ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 40,758 รายการ

6 -29 กุมภาพันธ์ 2567 นี้ หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ อยากชวนน้องๆหนูๆ มาสนุกกับ "นิทานสร้างงานศิลป์ ตอน ขนมปังนอกกล่อง" ชมนิทรรศการ "ไขความลับขนมปังเนื้อนุ่มฟู" ซึ่งเป็นการจัดแสดงขนมปังรูปแบบหลากหลาย และส่วนประกอบต่าง ๆ ก่อนจะมาเป็นขนมปังเนื้อนุ่มที่พวกเรากินกันทุกวัน การจัดแสดงภาพวาดศิลปะธีมขนมปัง เป็นเมนูขนมปังที่เต็มไปด้วยจินตนาการ โดยพี่มีมี่ สรรประภา วุฒิวร นักเขียน นักวาดภาพประกอบ และเด็กๆ จากโรงเรียนอนุบาลช้างเผือก กิจกรรมเล่านิทานภาพ เรื่องราวของเจ้าขนมปัง กิจกรรม Workshop การทำขนมปังตามจินตนาการ (***ผู้เข้าร่วมต้องลงทะเบียนล่วงหน้า เนื่องจากต้องเตรียมอุปกรณ์ในการทำกิจกรรม สามารถติดต่อมาเพื่อจัดกลุ่มทำกิจกรรมได้ค่ะ***) ไม่มีค่าใช้จ่ายทุกรายการ พกหัวใจของคุณที่พร้อมจะนุ่มฟู มาพบกันตั้งแต่วันที่ 6-29 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 09:30 - 15:00 น. (ปิดทำการทุกวันอาทิตย์-จันทร์) ที่ หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ ห้อง Co-Working Space หนังสือพิมพ์และวารสาร


          โบราณสถานวัดบ้านเจียง ตั้งอยู่ภายในวัดบ้านเจียงด้านทิศตะวันตก เดิมเรียกว่า "วัดปราสาท" มีโบราณสถานวางตัวตามแนวทิศตะวันออก - ตะวันตก ประกอบด้วยเจดีย์และวิหาร เจดีย์เป็นทรงปราสาทยอดระฆัง มีส่วนฐานบัวคว่าบัวหงายแบบล้านนา รองรับส่วนเรือนธาตุยกเก็จประดับซุ้มจระนาทั้งสี่ด้าน กรอบซุ้มจระนาตกแต่งเป็นวงโค้งประดับมกรคายนาคที่ปลายวงโค้ง เหนือขึ้นไปเป็นชุดบัวคว่า - บัวหงาย รองรับชุดหน้ากระดานแปดเหลี่ยม ส่วนยอดพังทลาย รอบฐานเจดีย์พบหลักฐานเป็นลานประทักษิณล้อมรอบทั้ง ๔ ด้าน วิหารอยู่ด้านทิศตะวันออกของเจดีย์ มีแผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า วิหารคงเหลือองค์ประกอบเพียงโถงประธานและฐานชุกชี           จากรูปแบบเจดีย์ วิหาร และโบราณวัตถุที่พบจากการขุดค้น - ขุดแต่งทางโบราณคดี พุทธศักราช ๒๕๖๔ อาทิ เครื่องถ้วยเนื้อแกร่งจากแหล่งเตาภาคเหนือ (แหล่งเตาพาน จังหวัดเชียงราย และแหล่งเตา สันกาแพง จังหวัดเชียงใหม่) กาหนดอายุโบราณสถานวัดบ้านเจียง (เจดีย์ - วิหาร) ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ -๒๒ หรือประมาณ ๓๐๐ - ๔๐๐ ปีมาแล้ว             Wat Ban Jiang Monument is located on the west side of Ban Jiang Temple. It was originally called "Wat Prasat". The ancient ruins are oriented east to west and consist of the principal chedi and vihara. The principal chedi is Stupa in prasat form with bell-shaped on top . The lowest part of this chedi is an Lanna lotus-based style which supports the chedi’s square indented body. Each side of the body features a curved shape with the Makara disgorges the Naga decoration at the end of curved roof above the niche. The upper part of the niche is a set of octagonal shaped. Unfortunately, the top of the chedi collapsed. A circumambulatory path surrounds the chedi. The vihara is on the east of the chedi which is rectangular shape. This vihara remains a feature of main hall and a brick pedestal supporting the principal Buddha image.           According to the architectural styles and archaeological evidence by archaeological excavations in 2021, stone wares were found which indicates that they were produced in the Northen Ceramics Kilns (Phan Kiln in Chiang Rai Province and San Kamphaeng Kiln in Chiang Mai Province). Wat Ban Jiang Monument can be dated between the 16th – 17th century or approximately 300 – 400 years ago.


            พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี เชิญชมนิทรรศการหมุนเวียน "Object of the Month" วัตถุจากคลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี ประจำเดือน "กรกฎาคม" เชิญพบกับ “เรื่องเล่าจากเต่าปูนปั้น"             โบราณวัตถุที่นำมาจัดแสดงในนิทรรศการครั้งนี้ ได้แก่ "เต่าปูนปั้น" ศิลปะลพบุรี วัสดุทำจากปูนปั้น ขนาดกว้าง ๑๖ เซนติเมตร ยาว ๒๘ เซนติเมตร มีลักษณะประติมากรรมรูปเต่า ประกอบด้วยส่วนหัว ขาหน้าทั้งสองข้างและลำตัว กระดองขีดเป็นลายตารางสี่เหลี่ยม เท้ามีลักษณะเหมือนเต่าน้ำจืด คือ เท้าแบน มีนิ้วเท้า บริเวณปากด้านขวามีปุ่มยื่นคล้ายคาบวัตถุ ส่วนปากด้านซ้ายมีร่องรอยแตกหัก พบที่โบราณสถานเนินทางพระ อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี นิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับโบราณสถานเนินทางพระ เต่าในพระพุทธศาสนา เต่าในศาสนาฮินดู และความเชื่อเรื่องการปล่อยเต่าในวันเกิด             ผู้สนใจสามารถเข้าชมนิทรรศการ “เรื่องเล่าจากเต่าปูนปั้น" ได้ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๗ เปิดวันพุธ - วันอาทิตย์ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. ปิดวันจันทร์ - วันอังคาร  ณ ห้องโถงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี สอบถามเพิ่มเติม โทร. ๐ ๓๕๕๓ ๕๓๓๐ หรือเฟสบุ๊ก: พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี Suphanburi National Museum



เรือพระราชพิธี หมายถึง เรือที่เกี่ยวข้องกับงานพิธีกรรมของราชสำนัก เป็นพระราชพาหนะของพระมหากษัตริย์ไทยใช้สำหรับการเสด็จ ฯ ทางชลมารค เพื่อประกอบพระราชกรณียกิจต่าง ๆ เช่น การพระราชสงคราม การเสด็จพระราชดำเนิน และการประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ ในสมัยโบราณ เรื่องราวเกี่ยวกับเรือพระราชพิธีนี้มีปรากฏอยู่ในหลักฐานทางประวัติศาสตร์หลายชิ้น ได้แก่ ศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ ๑ กฎหมายตราสามดวง พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา บันทึกของชาวตะวันตก และคำให้การชาวกรุงเก่า อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า เรือพระราชพิธีนี้เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย และมีพัฒนาการเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ทั้งรูปแบบของเรือ การใช้งาน และการจัดริ้วกระบวนเรือพระราชพิธีที่ใช้ในการจัดกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค    เรือพระราชพิธี มักใช้ในการประกอบการพระราชดำเนิน และประกอบการพระราชพิธีต่าง ๆ เช่น พระราชพิธีถวายผ้าพระกฐิน พระราชพิธีบรมราชาภิเษก การอัญเชิญพระพุทธรูปที่สำคัญจากหัวเมืองมาประดิษฐานในเมืองหลวง การอัญเชิญพระบรมศพหรือพระอังคาร ตลอดจนการต้อนรับทูตจากต่างประเทศ เป็นต้น โดยจัดเป็นกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค ซึ่งเป็นริ้วกระบวนเรือที่จัดขึ้นในการที่พระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปในการต่าง ๆ การจัดกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค กล่าวได้ว่ามีวิวัฒนาการมาจากการจัดกระบวนทัพเรือ โดยกองเรือเหล่านี้จะตกแต่งอย่างสวยงาม และมีการประโคมดนตรีไปในกระบวน การจัดริ้วกระบวนแบ่งออกเป็น ๒ สาย เรียกว่า กระบวนพยุหยาตราใหม่ ซึ่งจัดเป็น ๔ สาย และกระบวนพยุหยาตราน้อย จัดเป็น  ๒ สาย ต่างกันโดยทราบได้จากจำนวนเรือในริ้วกระบวนว่ามีมากน้อยเท่าใดนั่นเอง   ลักษณะและชื่อเรือพระราชพิธีที่ใช้ประกอบกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค  สามารถแบ่งออกตามลักษณะหน้าที่และการใช้งาน ดังนี้ ๑. เรือพระที่นั่ง เป็นเรือที่สำคัญที่สุดในกระบวน เนื่องจากเป็นเรือที่พระมหากษัตริย์ทรงประทับ มีชื่อเรียกต่างกันออกไป ได้แก่ เรือต้น เรือพระที่นั่งทรง เรือพระที่นั่งรอง เรือพระที่นั่งกิ่ง เรือพระที่นั่งเอกชัย เรือพระที่นั่งศรี เรือพระที่นั่งกราบ เรือพลับพลา และเรือพระประเทียบ    ๒. เรือเหล่าแสนยากร เป็นเรือประกอบกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคที่นอกเหนือจากเรือพระที่นั่ง ซึ่งมีลักษณะหน้าที่ต่างกันออกไป ได้แก่    - เรือดั้ง ทำหน้าที่ป้องกันหน้ากระบวนเรือ ใช้เป็นเรือกระบวนสายนอก    - เรือพิฆาต เป็นเรือรบไทยโบราณ มีปืนจ่ารงตั้งที่หัวเรือ ในเรือนำเหล่านี้ใช้ขุนศาลเป็นนายเรือ จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “เรือขุนศาล” เหตุที่เรียกว่าเรือพิฆาตเพราะในเวลารบจริง ต้องออกจากกระบวนไปลาดตระเวนหาข่าวข้าศึก มักมีชื่อเป็นสัตว์ต่าง ๆ เช่น มังกร เหรา สิงโต กิเลน เสือ เป็นต้น    - เรือคู่ชัก เป็นเรือไชยรูปสัตว์ ทำหน้าที่ชักลากเรือพระที่นั่งในกรณีที่มีฝีพายไม่พอ    - เรือโขมดยา เป็นเรือไชยที่หัวเขียนด้วยลายน้ำยา หัวท้ายงอนคล้ายเรือกัญญา     - เรือแซง ใช้เรือกราบกัญญา เป็นเรือทหาร เรือแซงจะขนาบทั้งสองข้างของเรือพระที่นั่ง โดยอยู่ในริ้วนอกสุดของกระบวน    - เรือตำรวจ เป็นเรือที่พระตำรวจลงประจำ มีหน้าที่เป็นองครักษ์ ซึ่งเป็นข้าราชการในพระราชสำนัก    - เรือศีรษะสัตว์ หรือเรือรูปสัตว์ เป็นได้ทั้งเรือพิฆาตและเรือพระที่นั่ง แต่ถ้าเป็นเรือพิฆาต จะต้องเป็นศีรษะสัตว์ชั้นรอง ส่วนเรือพระที่นั่ง หัวเรือจะเป็นรูปสัตว์ตามพระราชลัญจกร    - เรือกลอง เป็นเรือสัญญาณเพื่อให้เรืออื่นในกระบวนหยุดพายหรือจ้ำ โดยใช้กลองเป็นสัญญาณ    - เรือประตู เป็นเรือคั่นระหว่างกระบวนย่อย     - เรือกัน เป็นเรือที่ทำหน้าที่ป้องกันศัตรูมิให้จู่โจมมาถึงเรือพระที่นั่ง    - เรือริ้ว เป็นเรือที่เข้ากระบวนยาวเป็นสายเรียงขนานกัน มีธงประจำเรือ   เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ ศิลปกรรมทางสายน้ำที่ได้รับการยกย่องให้เป็นเรือมรดกโลก เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เป็นเรือที่มีความงดงามทางด้านศิลปกรรม และแสดงให้เห็นถึงความอัจฉริยะในการต่อเรือของช่างไทยโบราณ ซึ่งแสดงออกถึงความเป็นเอกลักษณ์ของชาติได้อย่างดียิ่ง อีกทั้งยังมีความสำคัญในแง่ประวัติศาสตร์ชาติไทยมาอย่างยาวนาน ด้วยความสำคัญดังกล่าว องค์การเรือโลกแห่งสหราชอาณาจักร (World Ship Trust) ได้ยกย่องให้เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์เป็นเรือมรดกโลก เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๕ และมอบเหรียญรางวัลเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ หรือ เหรียญรางวัลมรดกทางทะเลขององค์กรเรือโลกให้กับประเทศไทย เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ลำปัจจุบันสร้างขึ้นในปลายสมัยรัชกาลที่ ๕ เพื่อทดแทนเรือลำเดิมที่ได้สร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ และแล้วเสร็จในสมัยรัชกาลที่ ๖ ประกอบพิธีลงน้ำเมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๔ หัวเรือพระที่นั่งมีโขนเรือรูปหัวหงส์ ลำตัวเรือทอดยาวคือส่วนตัวหงส์ จำหลักไม้ลงรักปิดทองประดับกระจกมีพู่ห้อย ปลายพู่เป็นแก้วผลึก ภายนอกทาสีดำ ท้องเรือทาสีแดง ตอนกลางลำเรือมีที่ประทับเรียกว่า ราชบัลลังก์กัญญา สำหรับพระมหากษัตริย์หรือพระราชวงศ์ชั้นสูง เรือมีความยาว ๔๖.๑๕ เมตร กว้าง ๓.๑๗ เมตร ลึกจนถึงท้องเรือ ๙๔ เซนติเมตร กินน้ำลึก ๔๑ เซนติเมตร ใช้กำลังพลประกอบด้วยฝีพาย ๕๐ คน นายเรือ ๒ คน นายท้าย ๒ คน คนถือธงท้าย ๑ คน พลสัญญาณ ๑ คน คนถือฉัตร ๗ คน และคนขานยาว ๑ คน   เรื่องราวของเรือพระราชพิธียังมีอีกหลายแง่มุมที่น่าสนใจและชวนให้ศึกษา นับเป็นหนึ่งในงานศิลปกรรมของไทยที่มีคุณค่ายิ่ง อีกทั้งยังมีความสำคัญในแง่ประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน หากผู้อ่านสนใจสามารถค้นคว้าและอ่านเพิ่มเติมได้จากหนังสือเรือพระราชพิธีและหนังสืออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ที่ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี    เรียบเรียงโดย นางสาวปริศนา ตุ้มชัยพร บรรณารักษ์ชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี  สำนักศิลปากรที่ ๕ ปราจีนบุรี กรมศิลปากร   แหล่งข้อมูลเอกสารอ้างอิง กรมศิลปากร.  เรือพระราชพิธี.  พิมพ์ครั้งที่ ๕.  กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๔๘.   นงค์นุช ไพรพิบูลยกิจ.  เรือพระราชพิธี.  กรุงเทพฯ: เอส.ที.พี. เวิลด์ มีเดีย, ๒๕๔๒. เรือพระราชพิธี.  กรุงเทพฯ: โครงการสืบสานมรดกวัฒนธรรมไทย, ๒๕๔๘.   ศานติ ภักดีคำ.  พระเสด็จโดยแดนชล: เรือพระราชพิธีและขบวนพยุหยาตราทางชลมารค. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๖๒.    


ชื่อเรื่อง : ปริวรรตภาษาชื่อบ้านนามเมือง ผู้แต่ง : เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์ ปีที่พิมพ์ : 2548 สถานที่พิมพ์ : เชียงใหม่ สำนักพิมพ์ : โซตนา พริ้นท์      ปริวรรตภาษาชื่อบ้านนามเมือง เปรียบเสมือนการนำองค์ความรู้ที่ได้ข้อสรุปจากนักวิชาการหลายสาชา มาเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบ เพื่ออธิบายถึงข้อมูลความเป็นมาและความหมายของการเขียนชื่อเมือง “หริภุญไชย”-“หริภุญชัย” ว่าเหตุใดจึงมีการเขียนเป็นสอบแบบ และแบบใดใช้ในเงื่อนไขใด ด้วยเหตุผลใด ที่จะส่งผลให้ประชาชนหายสงสัยในการเขียนชื่อเมืองของลำพูน นอกจากนี้แล้วยังมีคุณค่าเสมือนสารานุกรม หรืองานวิจัยทางวิชาการ สามารถใช้ค้นคว้าอ้างอิงต่อไปได้ในอนาคต


พิพิธภัณฑสถานถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกในดินแดนสยามหรือประเทศไทย ตั้งแต่ครั้งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔  ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีพิพิธภัณฑสถานส่วนพระองค์ ณ พระที่นั่งราชฤดี โดยเป็นที่จัดตั้งแสดงสิ่งสะสมในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงรวบรวมไว้ตั้งแต่ครั้งก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์ ต่อมาทรงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายสิ่งของจัดแสดงมาไว้ยังพระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์ในหมู่พระอภิเนาวนิเวศน์ อันเป็นที่มาของคำว่า "พิพิธภัณฑ์" ในเวลาต่อมา   เมื่อถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕  ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายโบราณวัตถุ และศิลปวัตถุ จากพระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์ มาจัดแสดงในหอมิวเซียม (Museum) ณ หอคองคอเดีย  ซึ่งเป็นอาคารใหม่ภายในพระบรมมหาราชวัง โดยมีพิธีเปิด หอมิวเซียม หรือพิพิธภัณฑสถานหอคองคอเดีย เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๔๑๗ ถือเป็นวันกำเนิดพิพิธภัณฑสถานของชาติแห่งแรกในราชอาณาจักรไทย เพราะเป็นพิพิธภัณฑสถานของหลวงหรือทางราชการที่จัดตามหลักวิชาการสากล และเปิดให้ประชาชนเข้าชมเฉพาะในการเฉลิมพระชนมพรรษาต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี   ปีพุทธศักราช ๒๔๓๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ย้าย “มิวเซียม” จากพระบรมมหาราชวังไปจัดตั้งในพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า)  โดยใช้พระที่นั่งส่วนหน้าสามองค์เป็นที่จัดแสดงโบราณวัตถุ คือ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พระที่นั่งพุทธไธสวรรย์ และพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗  ได้พระราชทานอาคารหมู่พระวิมานทั้งหมดรวมเป็นพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร   นับเนื่องจากนั้นเป็นต้นมา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ได้รับการจัดตั้ง สืบทอด และพัฒนาเรื่อยมาทุกยุคทุกสมัย สอดคล้องกับความต้องการของสังคม  ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นอกจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในสังกัดกรมศิลปากร ยังมีพิพิธภัณฑสถานทั้งที่เป็นของภาครัฐและเอกชนในประเทศไทยมากมาย ไม่ว่าจะเป็น พิพิธภัณฑ์สถานศึกษา พิพิธภัณฑ์ชุมชน พิพิธภัณฑ์วัด พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ซึ่งเป็นผลดีอย่างยิ่งต่อการเรียนรู้ของคนในชาติ โดยเฉพาะเยาวชนที่จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาชาติต่อไปในอนาคต ด้วยเหตุนี้คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๓๘ ประกาศให้วันที่ ๑๙ กันยายน ของทุกปี เป็นวันพิพิธภัณฑ์ไทยเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งพิพิธภัณฑสถานขึ้นในประเทศไทย   กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบการบริหารจัดการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติทั่วประเทศ ได้มุ่งเน้นพัฒนาและปรับปรุงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สู่การเป็น “พิพิธภัณฑสถานมีชีวิต”มีความทันสมัย และมีกิจกรรมเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา โดยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการจัดแสดงและการให้บริการ อาทิ เทคโนโลยี AR Code , QR Code , Virtual Museum รวมไปถึงระบบจัดเก็บ การสืบค้นข้อมูลโบราณวัตถุ การเชื่อมโยงข้อมูลผ่านฐานข้อมูลของแต่ละพิพิธภัณฑ์ การนำเข้าส่งออกโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุด้วยระบบ National Single Windows ตลอดจนการจัดกิจกรรมรถพิพิธภัณฑ์สัญจรไปยังสถานศึกษาต่างๆ รวมทั้งสถานศึกษาผู้บกพร่องทางสายตาและผู้พิการอื่นๆ ด้วย  


การจัดสร้างหม้อนามนต์ประดับมุกกลุ่มวิชาการด้านช่างศิลปะไทย สานักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ๒๕๕๓


สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา ร่วมรณรงค์ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรน่าภายในบริเวณสำนักงาน โดยให้บริการสบู่เหลวล้างมือและหน้ากากอนามัยแก่เจ้าหน้าที่ และผู้มาติดต่อราชการ เพื่อลดอัตราเสี่ยงการติดเชื้อดังกล่าว


ประวัติความเป็นมาและความสำคัญของวังหลัง สมัยรัตนโกสินทร์




พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระปฐมเจดีย์ ได้จัดแสดงศิลปะวัตถุ โบราณวัตถุ แบ่งเป็น 4 ส่วนการจัดแสดง ได้แก่ 1. ห้องจัดแสดง ยุคก่อนประวัติศาสตร์การจัดแสดงในส่วนห้องก่อนประวัติศาสตร์นี้ ได้จัดแสดงโบราณวัตถุที่เป็นเครืองมือเครื่องใช้สำหรับการดำรงชีพในยุคก่อนประวัะติศาสตร์ โดยแบ่งเป็น 2 ยุคด้วยกัน คือ ยุคหิน และ ยุคโลหะ โดยมีโบราณวัตถุที่จัดแสดงอาทิ ขวานหิน อายุราว 5,000 ปี มีดโลหะในยุคก่อนประวัติศาสตร์ อายุราว 3,000 ปี เป็นต้น โดยขุดค้นพบในจังหวัดนครปฐมและพื้นที่ใกล้เคียง2. ห้องจัดแสดงการรับวัฒนธรรม อารยะธรรม เข้าสู่เมืองนครปฐมโบราณสำหรับการจัดแสดงในส่วนของห้องการรับอารยะธรรมจากภายนอกเข้าสู่เมืองนครปฐมโบราณนี้จัดแสดงถึงที่ตั้งของเมืองนครปฐมโบราณรวมถึงการรับวัฒนธรรม ศาสนา ความเชื่อจากชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาค้าขายที่เมืองนครปฐมโบราณ


เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2561 นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมเป็นประธานเปิดงานโครงการวัฒนธรรมสัญจร สำหรับคณะทูตานุทูต ครั้งที่ 10 ณ พิพิธภัณฑ์บ้านดำ ต.นางแล อ.เมือง จ.เชียงราย โดยมีข้าราชการสังกัดกรมศิลปากร นำโดย นางประนอม คลังทอง รองอธิบดีกรมศิลปากร นายสุพจน์ พรหมมาโนจ ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๗ เชียง พร้อมด้วยคณะข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ในสังกัด ให้การต้อนรับและเตรียมการตรวจเยี่ยมพื้นที่


เว็ปไซต์หอจดหมายเหตุแห่งชาติ เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ยะลา : www.finearts.go.th/yalaarchives     ประวัติการก่อตั้ง   พ.ศ. 2532     ร.ต. อนุกูล  สุภาไชยกิจ  ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ได้มอบหมายให้รองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา (นายภิญโญ  เฉลิมนนท์) รับผิดชอบประสานงานเกี่ยวกับการขอใช้ที่ดินราชพัสดุบริเวณหน้าโรงเรียนสตรียะลา มีเนื้อที่ประมาณ 9 ไร่ เพื่อสร้างอาคารสำนักงานการศึกษา ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม โดยกระทรวงศึกษาธิการ ได้อนุมัติงบประมาณเพื่อก่อสร้างอาคารในบริเวณที่ดินแปลงดังกล่าว   พ.ศ. 2535     กระทรวงศึกษาธิการได้พิจารณาเห็นว่าส่วนราชการต่าง ๆ มีเอกสารที่ใช้แล้วเป็นจำนวนมาก ไม่สามารถทำลายเอกสารต่าง ๆ เหล่านั้นได้ เนื่องจากขาดความรู้ความเข้าใจวิธีการทำลายตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ. 2526 จึงได้อนุมัติให้ขยายงานกองจดหมายเหตุ กรมศิลปากรมายังส่วนภูมิภาค โดยจัดตั้งสำนักงานหอจดหมายเหตุส่วนภูมิภาคที่เขตการศึกษาและจังหวัด ซึ่งกรมศิลปากรได้ประกาศจัดตั้งหน่วยงานหอจดหมายเหตุแห่งชาติในส่วนภูมิภาค จำนวน 12 หน่วยงาน ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2535                         กรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ ได้ขอพระราชานุญาตใช้ชื่อ "หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาุ ยะลา" เนื่องในมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ พ.ศ. 2535 และได้รับพระราชทานพระราชานุญาต เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2536 และจากนั้นสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงวางศิลาฤกษ์อาคาร เมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2536                          เมื่อก่อสร้างอาคารเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2537 แล้วเสร็จในเดือน มีนาคม พ.ศ. 2538 ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 14,700,000 บาท เปิดทำการตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2538 โดยมีนายประเสริฐโชค  พุงใจ ตำแหน่ง นักจดหมายเหตุ 5 ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ ยะลา ตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2536 (โดยในเบื้องต้นได้อาศัยอาคารสำนักงานการศึกษา ศาสนา และศิลปวัฒนธรรมเป็นที่ทำการชั่วคราว)   พ.ศ. 2548     นายประเสริฐโชค  พึงใจ หัวหน้าหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ ยะลา ได้ย้ายไปปฏิบัติราชการในตำแหน่ง นักวิชาการวัฒนธรรม 6 ว สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดบุรีรัมย์ กระทรวงวัฒนธรรม และกรมศิลปากรได้แต่งตั้งนางสาวกษมาณัชญ์  นิติยารมย์ ตำแหน่ง เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป 6 ฝ่ายบริหารงานทั่วไป สำนักศิลปากรที่ 13 สงขลา รักษาการในตำแหน่งหัวหน้าหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ ยะลา อีกหน้าที่หนึ่งตามคำสั่งกรมศิลปากรที่ 577/2558 ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ.2548   พ.ศ. 2550     กรมศิลปากรได้แต่งตั้ง นายวิโรจน์  ศรีไสย  นักวิชาการวัฒนธรรม 7 ว สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดยะลา กระทรวงวัฒนธรรม ดำรงตำแหน่ง หัวหน้าหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ ยะลา ตามคำสั่งกรมศิลปากรที่ 196/2550 ลงวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2550   พ.ศ. 2555     นายวิโรจน์  ศรีไสย ตำแหน่ง นักจดหมายเหตุชำนาญการ ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ ยะลา ขอโอนไปดำรงตำแหน่งนักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ กลุ่มยุทธศาสตร์และเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนราธิวาส สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และกรมศิลปากรให้โอนตัดตำแหน่งได้ ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555                         กรมศิลปากรได้แต่งตั้งนางสาวกษมาณัชญ์  นิติยารมย์ ตำแหน่ง นักจัดการงานทั่วไปชำนาญการ ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าฝ่ายบริหารทั่วไป สำนักศิลปากรที่ 13 สงขลา รักษาการในตำแหน่งหัวหน้าหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ ยะลา อีกหน้าที่หนึ่ง ตามคำสั่งกรมศิลปากรที่ 1016/2555 ลงวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555 ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555                          และต่อมากรมศิลปากรได้มีคำสั่งที่ 87/2556 ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 ย้ายข้าราชการ นางสาวกษมาณัชญ์  นิติยารมย์ ตำแหน่งนักจัดการงานทั่วไปชำนาญการ ตำแหน่งเลขที่ 525 ฝ่ายบริหารงานทั่วไป สำนักศิลปากรที่ 13 สงขลา ให้ดำรงตำแหน่ง นักจดหมายเหตุชำนาญการ ตำแหน่งเลขที่ 1258 หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ ยะลา ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ ยะลา ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เป็นต้นไป บทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบ/ภารกิจ   หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ยะลา เป็นที่เก็บรักษา อนุรักษ์ และให้บริการ การศึกษา การค้นคว้าหรือวิจัยเอกสารจดหมายเหตุ ในเขตพื้นที่ความรับผิดชอบ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสตูล และมีอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติจดหมายเหตุ พ.ศ. 2556 ซึ่งได้บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2556 เป็นต้นไป ดังนี้        1. เก็บรักษาและอนุรักษ์เอกสารจดหมายเหตุ        2. ติดตาม รวบรวม หรือรับมอบเอกสารจดหมายเหตุจากหน่วยงานของรัฐ        3. จัดหา ซื้อ หรือรับบริจาคเอกสารที่มีคุณค่าเป็นเอกสารจดหมายเหตุจากเอกชน        4. จัดหมวดหมู่และจัดทำเครื่องมือช่วยค้นเอกสารจดหมายเหตุ        5. จดบันทึกเหตุการณ์เกี่ยวกับพระราชพิธี รัฐพิธี และศาสนพิธี         6. รวบรวมเอกสารเหตุการณ์สำคัญของชาติ        7. จัดทำบันทึกประวัติศาสตร์บอกเล่าโดยพิจารณาให้ครอบคลุมข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน        8. ให้บริการการศึกษา การค้นคว้า หรือการวิจัยเอกสารจดหมายเหตุ        9. เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ จัดให้มีสื่อสิ่งพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ นิทรรศการ และกิจกรรมเพื่อส่งเสริมและอนุรักษ์เอกสารจดหมายเหตุ        10. สนับสนุนด้านวิชาการแก่หอจดหมายเหตุของหน่วยงานของรัฐ หอจดหมายเหตุท้องถิ่น และหอจดหมายเหตุเอกชน        11. ดำเนินการอื่นตามที่อธิบดีมอบหมาย


Messenger