ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,755 รายการ
ชื่อเรื่อง ทำเนียบคณะสงฆ์ ร.ศ.123.ผู้แต่ง -ประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือท้องถิ่นหมวดหมู่ พระพุทธศาสนาเลขหมู่ 294.3025593 ท425สถานที่พิมพ์ พระนครสำนักพิมพ์ โรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจปีที่พิมพ์ 2325 ลักษณะวัสดุ 413 หน้า (214)หัวเรื่อง สงฆ์--ทำเนียบนามภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึก ทำเนียบคณะสงฆ์ ได้รวบรวมพิมพ์ขึ้นครั้งแรกลำดับมณฑลแล้วแต่มณฑลใดส่งมาก่อนและหลัง ทั้งการแบ่งปันคณะสงฆ์ ก็ได้รับการอนุโลมตามอนุมัติของเจ้าคณะมณฑล (ฉบับสำเนา)
ชื่อแบบฉบับ : ตำนานวัดพระแก้วดอนเต้า (ผูก 1ก)
ชื่อเรื่อง : ตำนานดอนเต้า (ผูก 1ก)
เลขทะเบียน : ชม.บ.423/1ก
ผู้แต่ง : ไม่ปรากฏ ผู้สร้าง : ไม่ปรากฏ ปีที่สร้าง : ไม่ปรากฏ
จำนวน : 1 คัมภีร์ 4 ผูก (หอสมุดแห่งชาติฯ เชียงใหม่ มีผูก1, 1ก-1ค)
จำนวนบรรทัด : 4 บรรทัด จำนวนหน้า : 26 หน้า
อักษร : ธรรมล้านนา ภาษา : บาลี-ไทยล้านนา เส้น : จาร
ฉบับ : ชาดทึบ-รักทึบ ไม้ประกับ : ทองทึบ ประเภทเอกสารโบราณ : คัมภีร์ใบลาน
ประวัติ : ได้มาจากวัดทุ่งมอก ต.มาง อ.เชียงม่วน จ.พะเยา เมื่อวันที่ 11 กรกฏาคม 2531
โครงการ : พัฒนาระบบบริการห้องสมุดดิจิทัล หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ ปี พ.ศ. 2568
เลขทะเบียน : นพ.บ.731/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 16 หน้า ; 4 x 56 ซ.ม. : ลานดิบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 229 (332-340) ผูก 1 (2568)หัวเรื่อง : อานิสงส์ให้เรือไฟบูชาพระบาท--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.792/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 50 หน้า ; 4.5 x 59 ซ.ม. : ลานดิบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 243 (488-496) ผูก 1 (2568)หัวเรื่อง : ปรมัตถโวหาร--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
กรมศิลปากร ขอเชิญรับชมถ่ายทอด Facebook Live รายการไขความรู้จากครูกรมศิลป์ ตอน "อยุธยาที่ไม่รู้จัก….เขาเล่าว่า..??" วิทยากร นายภาณุวัฒน์ เอื้อสามาลย์ ผู้อำนวยการอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา และนายปวิตร ใจเสงี่ยม พนักงานนำชม อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ผู้ดำเนินรายการ นายสิทธิพร บุปผา นักวิชาการเผยแพร่ กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ในวันพฤหัสบดีที่ ๓๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ เวลา ๑๑.๐๐ – ๑๑.๔๕ น. ผู้สนใจสามารถติดตามชมได้ทาง Facebook Live : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม และ Facebook Live : กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร
ชื่อเรื่อง : 600 ปีติโลกราชกับมิติทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ล้านนาในยุคปัจจุบัน ผู้แต่ง : สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ปีที่พิมพ์ : 2552 สถานที่พิมพ์ : เชียงใหม่ สำนักพิมพ์ : สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เนื่องในวโรกาสครบรอบ 60 ปี พระประสูติของพระญาติโลกราช ที่เป็นกษัตริย์ลำดับที่ 10 ของราชวงศ์มังราย ตลอดรัชสมัยของพระองค์ได้ขยายอาณาเขตไปทั่วทุกทิศ ทั้งยังรงทำนุบำรุงพุทธศาสนาให้มีความเจริญรุ่งเรือง ด้วยการปฏิสังขรณ์วัดเจดีย์หลวง ทรงสร้างวัดป่าแดงมหาวิหาร และเพื่อรำลึกถึงพระราชกรณีย์กิจของพระองค์ปกครองไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ให้อยู่เย็นเป็นสุข เสริมสร้างความมั่นคงให้กับอาณาจักรล้านนา สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ล้านนาในยุคปัจจุบันขึ้น ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2552 ณ หอประชุมอาคารรวมวิจัย และบัณฑิตศึกษา สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
***บรรณานุกรม***
กรมศิลปากร
เอกสารของเฮนรี่ เบอร์นี่ เล่ม2 ตอน1 นางสาวิตรี สุวรรณสถิตย์ แปล กรมศิลปากรพิมพ์ พ.ศ. 2518
กรุงเทพฯ
โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว
2518
Blues for Uthit : เพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 46
เพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 46
ทรงพระราชนิพนธ์เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ นายอุทิตต์ ทินกร ณ อยุธยา นักดนตรีวงดนตรี อ.ส. วันศุกร์ ที่ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พุทธศักราช 2522 และได้พระราชทานให้วงดนตรี อ.ส. วันศุกร์ นำออกบรรเลงครั้งแรกทางสถานีวิทยุ อ.ส.วันศุกร์ เมื่อวันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พุทธศักราช2522
Royal Composition Number 46
The forty-sixth royal musical composition was written as a memorial to Mr. Uthit Tinakorn Na Ayudhya, a musician of the Aw Saw Wan Suk Band who passed away on 6 August 1979. It was given to the Aw Saw Wan Suk Band to be performed for the first time on Aw Saw Radio on Friday, 10 August 1979.
วันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๙ เวลา ๑๓.๐๐ น. ที่ห้องดำรงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ให้เกียรติเป็นผู้บรรยายในการเสวนาทางวิชาการเรื่อง "ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมกรุงรัตนโกสินทร์" โดยมี ที่ปรึกษา รมว.วธ. ผู้ช่วย รมว.วธ. เลขานุการ รมว.วธ. รองอธิบดีกรมศิลปากร นายสหภูมิ ภูมิธฤติรัฐ พระสงฆ์ นักวิชาการ หน่วยงานราชการ ประชาชน ร่วมรับฟังการบรรยาย
ราชบัลลังก์ ย่อมเป็นที่ปรารถนาของคนที่มีวาสนาอาจไขว่คว้าได้ถึง แม้จะต้องเข่นฆ่ากันระหว่างพี่กับน้อง พ่อกับลูก ก็เคยมีมาแล้วในอดีต
แต่ก็มีกษัตริย์พระองค์หนึ่งของกรุงศรีอยุธยา แม้จะขึ้นครองราชย์อย่างถูกต้องตามราชประเพณี แต่เมื่อทรงทราบว่า มีคนอื่นอยากได้จนตัวสั่น ก็ยอมสละให้แต่โดยดีขณะที่ครองราชบัลลังก์มาได้เพียง ๑๐ วัน ด้วยมีพระราชประสงค์จะหาความสงบสุขทางใจมากกว่าพระราชอำนาจบนราชบัลลังก์
อนุสรณ์สถานปลีกวิเวกของพระองค์ ก็ยังคงเหลืออยู่จนถึงทุกวันนี้ มีชื่อว่า “พระตำหนักคำหยาด” ที่ใกล้วัดคำหยาด ในอำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง
ส่วนพระมหากษัตริย์ที่สละราชบัลลังก์มาปลีกวิเวกอยู่ที่นี่ ก็คือ สมเด็จพระบรมราชาธิราช ที่ ๔ หรือเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในพระนาม “พระเจ้าอุทุมพร” กษัตริย์พระองค์ที่ ๓๒ รองสุดท้ายของกรุงศรีอยุธยา
พระเจ้าอุทุมพรเป็นราชโอรสในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ตอนที่พระราชชนนีทรงครรภ์นั้น พระราชบิดาทรงพระสุบินว่ามีผู้ถวายดอกมะเดื่อให้ จึงพระราชทานพระนามว่า เจ้าฟ้าอุทุมพรราชกุมาร แต่เรียกกันทั่วไปว่า “เจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ”
เมื่อตำแหน่งรัชทายาทว่างลง เนื่องจาก “เจ้าฟ้ากุ้ง” หรือ “เจ้าฟ้าธรรมธิเบศ ราชโอรสองค์โตต้องพระราชอาญาถึงสิ้นพระชนม์ ขุนนางข้าราชการทูลขอให้ทรงสถาปนาเจ้าฟ้าอุทุมพร กรมขุนพรพินิตขึ้นเป็นรัชทายาทแทน แต่เจ้าฟ้าอุทุมพรกลับขอให้สถาปนาพระเชษฐา กรมหลวงอนุรักษ์มนตรี หรือ เจ้าฟ้าเอกทัศน์ ขึ้นเป็นรัชทายาท แต่พระราชบิดาไม่ทรงยินยอม รับสั่งว่า
“กรมขุนอนุรักษ์มนตรีนั้นโฉดเขลา หาสติปัญญาและความเพียรมิได้ ถ้าจะให้ดำรงฐานาศักดิ์มหาอุปราชสำเร็จราชการกึ่งหนึ่งนั้น บ้านเมืองก็จะเกิดภัยพิบัติเสียหาย เห็นแต่กรมขุนพรพินิตกอปรด้วยสติปัญญาเฉลียวฉลาดหลักแหลม สมควรจะดำรงเศวตฉัตรครองสมบัติรักษาแผ่นดินสืบไปได้ เหมือนดังคำปรึกษาด้วยท้าวพระยามุขมนตรีทั้งปวง”
จึงมีพระราชโองการให้เจ้าฟ้าเอกทัศน์ออกผนวช และสถาปนาเจ้าฟ้าอุทุมพรขึ้นเป็นมหาอุปราช
ในปี พ.ศ.๒๓๐๑ พระเจ้าอยู่หัวประชวรหนัก รับสั่งให้พระราชโอรสที่มีบทบาทสำคัญเข้าเฝ้า ตรัสมอบสมบัติให้เจ้าฟ้าอุทุมพร และให้คนอื่นๆถวายสัตย์ยอมเป็นข้าทูลละออง เจ้าฟ้าเอกทัศน์ทราบข่าวก็รีบลาผนวชกลับมาอยู่วัง รอขึ้นครองราชย์แทน ด้วยถือว่าพระองค์เป็นพระราชโอรสที่อาวุโสที่สุด
เมื่อพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศสวรรคต ขุนนางข้าราชการก็อัญเชิญเจ้าฟ้าอุทุมพรขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติตามพระบรมราชโองการ แต่เจ้าฟ้าเอกทัศน์กลับเสด็จขึ้นประทับบนพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์ ซึ่งเป็นที่ประทับของกษัตริย์
เจ้าฟ้าอุทุมพรเห็นว่าพระเชษฐาอยากครองราชย์เต็มที่ เลยสละราชสมบัติให้หลังจากครองราชย์ได้เพียง ๑๐ วัน แล้วเสด็จออกผนวชที่วัดประดู่
เจ้าฟ้าเอกทัศน์ขึ้นครองราชย์เป็น สมเด็จพระบรมราชาที่ ๓ หรือ พระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์ แต่รู้จักกันทั่วไปในนาม พระเจ้าเอกทัศน์ หรือ “ขุนหลวงขี้เรื้อน” กษัตริย์องค์สุดท้ายของกรุงศรีอยุธยาที่เสียเมืองแก่พม่าอย่างยับเยิน
เจ้าฟ้าเอกทัศน์บริหารราชการแผ่นดินตามที่พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศคาดไว้ไม่มีผิด ข้าราชการสอพลอได้ดิบได้ดี ขุนนางกลุ่มหนึ่งจึงไปเข้าเฝ้าเจ้าฟ้าอุทุมพรขอให้สึกออกมากอบกู้บ้านเมืองก่อนที่จะล่มสลาย เจ้าฟ้าพระภิกษุรับสั่งว่า
“รูปเป็นสมณะ จะคิดอ่านการแผ่นดินนั้นไม่ควร ท่านทั้งปวงเห็นควรประการใดก็ตามแต่จะคิดกัน”
ผู้เข้าเฝ้าตีความเอาเองว่าทรงเอาด้วย จึงไปเริ่มดำเนินการ แต่เจ้าฟ้าอุทุมพรกลับเกรงว่าเมื่อทำการสำเร็จแล้วผู้ก่อการอาจจับทั้งพระเชษฐาและพระองค์สำเร็จโทษ ขึ้นครองราชย์เสียเอง จึงนำความไปทูลเจ้าฟ้าเอกทัศน์ ผู้ก่อการทั้งหมดเลยถูกจับ แต่โทษประหารนั้นเจ้าฟ้าอุทุมพรทูลขอไว้ เลยต้องโทษเพียงจองจำ
ในปี พ.ศ.๒๓๐๒ พระเจ้าอลองพญา กษัตริย์พม่า ยกทัพมาตีไทย ตีหัวเมืองได้ตลอดจนมาถึงกรุงศรีอยุธยา ขุนนางข้าราชการเห็นว่าพระเจ้าเอกทัศน์รักษาบ้านเมืองไว้ไม่ได้แน่ จึงทูลขอให้เจ้าฟ้าอุทุมพรลาผนวชมาช่วยรักษาพระนคร พระเจ้าเอกทัศน์ก็ยอม เพราะจนปัญญาไม่รู้ว่าจะสั่งสู้พม่าได้อย่างไร เจ้าฟ้าอุทุมพรจึงลาผนวชมาบัญชาการรบ พอดีพระเจ้าอลองพญาถูกปืนใหญ่ของตัวเองระเบิด ประชวรหนักจนต้องเลิกทัพกลับไป และสิ้นพระชนม์เมื่อออกไปพ้นด่านเมืองตาก
เมื่อเสร็จศึกพม่า พระเจ้าเอกทัศน์ก็แสดงความไม่ต้องการพระอนุชาอีก ค่ำวันหนึ่งเจ้าฟ้าอุทุมพรเข้าเฝ้าถวายข้อราชการตามปกติ พระเจ้าเอกทัศน์รับสั่งให้เข้าเฝ้าถึงในพระที่ แต่ทรงถอดดาบพาดไว้บนพระเพลา เจ้าฟ้าอุทุมพรก็รู้ความหมายว่าพระเชษฐาไม่ไว้วางพระทัย จึงเสด็จลงเรือพระที่นั่งไปทรงผนวชที่วัดโพธิ์ทองคำหยาด และไปประทับที่พระตำหนักคำหยาด ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศผู้เป็นพระราชบิดาสร้างไว้เป็นที่ประทับแรมเมื่อเสด็จประพาสเมืองอ่างทอง ราษฎรจึงพากันขนานพระนามพระองค์ว่า “ขุนหลวงหาวัด”
ในปี พ.ศ.๒๓๐๗ พระเจ้ามังระ พระโอรสของพระเจ้าอลองพญา ส่งเนเมียวสีหบดีเป็นแม่ทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาอีก พระเจ้าเอกทัศน์รับสั่งให้นิมนต์พระราชาคณะเข้ามาอยู่เสียในกำแพงพระนครเพื่อความปลอดภัย พระภิกษุเจ้าฟ้าอุทุมพรก็เสด็จมาด้วย ขุนนางข้าราชการจึงทูลขอให้ลาผนวชมาช่วยป้องกันพระนคร แต่เจ้าฟ้าอุทุมพรเข็ดเสียแล้ว แม้ราษฎรจะเขียนหนังสือใส่บาตรจนเต็มตอนออกบิณฑบาตรก็ไม่ยอม จนปี พ.ศ.๒๓๑๐ กรุงศรีอยุธยาก็แตกเสียเมืองแก่พม่า พระเจ้าเอกทัศน์หนีไปได้ แต่ก็ต้องสิ้นพระชนม์เพราะอดพระกระยาหารขณะไปหลบซ่อนพม่า
เนเมียวสีหบดีได้กวาดต้อนชาวกรุงศรีอยุธยารวมทั้งพระภิกษุเจ้าฟ้าอุทุมพรไปพม่า พระเจ้ามังระให้คนไทยที่ถูกกวาดต้อนไปลำดับเรื่องราวในพงศาวดารไทยจดบันทึกไว้ ต่อมาใน พ.ศ.๒๔๙๒ อังกฤษยึดพม่าได้ พบหนังสือเล่มนี้อยู่ในหอหลวงพระราชวังมัณฑเล มีชื่อว่า “คำให้การของขุนหลวงหาวัด” จึงนำไปไว้ในหอสมุดเมืองร่างกุ้ง ต่อมาหอวชิรญาณได้ขอคัดลอกมาแปลเป็นภาษาไทย แต่เห็นว่าเป็นคำให้การของคนไทยที่ถูกกวาดต้อนไปหลายคน ไม่ใช่เจ้าฟ้าอุทุมพรเพียงพระองค์เดียว จึงเรียกชื่อเสียใหม่ว่า “คำให้การของชาวกรุงเก่า”
พระเจ้าอุทุมพร กษัตริย์พระองค์ที่ ๓๒ ของกรุงศรีอยุธยา ไม่มีโอกาสได้กลับมาแผ่นดินบ้านเกิด คงสวรรคตที่ประเทศพม่า
ปัจจุบัน “พระตำหนักคำหยาด” ซึ่งถูกทอดทิ้งให้รกร้างมาเป็นเวลานานเหลือแต่เพียงผนังอิฐ ๔ ด้าน ประตูและหน้าต่างมีลักษณะโค้งยอดแหลม เหมือนสถาปัตยกรรมสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่ได้รับอิทธิพลมาจากเปอร์เซีย กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ เป็นอนุสรณ์ให้นึกถึง “ขุนหลวงหาวัด” ซึ่งน้อยนักที่จะมีผู้ไม่ปรารถนาในพระราชบัลลังก์เช่นพระองค์
เรื่องย่อการโพนช้าง (คล้องช้าง) ของชาวกวยจังหวัดสุรินทร์
เรียบเรียงโดย กฤตพล (เชียงนวง) ศาลางาม เลขานุการกรมช้างไทย
(เอกสารประกอบการบรรยายขอขึ้นทะเบียนมรดกแห่งชาติ ณ โรงแรมสุนีย์แกรด์ จ.อุบลราชธานี)
พบเครื่องถ้วยชามลายน้ำทอง มีพระบรมฉายาลักษณ์ ร.5 ที่กาน้ำ และจาน
ไม่ทราบว่ามีจริงหรือไม่ เนื่องจากไม่เคยเห็นในหนังสือ รวมทั้งภาพใน Internet
ขอทราบรายละเอียดด้วยครับ
วัสดุ ดินเผา
แบบศิลปะ ศิลปะเขมรในประเทศไทย
อายุสมัย อายุราวพุทธศตวรรษที่ 17-18
สถานที่พบ ขุดได้บริเวณ ปรางค์กู่ อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด โรงเรียนชุมชนบ้านยางกู่ มอบให้เมื่อ พ.ศ.2538
ไหทรงกลมเป็นกระเปาะคล้ายผลน้ำเต้า ขอบปากแคบ ส่วนบนทำเป็นหน้าคน มีคิ้วเป็นรูปปีกกาต่อกับจมูก ตาเป็นรูปวงรี จมูกโด่ง ปากหนา ปากบนทำเป็นขีดเรียงกันคล้ายหนวด มีเครายาว หูยาว ลำตัวป่อง กลางลำตัวมีเส้นโค้งบรรจบกัน ส่วนล่างสอบ เคลือบสีน้ำตาลเข้ม