา ๑๔.๐๐ น. นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานในพิธีรับมอบโบราณวัตถุ จำนวน ๒ รายการ  จากพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน สหรัฐอเมริกา โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม  นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร นาย John Guy ผู้แทนพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน สหรัฐอเมริกา พร้อมด้วยคณะกรรมการติดตามโบราณวัตถุของไทยในต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทย ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร เข้าร่วมในพิธีรับมอบ ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร            นางสาวสุดาวรรณ กล่าวว่า โบราณวัตถุที่ประเทศไทยได้รับคืนจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทันสหรัฐอเมริกา ครั้งนี้ ถือเป็นสมบัติของประชาชนชาวไทยทุกคน เป็นหลักฐานแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของดินแดนประเทศไทยในอดีตเมื่อกว่าพันปี จัดเป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งของชาติ ควรค่าแก่ความภาคภูมิใจ โดยท่านนายกได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้มาก จึงมอบหมายให้มารับโบราณวัตถุดังกล่าว            ทั้งนี้ เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๖๖ กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากร ได้รับการประสานจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน สหรัฐอเมริกา ว่ามีความประสงค์ส่งมอบโบราณวัตถุ จำนวน ๒ รายการ คืนให้กับประเทศไทย ประกอบด้วย ประติมากรรมสำริดรูปพระศิวะ (The Standing Shiva) หรือ ที่รู้จักกันในนาม โกลเด้นบอย (Golden Boy) และประติมากรรมรูปสตรีพนมมือ (The Kneeling Female) เนื่องจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทันพบว่า โบราณวัตถุดังกล่าว ถูกลักลอบนำออกนอกราชอาณาจักรไทยโดยผิดกฎหมาย จึงได้ถอดโบราณวัตถุทั้ง ๒ รายการ ออกจากบัญชีของพิพิธภัณฑ์ และประสานขอส่งคืนให้ประเทศไทย เพื่อแสดงถึงการที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน ให้ความสำคัญกับที่มาอันถูกต้องของโบราณวัตถุในครอบครอง ซึ่งผลการประสานงานเป็นไปด้วยดี กระทั่งพิพิธภัณฑ์ได้ส่งโบราณวัตถุกลับคืนถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๗           โดยกรมศิลปากรจะเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าชมความงามของโบราณวัตถุทั้ง ๒ รายการ พร้อมทั้งเคลื่อนย้ายประติมากรรมสำริดขนาดใหญ่ขุดพบจากปราสาทสระกำแพงใหญ่ จังหวัดศรีสะเกษ ที่มีรูปแบบใกล้เคียงกับประติมากรรมโกลเด้นบอย จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย มาจัดแสดงร่วมกัน  ณ ห้องลพบุรี อาคารมหาสุรสิงหนาท พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ตั้งแต่วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๗ เป็นต้นไป เปิดวันพุธ - วันอาทิตย์ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. (ปิดวันจันทร์ - วันอังคาร) ค่าธรรมเนียมเข้าชม ชาวไทย ๓๐ บาท ชาวต่างชาติ ๒๐๐ บาท พระศิวะ ศิลปะเขมรในประเทศไทย สมัยเมืองพระนคร แบบบาปวน พุทธศตวรรษที่ ๑๖ (ประมาณ ๙๐๐ ปีมาแล้ว) สำริดกะไหล่ทอง ประดับตกแต่งด้วยการฝังเงิน สูง (รวมเดือย) ๑๒๘.๙ กว้าง ๓๕.๖ ลึก ๓๔.๓ ซ.ม. สูงไม่รวมเดือย ๑๐๕.๔ ซ.ม.   ประติมากรรมชิ้นนี้เป็นรูปสำริดที่สมบูรณ์ที่สุดที่ยังหลงเหลือจากสมัยเมืองพระนคร เป็นประติมากรรมกลุ่มเล็กๆ ที่มีการหล่อด้วยโลหะเป็นเทพในศาสนาฮินดูที่มีความเกี่ยวข้องกับธรรมเนียมของราชสำนัก พบในกัมพูชาและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย แม้ว่าประติมากรรมจะถูกติความไว้ว่าเป็นพระศิวะ แต่ท่าทางของพระหัตถ์ทั้งสองที่แตกต่างจากประติมากรรมโดยทั่วไปที่มักจะถือสัญลักษณ์ของพระศิวะ ประติมากรรมนี้จึงอาจหมายถึงพระศิวะในภาคมนุษย์ที่ไม่ค่อยพบในศิลปะเขมรทั่วไปอาจมีความเป็นไปได้ว่าถูกสร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์สองอย่างคือ เป็นรูปเคารพเพื่อบูชาในศาสนสถานประจำราชวงศ์ หรือเป็นรูปเคารพของบูรพกษัตริย์ ประติมากรรมรูปสตรีนั่งชันเข่าพนมมือ ศิลปะเขมรในประเทศไทย สมัยเมืองพระนคร แบบบาปวน พุทธศตวรรษที่ ๑๖ (ประมาณ ๙๐๐ ปีมาแล้ว) สำริด ประดับตกแต่งด้วยการฝังเงิน มีร่องรอยกะไหล่ทอง สูง ๔๓.๒ กว้าง ๑๙.๗ ซ.ม.    ประติมากรรมนี้ สันนิษฐานว่าเป็นพระราชเทวี หรือสตรีชั้นสูงในราชสำนักสวมเครื่องประดับ ประทับชันเข่าพนมมือแสดงความเคารพแด่เทพเจ้า ที่ดวงตาและคิ้วมีร่องรอยการฝังด้วยวัตถุที่น่าจะเป็นแก้วสีดำ -------------------------------------------             On Tuesday, May 21, 2024, at 2:00 p.m., Ms. Sudawan Wangsupakitkosol, Minister of Culture, presided over the handover ceremony of the two artifacts from the Metropolitan Museum of Art in the United States to Thailand at the Issara Winitchai Throne Hall, the National Museum, Bangkok. Furthermore, Dr. Yupha Taweewattanakitborvon, the Permanent Secretary for Culture, Mr. Phnombootra Chandrajoti, Director-General of the Fine Arts Department, and Mr. John Guy, the representative of Metropolitan Museum of Art as well as members of the Committee for Repatriation of Thai Antiquities from the Foreign Countries, executive officer and officials from the Fine Arts Department were present for this special event.   Ms. Sudawan stated that the artifacts that Thailand obtained back from the Metropolitan Museum of Art are considered the property of all Thai citizens. These artifacts serve as evidence of Thailand's prosperity over a thousand years ago and are recognized as a significant part of the nation's cultural heritage, deserving of great pride.    In December 2023, The Metropolitan Museum of Art in the United States reached out to the Fine Arts Department of the Ministry of Culture and proactively proposed the return of two objects to Thailand. These items include a bronze sculpture the “Standing Shiva?” or Golden Boy, and a sculpture of the “Kneeling Female.” The Metropolitan Museum of Art determined that these artifacts had been illegally smuggled out of Thailand. Consequently, the museum deaccessioned both items of antiquities from its collection and proposed to return them to Thailand. This act demonstrates the museum’s commitment to the rightful origins of the artifacts in its possession. The coordination was successful, and the museum brought the antiquities back to Thailand on May 20, 2024.   The Fine Arts Department will provide an opportunity for the public to view the beauty of the two returned antiques. Additionally, a large bronze sculpture unearthed from Prasat Sa Kamphaeng Yai in Sisaket Province, which has a similar style to the Golden Boy sculpture, will be relocated from the Phimai National Museum to be exhibited alongside these artifacts. The exhibition will take place at the Lopburi Room, Mahasurasinghanat Building, in the National Museum, Bangkok, starting from 22 May 2024.  


            การประกวดเพลง “เพชรในเพลง” เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๖๗ จัดขึ้นเพื่อยกย่องบุคคลในวงการเพลงที่มีผลงานดีเด่นด้านภาษาไทย ได้แก่ นักประพันธ์เพลงที่มีความสามารถผสมผสานความรู้ทางภาษา วรรณศิลป์ คีตศิลป์ และจินตนาการได้อย่างเหมาะสม และนักร้องที่ขับร้องเพลงได้ชัดเจนและถูกต้องตามหลักภาษาไทย มีศิลปะการใช้เสียง และถ่ายทอดจังหวะอารมณ์ในการขับร้องได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งยังเชิดชูเกียรติบุคคล องค์กร หรือโครงการที่มีผลงานดีเด่นด้านการส่งเสริมภาษาไทยและมีคุณูปการต่อวงการเพลง โดยผลการประกวดเพลง “เพชรในเพลง” เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๖๗ มีทั้งสิ้น ๑๔ รางวัล ดังนี้ รางวัลการประพันธ์เพลงดีเด่นด้านภาษาไทย จำนวน ๔ รางวัล ๑.รางวัลชนะเลิศ ผู้ประพันธ์คำร้องเพลงไทยสากล ได้แก่ นายปัณฑพล  ประสารราชกิจ และนายธิติวัฒน์  รองทอง จากเพลงลั่นทม ๒.รางวัลรองชนะเลิศ ผู้ประพันธ์คำร้องเพลงไทยสากล ได้แก่ นายกฤตศิลป์  ฉลองขวัญ จากเพลงดอกไม้จากดวงดาว ๓.รางวัลชนะเลิศ ผู้ประพันธ์คำร้องเพลงไทยลูกทุ่ง ได้แก่ นายจิรภัทร  แจ่มทุ่ง จากเพลงยามท้อขอมีเธอ ๔.รางวัลรองชนะเลิศ ผู้ประพันธ์คำร้องเพลงไทยลูกทุ่ง ได้แก่ นายสลา  คุณวุฒิ จากเพลงอยากซื้อบ้านนอกให้แม่ รางวัลการขับร้องเพลงดีเด่นด้านภาษาไทย จำนวน ๘ รางวัล ๑.รางวัลชนะเลิศ ผู้ขับร้องเพลงไทยสากลชาย ได้แก่ นายภาสกรณ์  รุ่งเรืองเดชาภัทร์ (สปาย) จากเพลงคอย ๒.รางวัลรองชนะเลิศ ผู้ขับร้องเพลงไทยสากลชาย ได้แก่ นายธานินทร์  อินทรแจ้ง (ธานินทร์  อินทรเทพ)  จากเพลงเดือนประดับใจ ๓.รางวัลชนะเลิศ ผู้ขับร้องเพลงไทยสากลหญิง ได้แก่ นางสาวสรวีย์  ธนพูนหิรัญ (ผิงผิง)  จากเพลงดอกไม้จากดวงดาว ๔.รางวัลรองชนะเลิศ ผู้ขับร้องเพลงไทยสากลหญิง ได้แก่ นางสาวปราชญา  ศิริพงษ์สุนทร จากเพลงมรดกธรรม มรดกโลก ๕.รางวัลชนะเลิศ ผู้ขับร้องเพลงไทยลูกทุ่งชาย ได้แก่ นายอนันต์  อาศัยไพรพนา (นัน อนันต์)  จากเพลงยามท้อขอมีเธอ ๖.รางวัลรองชนะเลิศ ผู้ขับร้องเพลงไทยลูกทุ่งชาย ได้แก่ นายเสมา  สมบูรณ์ (ไชยา  มิตรชัย) จากเพลงรอยยิ้มก่อนจากลา ๗.รางวัลชนะเลิศ ผู้ขับร้องเพลงไทยลูกทุ่งหญิง ได้แก่ นางสาวสุทธิยา  รอดภัย (ใบเฟิร์น สุทธิยา) จากเพลงกราบหลวงพ่อใหญ่อ่างทอง ๘.รางวัลรองชนะเลิศ ผู้ขับร้องเพลงไทยลูกทุ่งหญิง ได้แก่ นางสาวกาญจนา  มาศิริ จากเพลงสารภาพรัก รางวัลเชิดชูเกียรติพิเศษ จำนวน ๒ รางวัล ๑.รางวัลเชิดชูเกียรติ ครูเพลงผู้ใช้ภาษาวรรณศิลป์ดีเด่น ได้แก่นายชัยรัตน์  วงศ์เกียรติ์ขจร ๒.รางวัลเชิดชูเกียรติ นักแปลเพลง : คมความ งามคำไทย ในบทเพลง ได้แก่นายธานี  พูนสุวรรณ ทั้งนี้ กรมศิลปากรจะจัดพิธีมอบรางวัลเพชรในเพลงในงานวันภาษาไทยแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๖๗ ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมกำหนดจัดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๗ เวลา ๑๒.๓๐ – ๑๖.๐๐ น. ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย



            กรมศิลปากร โดยสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำหนดจัดงาน “150 ปี พิพิธภัณฑ์ไทย สยามซิวิไลซ์  A Passage to Wisdom”  ในวาระครบรอบ 150 ปี แห่งการเริ่มต้นพิพิธภัณฑสถานสำหรับประชาชนครั้งแรกในประเทศไทย กิจกรรมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19 – 21 กันยายน 2567 ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร              นายพนมบุตร  จันทรโชติ กล่าวว่า กรมศิลปากร โดยสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำหนดจัดกิจกรรมเนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทย ประจำปี 2567 ในหัวข้อ “150 ปี พิพิธภัณฑ์ไทย สยามซิวิไลซ์ A Passage to Wisdom” ซึ่งในปีนี้จะครบรอบ 150 ปี ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งมิวเซียม ณ หอคองคอเดีย และเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2417  “พิพิธภัณฑ์ไทย” จึงถือเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติ ที่สะท้อนภาพชาวสยามในการศึกษาหาความรู้ในกิจการต่าง ๆ และร่วมกันพัฒนาบ้านเมืองสู่ความ “ซิวิไลซ์” ทัดเทียมนานาอารยประเทศ ในปีนี้จึงเป็นโอกาสพิเศษที่คนพิพิธภัณฑ์ และผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวพิพิธภัณฑ์ จะได้มาร่วมกันแลกเปลี่ยนความรู้และถ่ายทอดประสบการณ์สร้างสรรค์จากพิพิธภัณฑ์ผ่านมุมมองที่หลากหลายอีกครั้ง กรมศิลปากรมุ่งหมายว่ากิจกรรมในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อสังคม เพื่อให้พิพิธภัณฑ์เป็นสถาบันแห่งองค์ความรู้สำหรับประชาชนและสังคมไทยอย่างยั่งยืนภาพ : หอคองคอเดีย            สำหรับกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย การเสวนาและการบรรยายจากผู้บริหารองค์กรด้านพิพิธภัณฑ์ของไทย รวมถึงผู้ปฏิบัติงานพิพิธภัณฑ์มากกว่า 40 คน ที่จะมาร่วมกันบอกเล่าเรื่องราวความรู้ต่าง ๆ   สู่สาธารณชน การจัดแสดงนิทรรศการพิเศษกับวัตถุสะสมชิ้นพิเศษจากพิพิธภัณฑ์เครือข่าย 24 แห่ง การออกร้านกิจกรรมพิเศษและการจำหน่ายของที่ระลึกจากพิพิธภัณฑ์เครือข่ายอีก 20 แห่ง ตลาดสินค้าสร้างสรรค์ประเภทอาร์ตทอย นอกจากนี้ในช่วงค่ำยังจัดให้มีกิจกรรม Museum Talk ยามค่ำ และกิจกรรม Night Museum เปิดให้ชมพิพิธภัณฑ์รอบพิเศษให้ทุกท่านเข้าชมนิทรรศการและความสวยงามของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ยามค่ำคืน             ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมพิเศษเนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทย ประจำปี 2567 “150 ปี พิพิธภัณฑ์ไทย สยามซิวิไลซ์ A Passage to Wisdom” ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร  ระหว่างวันที่ 19 - 21 กันยายน 2567 กิจกรรมเริ่มตั้งแต่เวลา 09.00 น. ไปจนถึง 20.00 น. ภาพ : พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ถอดรหัสและความหมายตราสัญลักษณ์ 150 ปี พิพิธภัณฑ์ไทย สยามซิวิไลซ์ : A Passage to Wisdom              เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองมหกรรมวันพิพิธภัณฑ์ไทย ระหว่างวันที่ 19 – 21 กันยายน นี้ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร ได้ออกแบบตราสัญลักษณ์กิจกรรมเนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทย ประจำปี 2567 ภายใต้แนวคิด “150 ปี พิพิธภัณฑ์ไทย สยามซิวิไลซ์ : A Passage to Wisdom” ที่ซ่อนความหมายและเรื่องราวของพิพิธภัณฑ์ไทยที่เดินทางผ่านกาลเวลามาแล้วกว่า 150 ปี “ช้าง” สัตว์มงคลจากมิวเซียมหลวง ช้าง เป็นสัตว์ประจำชาติไทยที่มักพบในตราสัญลักษณ์ของหน่วยงานต่างๆ โดยช้างที่ปรากฏบนสัญลักษณ์นี้ ได้ถอดแบบมาจากช้างที่อยู่บนตรามิวเซียมหลวง ณ หอคองคอเดีย (The Royal Siamese Museum) เพื่อสื่อถึงความเป็นพิพิธภัณฑ์ไทย และเป็น Mascot หลักของกิจกรรมวันพิพิธภัณฑ์ไทยของทุกปี  “คองคอเดีย” พิพิธภัณฑสถานที่เปิดให้ประชาชนเข้าชมแห่งแรกในสยาม พระบาทสมเด็จจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เปิดมิวเซียมหลวง ณ หอคองเดีย ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งแรกของประเทศไทยที่เปิดให้ประชาชนเข้าชมอย่างเป็นทางการ และเป็นวิเทโศบายสำคัญในการเสริมสร้างภาพลักษณ์ของสยามประเทศให้มีความทันสมัย (ซิวิไลซ์)  “Passage” การเดินทางผ่านกาลเวลาของพิพิธภัณฑ์ไทย จากวันแรกของมิวเซียมหลวงจนถึงวันนี้ พิพิธภัณฑ์ไทยแสดงให้เห็นว่า ตลอดการเดินทางผ่านกาลเวลามาแล้วกว่า 150 ปี พิพิธภัณฑ์ไม่ได้เป็นเพียงแหล่งสะสม แต่เป็นแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย บอกเล่าเรื่องราวและความเป็นมาของตนเอง นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อันเป็นสะพานที่เชื่อมโยงภูมิปัญญากับสังคมเข้าด้วยกัน  “Wisdom” แหล่งสะสมความรู้ มุ่งหมายให้เกิดปัญญา ปัจจุบัน พิพิธภัณฑ์ยังคงทำหน้าที่เป็นแหล่งเรียนรู้ เปรียบดั่งแสงสว่างของดวงอาทิตย์เพื่อมุ่งหมายให้ผู้คนเกิดปัญญา เป็นสถาบันที่ให้บริการทางการศึกษา มีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมได้อย่างยั่งยืน และพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ



ปราสาทพูนผล           ตั้งอยู่ที่บ้านละลมติม ตำบลโคกสูง อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว สันนิษฐานว่าคงมีรูปแบบและลักษณะทางสถาปัตยกรรมเป็นปราสาทแบบเขมรโบราณ ที่ประกอบด้วยปราสาทประธานสร้างด้วยหินทรายและศิลาแลง ๑ หลัง และมีบารายอยู่ทางด้านตะวันออก  พบหลักฐานชิ้นส่วนประกอบสถาปัตยกรรมทำจากหินทราย เช่น ชิ้นส่วนทับหลังสลักลายท่อนพวงมาลัย และชิ้นส่วนนาคปักคล้ายกับที่พบจากปราสาทสด๊กก๊อกธม จังหวัดสระแก้ว ดังนั้นจึงอาจกำหนดอายุปราสาทพูนผลได้ว่าอยู่ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๖  (ประมาณ ๙๐๐ ปีมาแล้ว) หรือในรัชกาลพระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ ๒ (พ.ศ. ๑๕๙๒/๑๕๙๓-พ.ศ.๑๖๐๙)            กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานปราสาทพูนผล  ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๓ ตอนพิเศษ ๕๐ ง วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๓๙ มีพื้นที่โบราณสถานประมาณ ๗๓ ไร่ - งาน ๑๗.๔ ตารางวา Prasat Phun Phon           Prasat Phun Phon is in Ban La Lom Tim, Khok Sung Subdistrict, Khok Sung District,  Sa Kaeo Province. This Khmer temple is situated on a small hillock with a tower, made of laterite and sandstone, and a Baray (rectangular-shaped reservoir) to the east. Sandstone architectural components in Baphuon style (11th - 12th century CE or 900 - 1,000 years ago) have been found on the hillock, e.g., lintels decorated with garland. Especially, the antefixes with Naga’s head as same the antefixes as Prasat Sdok Kok Thom. Therefore, Prasat Phun Phon should be dated to the middle 11th century (900 years ago) in the reign of Udayadityavarman II.           The Fine Arts Department announced the registration of Prasat Phun Phon as  an ancient monument in the Royal Gazette, Volume 113, Special Part 50, dated 18th December 1996. The total area is around 116,869.6 square meters. 



นางนพมาศ หรือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์.  พระนคร: โรงพิมพ์ภักดีประดิษฐ์, 2508.พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นางสะรูไล ตุลยายน ณ เมรุวัดมกุฎกษัตริยาราม วันที่ 29 มีนาคม 2808


ชื่อผู้แต่ง                 เพลินพิศ  กำราญ ชื่อเรื่อง                  พระราชพิธีอภิเษกสมรสสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวิชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ครั้งที่พิมพ์              พิมพ์ครั้งที่ ๑ สถานที่พิมพ์            กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์              ห้างหุ้นส่วนจำกัด อุดมศึกษา ปีที่พิมพ์                 ๒๕๒๑ จำนวนหน้า             ๔๗ หน้า : ภาพประกอบ ISBN                     - เลขเรียกหนังสือ       394.4   พ925พ เลขทะเบียนหนังสือ   012191 หมายเหตุ               -                            พระราชพิธีอภิเกสมรส สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรสยามมกุฎราชกุมาร และพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโสมสวลี ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดขึ้นเมื่อ วันที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๐ เป็นพระราชพิธีที่ชาวไทยทุกคนมีความชื่นชมและสนใจเป็นอย่างยิ่ง 



black ribbon.