ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 41,355 รายการ
สถาปัตยกรรมแบบ “ดิวาน (Divan)” ที่พบหลักฐานในเมืองลพบุรี
“... ชาวยุโรป ชาวจีน และชาวมัวร์ ต่างสร้างบ้านเรือนของตนเป็นตึกตามแบบนิยม และศิลปะของชาติตน โดยต่างคนต่างออกค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างของตนเองดังที่ข้าพเจ้าคิด หรือโดยที่คนพวกนี้เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้สร้างบ้านเรือนของตนเป็นตึกได้ดังที่เขาพูดกันก็ไม่ทราบได้ ทางด้านข้างของ ตัวตึกลางหลังนั้น เพื่อป้องกันแสงแดดและไม่ปิดกั้นทางลม ยังได้เติมกันสาดมีคันทวยรับเต้ายื่นออกไปหรือไม่ก็มีเสาค้ำทำนองพะไล ลางหลังก็แบ่งออกเป็นสองห้องโดยมีฝาประจันซึ่งอาจถอดออกได้กั้น รับแสงสว่างได้ทั้งสองด้าน และถ่ายทอดอากาศถึงกัน ห้องนั้นใหญ่และมีช่องลมมากเพื่อระบายอากาศและได้รับความสดชื่น ห้องที่อยู่ชั้นบนนั้นหันหน้าออกตรงห้องโถงชั้นล่าง ซึ่งควรจะเรียกได้ว่าหอนั่งซึ่งลางทีก็มีสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นล้อมอยู่เกือบโดยรอบ มีช่องทางให้แสงสว่างเข้าถึงได้ ตึกอย่างนี้ เรียกว่า ดีวัง (Divan) เป็นภาษาอาหรับ อันมีความหมายโดยเฉพาะว่า หอประชุม หรือ หอพิพากษา อรรถคดี (Sale de Conseil ou de Judgement)”
...จดหมายเหตุ ลาลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.๒๒๓๑ ...
คำว่า “ดิวาน” (Divan, Diwan) เป็นคำมาจากภาษาเปอร์เซียใช้อธิบายถึงสถาปัตยกรรมแบบอาคารโถงรูปแบบต่างๆของเปอร์เซีย (Hall of Audiences) ซึ่งใช้เป็นหอประชุมสภาของชนชั้นปกครอง หรือห้องโถงสำหรับต้อนรับแขกเมือง รวมถึงยังใช้ในคำอธิบายเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมแบบ “ดิวาน” ของราชวงศ์โมกุล (พ.ศ.๒๐๖๙-๒๔๐๐) พบในแถบอินเดียตอนเหนือและปากีสถาน ซึ่งมี ๒ ลักษณะด้วยกัน คือ หอดิวานที่ใช้เป็นสถานที่รับรองแขกเมืองหรือคณะราชทูตพิเศษเป็นการส่วนพระองค์ (Diwan-i-Khas ) และหอดิวานที่ใช้เป็นสถานที่ประชุมสภา ขุนนาง การเสด็จออกมหาสมาคมของพระมหากษัตริย์ (Diwan-i-Aam)
จากหลักฐานคำบรรยายในจดหมายเหตุของลาลูแบร์ ราชทูตที่เดินทางมาเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างฝรั่งเศสและสยามเมื่อพ.ศ.๒๒๓๐-๒๒๓๑ ซึ่งได้กล่าวถึงลักษณะบ้านเรือนที่เป็นตึกของชาวต่างประเทศ แบบที่เรียกว่า “ดีวัง” เป็นเบาะแสสำคัญที่ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานว่า ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. ๒๑๙๙-๒๒๓๑) เมืองลพบุรีมีการก่อสร้างอาคารที่มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมหรือลักษณะการใช้สอยพื้นที่อาคารแบบที่เรียกว่า “ดิวาน” ดังปรากฏหลักฐานอาคารสถาปัตยกรรมที่สำคัญ ได้แก่
ตึกเลี้ยงรับรองราชทูต ภายในพระนารายณ์ราชนิเวศน์ ซึ่งเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนแบบอินโด-เปอร์เซีย ผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดความกว้าง ๙.๒๖ เมตร ความยาว ๑๔.๑๐ เมตร และความสูงประมาณ ๘.๑๐เมตร หลังคาเครื่องไม้ทรงจั่วมุงกระเบื้อง ภายในอาคารเป็นห้องขนาดใหญ่ ผนังอาคารมีการเจาะช่องประตู และหน้าต่างที่มีซุ้มโค้งแหลมคล้ายกลีบบัวจำนวนมาก ผนังตอนบนมีการเจาะช่องรูปซุ้มโค้งแหลมคล้ายหน้าต่าง ซึ่งคงทำขึ้นเป็นช่องเพื่อให้แสงและลมเข้า-ออก และเป็นช่องระบายอากาศร้อนหรือระบายควันที่ลอยอบอวลขึ้นไป เนื่องจากภายในอาคารมักมีการจุดเครื่องหอมประเภทกำยานและไม้หอมตามธรรมเนียมการจุดเครื่องหอมแบบมุสลิม บริเวณโดยรอบอาคารมีการก่อสร้างสระน้ำและน้ำพุ เพื่อปรับสภาพอากาศให้เย็นสบาย ซึ่งถือได้ว่าเป็นการออกแบบพื้นที่และการใช้สอยภายในอาคาร ให้มีการรับแสงสว่าง การถ่ายเทอากาศ ลมสามารถพัดเข้า-ออกโดยสะดวกเพื่อระบายอากาศและรับความสดชื่น
พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาประสาท พระนารายณ์ราชนิเวศน์ เป็นพระที่นั่งประธานที่มีผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า วางตัวตามแนวทิศตะวันออก-ตะวันตก ขนาดความกว้าง ๑๐.๙๐ เมตร ความยาว ๒๗.๒๐ เมตร และความสูงประมาณ ๑๓.๒๐ เมตร แบ่งพื้นที่ออกเป็น ๒ ส่วน ประกอบด้วย อาคารท้องพระโรงส่วนหน้า ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ลักษณะเป็นห้องโถงโล่ง ผนังด้านหน้าเจาะเป็นช่องเปิดขนาดใหญ่และสูงเป็นซุ้มโค้งแหลมคล้ายรูปกลีบบัว จำนวน ๓ ช่อง ผนังด้านข้างทางทิศเหนือและทิศใต้ เจาะเป็นช่องเปิดซึ่งมีรูปแบบเดียวกันด้านละ ๔ ช่อง อาคารส่วนที่สอง ตั้งอยู่ทางด้านใน มีลักษณะเป็นตึกสองชั้นโดยมีบันไดเชื่อมต่อภายในอาคารจากทางตะวันออก และบริเวณด้านหลังอาคารมีบันไดตรงกลางและบริเวณมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นบันไดค่อนข้างแคบ จำกัดช่องทางเดินขึ้น-ลงเพียงลำพัง อาจจะเกี่ยวข้องกับการจัดระบบรักษาความปลอดภัย ส่วนหลังคาหลักฐานเอกสารทางประวัติศาสตร์ กล่าวไว้ว่า มีการมุงด้วยกระเบื้องสีเหลืองและซ้อนชั้นแบบเรือนยอดตามอย่างสถาปัตยกรรมไทย สะท้อนให้เห็นถึงการผสมผสานแบบแผนของศิลปะสถาปัตยกรรมมุสลิมแบบอินโด-เปอร์เซีย และงานช่างไทยในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
โบราณสถานอีกแห่งที่สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นตามแนวคิดการใช้งาน และลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบ “ดิวาน” คือ อาคารหมายเลข ๑ ของบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) ลักษณะเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า วางตัวตามแนวทิศตะวันออก-ตะวันตก ขนาดความกว้าง ๑๓.๓๐ เมตร ความยาว ๑๗.๒๒ เมตร และความสูงประมาณ ๙.๕๐ เมตร แบ่งพื้นที่ใช้สอยหลักออกเป็น ๒ ส่วน คือ พื้นที่ส่วนหน้าของอาคารเป็นห้องโถงขนาดใหญ่โล่ง ผนังด้านหน้าอาคารมีการเจาะช่องเปิดที่มีซุ้มโค้งแหลมคล้ายรูปกลีบบัว จำนวน ๓ ช่อง ผนังด้านข้างอาคารเจาะเป็นช่องในลักษณะเดียวกันด้านละ ๔ ช่อง แต่ภายหลังพบหลักฐานว่าได้มีการก่ออิฐอุดปิดกั้นผนังด้านข้างเพื่อปรับปรุงต่อเติมอาคาร ให้เป็นสถานที่พักรับรองคณะราชทูตฝรั่งเศส พื้นที่ส่วนหลังของอาคารทำเป็นอาคารสองชั้นมีการเจาะช่องประตูและช่องหน้าต่างทั้งชั้นบน และชั้นล่าง และมีการก่อบันไดขึ้น-ลงอาคารจากด้านนอกของอาคาร เช่นเดียวกับพระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท ซึ่งเป็นหลักฐานหนึ่งที่สนับสนุนข้อสันนิษฐานว่า อาคารหมายเลข ๑ ของบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) ซึ่งมีลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบอินโด-เปอร์เซีย สร้างขึ้นตามแนวคิดการใช้งานแบบอาคารโถง หรือ “ดิวาน” จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการปรับปรุงให้เป็นทำเนียบว่าราชการ สถานที่ต้อนรับแขกเมืองหรือคณะราชทูตและผู้ติดตาม รวมทั้งการจัดสรรพื้นที่ไว้สำหรับเป็นที่พักอาศัยของฟอลคอนหรือเจ้าพระยาวิไชเยนทร์ด้วย
เมื่อพิจารณาจากรูปแบบทางสถาปัตยกรรมของโบราณสถานทั้ง ๓ แห่ง ในเมืองลพบุรีที่กล่าวมาแล้วในข้างต้น จะเห็นได้ว่าเกิดจากแนวคิดความต้องการใช้ประโยชน์พื้นที่ ในลักษณะห้องโถงขนาดใหญ่ เพื่อการชุมนุมกันของเหล่าขุนนางข้าราชบริพารในลักษณะคล้ายห้องประชุม หรือเป็นสถานที่รับรองอาคันตุกะสำคัญของเมือง ตามแบบอย่างแนวคิดและรูปแบบการก่อสร้างอาคารที่ได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมแบบอินโด-เปอร์เซีย ซึ่งอาจกล่าวได้เป็นโบราณสถานเหล่านี้เป็นแบบอย่างของอาคารสถาปัตยกรรมที่มีลักษณะบางประการสอคคล้องตรงกันกับตึกแบบที่เรียกว่า “ดีวัง” ที่ปรากฎในจดหมายเหตุของลาลูแบร์ ซึ่งยังคงหลงเหลือหลักฐานปรากฏให้เห็นที่เมืองลพบุรี อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงความรู้และคุ้นเคยของราชสำนักสยามที่มีต่อวัฒนธรรมเปอร์เซียในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้เป็นอย่างดี
เอกสารประกอบ
ลาลูแบร์, ซิมอง เดอ.จดหมายเหตุลาลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม.(สันต์ ท.โกมลบุตร,ผู้แปล) นนทบุรี :
ศรีปัญญา ,๒๕๕๒
จุฬิศพงศ์ จุฬารัตน์. “ความสัมพันธ์ระหว่างสถาปัตยกรรมอินโด-เปอร์เซียกับรูปแบบสถาปัตยกรรม ในรัชสมัย
สมเด็จพระนารายณ์ ที่พระนารายณ์ราชนิเวศน์เมืองลพบุรี” หน้าจั่ว ฉบับที่ ๘ กันยายน ๒๕๖๔- สิงหาคม ๒๕๕๕
ผู้เรียบเรียง : นางสุริยา สุดสวาท นักโบราณคดีชำนาญการ กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๔ ลพบุรี
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 40/6ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 24 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 58 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 135/6 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 171/6 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 7/7ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 34 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 58.5 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 51/1ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 16 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 58 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 9/5ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 40 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 53.8 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
เลขวัตถุ
ชื่อวัตถุ
ขนาด (ซม.)
ชนิด
สมัยหรือฝีมือช่าง
ประวัติการได้มา
ภาพวัตถุจัดแสดง
43/2553
(23/2549)
ชิ้นส่วนภาชนะดินเผา ขอบปากผายออก ส่วนบนเรียบ ไม่มีลวดลาย ส่วนล่างตกแต่งลายขูดขีด
ส.15.6
ก.17
ดินเผา
สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย อายุราว 2,500-2,000 ปีมาแล้ว
ได้จากบ้านเขาเพิ่ม อำเภอบ้านนา จ.นครนายก เมื่อประมาณ พ.ศ. 2539
เลขทะเบียน : นพ.บ.476/ก/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 54 หน้า ; 4 x 51 ซ.ม. : รักทึบ-ล่องชาด-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 162 (195-204) ผูก ก3 (2566)หัวเรื่อง : ทศชาติ--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ตราสัญลักษณ์นิทรรศการพิเศษ เรื่อง "เซรามิกแห่งแหลมทองและแดนอาทิตย์อุทัย : สานตำนานสายใยไม่เสื่อมคลายในพาณิชยวัฒนธรรมโลก" ประกอบไปด้วยสัญลักษณ์ปลาคู่ อันหมายความถึงความมั่งคั่งสมบูรณ์ โดยด้านซ้ายเป็นลายปลากาซึ่งได้ต้นแบบแนวความคิดมาจากเครื่องสังคโลกในสมัยสุโขทัยที่นิยมวาดรูปปลาลงบนภาชนะ หมายถึงความอุดมสมบูรณ์ของบ้านเมืองดังคำกล่าวที่ว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” ด้านขวามือเป็นลายปลาคาร์ป ซึ่งได้แนวความคิดมาจากสัญลักษณ์ ธงปลาคาร์ปของชาวญี่ปุ่น โดยระหว่างปลาคู่ประดับด้วยช่อดอกราชพฤกษ์ดอกไม้ประจำชาติไทยและดอกซากุระเป็นดอกไม้ที่แสดงถึงเอกลักษณ์ความเป็นญี่ปุ่น ถัดลงมาด้านล่างระหว่างหางปลาทั้งสองมีธงชาติของทั้งสองประเทศเชื่อมต่อกัน หมายถึง ทั้งสองประเทศเป็นมิตรไมตรีต่อกัน มีการประสานร่วมมือกันในด้านต่าง ๆ รวมไปถึงงานเซรามิก ศิลปกรรมที่ทรงคุณค่าของทั้งสองประเทศ
ที่มา: https://datasipmu.finearts.go.th/knowledge/12
"ทับหลังสลักภาพพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ "
ศิลปะ/อายุ : ศิลปะเขมรในประเทศไทย แบบบาปวน-นครวัด อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗
แหล่งที่พบ : วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดลพบุรี
ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ ณ พระที่นั่งพิมานมงกุฎ ชั้น ๒ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์
------------------------------
ทับหลังสลักภาพพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ เป็นแผ่นหินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กึ่งกลางของทับหลังสลักภาพพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ๓ เศียรในซุ้มเรือนแก้ว เหนือหน้ากาลคายสิงห์คาบท่อนพวงมาลัย มีลายใบไม้ตั้งขึ้นและลายใบไม้ม้วนลงด้านล่าง ตำแหน่งของหน้ากาลอยู่ชิดขอบด้านล่าง ซึ่งปกติจะทำให้ท่อนพวงมาลัยอ่อนโค้งลงมา แต่ทับหลังชิ้นนี้มีการออกแบบให้ท่อนพวงมาลัยพาดผ่านปากสิงห์และกลายเป็นส่วนหนึ่งของซุ้มเรือนแก้ว อย่างไรก็ดี รูปแบบโดยรวมเป็นลักษณะของทับหลังศิลปะเขมรแบบบาปวน อายุราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๗
.
น่าสังเกตว่า ทับหลังแผ่นนี้ยังคงสลักรูปพระอินทร์เป็นรูปบุคคลนั่งชันพระชานุ (เข่า) พระหัตถ์ขวายกขึ้นถือวัชระ (อาวุธของพระอินทร์) คล้ายกำลังร่ายรำอยู่บนช้างเอราวัณ เป็นรูปแบบที่นิยมในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๕ สันนิษฐานว่าคงทำสืบเนื่องมา ต่างจากทับหลังสลักภาพพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ ที่มักจะนั่งในท่ามหาราชลีลาสนะ (นั่งชันเข่า) ไม่แสดงอาการเคลื่อนไหว นอกจากนี้ การสลักรูปสิงห์คาบท่อนพวงมาลัยแบบหันหน้าตรง เริ่มปรากฏตั้งแต่ศิลปะแบบบาปวนและมีแนวโน้มสู่ศิลปะแบบนครวัด ดังนั้น จึงอาจกำหนดอายุอยู่ในศิลปะเขมรแบบบาปวนตอนปลายถึงนครวัด ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗
.
การสลักรูปพระอินทร์ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะพระอินทร์เป็นเทพประจำทิศตะวันออก จึงปรากฏภาพสลักบนทับหลังหรือหน้าบันของปราสาทเขมรทางทิศตะวันออกซึ่งเป็นทางเข้าหลัก และรูปแบบทับหลังศิลปะแบบบาปวน เป็นทับหลังแบบที่พบมากที่สุดในประเทศไทย สอดคล้องกับช่วงที่อำนาจทางการเมืองของอาณาจักรเขมรเริ่มขยายพื้นที่กว้างขวางมากขึ้นจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เราจึงพบเห็นทับหลังและศาสนสถานในศิลปะแบบบาปวน นครวัด และบายน กระจายอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคกลาง รวมถึงที่เมืองลพบุรีด้วย แต่ทับหลังสลักภาพพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ แผ่นนี้ แม้จะพบอยู่ในจังหวัดลพบุรี แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเคยประดับอยู่ที่ปราสาทหลังใด เพราะได้ถูกเคลื่อนย้ายนำมาเก็บรวบรวมไว้ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเช่นเดียวกับทับหลังแผ่นอื่นที่พบร่วมกัน
------------------------------
อ้างอิง
.
เชษฐ์ ติงสัญชลี. ประวัติศาสตร์ศิลปะอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้. นนทบุรี : มิวเซียมเพรส, ๒๕๕๘.
.
สมิทธิ ศิริภัทร์ และมยุรี วีรประเสริฐ. ทับหลัง : การศึกษาเปรียบเทียบทับหลังที่พบในประเทศไทยและประเทศกัมพูชา. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๓๓.
.
อรุณศักดิ์ กิ่งมณี. ทิพยนิยายจากปราสาทหิน. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๕๕.
------------------------------
เรียบเรียง : นายกฤษฎา นิลพัฒน์ ภัณฑารักษ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์