ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ

พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ณ พระเมรุ ท้องสนามหลวงเป็นวาระสุดท้ายแห่งการบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระเกียรติยศและแสดงความจงรักภักดี สนองพระกรุณาธิคุณพระบรมวงศ์สำคัญผู้มีพระคุณอนันต์แก่แผ่นดิน น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายตามโบราณราชประเพณี


องค์ความรู้แหล่งโบราณคดี โบราณสถานในเขตสำนักศิลปากรที่ 6 สุโขทัย ขอนำเสนอข้อมูลแหล่งเตาที่เพิ่งสำรวจพบและขุดค้นในปี 2563 ในจังหวัดพิจิตร . แหล่งเตาบึงวัดป่า : ข้อมูลใหม่ในจังหวัดพิจิตร . นาตยา ภูศรี นักโบราณคดีชำนาญการพิเศษ สำนักศิลปากรที่ 6 สุโขทัย   แหล่งเตาบึงวัดป่า ตั้งอยู่ที่หมู่ 4 ตำบลท่านั่ง อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร แหล่งเตาแห่งนี้เป็นแหล่งเตาที่พบใหม่ในเขตภาคเหนือตอนล่าง โดยเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2561 สำนักศิลปากรที่ 6 สุโขทัย ได้รับแจ้งจากจังหวัดพิจิตรว่ามีการขุดพบเครื่องปั้นดินเผาโบราณ ขณะขุดลอกแหล่งน้ำบริเวณบึงวัดป่า ใน พื้นที่หมู่ที่ 4 ตำบลท่านั่ง อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร หลังจากที่ผู้รับเหมาใช้รถแบคโฮ (backhoe) ขุดลอก แหล่งน้ำบริเวณดังกล่าว ลึกลงไปประมาณ 1.50 เมตร ในเบื้องต้นพบลักษณะคล้ายเตาเผาโบราณ 3 จุด พร้อมโบราณวัตถุ เช่น แจกัน ถ้วย โถ จาน เป็นต้น ต่อมากลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 6 สุโขทัย ได้เข้าไปตรวจสอบพื้นที่ พบว่า สภาพแวดล้อมของพื้นที่เป็นบึงเรียกว่าบึงวัดป่า มีรอยขุดตักของรถแบคโฮ บริเวณ ขอบบึงได้พบร่องรอยเตาเผาภาชนะดินเผาที่ถูกขุดไปบางส่วน และมีบางส่วนยังอยู่ในผนังชั้นดิน พบเศษ ภาชนะดินเผาเนื้อแกร่ง (Stone Wares) ทั้งแบบไม่เคลือบและเคลือบสีน้ำตาล ประเภท ไห แจกัน กระปุก เป็นต้น . ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 6 สุโขทัย ได้ดำเนินการขุดค้นแหล่ง เตาบึงวัดป่าจำนวน 1 เตา ผลการขุดค้น ได้พบหลักฐานเป็นเตาเผาโบราณ ลักษณะเป็นเตาระบายความร้อน แบบแนวนอน (crossdraft kiln) เตามีหลังคาโค้งรีคล้ายประทุนเรือ ก่อด้วยดิน ผนังเตามีคราบซิลิก้าละลาย ติดอยู่ เตามีขนาดกว้าง 2.90 เมตร (ส่วนที่กว้างที่สุด) ยาว 9 เมตร วางตัวตามแนวแกนทิศเหนือใต้ ช่องใส่ไฟ อยู่ทางด้านทิศเหนือ อยู่ในระดับต่ำกว่าพื้นที่ส่วนอื่นของเตา ปล่องไฟอยู่ทางด้านทิศใต้ เตามีสภาพไม่สมบูรณ์ เนื่องจากถูกรถแบคโฮขุดตัดบริเวณช่องวางภาชนะ ระหว่างการขุดลอกบึงวัดป่า . จากการขุดค้นไม่พบเครื่องปั้นดินเผา ภายในเตาพบว่ามีดินอัดแน่นอยู่ภายใน บริเวณพื้นที่โดยรอบ พบเศษภาชนะดินเผาเนื้อแกร่งและเนื้อไม่แกร่ง กระจายตัวทั่วไป ส่วนใหญ่เป็นเศษภาชนะดินเผาเนื้อแกร่งที่ผลิตจากแหล่งเตาบ้านบางปูน จังหวัดสุพรรณบุรี กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ 19 และเศษภาชนะดินเผา จากแหล่งเตาในประเทศจีน สมัยราชวงศ์เยวี๋ยน กำหนดอายุราวครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ 19 . ในเบื้องต้นสันนิษฐานว่าผลิตภัณฑ์จากแหล่งเตาบึงวัดป่า ได้แก่ ภาชนะดินเผาทั้งประเภทเนื้อไม่แกร่ง (Earthern wares) และประเภทเนื้อแกร่ง (Stone ware) ส่วนใหญ่เป็นภาชนะประเภท ไห อ่าง และกระปุก ผลการกำหนดอายุด้วยวิธี AMS (Accelerator Mass Spectrometry Radiocarbon Dating) จากตัวอย่างถ่านที่พบบริเวณช่องใส่ไฟของเตาอยู่ระหว่าง พ.ศ. 1767 – 1841 หรือ ปลายพุทธศตวรรษที่ 18 – ต้น พุทธศตวรรษที่ 19 ส่วนการกำหนดอายุจากชิ้นส่วนผนังเตาด้วยวิธีเรืองแสงความร้อน (Thermoluminescence Dating : Tl) อยู่ระหว่างรอผลทดสอบ



ชื่อเรื่อง                           ฌาปนกิจฺจานิสํสกถา (อานิสงส์เผาศพ)สพ.บ.                                  175/1กประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           22 หน้า กว้าง 4.7 ซ.ม. ยาว 54.9 ซ.ม. หัวเรื่อง                                 อานิสงส์เผาศพบทคัดย่อ/บันทึกเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ภาษาบาลี-ไทย ฉบับลานดิบ-ล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดพยัคฆาราม อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี


ชื่อเรื่อง                                หัตถังคุลีชาดก (หัตถังคุลีชาดก)สพ.บ.                                  121/1ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           28 หน้า กว้าง 5 ซ.ม. ยาว 5ุ7 ซ.ม. หัวเรื่อง                                 ปัญญาสชาดก                                           ชาดก  บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม  เส้นจาร ฉบับล่องชาด  ได้รับบริจาคมาจากวัดประสพสุข  ต.ทับตีเหล็ก อ.เมืองฯ จ.สุพรรณบุรี


องค์ความรู้เรื่องพระมาลัย  พระมาลัยที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร  พระมาลัย คือ พระอรหันตสาวกในพระพุทธศาสนา ปรากฏในคัมภีร์พระมาลัยสูตร กล่าวถึง พระอรหันต์ชาวลังการูปหนึ่งนามว่า “พระมาลัยเทวเถระ” อาศัยอยู่บ้านกัมโพช แคว้นโลหะชนบท ทวีปลังกา เป็นพระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์ สามารถไปยังนรกและสวรรค์ เพื่อนำความที่พบเห็นมาเทศนาแก่มนุษย์ ทำให้เกิดความเชื่อในเรื่องบาปบุญคุณโทษ   ความเชื่อเรื่องพระมาลัยสันนิษฐานว่าเกิดขึ้นครั้งแรกที่ประเทศพม่าราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ – ๑๘ และได้แพร่หลายเข้ามาในประเทศไทยผ่านทางล้านนาและสุโขทัยราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ – ๒๐  ต่อมาได้แพร่กระจายไปทั่วทุกภูมิภาค ซึ่งเห็นได้จากการแต่งวรรณกรรมพระมาลัย เช่น คัมภีร์มาลัยต้น มาลัยปลาย ในภาคเหนือ คัมภีร์มาลัยหมื่น มาลัยแสน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พระมาลัยคำหลวง พระมาลัยกลอนสวด นิทานพระมาลัย ในภาคกลาง และ พระมาลัยคำกาพย์ในภาคใต้   จากคติความเชื่อเรื่องพระมาลัยจึงทำให้เกิดการสร้างสรรค์งานประติมากรรมและจิตรกรรมต่าง ๆ ซึ่งในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร ได้จัดแสดงโบราณวัตถุที่เกี่ยวข้องกับพระมาลัย ได้แก่ สมุดไทย เรื่อง พระมาลัย เขียนด้วยตัวอักษรขอม ภาษาบาลี ด้วยหมึกสีดำลงบนสมุดไทยขาว ศิลปะรัตนโกสินทร์ กำหนดอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๕ ได้รับมอบจากวัดราชพฤกษ์ศรัทธาราม และประติมากรรมรูปพระมาลัย ซึ่งเป็นรูปพระภิกษุ ครองจีวรลายดอกพิกุลห่มเฉียง นั่งขัดสมาธิราบบนฐานบัว มือซ้ายอยู่ในลักษณะถือวัตถุ สันนิษฐานว่าถือตาลปัตรหรือพัด ศิลปะรัตนโกสินทร์ กำหนดอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๕ พระครูวิมลวชิรคุณ เจ้าอาวาสวัดคูยาง จังหวัดกำแพงเพชร เป็นผู้มอบให้ โดยลักษณะงานประติมากรรมเช่นนี้น่าจะมีความหมายถึงพระมาลัยเทศนาโปรดสัตว์ หรือพระมาลัยปางโปรดสัตว์ เนื่องจากตาลปัตรเป็นเครื่องหมายของการแสดงธรรม  เอกสารอ้างอิง เด่นดาว ศิลปานนท์. พระมาลัยในศิลปกรรมไทย. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๔๖.


          ถ้ำภูผาเพชร เป็นถ้ำขนาดใหญ่อยู่ในเทือกเขาบรรทัด เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดสตูล และเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานธรณีสตูล และที่สำคัญก็คือเป็นแหล่งโบราณคดีที่มีร่องรอยการอยู่อาศัยของมนุษย์โบราณ เมื่อหลายพันปีก่อน           แหล่งโบราณคดีถ้ำภูผาเพชร ตั้งอยู่ หมู่ ๙ บ้านควนดินดำ ตำบลปาล์มพัฒนา อำเภอมะนัง จังหวัดสตูล ตั้งอยู่บนเขาหินปูนในเขตเทือกเขาบรรทัดมีลำน้ำ ๒ สายไหลโอบภูเขา ได้แก่ คลองลำโลนไหลผ่านทางทิศเหนือ และคลองระเกดไหลผ่านทางทิศใต้ ที่มาของชื่อ “ถ้ำภูผาเพชร” หรือ “ถ้ำเพชร” มาจากหินงอก หินย้อยภายในถ้ำที่มีความระยิบระยับคล้ายกับเพชร           จากการศึกษาทางด้านโบราณคดีโดยสำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา พบว่าถ้ำภูผาเพชรเป็นแหล่งโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญ โดยสำรวจพบหลักฐานทางโบราณคดีทั้งหมด ๔ จุด ได้แก่           จุดที่ ๑ เพิงผาทางเข้าถ้ำภูผาเพชร ปากถ้ำหันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีลักษณะเป็นเพิงผากว้าง จากการสำรวจพบเครื่องมือหินกะเทาะ หน้าเดียวแบบสุมาตราลิทซ์ (Sumatralith) กำหนดอายุได้ประมาณ ๑๐,๐๐๐ - ๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว ชิ้นส่วนกรามสัตว์ เปลือกหอย กระดองเต่า เป็นต้น            จุดที่ ๒ ห้องพญานาคพันภายในถ้ำ จากการสำรวจพบชิ้นส่วนกะโหลก ศีรษะของมนุษย์และกระดูกรยางค์ ชิ้นส่วนภาชนะดินเผาลายเชือกทาบ ร่องรอยก้นภาชนะดินเผาที่ถูกหินปูนยึดเกาะอยู่และเปลือกหอย           จุดที่ ๓ ทางขึ้นปากปล่องถ้ำฝั่งทิศเหนือ จากการสำรวจพบชิ้นส่วน ภาชนะดินเผากระจายอยู่ทั่วไป ส่วนใหญ่เป็นชิ้นส่วนภาชนะดินเผาเนื้อหยาบ มีการตกแต่งผิวเป็นลายเชือกทาบ ลายขูดขีด เป็นต้น           จุดที่ ๔ เพิงผาหน้าปากปล่องถ้ำด้านทิศเหนือ จากการสำรวจพบ ชิ้นส่วนภาชนะดินเผา เครื่องมือหินกะเทาะ ขวานหินขัดมีคมด้านเดียว เป็นต้น           นอกจากนี้ ยังพบหลักฐานโบราณวัตถุที่ชาวบ้านเก็บได้จากถ้ำภูผาเพชร ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่องค์การบริหารส่วนตำบลมะนัง ได้แก่ ภาชนะดินเผาก้นกลม จำนวน ๒ ใบ และภาชนะดินเผาฐานทรงกระบอกปากผายออก จำนวน ๒ ใบ ตกแต่งผิวด้านนอกด้วยการขัดมันและกดประทับลายเชือกทาบ และยังพบหลักฐานประเภทกระดูกสัตว์ เช่น เต่า เปลือกหอย บรรจุอยู่ในภาชนะดินเผาอีกด้วย จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบและสภาพภูมิศาสตร์ที่มีความเหมาะสม ต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์ จึงสรุปได้ว่าแหล่งโบราณคดีภูผาเพชรเป็นแหล่งโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยใช้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและแหล่งพิธีกรรมเกี่ยวข้องกับการฝังศพ ที่สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดสตูลได้เป็นอย่างดี-----------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา-----------------------------------------------------


เลขทะเบียน : นพ.บ.141/4ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  50 หน้า ; 4.5 x 50.5 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 84 (334-339) ผูก 4 (2564)หัวเรื่อง : ปุณฺณปทสังคหะ--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.89/8ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  48 หน้า ; 4.6 x 50 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา  มีฉลากไม้ชื่อชุด : มัดที่ 52 (103-117) ผูก 8 (2564)หัวเรื่อง : ธมฺมปทวณฺณนา ธมฺปทฎฺฐกถา ขุทฺทกนิกายฎฐกถา (ธรรมบท)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน) เลขที่ ชบ.บ.10/1-6 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


ชื่อเรื่อง : ประชุมพงศาวดาร เล่ม 24 (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 40 (ต่อ)-41) ชื่อผู้แต่ง : - ปีที่พิมพ์ : 2511สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว จำนวนหน้า : 348 หน้าสาระสังเขป : ประชุมพงศาวดารขององค์การค้าคุรุสภาจัดพิมพ์ขึ้น โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงรวบรวม มีรายละเอียด ดังนี้ ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 40 (ต่อ) เรื่องจดหมายเหตุของคณะพ่อค้าฝรั่งเศสซึ่งเข้ามาตั้งครั้งกรุงศรีอยุธยาตอนแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภาคที่ 1 และประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 41 เรื่องจดหมายเหตุของคณะพ่อค้าฝรั่งเศสซึ่งเข้ามาตั้งครั้งกรุงศรีอยุธยาตอนแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภาค 2 (ต่อจากภาคที่ 1 ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 40)




    จารึกปุษยคีรี : ชื่อภูเขาศักดิ์สิทธ์แห่งเมืองอู่ทอง     ศิลาจารึกปุษยคีรี (หนังสือจารึกในประเทศไทย เล่มที่ ๑ เรียกว่า จารึกเขาปุมยะคีรี เลขทะเบียน รบ.๓) พบบริเวณเมืองโบราณอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี จารึก ๑ ด้าน ๑ บรรทัด ด้วยอักษรหลังปัลลวะ ภาษาสันสกฤต เป็นชื่อเฉพาะ แปลว่า “ปุษยคิริ” (ปุษย หมายถึง ดอกไม้ และ คิริ หมายถึง ภูเขา) พิจารณาจากรูปแบบอักษรสามารถกำหนดอายุได้ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ – ๑๔ (ราว ๑,๒๐๐ – ๑,๓๐๐ ปีมาแล้ว) นักวิชาการได้ศึกษาและตีความจารึกดังกล่าว มีประเด็นสำคัญในการศึกษา แบ่งเป็น ๓ ประเด็น ดังนี้      ๑. คำอ่านและคำแปลจารึก นักวิชาการได้อ่านและแปลจารึกแผ่นนี้เป็น ๒ แนวทาง ได้แก่ อ่านว่า “ปุมฺยคิริ” แปลว่า ปุมยคิริ หรือ เขาปุมยะ  และ “ปุษยคิริ” แปลว่า ปุษยคิริ หรือ เขาปุษยะ ทั้งนี้ หากแปลว่า “ปุษยคิริ” น่าจะตรงกับการเทียบเคียงรูปแบบตัวอักษรสมัยหลังปัลลวะ และการแปลความหมายในภาษาสันสกฤตมากกว่า      ๒. การตีความชื่อเขาปุษยคีรีกับหลักฐานด้านภูมิศาสตร์และหลักฐานทางโบราณคดีในเมืองโบราณอู่ทอง โดยนักวิชาการส่วนใหญ่ตีความว่าชื่อ “ปุษยคีรี” ที่ปรากฏในจารึกดังกล่าว หมายถึงเขาทำเทียม ตั้งอยู่บริเวณด้านทิศตะวันตกของเมืองโบราณอู่ทอง ซึ่งพบโบราณสถานสำคัญในสมัยทวารวดีจนถึงสมัยอยุธยา รวมทั้งมีการขุดค้นพบโบราณวัตถุสำคัญจำนวนมากในบริเวณพื้นที่ดังกล่าว ทั้งนี้คงเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเมืองอู่ทองมายาวนาน ตั้งแต่สมัยทวารวดี จนถึงสมัยอยุธยา โดยอาจเกี่ยวข้องกับความเชื่อท้องถิ่นผสมผสานกับความเชื่อที่แพร่หลายเข้ามาจากวัฒนธรรมอินเดีย และอาจเป็นภูเขาที่ใช้เป็นหลักหมาย (landmark) ในการเดินทางของนักเดินทาง      ๓. ความสัมพันธ์กับการรับวัฒนธรรมอินเดีย มีผู้เสนอว่า การพบจารึกปุษยคีรีในดินแดนไทย เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นถึงการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชของอินเดียมายังประเทศไทย เนื่องจากมีความพ้องกับชื่อภูเขาศักดิ์สิทธ์ ได้แก่ ปุษฺปคีรี ในรัฐโอริสสา ซึ่งเชื่อว่าพระเจ้าอโศกมหาราช (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๗๐ – ๓๑๑) ทรงสถาปนา และเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางการติดต่อกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในระยะเวลาต่อมา ทั้งนี้ในเมืองโบราณอู่ทองยังไม่พบหลักฐานที่มีอายุเก่าไปถึงช่วงเวลาดังกล่าวที่จะช่วยสนับสนุนแนวคิดนี้ อย่างไรก็ตาม ชื่อเขาปุษยคิริ ในอินเดียคงเป็นชื่อมงคลที่ส่งอิทธิพลมาถึงการเรียกชื่อสถานที่สำคัญในวัฒนธรรมทวารวดี ให้มีความเกี่ยวข้องกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของพระพุทธศาสนา ก็เป็นได้ จารึกปุษยคีรี จึงเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงสถานที่สำคัญที่ตั้งอยู่บริเวณเมืองโบราณอู่ทอง ในวัฒนธรรมทวารวดี ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๓ – ๑๔ ซึ่งสัมพันธ์กับการรับวัฒนธรรมและความเชื่อจากอินเดียในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ภูเขาปุษยคีรีอาจเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของคนในท้องถิ่นตั้งแต่สมัยทวารวดีจนถึงสมัยอยุธยา    เอกสารอ้างอิง กรมศิลปากร, จารึกในประเทศไทย เล่ม ๑ (อักษรปัลลวะ อักษรหลังปัลลวะ พุทธศตวรรษที่ ๑๑ – ๑๔), กรุงเทพฯ : สำนักหอสมุดแห่งชาติ, ๒๕๕๙. นพชัย แดงดีเลิศ, จารึกทวารวดี : การศึกษาเชิงอักขรวิทยา, วิทยานิพนธ์หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจารึกภาษาไทย, บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๔๒. รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล, “ปุษยคิริ : เขาศักดิ์สิทธิ์ของเมืองอู่ทองที่ถูกลืมเลือน”, วารสารดำรงวิชาการ, ๑๓,๑ (มกราคม-มิถุนายน ๒๕๕๗), หน้า ๑๓๓ – ๑๕๘. ที่มาของสำเนาภาพจารึก  กรมศิลปากร, จารึกในประเทศไทย เล่ม ๑ (อักษรปัลลวะ อักษรหลังปัลลวะ พุทธศตวรรษที่ ๑๑ – ๑๔), กรุงเทพฯ : สำนักหอสมุดแห่งชาติ, ๒๕๕๙, หน้า ๓๑๐.  


ชื่อผู้แต่ง        อ.อนันตคุณานุภาพ ชื่อเรื่อง         สัญญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์ ครั้งที่พิมพ์               -  สถานที่พิมพ์    พระนคร  สำนักพิมพ์      เอี่ยมสุทธา ปีที่พิมพ์           ๒๔๙๙  จำนวนหน้า       ๖๓๒  หน้า  หนังสือเล่มนี้ จัดทำขึ้นเพื่อต้องการหาทุนทรัพย์ มาช่วยเหลือการศึกษาของพระภิกษุสามเณรจังหวัดนครพนม ซึ่งได้มาศึกษาอยู่ในพระนครและธนบุรี ด้วยเหตุนี้หนังสือเล่มนี้จึงเป้นหนังสือการกุศลหนังสือ สัญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์เล่มนี้ เป็นหนังสือเกี่ยวกับการสร้างนักพูดเหมาะสมแก่ผู้ยังใหม่เป็นอย่างยิ่ง หลักการและแนวทางที่เบาสมอง จงฝึกหัดและฝึกฝนตาม แล้วท่านจะต้องเป็นนักพูดที่เรืองนามแน่  


black ribbon.