ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,765 รายการ


          กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม โดยสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ จัดการประกวดเพลง “เพชรในเพลง” เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๖๖ ขึ้นเพื่อยกย่องบุคคลในวงการเพลงที่มีผลงานดีเด่นด้านภาษาไทย ได้แก่ นักประพันธ์เพลงที่มีความสามารถผสมผสานความรู้ทางภาษา วรรณศิลป์ คีตศิลป์ และจินตนาการได้อย่างเหมาะสม และนักร้องที่ขับร้องเพลงได้ชัดเจนและถูกต้องตามหลักภาษาไทย มีศิลปะการใช้เสียง และถ่ายทอดจังหวะอารมณ์ในการขับร้องได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งยังเชิดชูเกียรติบุคคล องค์กร หรือโครงการที่มีผลงานดีเด่นด้านการส่งเสริมภาษาไทยและมีคุณูปการต่อวงการเพลง โดยผลการประกวดเพลง “เพชรในเพลง” เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๖๖ ซึ่งเป็นการประกวดปีที่ ๒๐ มีผู้ได้รับรางวัลทั้งสิ้น ๑๔ รางวัล ตามรายละเอียดดังประกาศกรมศิลปากร            ทั้งนี้ กรมศิลปากรจะจัดพิธีมอบรางวัลเพชรในเพลง พุทธศักราช ๒๕๖๖ ในงานวันภาษาไทยแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๖๖ ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมกำหนดจัดขึ้นในวันจันทร์ที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๖ เวลา ๐๙.๓๐ น. เป็นต้นไป ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ตั้งแต่เวลา ๐๘.๓๐ น.


         พระพิมพ์ดินเผาจำนวน ๒ ชิ้น พบที่เมืองโบราณอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เก็บรักษา ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง          พระพิมพ์ดินเผารูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีภาพพระพุทธรูปยืนตริภังค์ โดยการยืนเอียงสะโพกไปทางด้านซ้าย หย่อนพระบาทขวา พระเศียรมีร่อยรอยนูนของอุษณีษะ รายละเอียดบนพระพักตร์ลบเลือน พระกรรณยาว เอียงพระศอเล็กน้อย รอบพระเศียรมีกรอบประภามณฑลเรียบ พระพุทธรูปทรงครองจีวรห่มเฉียง เปิดพระอังสาขวา จีวรเรียบแนบพระวรกาย พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นระดับพระอุระ หันเข้าหาลำตัวอยู่ในท่าจับชายจีวร  พระหัตถ์ขวาทอดลง หงายฝ่าพระหัตถ์บริเวณพระโสณี ชายจีวรที่ตกลงมาจากพระกรซ้ายมีลักษณะเป็นแถบหนาและรอยยับย่นเสมือนจริง นอกจากนั้นบริเวณข้อพระบาทมีขอบสบงที่ยาวลงมากว่าชายจีวรเล็กน้อย บริเวณพระบาทมีฐานคล้ายกลีบบัวมารองรับ           รูปแบบศิลปกรรมของพระพิมพ์ดินเผาที่ปรากฏข้างต้น มีลักษณะที่สัมพันธ์กับรูปแบบของพระพุทธรูปศิลปะอินเดียแบบหลังคุปะ เช่น พระพุทธรูปที่ถ้ำอชันตาหมายเลข ๑๙ ประเทศอินเดีย คือ การยืนตริภังค์เอียงสะโพก หย่อนพระบาทข้างหนึ่ง และเอียงพระศอเล็กน้อย พระพุทธรูปครองจีวรเรียบและไม่มีริ้ว สืบมาจากศิลปะอินเดียแบบคุปตะ สกุลช่างสารนาถ ส่วนการทำพระพุทธรูปยืนครองจีวรเฉียงนิยมในศิลปะอินเดียแบบหลังคุปตะ           การแสดงปางของพระพุทธรูปสันนิษฐานว่าแสดงปางประทานพร โดยพิจารณาจากพระหัตถ์ซ้ายที่ยกขึ้นมีจีวรคลุมตามรูปแบบที่นิยมในศิลปะอินเดีย พระหัตถ์ดังกล่าวนิยมจับชายจีวรไม่แสดงปาง ดังนั้นสันนิษฐานว่า พระหัตถ์ขวาที่วางทอดลง และหงายพระหัตถ์แสดงถึงปางประทานพร ซึ่งลักษณะการจับชายจีวรและการแสดงปางในแนวตรงข้ามเช่นนี้สืบมาจากอินเดียเหนือ โดยปรากฏต่อเนื่องมาจนถึงศิลปะอินเดียแบบหลังคุปตะ ถือได้ว่าพระพิมพ์ดินเผาซึ่งพบที่เมืองโบราณอู่ทองชิ้นนี้มีความสัมพันธ์ทางด้านรูปแบบศิลปกรรมกับศิลปะอินเดียแบบหลังคุปตะ นอกจากนั้นยังพบพระพุทธรูปยืนตริภังค์แสดงปางประทานพร ในศิลปะเขมรสมัยก่อนเมืองพระนคร สะท้อนถึงรูปแบบพระพุทธรูปศิลปะอินเดียแบบหลังคุปตะที่แพร่กระจายในพื้นที่วัฒนธรรมทวารวดี และเขมรก่อนเมืองพระนคร จากรูปแบบพระพิมพ์ดินเผาที่ปรากฏสามารถกำหนดอายุอยู่ในสมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๓ หรือประมาณ ๑,๑๐๐ - ๑,๒๐๐ ปีมาแล้ว   เอกสารอ้างอิง เชษฐ์ ติงสัญชลี. ประวัติศาสตร์ศิลปะอินเดีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้. นนทบุรี : มิวเซียมเพรส, ๒๕๖๐. เชษฐ์ ติงสัญชลี. พระพุทธรูปอินเดีย. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๕๔.    ธนกฤต ลออสุวรรณ. “การศึกษาคติความเชื่อของชุมชนโบราณสมัยทวารวดีในลุ่มแม่น้ำแม่กลองและท่า จีน : กรณีศึกษาจากพระพิมพ์ดินเผา”. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๔๖. ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะทวารวดี : วัฒนธรรมทางศาสนายุคแรกเริ่มในดินแดนไทย. นนทบุรี : เมืองโบราณ, ๒๕๖๒.


ชื่อเรื่อง                      ธมฺมปทวณฺณนา ธมฺมปทฏธกถา ขุทฺทกนิกายฏธกถ (ธมฺมปทขั้นปลาย)อย.บ.                           240/9หมวดหมู่                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ               56 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ; ยาว 55 ซม.หัวเรื่อง                        พุทธ                                      ศาสนา                                                           บทคัดย่อ/บันทึก     เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับทองทึบ


รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการศึกษาวิจัยชุมชนโบราณ และมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ สมัยเหล็ก บริเวณต้นลำน้ำชี ในเขตพื้นที่อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ


องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่านตั๋วเมืองน่ารู้...ร่วมอนุรักษ์และสืบสานอักษรธรรมล้านนา"พระเจ้าน่าน" หรือ พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ เจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ ๖๓--- พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ เป็นโอรสของเจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ เจ้าผู้ครองนครเมืองน่านกับแม่เจ้าสุนันทา ประสูติเมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๓๗๔ (จุลศักราช ๑๑๙๓ ตรงกับรัชกาลที่ ๓)--- พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ รับราชการเรื่อยมาจนกระทั่งในปีพุทธศักราช ๒๓๙๘ ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นพระยาราชวงษ์ ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๔๓๐ เจ้าอุปราชเกิดโรคลมปัจจุบันถึงแก่อนิจกรรม จึงมีพระบรมราชานุญาตแต่งตั้งให้เจ้าราชวงศ์ว่าราชการในตำแหน่งเจ้าอุปราชเมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ร.ศ.๑๐๘ (พุทธศักราช ๒๔๓๒) --- จนกระทั่งในปีพุทธศักราช ๒๔๓๔ เจ้าอนัตวรฤทธิเดช ถึงแก่พิราลัยเมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ร.ศ.๑๑๐ เวลา ๑๑ ทุ่ม กรมการเมืองน่านได้พร้อมกันทำขวดใส่ศพไว้ตามธรรมเนียม ในการนั้นเจ้าอุปราชหอหน้าและพระยาสุนทรนุรักษ์ข้าหลวงใหญ่ประจำเมือง และเจ้าราชวงศ์เสนาอำมาตย์ได้กะเกณฑ์ไพร่พลบ้านเมืองให้สร้างพระเมรุหลวงหลังใหญ่ที่ข่วงดอนไชยลุ่ม วัดหัวเวียง ต่อมาได้อัญเชิญพระบรมศพของเจ้าอนัตวรฤทธิเดชลงจากหอคำราชโรงหลวงเพื่อไปถวายพระเพลิงเมื่อวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ จุลศักราช ๑๒๕๕ (พุทธศักราช ๒๔๓๖) --- ปีพุทธศักราช ๒๔๓๔ ภายหลังเสร็จจากงานพระเมรุเจ้าอนันตวรฤทธิเดชแล้ว เจ้าอุปราชหอหน้าก็เสด็จลงไปทูลเกล้าเฝ้าพระมหากษัตริย์ที่กรุงเทพฯ ถวายเครื่องราชบรรณาการ ในการนั้นพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีพระมหากรุณาโปรดเกล้าให้แต่งตั้งเจ้าอุปราชหอหน้าเป็นเจ้านครเมืองน่าน พระราชทานนามว่า “เจ้าสุริยพงศ์ผริตเดชกุลเชษฐมหันต์ไชยนันทบุรมหาราชวงศาธิบดี เจ้านครเมืองน่าน” แล้วพระราชทานเครื่องยศ คือพานหมากคำ เครื่องในคำทั้งมวล กระโถนคำ คนโทคำ พระมหามาลาหมวกจิกคำ กับเสื้อผ้าเครื่องครัวทั้งมวล ครั้นเสร็จราชกิจแล้วก็กราบทูลลาพระมหากษัตริย์เจ้ากลับขึ้นมาเมืองน่าน จากนั้นพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ ได้ปกครองบ้านเมืองด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โอบอ้อมอารี เป็นที่นิยมนับถือทั้งในหมู่เจ้านายและราษฎร อีกทั้งมีความจงรักภักดีปฏิบัติราชการด้วยความเข้มแข็งอย่างสม่ำเสมอ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงมีพระบรมราชโองการให้สถาปนาเลื่อนฐานันดรศักดิ์ขึ้นเป็นพระเจ้านครเมืองน่าน มีนามตามจาฤกในสุพรรณบัตร์ว่า “พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช กุลเชษฐ์มหันต์ ไชยนันทบุรมหาราชวงษาธิบดี สุจริตจารีราชานุภารักษ์ วิบูลยศักดิกิติไพศาล ภูบาลพิตร์ สถิตย์ ณนันทราชวงษ์ พระเจ้านครเมืองน่าน” เมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๔๖--- พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช ถึงแก่พิราลัย ในวันที่ ๕ เมษายน ๒๔๖๑ ด้วยโรคชรา อายุได้ ๘๗ ปี #พระเจ้าน่าน #พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน #อักษรธรรมล้านนา #องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน



            กรมศิลปากร โดยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม จัดกิจกรรมสุดพิเศษ “Night at The Palace ย้อนเวลา ชมวัง 4 ศตวรรษ พระราชวังจันทรเกษม” เพื่อให้ทุกท่านยลโฉมความงามของโบราณสถานสำคัญอันเป็นที่ประทับของพระมหาอุปราชในสมัยกรุงศรีอยุธยา ในช่วงเวลาค่ำคืน พร้อมด้วยกิจกรรมอีกมากมาย โดยเปิดให้เข้าชมพระราชวังจันทรเกษม ตั้งแต่เวลา 16.30 - 21.00 น. (ซื้อบัตรเข้าชมได้ถึงเวลา 20.30 น.)             พระราชวังจันทรเกษม เป็นพระราชวังเดิมตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2120 เพื่อใช้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวร และในสมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมแซมเพื่อใช้เป็นที่ประทับแปรพระราชฐาน ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้เป็น “ที่ว่าการมณฑลเทศาภิบาล” ซึ่งพระราชวังจันทรเกษม นับเป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนภูมิภาคแห่งแรก ก่อตั้งโดยพระยาโบราณราชธานินทร์ เรียกชื่อว่า โบราณพิพิธภัณฑ์ อยุธยาพิพิธภัณฑสถาน และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม ตามลำดับ             ภายในงานมีกิจกรรมพิเศษ ประกอบด้วย              - กิจกรรมนำชมพระราชวังสุดพิเศษ "นำชม รอบเปิดวัง" ในวันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 18.30 น. เป็นต้นไป             - กิจกรรม “ย้อนเวลา ชมวัง” เชิญชวนแต่งชุดไทยเข้าชมพระราชวัง             - กิจกรรม “ชวน ชม ชิม” ฉลองเดือนแห่งความรักที่วังจันทน์             - กิจกรรม “ชาววัง ชวนขึ้นหอ” ชมทิวทัศน์อยุธยา บนหอสังเกตการณ์ยุคแรกของสยาม             - กิจกรรม “สายมู ยูต้องมา” สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำวัง             ขอเชิญชวนทุกท่านเที่ยวชมโบราณสถานยามค่ำ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ร่วมแต่งชุดไทย “ชม ชิด แชะ”ถ่ายรูปกับมุมสวยๆ ภายในพระราชวังจันทรเกษม เริ่มวันที่ 2 กุมภาพันธ์ - 30 เมษายน 2567 ทุกวันศุกร์ เสาร์และอาทิตย์ อัตราค่าเข้าชม ชาวไทย 20 บาท ชาวต่างชาติ 100 บาท (ผู้พิการ และชาวไทยผู้มีอายุมากกว่า 60 ปี เข้าชมฟรี) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม 0 3525 1586 E-mail : wangchantra@gmail.com


ปราสาทบ้านบุใหญ่ ปราสาทบ้านบุใหญ่ ตั้งอยู่ที่บ้านบุใหญ่ หมู่ที่ ๗ ตำบลสูงเนิน อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา ปราสาทบ้านบุใหญ่ เป็นปราสาทก่อด้วยหินทรายทั้งหลัง ส่วนมากใช้หินทรายสีขาว หรือเทาเป็นวัสดุหลัก โดยใช้หินทรายสีแดงเป็นบางส่วน โบราณวัตถุสำคัญที่พบได้แก่ทับหลัง ซึ่งมีการจัดองค์ประกอบสำคัญคือ มีหน้ากาลอยู่ด้านล่างคายท่อนพวงมาลัยเป็นกรอบ สี่เหลี่ยม ด้านบนและด้านใต้ท่อนพวงมาลัยมีลายใบไม้ อันเป็นลักษณะของทับหลังแบบ บาปวน กำหนดอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๗ (ประมาณ ๑,๐๐๐ - ๙๐๐ ปีมาแล้ว)


           กรมศิลปากร โดยกองโบราณคดีใต้น้ำ และสำนักศิลปากรที่ ๑ ราชบุรี ขอเชิญชวนร่วมรับฟังเสวนาทางวิชาการทศวรรษแห่งการค้นพบใหม่ ในหัวข้อ "ทศวรรษแห่งการค้นพบเรือโบราณพนมสุรินทร์" กิจกรรมเนื่องในสัปดาห์วันอนุรักษ์มรดกไทย พ.ศ. ๒๕๖๗ วันพฤหัสบดีที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๗ เวลา ๑๐.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. ณ ห้องประชุมดำรงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โดยวิทยากร  นางสาวปรียานุช จุมพรม นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๑ ราชบุรี  จ่าเอก สมเกียรติ คุ้มรักษา นายช่างสำรวจชำนาญงาน กองโบราณคดีใต้น้ำ และนางสาวพรนัชชา สังข์ประสิทธิ์ นักโบราณคดีชำนาญการ กองโบราณคดีใต้น้ำ ดำเนินรายการโดย นายวสันต์ เทพสุริยานนท์ ผู้อำนวยการกองโบราณคดีใต้น้ำ           ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมฟังการเสวนาได้แล้วตั้งแต่บัดนี้ โดยการแสกน QR Code สอบถามเพิ่มเติมได้ทาง Facebook: กองโบราณคดีใต้น้ำ กรมศิลปากร - UAD Thailand หมายเลยโทรศัพท์: ๐ ๓๙๓๙ ๑๒๓๖


อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ขอเผยแพร่ องค์ความรู้ประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๖๖ เรื่อง "ตุ๊กตาสังคโลก : ผลิตภัณฑ์สังคโลกเมืองศรีสัชนาลัย"     ราวพุทธศตวรรษที่ 19 การผลิตภาชนะดินเผาประเภทเครื่องเคลือบได้เกิดขึ้นแล้วที่เมืองศรีสัชนาลัย โดยมีพัฒนาการสืบทอดมาจากการผลิตเครื่องถ้วยเชลียงที่ผลิตขึ้นตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 17 บริเวณแหล่งเตาบ้านเกาะน้อย เมืองศรีสัชนาลัย     ต้นพุทธศตวรรษที่ 20 สมัยราชวงศ์หมิงของจีน ได้มีการควบคุมการค้าอย่างเข้มงวด จึงลดปริมาณการส่งออกเครื่องปั้นดินเผาจีน ทำให้เครื่องสังคโลกจากแหล่งเตาเมืองศรีสัชนาลัยกลายเป็นสินค้าส่งออกสำคัญ สามารถครองตลาดการค้าแทนประเทศจีนช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 20-21 โดยมีอยุธยาเป็นศูนย์กลางการค้าเพื่อการส่งออกไปยังดินแดนต่าง ๆ ซึ่งพบเครื่องสังคโลกจำนวนมากมายตามแหล่งเรืออับปางในอ่าวไทย เช่น แหล่งเรือคราม เรือพัทยา เรือประแสร์ เรือสัตหีบ เรือเกาะกระดาด โดยช่วงระยะเวลาดังกล่าว สังคโลกได้แพร่กระจายไปยังเมืองใหญ่ และเมืองท่าที่สำคัญในแหลมมลายู และพบกระจายไปสู่ดินแดนในเอเชียอาคเนย์ เช่น เมืองซานตา อานา (Santa Ana) , เมืองกาลาตากัน (Calatagan) ประเทศฟิลิปปินส์ และเมืองจัมบิ (Jambi) ประเทศอินโดนีเซีย เป็นต้น    ความนิยมจากตลาดการค้าทำให้อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องสังคโลกเมืองศรีสัชนาลัย มีความเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด มีการพัฒนาทางเทคโนโลยี วิธีการผลิต และรูปทรงของผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย ซึ่งไม่จำกัดเพียงแค่ภาชนะใช้สอยเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีการผลิตเพื่อตอบสนองการใช้งานประเภทอื่น ๆ เช่น ผลิตเพื่อเป็นองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม และผลิตเป็นเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน รวมถึง การผลิตตุ๊กตาสำหรับการละเล่น ซึ่งเป็นตุ๊กตาขนาดเล็กเป็นรูปบุคคลในกิริยาต่าง ๆ แต่เดิมเชื่อว่า เป็นตุ๊กตาเสียกบาลที่ใช้ในพิธีกรรมสะเดาะเคราะห์ เนื่องจากส่วนหัวมักหักหายไป แต่จากการศึกษาทางโบราณคดีสันนิษฐานว่า เป็นของเล่น หรือตุ๊กตาของคนโบราณ ซึ่งเทคนิคการผลิต หรือลักษณะของตุ๊กตามีขนาดเล็ก และเปราะ จึงทำให้ส่วนคอแตกหักได้ง่าย      ลักษณะโดยทั่วไปของตุ๊กตาสังคโลกที่พบ จะทำด้วยดินเผาเคลือบสีเขียว และสีน้ำตาล มีทั้งรูปผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก และรูปสัตว์นานาชนิด โดยตุ๊กตาถ้าเป็นรูปผู้หญิงจะไว้ผมมวยค่อนไปเบื้องหลัง ไม่ใส่เสื้อ หรือห่มผ้า อยู่ในท่าทางนั่งพับเพียบ หรือนั่งชันเข่าข้างหนึ่ง และอยู่ในกิริยาต่าง ๆ เช่น ตุ๊กตาแม่อุ้มลูกที่กำลังนอนกินนมบนตัก หรือลูกกำลังยืนกินนม ส่วนตุ๊กตารูปผู้ชายจะเกล้าผมไว้บนหัว อยู่ในกิริยาหลากหลายรูปแบบ เช่น นั่งถือขลุ่ย นั่งอุ้มไก่ ส่วนตุ๊กตารูปสัตว์ที่พบเช่น ตุ๊กตารูปวัว ควาย และไก่ เป็นต้น ทั้งนี้ ตุ๊กตาเหล่านี้เป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิต และขนบธรรมเนียมของผู้คนในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี เอกสารอ้างอิงปริวรรต ธรรมาปรีชากร. เอกสารประกอบการอบรมเชิงปฏิบัติการ เครื่องปั้นดินเผาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พัฒนาการ แรงบันดาลใจ และการตรวจพิสูจน์. ม.ป.ท. ๒๕๕๘.



         ภาพปูนปั้นรูปกลุ่มอัศวิน หรือนักรบ          - ทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๔)          - ปูนปั้น          - ขนาด กว้าง ๗๘.๕ ซม. ยาว ๙๒.๕ ซม. หนา ๕ ซม.          เดิมประดับที่ฐานลานประทักษิณด้านทิศใต้ ของเจดีย์จุลประโทน อ.เมืองนครปฐ จ.นครปฐม ได้จากการขุดค้นทางโบราณคดี เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๑ ภาพปูนปั้นภาพกลุ่มบุคคล ๕ – ๖ คน นั่งจับเข่าเรียงแถวกัน ๒ แถว บุคคลในภาพทั้งหมดแต่งกายคล้ายๆกัน ไว้ผมลอนยาวประบ่า แสกกลาง สวมตุ้มหู และพกอาวุธซึ่งมีลักษณะคล้ายมีดดาบยาวปลายตัด ลักษณะการแต่งกายนี้ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นการแต่งกายของอัศวิน หรือนักรบในสมัยทวารวดี   แสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่ https://smartmuseum-v2.finearts.go.th/3d_object/?obj=40052   ที่มา: https://smartmuseum.finearts.go.th


            พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี เชิญชมนิทรรศการหมุนเวียน "Object of the Month" วัตถุจากคลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี ประจำเดือน "มิถุนายน" เชิญพบกับ "กล้องยาสูบ" พืชพันธ์ุ และ ควันไฟ พาย้อนไปรู้จักกับประวัติศาสตร์การสูบบุหรี่ในอดีต             โบราณวัตถุที่นำมาจัดแสดงในนิทรรศการครั้งนี้ ได้แก่ "กล้องยาสูบ" แบบศิลปะล้านนา วัสดุทำจากดินเผา ขนาดยาว ๑๐.๕ เซนติเมตร ปากกว้าง ๓ เซนติเมตร มีลักษณะการตกแต่งลวดลายเป็นรูปหัวช้างอ้าปาก ชูงวง ลำตัว/ฐาน และก้านส่วนที่ ๑ เป็นลายขีดเส้นตรง ก้านส่วนที่ ๒ เป็นเส้นขีดแนวขวางและเส้นไข่ปลา มีห่วงสำหรับร้อยเชือก ซึ่งได้มาจากการรับมอบบริจาค เมื่อพุทธศักราช ๒๕๓๓ นิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมการสูบ กล้องยาสูบที่พบในพื้นที่ใกล้เคียงประเทศไทย กล้องยาสูบที่พบในประเทศไทย กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีวัฒนธรรมการใช้กล้องยาสูบ และวัฒนธรรมการสูบในปัจจุบัน             ผู้สนใจสามารถเข้าชมนิทรรศการ กับ "กล้องยาสูบ" พืชพันธ์ุ และ ควันไฟ ได้ในเดือนมิถุนายน ๒๕๖๗ เปิดวันพุธ - วันอาทิตย์ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. ปิดวันจันทร์ - วันอังคาร  ณ ห้องโถงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี สอบถามเพิ่มเติม โทร. ๐ ๓๕๕๓ ๕๓๓๐ หรือเฟสบุ๊ก: พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี Suphanburi National Museum


             สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช เปิดหอพระสิหิงค์ให้ประชาชนเข้าสักการบูชาพระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ คู่บ้านคู่เมืองนครศรีธรรมราช ที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช ทุกวัน เวลา ๐๘.๓๐ - ๑๖.๓๐ น. โดยไม่เว้นวันหยุดเสาร์ - อาทิตย์ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่วันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๗               หอพระสิหิงค์ เป็นสถานที่ประดิษฐาน “พระพุทธสิหิงค์” พระพุทธรูปสำคัญคู่เมืองนครศรีธรรมราช กำหนดอายุในสมัยอยุธยา (ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑) หอพระสิหิงค์ตั้งอยู่บนถนนราชดำเนิน ตำบลในเมือง อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครศรีธรรมราช เดิมเป็นหอพระตั้งอยู่บริเวณจวนเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งปัจจุบันคือที่ตั้งศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช “พระพุทธสิหิงค์” ถือเป็นพระพุทธรูปสำคัญของบ้านเมือง ซึ่งในประเทศไทยปรากฏพระพุทธสิหิงค์เพียง ๓ องค์ องค์แรกประดิษฐานในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร องค์ที่ ๒ ประดิษฐานในวิหารลายคำ วัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่ และองค์ที่ ๓ ประดิษฐานในหอพระพุทธสิหิงค์ จังหวัดพระนครศรีธรรมราช                ผู้สนใจสามารถเข้าสักการบูชาพระพุทธสิหิงค์ ณ หอพระสิหิงค์ จังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดทุกวัน โดยเริ่มให้บริการในวันหยุดตั้งแต่วันเสาร์ที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๗ เป็นต้นไป สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช โทร. ๐ ๗๕๓๕ ๖๔๕๘


black ribbon.