ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 41,347 รายการ

  เอกมุขลึงค์พบจากการขุดศึกษาทางโบราณคดีที่โบราณสถานคอกช้างดินหมายเลข ๕ เมืองโบราณ   อู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๙ จัดแสดงห้องบรรพชนคนอู่ทอง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง   เอกมุขลึงค์พร้อมฐานโยนี ขนาดกว้าง ๗๕.๕ เซนติเมตร ยาว ๑๐๐ เซนติเมตร สูง ๓๖ เซนติเมตร เดิมแตกเป็นชิ้นส่วน ปัจจุบันต่อไว้โดยเสริมส่วนที่ชำรุดหายไปด้วย ลักษณะเป็นศิวลึงค์ทรงกระบอกกลมปลายมน มีพระพักตร์ของพระศิวะสลักติดอยู่บริเวณส่วนล่างเกือบติดกับฐานโยนี โดยพระพักตร์มีความสูงประมาณ ๖ เซนติเมตร ทรงชฎามกุฎคือมีเส้นผมที่มุ่นมวยขึ้นไปด้านบนแบบนักบวช ทัดจันทร์เสี้ยวบนมวยผม มีพระเนตรที่สามอยู่กลางพระนลาฏ พระขนงต่อกันเป็นปีกกา พระเนตรเหลือบต่ำ พระนาสิกโด่ง พระพักตร์ส่วนล่างกะเทาะหักหายไป ส่วนฐานโยนีสลักติดกับศิวลึงค์ ลักษณะเป็นแท่นทรงสี่เหลี่ยมยกขอบข้างสูง กึ่งกลางด้านหนึ่งทำเป็นรางยื่นออกมา รูปแบบของเอกมุขลึงค์องค์นี้แสดงถึงอิทธิพลศิลปะอินเดียแบบคุปตะ กำหนดอายุสมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๓ หรือประมาณ ๑,๓๐๐ – ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว   เอกมุขลึงค์เป็นรูปเคารพแทนองค์พระศิวะ หมายถึง ศิวลึงค์ที่มีพระพักตร์ของพระศิวะปรากฏอยู่ ๑ พระพักตร์ โดยปกติจะประดิษฐานบนฐานโยนี ซึ่งเป็นรูปเคารพแทนองค์พระอุมา ชายาของพระองค์ มักประดิษฐานไว้ในเทวาลัยสำหรับทำพิธีกรรมโดยจะมีการบูชาและสรงน้ำลงบนศิวลึงค์ น้ำจะไหลลงมาบนฐานโยนีและไหล่ผ่านรางที่ยื่นออกมาเพื่อเป็นน้ำมนตร์หรือน้ำศักดิ์สิทธิ์ต่อไป พบมาแล้วในประเทศอินเดียและส่งอิทธิพลให้ดินแดนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทยนอกจากเมืองโบราณอู่ทองแล้ว ยังพบที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีด้วย    เอกมุขลึงค์องค์นี้ พบที่โบราณสถานคอกช้างดินหมายเลข ๕ โดยขุดพบบริเวณฐานศิลาแลงทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า จึงสันนิษฐานได้ว่าโบราณสถานแห่งนี้อาจเป็นเทวาลัยสำหรับประกอบพิธีกรรม ทั้งยังเป็นหลักฐานที่แสดงถึงการรับคติความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู เข้ามาจากประเทศอินเดียของผู้คนท้องถิ่นบริเวณเมืองโบราณอู่ทองในสมัยนั้นด้วย  --------------------------------------------------- เอกสารอ้างอิง : กรมศิลปากร. โบราณคดีคอกช้างดิน. กรุงเทพฯ : ฟันนี่พับบลิชชิ่ง, ๒๕๔๕. กรมศิลปากร. โบราณคดีเมืองอู่ทอง. สหมิตรพริ้นติ้ง : นนทบุรี, ๒๕๔๕. เชษฐ์ ติงสัญชลี. ประวัติศาสตร์ศิลปะอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้. นนทบุรี : มิวเซียมเพรส, ๒๕๕๘. ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะทวารวดี : วัฒนธรรมทางศาสนายุคแรกเริ่มในดินแดนไทย. กรุงเทพฯ : เมือง โบราณ , ๒๕๖๒. สมศักด์ นิลพงษ์. ศิวลึงค์ศิลาที่ค้นพบในประเทศไทย. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา โบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๒๖. สมศักดิ์ รัตนกุล “การขุดแต่งโบราณสถานด้านทิศเหนือของคอกช้างดิน อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี” ศิลปากร ๑๑, ๒ (กรกฎาคม ๒๕๑๐) : ๗๘ – ๘๔. ------------------------------------------------------------- ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง https://www.facebook.com/prfinearts/posts/pfbid0vex7qgLerLqYdX8HMMmDDbTKuysQTPJWTHRqQuv8T1qAwtZQQMXKNDvduPvTH3Djl


ชื่อเรื่อง                     โครงการธำรงรักษาดนตรี การแสดงและการละเล่นพื้นบ้านเพลงอีแซวผู้แต่ง                       วิทยาลัยนาฏศิลปะสุพรรณบุรีประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือท้องถิ่นISBN/ISSN                 -หมวดหมู่                   ประเพณี ขนบธรรมเนียม เลขหมู่                     782.48 ว585คสถานที่พิมพ์               สุพรรณบุรีสำนักพิมพ์                 วิทยาลัยนาฏศิลปะสุพรรณบุรีปีที่พิมพ์                    2551ลักษณะวัสดุ               262 หน้า : ภาพประกอบ ; 29 ซม.หัวเรื่อง                     เพลงอีแซว                              สุพรรณบุรี – เพลงพื้นบ้านภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึก           หนังสือเล่มนี้เป็นโครงการธำรงรักษาดนตรี การแสดงและการละเล่นพื้นบ้านเพลงอีแซว จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาความเป็นมาและวิวัฒนาการการละเล่นเพลงอีแซวของจังหวัดสุพรรณบุรี รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลเพลงพื้นบ้านอีแซวในรูปแบบสื่อและนวัตกรรมทางการศึกษา ส่งเสริม เผยแพร่และอนุรักษ์เพลงอีแซว ตลอดจนศิลปินที่เป็นภูมิปัญญาให้มีวิถีแห่งการสืบสานที่ยาวนานแก่เยาวชนรุ่นหลัง  


อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ขอเผยแพร่องค์ความรู้ประจำเดือนกรกฎาคมเรื่อง ความเชื่อเรื่องหลักเมือง กับโบราณสถาน บน.๖ วัดหลักเมืองศรีสัชนาลัยความเชื่อเรื่องหลักเมือง เป็นความเชื่อที่ปรากฏมาอย่างช้านาน ภายใต้พื้นฐานการเคารพผีบรรพบุรุษและการไหว้ภูตผีภายในเสาบ้านของผู้คนในอดีต และเมื่อเข้าสู่สถานะความเป็นเมือง คติความเชื่อของศาสนาพุทธและพราหมณ์เข้ามา โดยเฉพาะเรื่อง ศูนย์กลางจักรวาลหรือเขาพระสุเมรุ เข้ารวมกับความเชื่อดั้งเดิมในท้องถิ่น ความเชื่อเรื่องศูนย์กลางของชุมชน  จากการไหว้เสาบ้านจึงถูกพัฒนาเป็นความเชื่อเรื่องเสาของเมือง หรือ เสาหลักเมือง  ภายในเมืองศรีสัชนาลัย ปรากฏโบราณสถานแห่งหนึ่งที่ปัจจุบันเชื่อกันว่าเป็นหลักเมืองของเมือง ศรีสัชนาลัย นั่นคือ โบราณสถาน บน.๖ หรือ โบราณสถานวัดหลักเมือง ซึ่งแนวคิดเรื่องเสาหลักเมืองของเมืองศรีสัชนาลัย ถูกกล่าวถึงครั้งแรกในหนังสือ “เที่ยวเมืองพระร่วง” จากการสันนิษฐานของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ เมื่อครั้งเสด็จพระพาสหัวเมืองเหนือ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๐ โดยมีใจความว่า  “…ข้าพเจ้าเชื่อว่า ไม่ใช่วัดพระพุทธศาสนาเป็นแน่และมิใช่โบสถ์พราหมณ์ แต่จะเกี่ยวเป็นศาลผีหรือเทวดาอันใดอันหนึ่งจึ่งได้เดาต่อไปว่าบางทีจะเป็นหลักเมืองคือที่ฝังนิมิตรของเมือง ที่นี่เป็นที่ออกจะเหมาะอยู่ใกล้รั้วใกล้วังดี อย่างไรๆ หลักเมืองที่อื่นนอกจากที่นี้ก็ไม่มีเลย ได้ให้ค้นหาอยู่หลายวันก็ไม่พบปรางค์นั้น ตามความเข้าใจของข้าพเจ้าว่าใช้เป็นอนุเสาวรีย์เครื่องหมายว่าเป็นที่ฝังอะไรไว้ในที่นั้น มีพระธาตุหรืออัฐิคนเป็นต้น  ก็ถ้าทำเป็นเครื่องหมายที่ฝังกระดูกคนได้แล้ว จะทำเป็นเครื่องหมายนิมิตดวงของเมืองไม่ได้เจียวหรือ ส่วนตัวข้าพเจ้าสมัครเชื่อข้างเป็นหลักเมืองมากกว่าเป็นที่ฝังอัฐิ เพราะมาตั้งอยู่ห่างนอกเขตวัด แต่นี่ก็เป็นการเดาในส่วนตัวของข้าพเจ้าโดยแท้”  อีกทั้งด้วยลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่มีความแตกต่างจากโบราณสถานอื่นๆ ที่พบภายในเมือง นั่นคือ เจดีย์ประธานเป็นเจดีย์ทรงปรางค์ ก่อด้วยศิลาแลงในผังสี่เหลี่ยมจัตุรัส ชั้นฐานเขียงซ้อนกันสองชั้นในผังย่อมุมไม้ยี่สิบ ถัดขึ้นมาคือชุดฐานบัวลูกฟัก ๑ ชุด ต่อด้วยฐานสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้ยี่สิบอีก ๗ ชั้น โดยแต่ละชั้นประดับด้วยบันแถลงและกลีบแถลงที่มีการตกแต่งลวดลายปูนปั้น และตำแหน่งที่ตั้งของโบราณสถานที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของพื้นที่พระราชวัง จึงเชื่อว่าโบราณสถานแห่งนี้น่าจะมีความสำคัญต่อเมืองศรีสัชนาลัยหรือเป็นหลักเมือง นั่นเอง แต่ผลจากการขุดแต่งทางโบราณคดีในปี พ.ศ.๒๕๑๒ ได้พบพระพิมพ์ดินเผา อยู่บริเวณรอบวิหาร และซุ้มพระ ได้พบพระพิมพ์ขนาดเล็กทำด้วยดินเผา วัดแห่งนี้จึงน่าจะเป็นวัดในพระพุทธศาสนามากกว่าศาสนสถานในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ปัจจุบัน ภายในโบราณสถานวัดหลักเมือง ได้มีการนำเสาหลักเมือง หรือเสาอินทขิล มาตั้งไว้บนฐานพระพุทธรูปเดิม ภายในมณฑปบนวิหาร แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่านำมาตั้งขึ้นตั้งแต่เมื่อใด อย่างไรก็ตามไม่ว่าในอดีตโบราณสถานวัดหลักเมืองจะใช่หลักเมืองของเมืองศรีสัชนาลัยหรือไม่ แต่ปัจจุบันโบราณสถานวัดหลักเมืองได้รับการนับถือว่าเป็นหลักเมืองของเมืองศรีสัชนาลัย อ้างอิงกองโบราณคดี กรมศิลปากร, รายงานทางวิชาการเพื่อพิจารณาประกอบการจัดทำแผนแม่บท โครงการอุทยาน ประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย (กรุงเทพมหานคร: บริษัท สำนักพิมพ์สมาพันธ์ จำกัด, ๒๕๓๓)พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จ, เที่ยวเมืองพระร่วง, (กรุงเทพมหานคร: องค์การค้าของคุรุสภา ศึกษาภัณฑ์พาณิชย์ ถนนราชดำเนินกลาง, ๒๕๒๖)อรุณโรจน์ กลิ่นฟุ้ง, “หลักเมือง หลักบ้าน "เสา พุทธ พราหมณ์ ผี”, (สารนิพนธ์ ศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชา ประวัติศาสตร์ศิลปะ มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๒)




ชื่อผู้แต่ง     คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ     ชื่อเรื่อง       เศรษฐกิจปริทรรศ (ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๓  ตุลาคม  ๒๕๑๑)   ครั้งที่พิมพ์    -   สถานที่พิมพ์  พระนคร  สำนักพิมพ์    สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี  ปีที่พิมพ์       ๒๕๑๑ จำนวนหน้า   ๕๗ รายละเอียด                   วารสารเศรษฐกิจปริทรรศเป็นการส่งเสริมความก้าวหน้าในวิชาเศรษฐศาสตร์ และวิชาการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เนื้อหาภายในประกอบด้วย ๕ บทความเช่น นโยบายการศึกษากับการพัฒนาเศรษฐกิจ, ข้อเสนอแนะทางเศรษฐกิจและการเงิน ฯลฯ อีกทั้งเพื่อส่งเสริมข้อคิดเห็นทางวิชาการของผู้สนใจทั่วไปและอาจารย์ในคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ 


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 147/6 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 178/5ง เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


ชื่อผู้แต่ง          มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว,พระบาทสมเด็จพระ ชื่อเรื่อง           เที่ยวเมืองพระร่วง ครั้งที่พิมพ์       พิมพ์ครั้งที่ ๘ สถานที่พิมพ์     กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์       โรงพิมพ์มหามงกุฎราชวิทยาลัย ปีที่พิมพ์          ๒๕๑๙ จำนวนหน้า      ๒๓๙  หน้า รายละเอียด                    เที่ยวเมืองพระร่วง เป็นหนังสือที่เล่าเรื่องไปดูโบราณสถานต่างๆ ให้ผู้ที่สนใจศึกษาโบราณคดีฟังและออกความคิดเห็น หวังว่าหนังสือเล่มนี้จะมีผลให้คนไทยรู้สึกขึ้นมาได้ว่าชาติไทยเราไม่ใช่ชาติใหม่และไม่ใช่ชาติที่เป็นคนป่าแต่ชาติไทยเราเจริญรุ่งเรืองมามากแล้ว เป็นการให้สติเตือนใจคนรุ่นใหม่ว่า   อย่าน้อยเนื้อต่ำใจแต่ให้เข้าใจเมืองไทยเรามีที่ท่องเที่ยวที่ดีกว่าต่างประเทศมากมาย คนไทยควรท่องเที่ยวที่เมืองไทยกว่าเที่ยวต่างประเทศ  พร้อมแผนที่และภาพประกอบ


  ชื่อผู้แต่ง          เทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระ. ชื่อเรื่อง           พระราชนิพนธ์บางเรื่องของสมเด็จพระ เทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ครั้งที่พิมพ์        พิมพ์ครั้งที่ ๑ สถานที่พิมพ์      กรุงเทพมหานคร สำนักพิมพ์        โรงพิมพ์พระจันทร์ ปีที่พิมพ์          ๒๕๒๕ จำนวนหน้า      ๖๐ หน้า : ภาพประกอบ หมายเหตุ         พิมพ์เป็นอนุสรณ์ งานพระราชทานเพลิงศพนายจินดา สิงหรัต ณ วัดโสมนัสวรวิหาร                    วันจันทร์ ที่ ๒๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๕                    เป็นพระราชนิพนธ์หลายเรื่อง เช่นเมื่อข้าพเจ้าตามเสด็จเยี่ยมราษฎร, เบื้องหลังการแต่งเพลงของข้าพเจ้า, ฉันชอบอ่านหนังสือ ฯ ของสมเด็จพระ เทพรัตนราชสุดาฯ


ชื่อเรื่อง : ตามใจผู้เขียน ชื่อผู้แต่ง : ส.ศิวรักษ์ ปีที่พิมพ์ : 2514สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯสำนักพิมพ์ : หจก. รวมสาส์น จำนวนหน้า : 596 หน้า สาระสังเขป : ตามใจผู้เขียน เป็นภาคต่อจากหนังสือเล่ม คุยคนเดียว เป็นการรวบรวมงานพูดที่ ส.ศิวรักษ์ ได้พูดออกอากาศทาง ททท. เป็นจำนวน 39 เรื่อง แต่ละเรื่องล้วนแต่น่าสนใจทั้งในแง่ความรู้ และความคิดของนักคิดชื่อดังคนนี้ เรื่องในเล่มอาทิ -เที่ยวเรือตามคลองบางหลวง -อันเนื่องมาจากพระพุทธเลิศหล้าฯ -พระเจนดุริยางค์ -เที่ยวเรือกับท่านพุทธทาส -สยามสมาคม -ม.จ.พูนพิศมัย ดิศกุล -อันเนื่องมาแต่ฟุตบอลประเพณี ฯลฯ


         มหามกุฎราชสันตติวงศ์ ๑๖ มีนาคม ๒๔๕๐ วันประสูติพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุทธวงษวิจิตร          พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุทธวงษวิจิตร เป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ที่ประสูติแต่หม่อมเจ้าประสงค์สม บริพัตร ประสูติเมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๔๕๐ เมื่อแรกประสูติมีพระนามว่า หม่อมเจ้าสุทธวงษวิจิตร ครั้นในปีพุทธศักราช ๒๔๕๔ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ให้ยกพระบุตรของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิตที่ประสูติแต่หม่อมเจ้าประสงค์สมเป็น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า          ในการพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียรพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์เจ้าและหม่อมเจ้า พระราชนัดดาในรัชกาลที่ ๔ และ ๕ เชิญทั้งเครื่องเฉลิมพระราชมณเฑียร และเครื่องราชูปโภค ทั้งหมด ๑๖ องค์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงยืนกลาง สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงยืนเบื้องขวาพระองค์ แวดล้อมด้วยพระราชนัดดาในรัชกาลที่ ๔ และ ๕ ทรงเชิญเครื่องเฉลิมพระราชมณเฑียร ทั้งนี้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุทธวงศ์วิจิตร พระราชนัดดาในรัชกาลที่ ๕ เชิญพระแสงดาบฝักทองเกลี้ยง          พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุทธวงษวิจิตร นับเป็นพระราชปนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ที่สืบสายจากพระบิดา          พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุทธวงษวิจิตร สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๙ เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ สิริพระชันษา ๙๕ ปี   ภาพ : พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุทธวงษวิจิตร


เลขทะเบียน : นพ.บ.392/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 50 หน้า ; 5 x 57 ซ.ม. : ชาดทึบ-ล่องชาด-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 144  (40-47) ผูก 1 (2566)หัวเรื่อง : ธรรมบทขั้นต้น--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.530/4ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 40 หน้า ; 4 x 51.5 ซ.ม. : ชาดทึบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 178  (281-290) ผูก 4 (2566)หัวเรื่อง : เวสฺสนฺตรชาตก--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม



Messenger