ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 41,399 รายการ

องค์ความรู้ส่งเสริมการอ่านผ่านออนไลน์ เรื่อง “วันรพี 7 สิงหาคม” วันรพี ตรงกับวันที่ 7 สิงหาคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ผู้ทรงได้รับการยกย่องให้เป็น “พระบิดาแห่งกฎหมายไทย” เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นนักนิติศาสตร์และทรงวางระบบแบบแผนศาลยุติธรรม รวมถึงทรงจัดตั้งโรงเรียนกฎหมายขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยอันเป็นประโยชน์ใหญ่ยิ่งแก่ประเทศชาติ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 14 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยประสูติจากเจ้าจอมมารดาตลับ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2417 ทรงเข้าศึกษา ในโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ แล้วเสด็จไปศึกษาต่อ ณ โรงเรียนมัธยมกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เป็นเวลา 3 ปี เมื่อสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมแล้ว ทรงสอบเรียนต่อกฎหมายที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดได้ด้วยพระชนมายุเพียงแค่ 14 ชันษา ได้ศึกษาต่อ จนจบหลักสูตรปริญญาตรีด้านกฎหมาย ชั้นเกียรตินิยม โดยใช้เวลาศึกษาเพียงแค่ 3 ปี ด้วยพระชันษาเพียง 20 พรรษา เมื่อปี พ.ศ. 2439 ทรงเข้ารับราชการในกรมเลขานุการ ทรงปฏิบัติงานเป็นที่พอพระราชหฤทัยในสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมชนกนาถ เป็นอย่างยิ่ง พระภารกิจของพระองคืนับได้ว่าเป็นภาระที่หนักยิ่ง ทรงเสียสละทุกอย่าง คิดถึงแต่งานเป็นใหญ่ ทรงยึดหลักที่ว่า “คนทุกคนต้องเคารพเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน จะทำอะไรต้องคิดถึง คนอื่น” ทรงยึดหลักความยุติธรรม และหลักที่ว่า “My life is service” คือ ชีวิตของข้าพเจ้าเกิดมาเพื่อรับใช้ประเทศชาติ ปี พ.ศ. 2462 ทรงประชวรด้วยโรควัณโรคที่พระวักกะ (ไต) ไปรักษาพระองค์ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส พระอาการ ก็ไม่ทุเลา และพระองค์ได้สิ้นพระชนม์ ในวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2463 รวมพระชนมายุได้ 47 พรรษา ในวันที่ 7 สิงหาคมของทุกปี วงการนักกฎหมายได้ถือเอาวันที่พระองค์สิ้นพระชนม์ เป็นวันรำลึกถึงคุณงามความดีของท่านที่มีต่อวงการกฎหมายไทย โดยใช้ชื่อว่า “วันรพี” ขนานนามพระองค์ว่า “พระบิดาและปฐมาจารย์แห่งนักกฎหมายไทย” โดยจะมีการจัดกิจกรรมวันรพี วางพวงมาลาถวายราชสักการะเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ที่อนุสาวรีย์พระรูปพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ หน้าสำนักงานศาลยุติธรรม ศาลที่เป็นสถานที่ราชการทั่วประเทศ และคณะนิติศาสตร์ของทุกมหาวิทยาลัยในประเทศไทย โดยมีการจัดต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 อ้างอิง : ประชิด สกุณะพัฒน์ ผศ., อุดม เชยกีวงศ์. วันสำคัญ. กรุงเทพฯ : ภูมิปัญญา, 2549. ธวัลกร ฉัตราธรรม. วันสำคัญในรอบ 1 ปี ที่คนไทยต้องรู้. กรุงเทพฯ : แพรธรรม, ม.ป.ป.. ผู้เรียบเรียง : นายประพนธ์ รอบรู้ นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี


ชื่อเรื่อง                     ความเปลี่ยนแปลงภายในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาระหว่าง พ.ศ.2438-2500ผู้แต่ง                       เกื้อกูล  ยืนยงอนันต์ประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือหายากISBN/ISSN                 9745706124หมวดหมู่                   สังคมศาสตร์ เลขหมู่                      301.24 ก862คสถานที่พิมพ์               กรุงเทพฯสำนักพิมพ์                 สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ปีที่พิมพ์                    2529ลักษณะวัสดุ               124 หน้าหัวเรื่อง                     พระนครศรีอยุธยา – ภาวะสังคม                              การเปลี่ยนแปลงทางสังคมภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึกความเปลี่ยนแปลงภายในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา รวบรวมค้นคว้าทางประวัติศาสตร์  การเปลี่ยนแปลงภายในเกาะเมือง ด้านผังเมือง ชีวิตความเป็นอยู่ การแระกอบอาชีพ การศึกษา การมคมนาคม การสาธารณูปโภค โบราณสถาน และฐานะของเมืองทางการปกครอง ตั้งแต่ พ.ศ.2438 จนกระทั่งถึง พ.ศ.2500


          กรมศิลปากร โดยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ จังหวัดลพบุรี  ขอเชิญชมนิทรรศการพิเศษ เรื่อง “ตามรอยศรีเทพ เมืองมรดกโลก” ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2567 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสที่เมืองโบราณศรีเทพได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม จากองค์การเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2566            นิทรรศการพิเศษ “ตามรอยศรีเทพ เมืองมรดกโลก” บอกเล่าเรื่องราวของเมืองโบราณศรีเทพผ่านโบราณวัตถุชิ้นสำคัญในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ โดยได้รวบรวมโบราณวัตถุจากเมืองโบราณศรีเทพที่จัดแสดงอยู่ในนิทรรศการถาวรมาจัดแสดงเป็นนิทรรศการพิเศษ เรื่อง “ตามรอยศรีเทพ เมืองมรดกโลก” เช่น พระพุทธรูปปางแสดงธรรมจากโบราณสถานเขาคลังนอก ศิวลึงค์จากโบราณสถานปรางค์สองพี่น้อง พระพิมพ์ที่มีจารึกอักษรจีน  นอกจากนี้ยังได้นำโบราณวัตถุจากเมืองโบราณศรีเทพ ซึ่งเก็บรักษาอยู่ในคลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ จำนวน 3 รายการ ได้แก่ เศียรพระพุทธรูปจากโบราณสถานถ้ำเขาถมอรัตน์ จำนวน 2 รายการ และชิ้นส่วนจารึกภาษาสันสกฤต จำนวน 1 รายการ ออกมาจัดแสดงครั้งนี้ด้วย            ผู้สนใจสามารถเข้าชมนิทรรศการพิเศษ “ตามรอยศรีเทพ เมืองมรดกโลก” ได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2567  เปิดวันพุธ - วันอาทิตย์ เวลา 09.00 – 16.00 น. (ปิดวันจันทร์ - วันอังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์) ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ จังหวัดลพบุรี ค่าเข้าชม ชาวไทย 30 บาท ชาวต่างชาติ 150 บาท สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร 0 3641 1458 ภาพ : พระพุทธรูปปางแสดงธรรมจากโบราณสถานเขาคลังนอก    ภาพ : ศิวลึงค์จากโบราณสถานปรางค์สองพี่น้อง    ภาพ : พระพิมพ์ที่มีจารึกอักษรจีน     ภาพ : เศียรพระพุทธรูปจากโบราณสถานถ้ำเขาถมอรัตน์ จำนวน 2 รายการ    ภาพ : ชิ้นส่วนจารึกภาษาสันสกฤต จำนวน 1 รายการ


        หนังสือ : ประวัติศาสตร์อยุธยา ห้าศตวรรษสู่โลกใหม่         ผู้เขียน :  คริส เบเคอร์, ผาสุก พงษ์ไพจิตร         อาณาจักรอยุธยา สามารถดำรงอยู่ยาวนานได้ถึง 5 ศตวรรษ หรือ 500 ปี ซึ่งแม้จะล่มสลายไปแล้วในคราวเสียกรุงครั้งที่ 2 แต่อยุธยายังคงส่งต่อวัฒนธรรม ศิลปกรรม การเมืองการปกครองไปสู่กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ (กรุงเทพฯ) ได้อีกด้วย         "ประวัติศาสตร์อยุธยา ห้าศตวรรษสู่โลกใหม่" เล่มนี้ คือการเขียนประวัติศาสตร์ตามลูกศรของเวลา ที่จะมุ่งสู่อดีตไปหาปัจจุบันเสมอ ซึ่งทำให้เราได้เห็นภาพของอยุธยา ตั้งแต่ก่อนที่จะกลายเป็นรัฐ เห็นพัฒนาของสังคมมนุษย์ เริ่มจากอดีตเมื่อภูมิประเทศว่างเปล่า แล้วตามลูกศรของเวลาดูว่ามนุษยชนใช้ทรัพยากรเพื่อทำมาหากิน สร้างสังคม จัดตั้งสถาบันได้อย่างไร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์สังคม-สามัญชน จนกระทั่งเป็นรัฐ-อาณาจักร การสงคราม การค้าซึ่งเป็นหัวใจหลักในการดำรงความยิ่งใหญ่ของอยุธยา ความสัมพันธ์กับจีน เพื่อนบ้าน และชาติตะวันตก การล่มสลาย และการกำเนิดกรุงเทพฯ รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 500 ปี ดังที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ทำให้ผู้อ่านจะได้เห็นภาพทั้งในเชิงกว้าง และเชิงลึกของอาณาจักรอยุธยาได้สมบูรณ์แบบและครบถ้วนที่สุด   ห้องบริการ 2 หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ เลขหมู่ : 959.303 บ779ป


            นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมได้มอบนโยบายให้กรมศิลปากรเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวโบราณสถานเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนด้วยการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ต่อยอดความสำเร็จของโครงการท่องเที่ยวโบราณสถานยามค่ำคืน ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากในปีที่ผ่านมา กรมศิลปากรจึงได้จัดทัวร์นำเที่ยวโบราณสถานภายใต้กิจกรรม “ศิลปากรสัญจร” นำผู้สนใจเดินทางท่องเที่ยวไปกับกรมศิลปากรในราคาย่อมเยา โดยรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายนำเข้าสมทบกองทุนโบราณคดี เพื่อบูรณะโบราณสถานและพัฒนาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติทั่วประเทศ     สำหรับเส้นทางแรก "ไหว้พระ ชมโขน ยลศิลป์ ถิ่นพิมาย" จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๐ – ๒๑ มกราคม ๒๕๖๗ ด้วยเส้นทางปราสาทหิน และโบราณสถานสำคัญในจังหวัดนครราชสีมา เช่น พระนอนทวารวดีเมืองเสมา โบราณสถานกลุ่มปราสาทเมืองแขก โดยเฉพาะปราสาทหินพิมาย ปราสาทหินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย บูรณาการงานนาฏศิลป์ ชมการแสดงโขนกรมศิลป์ ภายในปราสาทหินพิมาย ในบรรยากาศโบราณสถานที่งดงามยามค่ำคืน โดยได้รับกระแสตอบรับอย่างล้นหลาม มีผู้สนใจร่วมเดินทางท่องเที่ยวเต็มทุกที่นั่งอย่างรวดเร็ว โดยหลังจากนี้จะมีการเปิดเส้นทางท่องเที่ยวอีก ๒ เส้นทาง ได้แก่ “๒ นครา มรดกโลก” ชมโบราณสถาน ณ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา และอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก และ “เส้นทางวัฒนธรรมวงแหวนตะวันตก : ต้นธารแห่งอารยธรรมไทย” นำเที่ยวแหล่งโบราณสถานและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในพื้นที่ภาคตะวันตกของไทย ได้แก่ อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม              อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวอีกว่า การจัดนำเที่ยวของกรมศิลปากรได้เตรียมวิทยากรมากประสบการณ์ รวมทั้งนักโบราณคดีที่ได้ทำงานในแต่ละพื้นที่ ร่วมเป็นมัคคุเทศก์เพื่อให้ความรู้และความเข้าใจในประวัติศาสตร์อย่างสนุกสนาน และรับทราบความเป็นมาของแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมของชาติได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และยังช่วยให้ร้านอาหาร ที่พัก มีรายได้เพิ่มขึ้น อีกทั้งประชาชนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมขับเคลื่อนการทำงานด้านวัฒนธรรม  สอดรับกับนโยบาย “Soft Power” ของรัฐบาล ภาพ : โบราณสถานวัดไชยวัฒนาราม อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาภาพ : โบราณสถานเขาคลังนอก อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ จังหงัดเพชรบูรณ์ภาพ : อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรีภาพ : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรีภาพ : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรีภาพ : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระปฐมเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี


           พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร ขอเชิญร่วมส่งภาพถ่ายเล่าเรื่องเมืองกำแพงเพชร ที่อยู่ในช่วง พ.ศ. ๒๔๔๙ - ๒๕๔๙ เพื่อร่วมจัดนิทรรศการพิเศษเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย ประจำปี ๒๕๖๗ เปิดรับภาพถ่ายตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๗            ประเภทภาพถ่าย            ๑. ภาพถ่ายบุคคลสำคัญ เช่น ผู้นำท้องถิ่น บุคคลสำคัญระดับชาติที่เดินทางมาปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชร            ๒. ภาพสถานที่ต่าง ๆ ในจังหวัดกำแพงเพชร เช่น วัด โรงเรียน โรมแรม หน่วยงาน ห้างร้าน ตลาด ชุมชน โบราณสถาน ทิวทัศน์ ฯลฯ            ๓. ภาพถ่ายวัฒนธรรม ประเพณี และภาพถ่ายของบรรพบุรุษที่สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิต เช่น การแต่งกาย ทรงผม ฯลฯ            ทั้งนี้ ทุกท่านสามารถส่งภาพถ่ายขาวดำ ภาพสี ฟิล์ม ภาพโพลารอยด์ ไม่จำกัดขนาด รวมไปถึงอุปกรณ์ที่ใช้ถ่ายภาพในอดีต เช่น กลักฟิล์ม กล้องถ่ายภาพโบราณ หรือกล้องถ่ายภาพรูปแบบต่าง ๆ ที่ชาวกำแพงเพชรเคยใช้ในการบันทึกภาพ หรือของใช้ที่เคยอยู่ในภาพ สนใจนำมาร่วมจัดแสดงในนิทรรศการดังกล่าว              ผู้สนใจสามารถส่งภาพ หรือติดต่อนำของมาร่วมจัดแสดง ได้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร หรือทางอีเมล kpp_museum14@hotmail.com สอบถามเพิ่มเติม โทร. ๐ ๕๕๗๑ ๑๕๗๐ (สำนักงาน) และ ๐๘ ๓๐๙๒ ๔๒๘๖ (พรรณลักษณ์)



          กรมศิลปากร ขอเชิญรับชมถ่ายทอดสด Facebook Live รายการไขความรู้จากครูกรมศิลป์ ตอน “เอกสารล้ำค่าจารึกสยาม” นิทรรศการพิเศษเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย วิทยากร นางพัชรินทร์ ลั้งแท้กุล ผู้อำนวยการกลุ่มเอกสารจดหมายเหตุและบริการ, นางสาวณัฏฐา กล้าหาญ นักจดหมายเหตุชำนาญการ กลุ่มเอกสารจดหมายเหตุและบริการ, นางสาวทรายทอง ทองเกษม นักจดหมายเหตุชำนาญการ กลุ่มบริหารเอกสาร และนางสาวมณีรัตน์ พุทธอุปถัมภ์ นักจดหมายเหตุชำนาญการ กลุ่มเอกสารจดหมายเหตุและบริการ ผู้ดำเนินรายการ นายสิทธิพร บุปผา นักวิชาการเผยแพร่ กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ เวลา ๑๑.๐๐ - ๑๑.๔๕ น.           ผู้สนใจสามารถติดตามชมได้ทาง Facebook Live : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม และ Facebook : กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร


        วันนี้ในอดีต : การเสด็จพระราชดำเนินพระนครคีรี ในสมัยรัชกาลที่ 5          ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 นอกจากที่พระองค์ทรงโปรดให้บูรณะ “พระนครคีรี” เพื่อทรงใช้เป็นที่ประทับแปรพระราชฐาน ใช้รับรองพระราชอาคันตุกะ หรือการที่พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ผู้ว่าราชการเมืองเพชรบุรีสมัยนั้น พระยาสุรพันธ์พิสุทธิ์ (เทียน บุนนาค) ดำเนินการจัดซื้อที่ดินที่บ้านปืน ตำบลบ้านหม้อ ด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นเนื้อที่ประมาณ 400 ไร่ เพื่อสร้าง “พระราชวังบ้านปืน” ไว้เป็นที่ประทับ         จากการที่พระองค์ทรงเสด็จเมืองเพชรบุรีอยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่เสด็จไปตรวจราชการอย่างเป็นทางการและเสด็จประพาสเป็นการส่วนพระองค์ รวมไปถึงการที่พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะ “พระนครคีรี” และทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง “พระราชวังบ้านปืน” ซึ่งปัจจุบันพระราชวังทั้ง 2 แห่งนี้ นับเป็นโบราณสถานที่มีคุณค่าทางศิลปะและประวัติศาสตร์ เป็นมรดกแห่งความภาคภูมิใจของประชาชนชาวจังหวัดเพชรบุรี และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญยิ่งของจังหวัดเพชรบุรี เป็นการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าพระองค์ทรงโปรดเมืองเพชรบุรีเป็นอย่างมาก อีกทั้งพระองค์ยังได้มีพระราชดำริเกี่ยวกับเมืองเพชรบุรีไว้ว่า         “. . . เมืองเพชรบุรี เป็นภูมิสถานอันงดงาม และสมบูรณ์เคยเป็นที่ประพาสของพระเจ้าแผ่นดินแต่กาลก่อนตลอดมา  . . .” (กองจดหมายเหตุแห่งชาติ, 2453)         ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2418 ปรากฏหลักฐานและเอกสารต่าง ๆ ที่ได้บันทึกเหตุการณ์ที่กล่าวถึงการเสด็จเมืองเพชรบุรีของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เพื่อเป็นการย้อนรำลึกถึงพระองค์ในช่วงที่เสด็จพระราชดำเนินพระนครคีรี ทางผู้จัดทำจึงได้เรียบเรียงเรื่องราวนี้ขึ้นมา โดยสรุปความว่าดังนี้         วันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนิน มาเมืองเพชรบุรีโดยเรือพระที่นั่ง พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชบริพารเป็นจำนวนมาก เสด็จถึงพลับพลา บ้านใหม่ ตำบลบางครก เสด็จขึ้นบนพลับพลา ตรัสกับเจ้าเมืองและกรมการทั้งหลาย แล้วเสด็จ พระราชดำเนิน ด้วยรถพระที่นั่งสองล้อ ถึงพระนครคีรี ทอดพระเนตรพระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ พระที่นั่งปราโมทย์มไหสวรรย์ และพระที่นั่งราชธรรมสภา         วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518 เสด็จออก ณ พระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ ผู้ว่าราชการเมืองกาญจนบุรี และเมืองเพชรบุรีเข้าเฝ้า แล้วเสด็จประพาสเขาบันไดอิฐ         วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518 เสด็จออก ณ พระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ ข้าราชการเมืองเพชรบุรีเฝ้า ทูลละอองธุลีพระบาททูลเกล้าฯ ถวายสิ่งของ พระราชทานเสื้อผ้าสักหลาดอย่างดีแก่ข้าราชการที่มาเฝ้าคือ พระพลสงคราม หลวงรามฤทธิรงค์ หลวงยงโยธี หลวงภักดีสงคราม นายแย้มเด็กชา หลวงพิพัฒน์เพชรภูมิ ยกกระบัตร หลวงวิชิตภักดี หลวงมหาดไทย ขุนสัสดี ขุนแพ่ง ขุนแขวง ขุนศุภมาตรา ขุนเทพ ขุนรองปลัด ขุนเทพบุรี โปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินแก่พวกเด็กชาที่มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทคนละตำลึงบ้างครึ่งตำลึงบ้างคนที่ได้ตำลึงคือคนที่ทรงคุ้นเคยเห็นหน้ากันมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ พระราชดำเนินมาเมืองเพชรบุรี แล้วเสด็จพระราชดำเนินลงมาจากพระนครคีรี ณ ตรงเชิงเขาตรัสกับ หมอแมคฟาร์แลนด์ แล้วเสด็จพระราชดำเนินไปยังถ้ำเขาหลวง ทรงนมัสการพระพุทธรูป 4 องค์พระพุทธรูปประจำแผ่นดิน รัชกาลที่ 1, รัชกาลที่ 2, รัชกาลที่ 3, รัชกาลที่ 4 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โปรดให้ช่างปั้นขึ้น เพื่อทรงอุทิศพระราชกุศลถวายพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 1, รัชกาลที่ 2, รัชกาลที่ 3, รัชกาลที่ 4 แล้วทรงเสด็จกลับ          วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518 เสด็จพระราชดำเนินไปยังวัดมหาสมณาราม เชิงพระนครคีรี พระราชทานเงินเป็นมูลกัปปิยภัณฑ์แก่พระมหาสมณวงศ์เจ้าอาวาส และพระสงฆ์ ทรงแจกเงินแก่สัปบุรุษ     เอกสารสำหรับการสืบค้น       กรมศิลปากร. “พระนครคีรี”. เพชรบุรี : กรมศิลปากร.       พัสวีสิริ เปรมกุลนันท์  (๒๕๖๑). ถ้ำเขาหลวง มรดกล้ำค่าของเพชรบุรี. กรุงเทพฯ : เรือนแก้วการพิมพ์.       วรางคณา นิพัทธ์สุขกิจ.  (2561).  “การเสด็จประพาสเมืองเพชรบุรีสมัยรัชกาลที่ 4-รัชกาลที่ 6”.  ใน คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร (ผู้รวบรวม), บทความทางวิชาการวารสาร “วารสารประวัติศาสตร์ 2561”  มหาวิทยาลัยศิลปากร.        ฐิติมา สุวรรณชาติ และ ไพลิน ทรัพย์อุดมผล.  (2564).  “ความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับเมืองเพชรบุรี ในสมัยรัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 6 (พ.ศ.2394 – 2468)”.  ใน มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี (ผู้รวบรวม), บทความทางวิชาการวารสาร “วารสารมนุษยสังคมปริทัศน์ (มสป.)” มหาวิทยาลัยราชภัฎเพชรบุรี,  ปีที่ 23  ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน 2564.       สำนักศิลปากรที่ 1 ราชบุรี. เรื่อง ตำหนักศรเพชรปราสาท (พระรามราชนิเวศน์). .


ปริวารปาลิ (ปริวารปาลิ) อย.บ.                                     298/1หมวดหมู่                               พุทธศาสนาประเภทวัสดุ/มีเดีย              คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ                         64 หน้า : กว้าง 4.7 ซม. ยาว 53.4 ซม. บทคัดย่อ                      เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคจากวัดประดู่ทรงธรรม อำเภอเมืองพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา


ชื่อเรื่อง                     ภาพเก่าเล่าอดีตลพบุรีผู้แต่ง                       สถาบันราชภัฏเทพสตรีประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือท้องถิ่นหมวดหมู่                   ประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์เลขหมู่                      959.314 ร425ภสถานที่พิมพ์               ลพบุรีสำนักพิมพ์                 โรงพิมพ์กรุงไทยการพิมพ์ปีที่พิมพ์                    2540ลักษณะวัสดุ               126 หน้า : ภาพประกอบ ; 24 ซม.หัวเรื่อง                     ลพบุรี – ประวัติ                              ลพบุรี – ประวัติศาสตร์ – ภาพภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึก            เป็นผลงานสืบเนื่องจากการจัดประกวดภาพเก่า และจัดนิทรรศการภาพเก่าเมืองลพบุรี จัดพิมพ์เป็นหนังสือภาพขึ้นเพื่อให้ผู้สนใจเรื่องลพบุรีได้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของลพบุรี โดยเปรียบเทียบภาพในอดีตกับภาพในปัจจุบัน


ความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนและบ้านเมืองที่มีพัฒนาการนับตั้ง แต่อดีตจวบจนปัจจุบัน กรมศิลปากรตระหนักถึงการแบ่งปันองค์ความรู้ด้านศิลปโบรา ณวัตถุอันเป็นมรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติสู่สังคม


อบต. สำนักทอง จังหวัดระยอง (เวลา 09.30 น.) จำนวน 90 คนวันพุธที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๗ เวลา ๐๙.๓๐ น. คณะจากองค์การบริหารส่วนตำบลสำนักทอง อ.เมือง จ.ระยอง จำนวน ๙๐ คน เข้าศึกษาดูงาน ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครนายก พระบรมชนกชลพัฒน์ โดยมีนางสาว ณัฏฐกานต์ มิ่งขวัญ ตำแหน่ง เจ้าพนักงานพิพิธภัณฑ์ชำนาญงาน และว่าที่ร้อยตรีรุ่งเรือง ชื่นชม ตำแหน่ง พนักงานประจำพิพิธภัณฑ์ เป็นวิทยากรนำชมในครั้งนี้


วธ. ขอเชิญร่วมงานวันภาษาไทยแห่งชาติ พุทธศักราช 2567 เพื่อรณรงค์และกระตุ้นให้เยาวชนและประชาชนรู้รักและตระหนักถึงความสำคัญของภาษาไทย ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย (สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม โทร. 022470013 ต่อ 1226)             วันที่ 15 กรกฎาคม  2567 เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม ชั้น  8 กระทรวงวัฒนธรรม นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ประธานการแถลงข่าวกล่าวว่า เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พุทธศักราช 2542 รัฐบาลได้ประกาศให้วันที่ 29 กรกฎาคม ของทุกปี เป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะที่เป็นหน่วยงานที่ดำเนินการจัดงานวันภาษาไทยแห่งชาติเป็นประจำทุกปี เพื่อรณรงค์และกระตุ้นให้เยาวชนและประชาชนรู้รักภาษาไทย ตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของภาษาไทย ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของชาติ อีกทั้งเพื่อเป็นการส่งเสริมการสร้างต้นแบบที่ดีแก่ประชาชนให้มีการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง เหมาะสมและภูมิใจในความเป็นไทย ตลอดจนเป็นการสร้างค่านิยมและส่งเสริมให้เด็ก เยาวชน และประชาชนเห็นคุณค่าและความสำคัญของภาษาไทย ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของไทยให้คงอยู่สืบไป              กิจกรรมนี้จัดขึ้นภายใต้การบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม หน่วยงานภายนอก และเครือข่ายวัฒนธรรม เพื่อส่งเสริมการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง เหมาะสม และภูมิใจในความเป็นไทยโดยมีกิจกรรมไฮไลต์ภายในงานประกอบด้วย               - มอบเข็มและโล่เกียรติยศ แก่ปูชนียบุคคลด้านภาษาไทย ผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่น ผู้ใช้ภาษาไทยถิ่นดีเด่น และผู้มีคุณูปการต่อการใช้ภาษาไทย รวมทั้งสิ้น 18 รางวัล             - มอบรางวัล “เพชรในเพลง” ให้แก่นักร้องและผู้ประพันธ์เพลงไทยที่ใช้ภาษาไทยได้ถูกต้อง จำนวน 14 รางวัล             - มอบรางวัลประกวดเพลงแรป “บอกรักษ์ภาษาไทย” จำนวน 5 รางวัล และรางวัลอ่านทำนองเสนาะ “สดับร้อยกรองไทย” ครั้งที่ 3 จำนวน 6 รางวัล             - จัดนิทรรศการ ประวัติและผลงานของผู้ที่ได้รับรางวัล และการแสดงทางศิลปวัฒนธรรม             ด้าน นายประสพ เรียงเงินอธิบดี กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กล่าวว่า สำหรับบุคคลและองค์กรที่ได้เข็มและโล่เชิดชูเกียรติทางด้านภาษาไทย ประจำปีพุทธศักราช 2567 แบ่งเป็น  4 ประเภท ดังนี้               1. ปูชนียบุคคลด้านภาษาไทย จำนวน 2 ราย ได้แก่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์พรทิพย์  พุกผาสุข และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ศิวกานท์  ปทุมสูติ             2. ผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่น จำนวน 11 ราย ได้แก่ 1) นางเทพี  จรัสจรุงเกียรติ 2) นายชาครีย์นรทิพย์   เสวิกุล  3) นายณรงค์ฤทธิ์  คิดเห็น  4) นายธีระพงษ์  โสดาศรี  5) นางนันทพร  แสงมณี  6) นางสาวปาริฉัตร  ศาลิคุปต 7) นายแพทย์พงศกร  จินดาวัฒนะ 8) ผู้ช่วยศาสตราจารย์วีรวัฒน์  อินทรพร  9) นายศราวุธ  สุดงูเหลือม  10) ผู้ช่วยศาสตราจารย์สรตี  ปรีชาปัญญากุล  และ 11) นายสุภาพ  คลี่ขจาย                 3. ผู้ใช้ภาษาไทยถิ่นดีเด่น จำนวน 4 ราย ได้แก่ 1) นายไกรสร ฮาดคะดี  2)  นายณรงค์ศักดิ์  กำเนิดทอง  3) นายปราโมทย์ ในจิต และ 4) นายเอ็ด  ติ๊บปะละ              4. ผู้มีคุณูปการต่อการใช้ภาษาไทย จำนวน 1 องค์กร ได้แก่ สถาบันสุนทรภู่             ด้าน นายพนมบุตร  จันทรโชติ  อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า กรมศิลปากร จัดกิจกรรมเนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ พุทธศักราช 2567  ซึ่งประกอบด้วย 3 กิจกรรมหลัก ได้แก่  การจัดพิมพ์หนังสือหายาก การสัมมนาทางวิชาการด้านภาษาและวรรณคดีไทย และ การประกวดเพลง “เพชรในเพลง” เพื่อยกย่องบุคคลในวงการเพลงที่มีผลงานดีเด่นด้านภาษาไทย โดยมีรางวัลการประพันธ์เพลงและการขับร้องเพลง รวมทั้งหมด 12 รางวัล และรางวัลเชิดชูเกียรติพิเศษ 2 รางวัล  โดยมีรายชื่อดังต่อไปนี้ รางวัลการประพันธ์เพลงดีเด่นด้านภาษาไทย จำนวน 4 รางวัล ได้แก่             1) รางวัลชนะเลิศ ผู้ประพันธ์คำร้องเพลงไทยสากล ได้แก่ นายปัณฑพล  ประสารราชกิจ และนายธิติวัฒน์  รองทอง จากเพลงลั่นทม              2) รางวัลรองชนะเลิศ ผู้ประพันธ์คำร้องเพลงไทยสากล ได้แก่ นายกฤตศิลป์  ฉลองขวัญ จากเพลงดอกไม้จากดวงดาว 3) รางวัลชนะเลิศ ผู้ประพันธ์คำร้องเพลงไทยลูกทุ่ง ได้แก่ นายจิรภัทร  แจ่มทุ่ง จากเพลงยามท้อขอมีเธอ 4) รางวัลรองชนะเลิศ ผู้ประพันธ์คำร้องเพลงไทยลูกทุ่ง ได้แก่ นายสลา  คุณวุฒิ จากเพลงอยากซื้อบ้านนอกให้แม่ รางวัลการขับร้องเพลงดีเด่นด้านภาษาไทย จำนวน 8 รางวัล  ได้แก่             1) รางวัลชนะเลิศ ผู้ขับร้องเพลงไทยสากลชาย ได้แก่ นายภาสกรณ์  รุ่งเรืองเดชาภัทร์ (สปาย) จากเพลงคอย              2)  รางวัลรองชนะเลิศ ผู้ขับร้องเพลงไทยสากลชาย ได้แก่ นายธานินทร์  อินทรแจ้ง (ธานินทร์  อินทรเทพ) จากเพลงเดือนประดับใจ              3) รางวัลชนะเลิศ ผู้ขับร้องเพลงไทยสากลหญิง ได้แก่ นางสาวสรวีย์  ธนพูนหิรัญ (ผิงผิง) จากเพลงดอกไม้จากดวงดาว            4) รางวัลรองชนะเลิศ ผู้ขับร้องเพลงไทยสากลหญิง ได้แก่ นางสาวปราชญา  ศิริพงษ์สุนทร จากเพลงมรดกธรรม มรดกโลก             5) รางวัลชนะเลิศ ผู้ขับร้องเพลงไทยลูกทุ่งชาย ได้แก่ นายอนันต์  อาศัยไพรพนา (นัน อนันต์) จากเพลงยามท้อขอมีเธอ             6) รางวัลรองชนะเลิศ ผู้ขับร้องเพลงไทยลูกทุ่งชาย ได้แก่ นายเสมา  สมบูรณ์ (ไชยา  มิตรชัย) จากเพลงรอยยิ้มก่อนจากลา             7) รางวัลชนะเลิศ ผู้ขับร้องเพลงไทยลูกทุ่งหญิง ได้แก่ นางสาวสุทธิยา  รอดภัย (ใบเฟิร์น สุทธิยา) จากเพลงกราบหลวงพ่อใหญ่อ่างทอง และ            8) รางวัลรองชนะเลิศ ผู้ขับร้องเพลงไทยลูกทุ่งหญิง ได้แก่ นางสาวกาญจนา  มาศิริ  จากเพลงสารภาพรัก รางวัลเชิดชูเกียรติพิเศษ จำนวน 2 รางวัล            1.รางวัลเชิดชูเกียรติ ครูเพลงผู้ใช้ภาษาวรรณศิลป์ดีเด่น ได้แก่นายชัยรัตน์  วงศ์เกียรติ์ขจร            2.รางวัลเชิดชูเกียรติ นักแปลเพลง : คมความ งามคำไทย ในบทเพลง ได้แก่ นายธานี  พูนสุวรรณ             ทั้งนี้ สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (สป.) ได้เชิญชวนสถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศประจำประเทศไทยร่วมจัดทำวีดิทัศน์ เพื่ออนุรักษ์และรณรงค์ส่งเสริมการใช้ภาษาไทยของเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตฯ โดย สป.รวบรวมวีดิทัศน์ที่ได้รับจากสถานเอกอัครราชทูตฯ และนำไปตัดต่อให้กระชับภายในระยะเวลา 5 - 10 นาที เพื่อนำไปจัดฉายในงานวันภาษาไทยแห่งชาติ และเชิญผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศประจำประเทศไทยที่ร่วมจัดทำวีดิทัศน์ข้างต้น เข้าร่วมงานวันภาษาไทยแห่งชาติ               ในโอกาสนี้ วธ.ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานวันภาษาไทยแห่งชาติ พุทธศักราช 2567 ได้ในวันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม 2567 ตั้งแต่เวลา 13.30 น. เป็นต้นไป ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยจะมีพิธีมอบเข็มและโล่เชิดชูเกียรติแก่ปูชนียบุคคลด้านภาษาไทย ผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่น ผู้ใช้ภาษาไทยถิ่นดีเด่น และผู้มีคุณูปการต่อการใช้ภาษาไทย พร้อมรางวัลเพชรในเพลง ทั้งนี้ ผู้สนใจเข้าร่วมงานสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม โทร. 022470013 ต่อ 1226


             อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จังหวัดอุดรธานี ได้รับการประกาศจากองค์การเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งใหม่ ในชื่อ “ภูพระบาท ประจักษ์พยานแห่งวัฒนธรรมสีมา สมัยทวารวดี” (Phu Phrabat, a testimony to the Sīma stone tradition of the Dvaravati period) เมื่อวันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม 2567 ถือเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งที่ 5 ของประเทศไทย ต่อจากนครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี และเมืองโบราณศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ได้รับการประกาศในปีที่ผ่านมา โดยอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกภายใต้คุณค่าโดดเด่นอันเป็นสากล ได้แก่ การรักษาความเป็นของแท้และดั้งเดิมของแหล่งวัฒนธรรม สีมาหินสมัยทวารวดี และเป็นประจักษ์พยานที่ยอดเยี่ยมของการสืบทอดของวัฒนธรรมดังกล่าวที่ต่อเนื่องอย่างยาวนานกว่าสี่ศตวรรษ โดยเชื่อมโยงเข้ากับประเพณีของวัดฝ่ายอรัญวาสีในเวลาต่อมา               กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากร ได้ประกาศยกเว้นค่าธรรมเนียมเข้าชมอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จังหวัดอุดรธานี ระหว่างวันที่ 28 กรกฎาคม – 12 สิงหาคม 2567 เพื่อให้ประชาชนคนไทยทุกคน ตลอดจนนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ร่วมเฉลิมฉลองการประกาศขึ้นทะเบียนภูพระบาทเป็นมรดกโลกในครั้งนี้ และขอแนะนำการเดินทางไปท่องเที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท บ้านติ้ว ตำบลเมืองพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ดังนี้


Messenger