ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ
จากการเข้ามาของพ่อค้าและนักบวชชาวอินเดียในดินแดนสุวรรณภูมิและภาคใต้ของไทยส่งผลให้ลัทธิความเชื่อของชาวอินเดียได้เข้ามาเผยแผ่และปรากฏหลักฐานในหลายพื้นที่ โดยหลักฐานศาสนาพราหมณ์-ฮินดูไวษณพนิกายน่าจะเข้าสู่ภาคใต้ตั้งแต่ต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๐ และรุ่งเรื่องอยู่บนคาบสมุทรภาคใต้ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓ โดยหลังพุทธศตวรรษที่ ๑๓ไปแล้วไวษณพนิกายเริ่มเสื่อมลงและหมดความนิยมไปหลังพุทธศตวรรษที่ ๑๖ สำหรับไศวนิกายน่าจะเข้าสู่คาบสมุทรภาคใต้ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๐-๑๑ โดยอาจแบ่ง ๒ ระลอก คือ ระลอกแรกจากอินเดียภาคเหนือในสมัยราชวงศ์คุปตะ ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๓ นิยมสร้างประติมากรรมรูปศิวลึงค์แทนองค์พระศิวะ ส่วนระลอกที่ ๒ มาจากอินเดียภาคใต้ในสมัยราชวงศ์โจฬะ ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๖ แต่ผ่านมาทางชวาภาคกลาง และนิยมสร้างรูปพระศิวะมากกว่าการสร้างศิวลึงค์ ฝั่งทะเลตะวันออก (อ่าวไทย) พบหลักฐานศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ทั้งไวณพนิกายและไศวนิกาย ดังนี้ - ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๐-๑๑ พบพระวิษณุที่แหล่งโบราณคดีวัดศาลาทึง จ.สุราษฏร์ธานี และพบศิวลึงค์ที่โบสถ์พราหมณ์ จ.นครศรีธรรมราช เป็นต้น - พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓ พบศิวลึงค์ที่แหล่งโบราณคดีท่าศาลา-สิชล จ.นครศรีธรรมราช และที่แหล่งโบราณคดียะรัง จ.ปัตตานี พบเอกมุขลึงค์ที่แหล่งโบราณคดีท่าชนะ จ.สุราษฏร์ธานี พบพระวิษณุที่แหล่งโบราณคดีเขาศรีวิชัย จ.สุราษฏร์ธานี พระวิษณุที่แหล่งโบราณคดีเวียงสระ จ.สุราษฏร์ธานี รวมทั้งพบพระคเณศซึ่งอาจได้รับการบูชาในลัทธิคาณปัตยะควบคู่กันด้วย - พุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๖ พบพระศิวมหาเทพ และพระอคัสตยะ ที่แหล่งโบราณคดีใน จ.สงขลา พบพระวฏุกไภรวะ และพระวิษณุ ที่แหล่งโบราณคดีเวียงสระ จ.สุราษฏร์ธานี โดยประติมากรรมพระวิษณุเริ่มพบเบาบางลงและหมดความนิยมลงไป สำหรับพระคเณศนั้นยังพบต่อเนื่องเรื่อยมา และเป็นที่น่าสังเกตว่าพื้นที่ฝั่งทะเลตะวันออก (อ่าวไทย) มีการพบประติมากรรมพระสุริยะใน จ.สุราษฏร์ธานีอีกด้วย สำหรับฝั่งทะเลตะวันตก (อันดามัน) พบหลักฐานทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่มีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๖ ทั้งลัทธิไวษณพนิกาย ไศวนิกาย และอาจรวมถึงลัทธิคาณปัตยะด้วยเช่นกัน หลักฐานเหล่านี้พบกระจายอยู่ในชุมชนโบราณตะกั่วป่า จ.พังงา ที่แหล่งโบราณคดีเขาพระเหนอ ต.บางนายสี อ.ตะกั่วป่า แหล่งโบราณคดีเหมืองทอง-เกาะคอเขา (ทุ่งตึก) ต.เกาะคอเขา อ.ตะกั่วป่า และแหล่งโบราณเขาพระนารายณ์ (เขาเวียง) ต.เหล อ.กะปง หลักฐานที่พบมากที่สุดคือ ประติมากรรมพระวิษณุ รวมทั้งพบหลักฐานอื่นๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนและศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เช่น จารึกเขาพระนารายณ์ (จารึกหลักที่ ๒๖) และเหรียญโบราณที่มีจารึกชื่อเทพในศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู เป็นต้น ------------------------------------------------ค้นคว้า/เรียบเรียงข้อมูล : น.ส.สุขกมล วงศ์สวรรค์ ภัณฑารักษ์ชำนาญการพิเศษ ------------------------------------------------อ้างอิง :- ผาสุข อินทราวุธ, รูปเคารพในศาสนาฮินดู (นครปฐม : มหาวิทยาลัยศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์, ๒๕๒๒ - รองศาตราจารย์ ดร.ผาสุข อินทราวุธ, “ความสัมพันธ์ทางด้านศาสนาและความเชื่อของเมืองสงขลากับหัวเมืองต่างๆ และดินแดนภายนอก, การสัมมนาทางวิชาการเรื่องสงขลาศึกษา : ประวัติศาสตร์และโบราณคดีเมืองสงขลา ๒๗-๒๙ สิงหาคม ๒๕๓๔ ณ สถาบันทักษิณคดีศึกษา จังหวังขลา .สงขลา : สถาบันทักษิณศึกษา, ๒๕๓๕.
วัดป่าไผ่ ตั้งอยู่หมู่ที่ ๔ ตำบลคลองตาคต อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี
ประวัติ เป็นชุมชนชาวมอญที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ต่อมามีการขยายตัวของชุมชน ทำให้วัดที่สร้างขึ้นในระยะแรก คือ วัดคงคาราม ไม่เพียงพอกับประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและไม่สะดวกสำหรับชาวรามัญที่อยู่ในท้องถิ่นห่างไกลออกไปจึงได้ร่วมกันสร้างวัดขึ้นตามหมู่บ้านใหญ่ๆ ภายใต้ความช่วยเหลือของพระครูรามัญญาธิบดี เจ้าอาวาสวัดคงคาราม
วัดป่าไผ่ เป็นวัดมอญในรุ่นที่ ๓ สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ เป็นวัดสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ขึ้นตรงกับวัดคงคาราม ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำแม่กลอง
สิ่งสำคัญภายในวัดป่าไผ่ มีดังนี้
หอไตร
หอไตร อาคารไม้มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบอาคารเรือนยอดทรงปราสาท หลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้อง ซ้อนกันเป็นชั้นๆจำนวน ๕ ชั้น มีชายคาปีกนกคลุมโดยรอบทั้งสี่ด้าน โดยมีเสานางเรียงรองรับชายคาด้านละ ๓ เสา การประดับตกแต่งหลังคาในแต่ละชั้นบริเวณมุมสันตะเข้จะประดับด้วยประติมากรรมปูนปั้นขนาดเล็กโดย ชั้นแรกที่อยู่ด้านล่างสุดตกแต่งด้วยปูนปั้นรูปพญานาค ชั้นที่สองประดับด้วยปูนปั้นรูปครุฑ ชั้นที่สามประดับด้วยปูนปั้นรูปยักษ์ ชั้นที่สี่ประดับด้วยรูปเทวดาซ้อนกัน ๒ องค์ และชั้นที่ห้าประดับด้วยรูปเทวดาซ้อนกัน ๓ องค์ ส่วนยอดบนสุดเป็นไม้แกะสลัก รูปคล้ายเจดีย์สี่เหลี่ยมจำลองขนาดเล็ก และชายคาในแต่ละชั้น มีการตกแต่งด้วยไม้ฉลุลายอย่างงดงาม
ภาพจิตรกรรมบนเพดานไม้
ในส่วนตัวอาคารของหอไตรนั้นเดิมยกพื้นสูงและมีชั้นบนอีก ๒ ชั้น ปัจจุบันได้มีการต่อเติม ชั้นล่างสุดซึ่งเดิมเป็นยกพื้น โดยการก่ออิฐกำแพงเป็นห้องสำหรับเก็บข้าวของเครื่องใช้ของวัด ส่วนชั้นบนนั้นเป็นห้องโถงโล่ง มีฝาไม้กั้นเพียงครึ่งเดียวทั้งสามด้าน อีกด้านหนึ่งเปิดออกเชื่อมกับกุฏิสงฆ์ที่สร้างขึ้นใหม่ ชั้นที่สองยกขึ้นเป็นห้องสำหรับเก็บพระไตรปิฏก ตั้งอยู่ในส่วนกลางของชั้นแรก มีบันไดนาคขึ้นทางด้านทิศตะวันตกผนังของชั้นที่สองเป็นฝาไม้ทึบทาสีขาว มีประตูทางเข้า ๑ ประตูเชื่อมต่อกับบันไดนาค ที่ผนังด้านข้างประตูตอนบนมีภาพจิตรกรรมพุทธประวัติตอนมหาปรินิพพาน ผนังทางด้านเหนือมีช่องหน้า ต่าง ๑ บาน บานประตูเขียนภาพเซี่ยวกางด้านนอกและทวารบาลด้านใน บานหน้าต่างด้านในเขียนภาพทวารบาล ผนังไม้ด้านในเรียบ หัวเสามีลวดลายตกแต่ง บนเพดานไม้เขียนภาพจิตรกรรมเป็นภาพ “ยันตรีนิสิงเห” ซึ่งเป็นยันต์ที่ใช้ปกป้องบ้านเรือนจากภูตผีและสิ่งชั่วร้ายต่างๆ โดยแบ่งภาพออกเป็นกรอบสี่เหลี่ยมและสามเหลี่ยมเล็กๆ ภายในกรอบจะมีภาพปราสาทและเทพต่างๆ สถิตอยู่ ภาพจิตรกรรมเหล่านี้มีอิทธิพลของศิลปะมอญหรือพม่าปรากฏอยู่ตามเครื่องแต่งกายของรูปบุคคล
ลักษณะรูปแบบสถาปัตยกรรมของหอไตรวัดป่าไผ่นี้ มีรูปแบบคล้ายคลึงกับสถาปัตยกรรมทางภาคเหนือ ซึ่งได้รับอิทธิพลของสถาปัตยกรรมแบบพม่าผสมผสานกับสถาปัตยกรรมล้านนา นับว่าเป็นหอไตรแห่งแรกที่พบในบริเวณลุ่มน้ำแม่กลองที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะซึ่งช่างชาวรามัญได้สร้างขึ้น
อุโบสถ
อุโบสถ ปัจจุบันได้รับการซ่อมแซมใหม่ แต่ยังสามารถศึกษารูปแบบศิลปะของอุโบสถหลังเดิมได้ ลักษณะเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน หลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้องลดชั้น ๓ ชั้น ด้านหน้าและด้านหลังมีมุขลดด้านละ ๑ ห้อง มีเสาปูนสี่เหลี่ยมรองรับโครงหลังคา คันทวยเป็นรูปหงส์ทาสี ผนังก่ออิฐถือปูนด้านหน้ามีประตูทางเข้า ๒ ประตู ซุ้มประตูปูนปั้นเหนือซุ้มประตูมีลวดลายปูนปั้นของหน้าบันอุโบสถหลังเก่า เป็นรูปต้นดอกไม้อยู่ในกระถางประดับด้วยเครื่องถ้วยลายครามและเครื่องถ้วยเบญจรงค์ ผนังด้านหลังมีประตูทางเข้า ๒ ประตู เหนือซุ้มประตูมีลวดลายปูนปั้นรูปดอกไม้อยู่ในกระถางและรูปนกกระยางประดับด้วยเครื่องถ้วยเบญจรงค์อยู่ภายในกรอบสามเหลี่ยม ซึ่งเป็นหน้าบันของอุโบสถหลังเดิมสร้างขึ้นสมัยรัชกาลที่ ๔-๕ ต่อมามีการซ่อมแซมส่วนหลังคาใหม่แต่ยังคงลวดลายของเดิมไว้ วิหาร เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กซึ่งสร้างอยู่บนฐาน (วิหาร) สมัยอยุธยา ภายในวิหาร ประดิษฐาน พระประธาน ปูนปั้นขนาดเล็กประทับนั่ง ขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ห่มจีวรเฉียงแนบลำตัว พระพักตร์แบบท้องถิ่น พระขนงโก่ง พระเกศาเป็นขมวดขนาดเล็ก พระรัศมีเป็นแท่งยาวรูปสามเหลี่ยมเรียวขึ้นด้านบน ด้านหน้ามีอักษร “นะ” ศิลปะรัตนโกสินทร์ตอนต้น
พระประธานในวิหาร
ด้านหน้าของฐานพระประธาน มีพระพุทธรูปสำริด ลักษณะพระวรกายอวบอ้วนขมวดพระเกศาเป็นปม พระรัศมีเป็นเปลว พระพักตร์อิ่มเอิบ ครองจีวรห่มเฉียงเป็นลายดอกพิกุล แสดงปางสมาธิ และแสดงปางมารวิชัย อย่างละ ๑ องค์ ศิลปะรัตนโกสินทร์ ( รัชกาลที่ ๓ )
เรียบเรียง : นางจิรนันท์ คอนเซพซิออน
นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๑ ราชบุรี
เลขทะเบียน : นพ.บ.147/12ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 48 หน้า ; 4 x 51 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 90 (377-391) ผูก 12 (2564)หัวเรื่อง : ธมฺมปปทวณฺณนา ธมฺมปทฎกถา ขุทฺทกนิกายฎฐกถา (ธรรมบท)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.127/1กห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 22 หน้า ; 4.5 x 50.5 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 73 (257-266) ผูก 1 (2564)หัวเรื่อง : อานิสงส์ 8 หมื่นสี่พันขันธ์ (ฉลอง 8 หมื่น)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.16/1-5
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ชื่อผู้แต่ง สมพงษ์ เกรียงไกรเพชร
ชื่อเรื่อง ๑๗ สมเด็จพระสังฆราชไทย ตอนที่ ๒
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ กรุงเทพฯ
สำนักพิมพ์ แพร่พิทยา
ปีที่พิมพ์ ๒๕๑๕
จำนวนหน้า _๔๘๐ หน้า
หนังสือ ๑๗ สมเด็จพระสังฆราชไทย ประกอบด้วย พระประวัติ งานพระอนุสรณ์และบันทึกเหตุการณ์ของสมเด็จพระสังฆราชแต่ละพระองค์ ตั้งแต่สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑ ถึงองค์ที่ ๑๗ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ งานพระราชอนุสรณ์ในด้านต่างๆ ได้แก่ งานพระนิพนธ์ พระโอวาท คำอวยพร ตลอดจนคำสั่งสอนต่างๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นคติเตือนใจ สำหรับเหตุการณ์ต่างๆ ได้แก่ การที่สมเด็จพระสังฆราช ทรงแนะนำ เผยแพร่คุณงามความดีของพุทธศาสนาให้แก่ชาวต่างประเทศจนเป็นที่ศรัทธาและเลื่อมใสหันมานับถือศาสนาพุทธ เป็นตัน พร้อมภาพประกอบ
สารคดี ๑๑๒ ปี ไพรัชไมตรี ณ เมืองเพชรบุรี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี ตอนที่ ๖ เตรียมการรับเจ้า
รายละเอียดการรับเสด็จดยุคโยฮันอัลเบิร์ต ปรากฏอยู่ใน “กำหนดการรายเลอียด รับดุ๊กโยฮันอัลเบรกต์ผู้สำเร็จราชการบรันซวิก ร,ศ,๑๒๘” อันเป็นเอกสารชุดหนึ่งในเอกสารของกระทรวงการต่างประเทศ เก็บรักษาอยู่ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ เอกสารดังกล่าวได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับกำหนดการตั้งแต่วันแรกที่ดยุคโยฮันอัลเบิร์ต และคณะมาถึงกรุงเทพฯ ในวันที่ ๒๖ มกราคม การรับเสด็จและกิจกรรมในแต่ละวันจนกระทั่งถึงวันสุดท้าย คือวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทรศก ๑๒๘ ตลอดจนหน้าที่ของพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหลาย เฉพาะการจัดการรับเสด็จดยุคฯ ที่เมืองเพชรบุรี ใน
“กำหนดการรายเลอียดฯ” มีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้
“...วันที่ ๓๑ มกราคม
เจ้าเสด็จเมืองเพชร์บุรีโดยรถไฟพิเศษ ออกจากสถานีบางกอกน้อยในราว ๕ โมงเช้า ให้หลวงนายฤทธิ์จัดรถยนต์ ๓ หลังรับเจ้าไปส่งที่ท่าวาสุกรี แลจัดเรือยนต์ ๓ ลำรับเจ้าจากท่าวาสุกรี ไปส่งสถานีรถไฟบางกอกน้อย ให้นายพลตรีพระยาสุรเสนากับพระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียรไปส่งเจ้าจนถึงสถานีบางกอกน้อย
ก่อนเมื่อเจ้าจะเสด็จนั้น ให้พระยาบุรุษย์รัตนราชพัลลภจัดมหาดเล็กเวรศักดิ์สำหรับไปกับเจ้าที่เมืองเพชร์บุรี แลจัดการขนของเจ้าแลคนฝรั่งที่จะไปกับเจ้า กับทั้งนำบ่าวของเจ้าที่จะไปด้วยนั้นล่วงหน้าไปขึ้นรถไฟเสียก่อน ให้พระยาเวียงในนฤบาลจัดคนกรมวังนอกมีพระวิสูตรโยธามาตย์เป็นผู้ควบคุม มอบให้พระยาบุรุษย์รัตนราชพัลลภสำหรับขนของจากอุดรภาคและตำหนักราชฤทธิ์มาขึ้นรถที่หน้าพระที่นั่งอภิเศกดุสิต ให้เจ้าหมื่นไวยวรนารถจัดรถสำหรับบรรทุกของและจัดรถม้าไทยสำหรับรับบ่าวเจ้า ไปเตรียมไว้ที่หน้าพระที่นั่งอภิเศกดุสิตรับไปส่งที่ท่าถนนซางฮี้ ให้กรมทหารเรือจัดเรือกลไฟมีนายทหารกำกับไปคอยรับของแลคนที่ท่าถนนซางฮี้ จัดคนทหารเรือขนของจากรถลงเรือกลไปส่งที่สถานีรถไฟบางกอกน้อย แลขนของจากเรือไปขึ้นรถไฟด้วย ให้ฟังคำสั่งมหาดเล็กเวรศักดิ์ที่เป็นหัวหน้าไปในการนี้
ให้กระทรวงโยธาธิการจัดรถไฟพิเศษไปส่งเจ้าที่เพชร์บุรี ให้มีนายเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบให้เป็นการเรียบร้อยตลอด
ในระหว่างที่เจ้าไปเพชร์บุรีนี้ การเลี้ยงอาหารที่รถไฟแลที่หวัเมือง ให้เป็นหน้าที่กรมมหาดเล็กเวรศักดิ์จัดการตลอดไป ให้ฟังรับสั่งกรมหลวงดำรงราชานุภาพ ให้กรมหลวงดำรงราชานุภาพมีหน้าที่ดูแลจัดการตั้งแต่ออกจากสถานีบางกอกน้อยไปจนกลับกรุงเทพฯ
วันนี้รับกระเช้าอาหารกลางวันที่พระปฐมเจดีย์ สำหรับแลผู้ที่ไป พระยาราชพงษานุรักษ์ มารับที่พระปฐมเจดีย์แล้วไปด้วยในรถไฟถึงเมืองเพชร์บุรีราวเวลาบ่าย ๓ โมงเศษ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ พระยาสุรินทร์ฦๅไชย รับที่สถานี รถยนต์รับไปพระนครคีรีเสวยน้ำชาบนเขา
เวลาค่ำเสวยที่พระที่นั่งเพชร์ภูมิไพโรจน์แล้วมีดอกไม้ไฟ
วันที่ ๑ กุมภาพพันธ์
เวลาเช้า ประพาศบนเขา คือไปยอดพระเจดีย์ ยอดวิหารแล้วลงวัดพระนอน แล้วไปเขาบรรไดอิฐ เที่ยวถ้ำเขาบรรไดอิฐ แล้วไปตามถนนบรรไดอิฐ ถนนบ้านหม้อ ไปเสวยกลางวันที่พลับพลาบ้านปืน แล้วกลับถนนหลังจวนมาถนนราชวิถี หยุดที่พลับพลาสนามหน้าเขามหาสวรรค์ รับราษฎร และทอดพระเนตรเล่นสรรพกีฬา เวลาค่ำเสวยบนเขา
วันที่ ๒ กุมภาพันธ์
เวลาเช้า ประพาศในเมืองแล้วลงเรือถ่อที่หน้าจวนขึ้นไปเหนือน้ำ ถ้าหากว่าเลี้ยงเหนือน้ำได้ก็ให้เลี้ยงเป็นปิกนิก ถ้าขัดข้องกลับมาเสวยบ้านปืนให้รถไปรับที่บ้านปืนกลับขึ้นเขา เวลาค่ำเสวยบนเขา
วันที่ ๓ กุมภาพันธ์
เวลาสายๆ เสด็จเขาหลวง เสวยในถ้ำเขาหลวง เวลาเย็นทอดพระเนตรจุดลูกหนู เวลาค่ำเสวยบนเขา
วันที่ ๔ กุมภาพันธ์
ออกจากเพชร์บุรีเวลาเช้าราวโมง ๑ หยุดที่พระปฐม ขึ้นพระปฐมเจดีย์ แล้วไปโรงเรียนตำรวจภูธร เสวยที่บังกะโล แต่เมื่อลงจากพระปฐมเจดีย์นั้นถ้าเจ้าหญิงมีความเหน็ดเหนื่อยควรเลยไปบังกะโล จะเลยไปทั้งสององค์หรือองค์เดียวก่อนแล้วแต่ความประสงค์ของเจ้า บ่าย ๒ โมงเศษออกจากพระปฐมเจดีย์มากรุงเทพฯ
ให้กระทรวงโยธาธิการจัดรถไฟพิเศษมาส่งเมื่อถึงสถานีบางกอกน้อย ให้เจ้าหน้าที่ต่างๆ ตามซึ่งกล่าวมาแล้ว เมื่อขาไปนั้นจัดการรับเจ้าแลขนของมาพระราชวังดุสิตเช่นเดียวกันกับเมื่อไปนั้นทุกหน้าที่ ให้พระยา วรพงษ์พิพัฒน์คอยรับเจ้าที่สพานอุดรภาค...”
ในกำหนดการฉบับดังกล่าว ปรากฏพระนามของเจ้านายพระองค์หนึ่ง คือ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ (พระยศในขณะนั้น) ซึ่งระบุว่า “...ให้กรมหลวงดำรงราชานุภาพมีหน้าที่ดูแลจัดการตั้งแต่ออกจากสถานีบางกอกน้อยไปจนกลับกรุงเทพฯ...” นอกจากนี้ ยังมีสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ฯ กรมขุนนครสวรรค์วรพินิต (พระยศในขณะนั้น) พระราชโอรสพระองค์หนึ่งในรัชกาลที่ ๕ ซึ่งสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยแห่งจักรวรรดิเยอรมัน ได้เป็นผู้อำนวยการรับเสด็จในคราวนี้
การจัดการรับเสด็จดยุคโยฮันอัลเบิร์ต และดัชเชสอลิสซาเบธ รอตซาลา พระชายา ที่เสด็จมาเยือนราชอาณาจักรสยามในครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้มีการรับรองอย่างสมพระเกียรติ ด้วยทรงมีพระราชปรารภว่าดยุคโยฮันอัลเบิร์ต เป็นเจ้านายเยอรมันพระองค์หนึ่ง ประกอบกับทรงรู้จักคุ้นเคยมาตั้งแต่พุทธศักราช ๒๔๒๖ โดยในคราวที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปทั้งสองคราว ดยุคโยฮันอัลเบิร์ตได้รับเสด็จและจัดการรับรองอย่างสมพระเกียรติทุกคราว ด้วยเหตุนี้ จึงเสมือนทรงตอบแทนที่ ดยุคฯ ได้ให้การรับรองพระองค์ด้วยดีในระหว่างประพาสยุโรป ดังปรากฏพระราชกระแสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในพระราชหัตถเลขาทรงมีถึงสมเด็จฯ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ฯ ความว่า
“สวนดุสิต วันที่ ๑๒ ต.ค. รัตนโกสินทรศก ๑๒๘
ถึงบริพัตร
วันนี้ได้รับหนังสือโยฮันอัลเบรช บอกวันกำหนดจะถึงสิงคโปรวันที่ ๒๒ มกราคม จึงกะว่าจะถึงบางกอกราววันที่ ๒๗ เมื่อถึงสิงคโปรจะโทรเลขให้ทราบกำหนดแลชื่อเรือ... เวลานี้กำลังลงมือซ่อมอุดร พ่ออยากให้ชายมาพร้อมกับจีระแลเจ้าพระยายมราช คิดกะเสียจะให้ห้องไหนเปนห้องนอนห้องนั่งของใคร คนที่มาด้วยจะอยู่ด้วยกันในที่เดียวได้ฤๅจะต้องแยก ถ้าหากว่าจะแยกให้อยู่ใกล้ก็มีราชฤทธิเปนที่ว่าง ... สังเกตุดูโยฮันอัลเบรชคิดมาออกจะเปนยศๆ เพราะคราวก่อนแกมาอย่างเลวๆ คราวนี้เปนริเยนต์ เขารับเราก็เปนยศทั้ง ๒ คราว แต่ข้างฝ่ายวัลดิมานั้น มาอย่างเงียบแท้...อยากจะขอให้คิดกันกับจีระถึงรูปแห่งการรับรองเปนเค้าเงื่อนทั้ง ๒ ราย ก่อนที่จะให้กรมหลวงนริศรคิดต่อไป ขอให้พร้อมกันช่วยคิดอ่านสักหน่อย
สยามินทร์”
มีหลักฐานว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้คัดเลือกนายทหาร ซึ่งสำเร็จการศึกษาจากประเทศเยอรมนีโดยเฉพาะ ให้เป็นราชองครักษ์ประจำพระองค์ดยุคฯ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ นายพันตรี หลวงภูวนารถนฤบาล (ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา ภายหลังเป็น พลเอกพระยาเทพหัสดิน) นายพันตรี หลวงจัตุรงควิไชย (เตี้ยม ภายหลังเป็น พลตรีพระยาสุรวงศ์วิวัฒน์) และว่าที่นายร้อยเอก นายจำรัส (ภายหลังเป็น พลตรีพระยาอานุภาพไตรภพ) เป็นราชองครักษ์พิเศษ มาตั้งแต่ปลายปี ๒๔๕๑ และเมื่อดยุคโยฮันอัลเบิร์ตและพระชายาเสด็จถึงกรุงเทพฯ โปรดเกล้าฯ ให้ นายพันโท หลวงจัตุรงควิไชย (เตี้ยม) และ นายร้อยเอก หลวงอภิบาลภูวนารถ ประจำพระองค์ดยุค และโปรดเกล้าฯ ให้ อุ๊น ภรรยาพระยามหิบาลบริรักษ์ (ภายหลังเป็นคุณหญิงมหิบาลบริรักษ์) ประจำพระองค์ดัชเชสอลิสซาเบธฯ พระชายา
ก่อนการเสด็จมาสยามของดยุคโยฮันอัลเบิร์ต ในปลายเดือนมกราคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๘ (พุทธศักราช ๒๔๕๒) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้มีการเตรียมการรับเสด็จทั้งในกรุงเทพฯ อยุธยา และเพชรบุรี เฉพาะที่เมืองเพชรุบรีนั้น ในช่วงปลายปีนั้น พระองค์เสด็จประพาสเมืองเพชรบุรีถึง ๓ ครั้ง คือครั้งแรกต้นเดือนกันยายน คราวเสด็จประพาสต้นมณฑลราชบุรี ครั้งที่สองภายหลังจากที่พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอุรุพงษ์รัชสมโภชสิ้นพระชนม์ในปลายเดือนกันยายน และครั้งที่สามในต้นเดือนธันวาคม โดยในการสด็จพระราชดำเนินครั้งที่สามนี้ ทอดพระเนตรการปรับปรุงสถานที่รับเสด็จดยุคฯ นั่นคือ พระราชวังพระนครคีรี บนเขามหาสวรรค์ ปรากฏในพระราชหัตถเลขาทรงมีถึงเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ความว่า
“บ้านปืน เพ็ชรบุรี
วันที่ ๖ ธันวาคม ร.ศ.๑๒๘
เจ้าพระยายมราช
ได้รับหนังสือวันที่ ๕ การที่รีบทำในเวลาเสด็จไม่อยู่นั้นดี แต่มีความเสียใจที่จะบอกข่าวว่าปรินซวัลดิมาร์นั้นเลิก เพราะเหตุที่ปรินเซสมารีตาย กลับเพียงคอลัมดบ เมื่อได้รับดทรเลขอยู่ข้างจะเป้นที่เศร้าสลดใจเป็นอันมาก... แต่ถึงได้ข่าวดังนี้ไม่ได้หยุดหย่อนในการที่จะตระเตรียมทั้งปวง เพราะเหตุที่โยฮันอัลเบรชคงมาแน่ การเพ็ชรบุรีอยู่ข้างจะประดักประเดิดยิ่งกว่าในบางกอกมาก เพราะเป็นที่ซึ่งจัดรับฝรั่งขึ้นใหม่ ในที่ซึ่งไม่ได้สร้างไว้สำหรับเป็นฝรั่งเลย ...มีความเสียใจที่ต้องให้รื้อบรรดาสิ่งซึ่งทำไว้ทั้งหมดไม่มีเหลือเลย ตู้เก่าที่ไปเปิดออกก้ต้องให้กลับกั้นเข้าอย่างเดิม เลยเป็นไม่ได้ทำอะไรนั่งเขียนแผนที่จนค่ำก็กลับ บนเขาหนาวเต็มทีเป็นหวัดไป...
สยามินทร์”
นอกจากเอกสารจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติแล้ว ยังมีบันทึกคำบอกเล่าของบุคคลในเอกสารอื่นๆ ที่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการรับเสด็จดยุคโยฮันอัลเบิร์ต ผู้สำเร็จราชการบรันซวิก อาทิ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งในขณะนั้น ดำรงพระยศ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้ทรงกล่าวถึงเหตุการณ์ในครั้งนี้ ปรากฏในลายพระหัตถ์มีถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ความว่า
“... เมื่อตอนปลาย รัชชกาลที่ ๕ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงโปรดฯ ให้หม่อมฉันซ่อมพระนครคิรีรับดุ๊กโยฮันอันเบรท ได้ซ่อมถึงพระที่นั่งเวไชยันต์วิเชียรปราสาทด้วย...”
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ยังโปรดให้พระธิดาตามเสด็จไปในคราวนี้ ได้แก่หม่อมเจ้าจงจิตรถนอม ดิศกุล พระธิดาองค์ใหญ่และหม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล โดยหม่อมเจ้าจงจิตรถนอมได้ทรงเล่าถึงเหตุการณ์ในครั้งนี้ว่า
“...เสด็จพ่อล่วงหน้าไปคอยรับเจ้าที่เมืองเพชรบุรี มีข้าพเจ้าแลหญิงพูนพิศมัย พระองค์เจ้าจรูญศักดิ์กฤดากร สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงจัดข้าหลวงส่งไปด้วย ๔ คน นายนากเป็นผู้ใหญ่ควบคุมไป เพื่อทำหน้าที่จัดห้องบรรทมดุ๊กแลดัสเชสส์ ส่วนพระองค์เจ้าจรูญศักดิ์กฤดากรทรงดูแลอาหารฝรั่งเลี้ยงเจ้า ข้าพเจ้าต้องดูแลจัดดอกไม้โต๊ะ แลทำดอกไม้เป็นบุหงาถวายดัสเชสส์ทุกวันๆ ระหว่างที่อยู่เมืองเพชรบุรี ข้าพเจ้าได้อาศรัยคุณข้าหลวงของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ๔ คนช่วยในการจัดทำดอกไม้ ข้าพเจ้ามีช่างดอกๆไม้ไปด้วย ๒ คน ที่เคยอยู่เป็นข้าหลวงของสมเด็จพระปิตุจฉา คือนางนารถแลนางลูกตาล ต้องขึ้นไปอยู่บนเขาวังที่สันถาคาร สถาน ดุ๊กแลดัสเชสส์ประทับที่พระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ การรับรองเป็นหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย ต้องจัดตั้งโรงครัวบนเขาวังเวลาจะขึ้นลงทีต้องมีพวกเด็กชาคอยหามกันทุกๆ วัน ตอนนี้ข้าพเจ้าต้องพบกับดุ๊กแลดัสเชสส์ทุกวันเวลาเสยกลางคืนเสด็จพ่อทรงจัดสมุหเทศา เจ้าเมืองในมณฑลราชบุรีผลัดกันมาร่วมโต๊ะเสวยพร้อมกับดุ๊กแลดัสเชสส์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสมรรัตนสิริเชษฐ์ได้ทรงจัดดอกไม้แบบโบราณ เช่น ระย้า ๒ ชั้น แลชั้นเดียวส่งจากกรุงเทพฯ ไปแขวนบนพระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์...”
พระยาประชากิจกรจักร (ชุบ โอสถานนท์) ขณะมีบรรดาศักดิ์ที่ พระยาราชพินิจจัย เลขานุการประจำองค์เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้หนึ่งที่ได้ตามเสด็จไปจัดการรับรองดยุคฯ ที่เมืองเพชรบุรี ได้บันทึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า
“...โปรดเกล้าให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยเตรียมการรับเสด็จ ซึ่งจะประพาสเมืองเพ็ชรบุรี เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยมีรับสั่งให้จัดการขนเอาเครื่องเรือนออกไปตกแต่งพระที่นั่งเพ็ชรภูมิไพโรจน์บนพระนครคีรี เป็นที่สำหรับเจ้าพัก และจัดห้องสำหรับบริพารเจ้าพักที่ราชธรรมสภา ในงานนี้ได้ทำการติดต่อร่วมมือกับผู้ว่าราชการเมืองและกรมการเมืองเพ็ชรบุรีเรียบร้อยแล้ว ได้เข้ามารายงานให้เสนาบดีทรงทราบ แล้วตามเสด็จเสนาบดีล่วงหน้าออกไปคอยรับเจ้าซึ่งออกจากกรุงเทพฯ โดยขบวนรถไฟ วันที่ ๓๑ มกราคม ร.ศ.๑๒๘ ประพาสเมืองเพ็ชรบุรี และประจำหน้าที่เลขานุการเสนาบดีรับใช้เสนาบดีที่บนพระนครคีรี จนวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ เจ้าเสด็จกลับกรุงเทพฯ โดยขบวนรถไฟจากเมืองเพ็ชรบุรี...”
ยังมีบันทึกว่า ในคราวรับเสด็จดยุคโยฮันอัลเบิร์ตที่เมืองเพชรบุรีนี้ กรมไปรษณีย์โทรเลข มีการวางสายโทรศัพท์ชั่วคราวจากพระราชวังบนเขามหาสวรรค์ ถึงบริเวณเชิงเขา เพื่ออำนวยความสะดวกในการรับรองด้วย โดยมีนายฉัตร บุณยสุขานนท์ (ในเวลาต่อได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์สูงสุดที่ พระอำนวยสัณหนิติ์) ผู้ทำหน้าที่แทนสารวัตรไปรษณีย์โทรเลขมณฑลราชบุรีและนครไชยศรี เป็นผู้อำนวยการ
ภาพ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ุฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต พระราชโอรสลำดับที่ ๓๓ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่ สมเด็จพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี ในรัชกาลที่ ๕ ขณะทรงดำรงพระยศที่ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนครสวรรค์วรพินิต ทรงเป็นผู้อำนวยการรับเสด็จดยุคโยฮันอัลเบิร์ตและพระชายาในรัตนโกสินทรศก ๑๒๘
ชื่อเรื่อง เจตนาเภทา(เจตนาเภทา)
สพ.บ. 403/2ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 50 หน้า กว้าง 5 ซ.ม. ยาว 57 ซ.ม. หัวเรื่อง พุทธศาสนา ชาดก เทศน์มหาชาติ คาถาพัน
บทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พันเอก นพ ถีติปริวัตร์ ณ ฌาปนสถานกองทัพบก วัดโสมนัสวิหาร ๑๖ ธันวาคม ๒๕๐๖