ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 41,347 รายการ

ชื่อผู้แต่ง          สมพงษ์  เกรียงไกรเพชร ชื่อเรื่อง           ๑๗ สมเด็จพระสังฆราชไทย  ตอนที่ ๒ ครั้งที่พิมพ์        - สถานที่พิมพ์      กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์        แพร่พิทยา ปีที่พิมพ์          ๒๕๑๕ จำนวนหน้า      _๔๘๐  หน้า               หนังสือ ๑๗ สมเด็จพระสังฆราชไทย ประกอบด้วย พระประวัติ  งานพระอนุสรณ์และบันทึกเหตุการณ์ของสมเด็จพระสังฆราชแต่ละพระองค์  ตั้งแต่สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑ ถึงองค์ที่ ๑๗ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ งานพระราชอนุสรณ์ในด้านต่างๆ ได้แก่ งานพระนิพนธ์ พระโอวาท คำอวยพร ตลอดจนคำสั่งสอนต่างๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นคติเตือนใจ สำหรับเหตุการณ์ต่างๆ ได้แก่ การที่สมเด็จพระสังฆราช ทรงแนะนำ เผยแพร่คุณงามความดีของพุทธศาสนาให้แก่ชาวต่างประเทศจนเป็นที่ศรัทธาและเลื่อมใสหันมานับถือศาสนาพุทธ เป็นตัน พร้อมภาพประกอบ


     สารคดี ๑๑๒ ปี ไพรัชไมตรี ณ เมืองเพชรบุรี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี ตอนที่ ๖ เตรียมการรับเจ้า      รายละเอียดการรับเสด็จดยุคโยฮันอัลเบิร์ต ปรากฏอยู่ใน “กำหนดการรายเลอียด รับดุ๊กโยฮันอัลเบรกต์ผู้สำเร็จราชการบรันซวิก ร,ศ,๑๒๘”  อันเป็นเอกสารชุดหนึ่งในเอกสารของกระทรวงการต่างประเทศ เก็บรักษาอยู่ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ เอกสารดังกล่าวได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับกำหนดการตั้งแต่วันแรกที่ดยุคโยฮันอัลเบิร์ต และคณะมาถึงกรุงเทพฯ ในวันที่ ๒๖ มกราคม การรับเสด็จและกิจกรรมในแต่ละวันจนกระทั่งถึงวันสุดท้าย คือวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทรศก ๑๒๘ ตลอดจนหน้าที่ของพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหลาย เฉพาะการจัดการรับเสด็จดยุคฯ ที่เมืองเพชรบุรี ใน      “กำหนดการรายเลอียดฯ” มีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้         “...วันที่ ๓๑ มกราคม เจ้าเสด็จเมืองเพชร์บุรีโดยรถไฟพิเศษ ออกจากสถานีบางกอกน้อยในราว ๕ โมงเช้า ให้หลวงนายฤทธิ์จัดรถยนต์ ๓ หลังรับเจ้าไปส่งที่ท่าวาสุกรี แลจัดเรือยนต์ ๓ ลำรับเจ้าจากท่าวาสุกรี ไปส่งสถานีรถไฟบางกอกน้อย ให้นายพลตรีพระยาสุรเสนากับพระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียรไปส่งเจ้าจนถึงสถานีบางกอกน้อย      ก่อนเมื่อเจ้าจะเสด็จนั้น ให้พระยาบุรุษย์รัตนราชพัลลภจัดมหาดเล็กเวรศักดิ์สำหรับไปกับเจ้าที่เมืองเพชร์บุรี แลจัดการขนของเจ้าแลคนฝรั่งที่จะไปกับเจ้า กับทั้งนำบ่าวของเจ้าที่จะไปด้วยนั้นล่วงหน้าไปขึ้นรถไฟเสียก่อน ให้พระยาเวียงในนฤบาลจัดคนกรมวังนอกมีพระวิสูตรโยธามาตย์เป็นผู้ควบคุม มอบให้พระยาบุรุษย์รัตนราชพัลลภสำหรับขนของจากอุดรภาคและตำหนักราชฤทธิ์มาขึ้นรถที่หน้าพระที่นั่งอภิเศกดุสิต ให้เจ้าหมื่นไวยวรนารถจัดรถสำหรับบรรทุกของและจัดรถม้าไทยสำหรับรับบ่าวเจ้า ไปเตรียมไว้ที่หน้าพระที่นั่งอภิเศกดุสิตรับไปส่งที่ท่าถนนซางฮี้ ให้กรมทหารเรือจัดเรือกลไฟมีนายทหารกำกับไปคอยรับของแลคนที่ท่าถนนซางฮี้ จัดคนทหารเรือขนของจากรถลงเรือกลไปส่งที่สถานีรถไฟบางกอกน้อย แลขนของจากเรือไปขึ้นรถไฟด้วย ให้ฟังคำสั่งมหาดเล็กเวรศักดิ์ที่เป็นหัวหน้าไปในการนี้      ให้กระทรวงโยธาธิการจัดรถไฟพิเศษไปส่งเจ้าที่เพชร์บุรี ให้มีนายเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบให้เป็นการเรียบร้อยตลอด      ในระหว่างที่เจ้าไปเพชร์บุรีนี้ การเลี้ยงอาหารที่รถไฟแลที่หวัเมือง ให้เป็นหน้าที่กรมมหาดเล็กเวรศักดิ์จัดการตลอดไป ให้ฟังรับสั่งกรมหลวงดำรงราชานุภาพ ให้กรมหลวงดำรงราชานุภาพมีหน้าที่ดูแลจัดการตั้งแต่ออกจากสถานีบางกอกน้อยไปจนกลับกรุงเทพฯ      วันนี้รับกระเช้าอาหารกลางวันที่พระปฐมเจดีย์ สำหรับแลผู้ที่ไป พระยาราชพงษานุรักษ์ มารับที่พระปฐมเจดีย์แล้วไปด้วยในรถไฟถึงเมืองเพชร์บุรีราวเวลาบ่าย ๓ โมงเศษ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ พระยาสุรินทร์ฦๅไชย รับที่สถานี รถยนต์รับไปพระนครคีรีเสวยน้ำชาบนเขา เวลาค่ำเสวยที่พระที่นั่งเพชร์ภูมิไพโรจน์แล้วมีดอกไม้ไฟ                วันที่ ๑ กุมภาพพันธ์ เวลาเช้า ประพาศบนเขา คือไปยอดพระเจดีย์ ยอดวิหารแล้วลงวัดพระนอน แล้วไปเขาบรรไดอิฐ เที่ยวถ้ำเขาบรรไดอิฐ แล้วไปตามถนนบรรไดอิฐ ถนนบ้านหม้อ ไปเสวยกลางวันที่พลับพลาบ้านปืน แล้วกลับถนนหลังจวนมาถนนราชวิถี หยุดที่พลับพลาสนามหน้าเขามหาสวรรค์ รับราษฎร และทอดพระเนตรเล่นสรรพกีฬา เวลาค่ำเสวยบนเขา               วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ เวลาเช้า ประพาศในเมืองแล้วลงเรือถ่อที่หน้าจวนขึ้นไปเหนือน้ำ ถ้าหากว่าเลี้ยงเหนือน้ำได้ก็ให้เลี้ยงเป็นปิกนิก ถ้าขัดข้องกลับมาเสวยบ้านปืนให้รถไปรับที่บ้านปืนกลับขึ้นเขา เวลาค่ำเสวยบนเขา               วันที่ ๓ กุมภาพันธ์  เวลาสายๆ เสด็จเขาหลวง เสวยในถ้ำเขาหลวง เวลาเย็นทอดพระเนตรจุดลูกหนู เวลาค่ำเสวยบนเขา                วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ออกจากเพชร์บุรีเวลาเช้าราวโมง ๑ หยุดที่พระปฐม ขึ้นพระปฐมเจดีย์ แล้วไปโรงเรียนตำรวจภูธร เสวยที่บังกะโล แต่เมื่อลงจากพระปฐมเจดีย์นั้นถ้าเจ้าหญิงมีความเหน็ดเหนื่อยควรเลยไปบังกะโล จะเลยไปทั้งสององค์หรือองค์เดียวก่อนแล้วแต่ความประสงค์ของเจ้า บ่าย ๒ โมงเศษออกจากพระปฐมเจดีย์มากรุงเทพฯ  ให้กระทรวงโยธาธิการจัดรถไฟพิเศษมาส่งเมื่อถึงสถานีบางกอกน้อย ให้เจ้าหน้าที่ต่างๆ ตามซึ่งกล่าวมาแล้ว เมื่อขาไปนั้นจัดการรับเจ้าแลขนของมาพระราชวังดุสิตเช่นเดียวกันกับเมื่อไปนั้นทุกหน้าที่ ให้พระยา วรพงษ์พิพัฒน์คอยรับเจ้าที่สพานอุดรภาค...”      ในกำหนดการฉบับดังกล่าว ปรากฏพระนามของเจ้านายพระองค์หนึ่ง คือ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ (พระยศในขณะนั้น) ซึ่งระบุว่า “...ให้กรมหลวงดำรงราชานุภาพมีหน้าที่ดูแลจัดการตั้งแต่ออกจากสถานีบางกอกน้อยไปจนกลับกรุงเทพฯ...”  นอกจากนี้ ยังมีสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ฯ กรมขุนนครสวรรค์วรพินิต (พระยศในขณะนั้น) พระราชโอรสพระองค์หนึ่งในรัชกาลที่ ๕ ซึ่งสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยแห่งจักรวรรดิเยอรมัน ได้เป็นผู้อำนวยการรับเสด็จในคราวนี้      การจัดการรับเสด็จดยุคโยฮันอัลเบิร์ต และดัชเชสอลิสซาเบธ รอตซาลา พระชายา ที่เสด็จมาเยือนราชอาณาจักรสยามในครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้มีการรับรองอย่างสมพระเกียรติ ด้วยทรงมีพระราชปรารภว่าดยุคโยฮันอัลเบิร์ต เป็นเจ้านายเยอรมันพระองค์หนึ่ง ประกอบกับทรงรู้จักคุ้นเคยมาตั้งแต่พุทธศักราช ๒๔๒๖ โดยในคราวที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปทั้งสองคราว ดยุคโยฮันอัลเบิร์ตได้รับเสด็จและจัดการรับรองอย่างสมพระเกียรติทุกคราว ด้วยเหตุนี้ จึงเสมือนทรงตอบแทนที่ ดยุคฯ ได้ให้การรับรองพระองค์ด้วยดีในระหว่างประพาสยุโรป ดังปรากฏพระราชกระแสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในพระราชหัตถเลขาทรงมีถึงสมเด็จฯ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ฯ ความว่า “สวนดุสิต วันที่ ๑๒ ต.ค. รัตนโกสินทรศก ๑๒๘ ถึงบริพัตร      วันนี้ได้รับหนังสือโยฮันอัลเบรช บอกวันกำหนดจะถึงสิงคโปรวันที่ ๒๒ มกราคม จึงกะว่าจะถึงบางกอกราววันที่ ๒๗ เมื่อถึงสิงคโปรจะโทรเลขให้ทราบกำหนดแลชื่อเรือ... เวลานี้กำลังลงมือซ่อมอุดร พ่ออยากให้ชายมาพร้อมกับจีระแลเจ้าพระยายมราช คิดกะเสียจะให้ห้องไหนเปนห้องนอนห้องนั่งของใคร คนที่มาด้วยจะอยู่ด้วยกันในที่เดียวได้ฤๅจะต้องแยก ถ้าหากว่าจะแยกให้อยู่ใกล้ก็มีราชฤทธิเปนที่ว่าง ... สังเกตุดูโยฮันอัลเบรชคิดมาออกจะเปนยศๆ เพราะคราวก่อนแกมาอย่างเลวๆ คราวนี้เปนริเยนต์ เขารับเราก็เปนยศทั้ง ๒ คราว แต่ข้างฝ่ายวัลดิมานั้น มาอย่างเงียบแท้...อยากจะขอให้คิดกันกับจีระถึงรูปแห่งการรับรองเปนเค้าเงื่อนทั้ง ๒ ราย ก่อนที่จะให้กรมหลวงนริศรคิดต่อไป ขอให้พร้อมกันช่วยคิดอ่านสักหน่อย สยามินทร์”       มีหลักฐานว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้คัดเลือกนายทหาร ซึ่งสำเร็จการศึกษาจากประเทศเยอรมนีโดยเฉพาะ ให้เป็นราชองครักษ์ประจำพระองค์ดยุคฯ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ นายพันตรี หลวงภูวนารถนฤบาล (ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา ภายหลังเป็น พลเอกพระยาเทพหัสดิน) นายพันตรี หลวงจัตุรงควิไชย (เตี้ยม ภายหลังเป็น พลตรีพระยาสุรวงศ์วิวัฒน์) และว่าที่นายร้อยเอก นายจำรัส (ภายหลังเป็น พลตรีพระยาอานุภาพไตรภพ) เป็นราชองครักษ์พิเศษ มาตั้งแต่ปลายปี ๒๔๕๑ และเมื่อดยุคโยฮันอัลเบิร์ตและพระชายาเสด็จถึงกรุงเทพฯ โปรดเกล้าฯ ให้ นายพันโท หลวงจัตุรงควิไชย (เตี้ยม) และ นายร้อยเอก หลวงอภิบาลภูวนารถ ประจำพระองค์ดยุค และโปรดเกล้าฯ ให้ อุ๊น ภรรยาพระยามหิบาลบริรักษ์ (ภายหลังเป็นคุณหญิงมหิบาลบริรักษ์)  ประจำพระองค์ดัชเชสอลิสซาเบธฯ พระชายา       ก่อนการเสด็จมาสยามของดยุคโยฮันอัลเบิร์ต ในปลายเดือนมกราคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๘ (พุทธศักราช ๒๔๕๒) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้มีการเตรียมการรับเสด็จทั้งในกรุงเทพฯ อยุธยา และเพชรบุรี เฉพาะที่เมืองเพชรุบรีนั้น ในช่วงปลายปีนั้น พระองค์เสด็จประพาสเมืองเพชรบุรีถึง ๓ ครั้ง คือครั้งแรกต้นเดือนกันยายน คราวเสด็จประพาสต้นมณฑลราชบุรี ครั้งที่สองภายหลังจากที่พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอุรุพงษ์รัชสมโภชสิ้นพระชนม์ในปลายเดือนกันยายน และครั้งที่สามในต้นเดือนธันวาคม  โดยในการสด็จพระราชดำเนินครั้งที่สามนี้ ทอดพระเนตรการปรับปรุงสถานที่รับเสด็จดยุคฯ นั่นคือ พระราชวังพระนครคีรี บนเขามหาสวรรค์ ปรากฏในพระราชหัตถเลขาทรงมีถึงเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ความว่า  “บ้านปืน เพ็ชรบุรี      วันที่ ๖ ธันวาคม ร.ศ.๑๒๘       เจ้าพระยายมราช       ได้รับหนังสือวันที่ ๕ การที่รีบทำในเวลาเสด็จไม่อยู่นั้นดี แต่มีความเสียใจที่จะบอกข่าวว่าปรินซวัลดิมาร์นั้นเลิก เพราะเหตุที่ปรินเซสมารีตาย กลับเพียงคอลัมดบ เมื่อได้รับดทรเลขอยู่ข้างจะเป้นที่เศร้าสลดใจเป็นอันมาก... แต่ถึงได้ข่าวดังนี้ไม่ได้หยุดหย่อนในการที่จะตระเตรียมทั้งปวง เพราะเหตุที่โยฮันอัลเบรชคงมาแน่ การเพ็ชรบุรีอยู่ข้างจะประดักประเดิดยิ่งกว่าในบางกอกมาก เพราะเป็นที่ซึ่งจัดรับฝรั่งขึ้นใหม่ ในที่ซึ่งไม่ได้สร้างไว้สำหรับเป็นฝรั่งเลย ...มีความเสียใจที่ต้องให้รื้อบรรดาสิ่งซึ่งทำไว้ทั้งหมดไม่มีเหลือเลย ตู้เก่าที่ไปเปิดออกก้ต้องให้กลับกั้นเข้าอย่างเดิม เลยเป็นไม่ได้ทำอะไรนั่งเขียนแผนที่จนค่ำก็กลับ บนเขาหนาวเต็มทีเป็นหวัดไป... สยามินทร์”       นอกจากเอกสารจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติแล้ว ยังมีบันทึกคำบอกเล่าของบุคคลในเอกสารอื่นๆ ที่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการรับเสด็จดยุคโยฮันอัลเบิร์ต ผู้สำเร็จราชการบรันซวิก อาทิ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งในขณะนั้น ดำรงพระยศ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้ทรงกล่าวถึงเหตุการณ์ในครั้งนี้ ปรากฏในลายพระหัตถ์มีถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ   เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ความว่า         “... เมื่อตอนปลาย รัชชกาลที่ ๕ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงโปรดฯ ให้หม่อมฉันซ่อมพระนครคิรีรับดุ๊กโยฮันอันเบรท ได้ซ่อมถึงพระที่นั่งเวไชยันต์วิเชียรปราสาทด้วย...”          สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ยังโปรดให้พระธิดาตามเสด็จไปในคราวนี้ ได้แก่หม่อมเจ้าจงจิตรถนอม ดิศกุล พระธิดาองค์ใหญ่และหม่อมเจ้าพูนพิศมัย  ดิศกุล โดยหม่อมเจ้าจงจิตรถนอมได้ทรงเล่าถึงเหตุการณ์ในครั้งนี้ว่า                “...เสด็จพ่อล่วงหน้าไปคอยรับเจ้าที่เมืองเพชรบุรี มีข้าพเจ้าแลหญิงพูนพิศมัย พระองค์เจ้าจรูญศักดิ์กฤดากร สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงจัดข้าหลวงส่งไปด้วย ๔ คน นายนากเป็นผู้ใหญ่ควบคุมไป เพื่อทำหน้าที่จัดห้องบรรทมดุ๊กแลดัสเชสส์ ส่วนพระองค์เจ้าจรูญศักดิ์กฤดากรทรงดูแลอาหารฝรั่งเลี้ยงเจ้า ข้าพเจ้าต้องดูแลจัดดอกไม้โต๊ะ แลทำดอกไม้เป็นบุหงาถวายดัสเชสส์ทุกวันๆ ระหว่างที่อยู่เมืองเพชรบุรี ข้าพเจ้าได้อาศรัยคุณข้าหลวงของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ๔ คนช่วยในการจัดทำดอกไม้ ข้าพเจ้ามีช่างดอกๆไม้ไปด้วย ๒ คน ที่เคยอยู่เป็นข้าหลวงของสมเด็จพระปิตุจฉา คือนางนารถแลนางลูกตาล ต้องขึ้นไปอยู่บนเขาวังที่สันถาคาร สถาน ดุ๊กแลดัสเชสส์ประทับที่พระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ การรับรองเป็นหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย ต้องจัดตั้งโรงครัวบนเขาวังเวลาจะขึ้นลงทีต้องมีพวกเด็กชาคอยหามกันทุกๆ วัน ตอนนี้ข้าพเจ้าต้องพบกับดุ๊กแลดัสเชสส์ทุกวันเวลาเสยกลางคืนเสด็จพ่อทรงจัดสมุหเทศา เจ้าเมืองในมณฑลราชบุรีผลัดกันมาร่วมโต๊ะเสวยพร้อมกับดุ๊กแลดัสเชสส์  พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสมรรัตนสิริเชษฐ์ได้ทรงจัดดอกไม้แบบโบราณ เช่น ระย้า ๒ ชั้น แลชั้นเดียวส่งจากกรุงเทพฯ ไปแขวนบนพระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์...”      พระยาประชากิจกรจักร (ชุบ  โอสถานนท์) ขณะมีบรรดาศักดิ์ที่ พระยาราชพินิจจัย เลขานุการประจำองค์เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย  เป็นผู้หนึ่งที่ได้ตามเสด็จไปจัดการรับรองดยุคฯ ที่เมืองเพชรบุรี ได้บันทึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า               “...โปรดเกล้าให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยเตรียมการรับเสด็จ ซึ่งจะประพาสเมืองเพ็ชรบุรี เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยมีรับสั่งให้จัดการขนเอาเครื่องเรือนออกไปตกแต่งพระที่นั่งเพ็ชรภูมิไพโรจน์บนพระนครคีรี เป็นที่สำหรับเจ้าพัก และจัดห้องสำหรับบริพารเจ้าพักที่ราชธรรมสภา ในงานนี้ได้ทำการติดต่อร่วมมือกับผู้ว่าราชการเมืองและกรมการเมืองเพ็ชรบุรีเรียบร้อยแล้ว ได้เข้ามารายงานให้เสนาบดีทรงทราบ แล้วตามเสด็จเสนาบดีล่วงหน้าออกไปคอยรับเจ้าซึ่งออกจากกรุงเทพฯ โดยขบวนรถไฟ วันที่ ๓๑ มกราคม ร.ศ.๑๒๘ ประพาสเมืองเพ็ชรบุรี และประจำหน้าที่เลขานุการเสนาบดีรับใช้เสนาบดีที่บนพระนครคีรี จนวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ เจ้าเสด็จกลับกรุงเทพฯ โดยขบวนรถไฟจากเมืองเพ็ชรบุรี...”      ยังมีบันทึกว่า ในคราวรับเสด็จดยุคโยฮันอัลเบิร์ตที่เมืองเพชรบุรีนี้ กรมไปรษณีย์โทรเลข มีการวางสายโทรศัพท์ชั่วคราวจากพระราชวังบนเขามหาสวรรค์ ถึงบริเวณเชิงเขา เพื่ออำนวยความสะดวกในการรับรองด้วย โดยมีนายฉัตร บุณยสุขานนท์ (ในเวลาต่อได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์สูงสุดที่ พระอำนวยสัณหนิติ์)  ผู้ทำหน้าที่แทนสารวัตรไปรษณีย์โทรเลขมณฑลราชบุรีและนครไชยศรี เป็นผู้อำนวยการ  ภาพ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ุฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต พระราชโอรสลำดับที่ ๓๓ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่ สมเด็จพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี ในรัชกาลที่ ๕ ขณะทรงดำรงพระยศที่ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนครสวรรค์วรพินิต ทรงเป็นผู้อำนวยการรับเสด็จดยุคโยฮันอัลเบิร์ตและพระชายาในรัตนโกสินทรศก ๑๒๘


ชื่อเรื่อง                               เจตนาเภทา(เจตนาเภทา) สพ.บ.                                  403/2ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           50 หน้า กว้าง 5 ซ.ม. ยาว 57 ซ.ม. หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           ชาดก                                           เทศน์มหาชาติ                                           คาถาพัน บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พันเอก นพ ถีติปริวัตร์ ณ ฌาปนสถานกองทัพบก วัดโสมนัสวิหาร ๑๖ ธันวาคม ๒๕๐๖ 



          กรมศิลปากร ขอเชิญรับชมถ่ายทอดสด Facebook Live รายการไขความรู้จากครูกรมศิลป์ ตอน “ตามรอยพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จเมืองจันทบุรี” วิทยากรโดย นางสุมลฑริกาญจณ์ มายะรังษี หัวหน้าหอจดหมายเหตุแห่งชาติ จันทบุรี ดำเนินรายการโดย นางกมลชนก พรภาสกร นักวิชาการโสตทัศนศึกษา กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๑.๐๐ – ๑๑.๔๕ น.           ผู้สนใจสามารถติดตามชมได้ทาง Facebook Live : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม Facebook Live : กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร และ Youtube Live : กรมศิลปากร




ชื่อเรื่อง                                 สิริมหามายา (สีมหามายา) สพ.บ.                                   288/6ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           54 หน้า กว้าง 4.5 ซ.ม. ยาว 55.6 ซ.ม. หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           สิริมหามายา บทคัดย่อ/บันทึก         เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดบ้านหมี่ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


ชื่อเรื่อง                                อุณฺหิสวิชย (อุณณหิสสวิไช) สพ.บ.                                  334/1ชประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           68 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 54 ซม.หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                          บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ  ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


จะนะสมัยรัตนโกสินทร์ (รัชกาลที่ ๑-๕)             ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ เมืองจะนะยังคงตั้งอยู่ที่บ้านท่าใหญ่ โดยมีนายเณรหรืออินทร์น้องชายพระยาพัทลุง(ขุน) พระอนันต์สมบัติ(บุญเฮี้ยว ณ สงขลา) พระมหานุภาพปราบสงคราม(ทิดเพชร) และพระมหานุภาพปราบสงคราม(เค่ง) ปกครองเมืองจะนะสืบเนื่องต่อกันมา และในสมัยที่พระมหานุภาพปราบสงคราม(เค่ง) เป็นเจ้าเมืองจะนะแล้วระยะหนึ่งจึงได้ย้ายเมืองจะนะไปตั้งใหม่ที่ปลักจะนะ              ต่อมาเมืองจะนะที่ปลักจะนะ ถูกเผาทำลายเมื่อคราวสงครามสยาม-ไทรบุรีในพ.ศ.๒๓๘๑ พระมหานุภาพปราบสงคราม(บัวแก้ว) จึงฟื้นฟูขึ้นใหม่โดยตั้งอยู่ที่ตำบลคลองเปียะ (บริเวณบ้านในเมือง) และต่อมาได้ย้ายเมืองอีกครั้งมาตั้งที่ตำบลจะโหนง (บริเวณบ้านในวัง) จนถึงพ.ศ. ๒๔๒๒ หลวงพิทักษ์สงคราม(ปลอด ถิ่นขะนะ) ปลัดเมืองจะนะ ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองจะนะ รับพระราชทานราชทินนามตามอย่างเจ้าเมืองจะนะคนก่อนที่ "พระมหานุภาพปราบสงคราม" และได้ว่าราชการอยู่ที่บ้านจะโหนงไปจนถึง พ.ศ.๒๔๓๙ ซึ่งในปีนั้นมีการปรับปรุงรูปแบบการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาล จึงมีการปรับเปลี่ยนฐานะของเมืองจะนะจากเมืองขึ้นของเมืองสงขลามาเป็นส่วนหนึ่งของเมืองสงขลา การปกครองเมืองจะนะในระบบเจ้าเมืองจึงสิ้นสุดลง เมืองจะนะที่บ้านท่าใหญ่  เป็นเมืองจะนะที่ตั้งขึ้นมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี และอยู่อาศัยต่อเนื่องมาจนถึงราวสมัยรัชกาลที่ ๓ ตัวเมืองตั้งอยู่บ้านท่าใหญ่ทางฝั่งตะวันตกของคลองนาทวี ซึ่งปัจจุบันคือพื้นที่ในเขตเทศบาลตำบลนาทวี อำเภอนาทวี และได้ตั้งวังเจ้าเมืองในบริเวณที่ตั้งของวัดในวังในปัจจุบัน มีเจ้าเมืองปกครองสืบเนื่องมาคือ นายเณรหรืออินทร์น้องชายพระยาพัทลุง(ขุน) พระอนันต์สมบัติ(บุญเฮี้ยว ณ สงขลา) พระมหานุภาพปราบสงคราม(ทิดเพชร) และพระมหานุภาพปราบสงคราม(เค่ง) เมืองจะนะที่ปลักจะนะ  พระมหานุภาพปราบสงคราม(เค่ง) ได้ย้ายเมืองจะนะจากท่าใหญ่มายัง "ปลักจะนะ" แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าย้ายเมืองในปีใด โดยในอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ไทยฉบับราชบัณฑิตยสถานเล่ม ๔ ให้รายละเอียดว่าปลักจะนะคือชื่อเดิมของตำบลบ้านนา อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา แต่ที่ตั้งวังเจ้าเมืองจะอยู่ในบริเวณไหนนั้นไม่ปรากฏหลักฐานหลงเหลือให้เห็นแล้ว ทั้งนี้เจ้าเมืองจะนะเมื่อครั้งตั้งเมืองที่ปลักจะนะก็คือพระมหานุภาพปราบสงคราม(เค่ง) และพระมหานุภาพปราบสงคราม(บัวแก้ว)   เมืองจะนะที่ตำบลคลองเปียะ  เมื่อเมืองจะนะที่ปลักจะนะถูกทำลายในสงครามสยาม-ไทรบุรี พ.ศ.๒๓๘๑ พระมหานุภาพปราบสงคราม(บัวแก้ว) ได้ย้ายไปตั้งเมืองใหม่ที่บ้านในเมือง ซึ่งปัจจุบันคือบริเวณพื้นที่หมู่ที่ ๕ บ้านในเมือง ตำบลคลองเปียะ อำเภอจะนะ เล่ากันว่าแต่เดิมพื้นที่บริเวณนี้เรียกว่า "บ้านนายเมือง" โดยที่อยู่ของนายเมืองนั้นเรียกว่า "สายค่าย" ซึ่งมีที่ตั้งอยู่บริเวณถนนพาดกับทางรถไฟสายใต้ โดยในปัจจุบันยังคงปรากฏร่องรอยของของแนวคันดินซึ่งอาจใช้เป็นกำแพงเมืองด้านตะวันออก บริเวณริมคลองเฉียงพร้า และบริเวณริมทางรถไฟสายใต้ เมืองจะนะที่ตำบลจะโหนง  พระมหานุภาพปราบสงคราม(บัวแก้ว) ได้ย้ายเมืองจะนะไปตั้งที่ตำบลจะโหนง โดยไม่ปรากฏว่ามีการย้ายเมืองด้วยเหตุผลใด และต่อมาพระมหานุภาพปราบสงคราม(ปลอด ถิ่นจะนะ) ได้ปกครองเมืองจะนะที่ตำบลจะโหนงสืบต่อมาจนสิ้นสุดระบบเจ้าเมืองในพ.ศ.๒๔๓๙ ในปัจจุบันที่ตั้งเมืองจะนะที่ตำบลจะโหนงตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่หมู่ที่ ๗ บ้านในวัง ตำบลจะโหนง อำเภอจะนะ ร่องรอยหลักฐานที่ปรากฏอยู่ได้แก่  ๑.วังเจ้าเมืองจะนะ ตั้งอยู่ริมคลองจะโหนงฝั่งเหนือ มีพื้นที่กว้างใหญ่เล่ากันว่าแต่เดิมมีแนวคันดินล้อมรอบ และมีการปลูกต้นไผ่บนคันดินไปตลอดแนว ปัจจุบันพื้นที่ทั้งหมดได้เปลี่ยนสภาพเป็นสวนยางพาราไปแล้ว  ๒.ทุ่งเมรุ หรือที่เรียกในภาษาใต้ว่า "ท่องเมรุ" ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของวังเจ้าเมืองจะนะ กล่าวกันว่าพื้นที่ส่วนนี้เคยใช้เป็นลานประหารนักโทษ และยังเป็นสถานที่ตั้งเมรุเผาศพพระมหานุภาพปราบสงคราม (ปลอด ถิ่นจะนะ) ด้วย สภาพในปัจจุบันพื้นที่ส่วนนี้ได้ถูกไถปรับเพื่อใช้ปลูกพืช จากการสำรวจผิวดินพบเศษภาชนะดินเผาเนื้อดิน เศษภาชนะดินเผาเนื้อแกร่ง รวมทั้งเศษเครื่องด้วยจีน   ๓.ที่อาบน้ำช้างของเจ้าเมือง ตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของวังเจ้าเมืองใกล้กันกับทุ่งเมรุกล่าวกันว่าในอดีตมีสภาพเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ และใช้เป็นสถานที่อาบน้ำช้างของเจ้าเมือง แต่ในปัจจุบันมีสภาพเป็นแอ่งน้ำขนาดเล็กริมถนนคอนกรีต โดยมีขนาดกว้าง ๗.๕ เมตร ยาว ๗.๕ เมตร ลึกประมาณ ๑ เมตร และมีการตั้งศาลไว้ข้างหนองน้ำนั้น ๑ แห่ง  ๔.ในเมรุ ตั้งอยู่ริมคลองวัดโคกทรายภายในวัดโคกทราย กล่าวกันว่าพื้นที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งบัวบรรจุอัฐิบุคคลสำคัญของเมืองจะนะ นั่นคือพระมหานุภาพปราบสงคราม(ปลอด ถิ่นจะนะ) เจ้าเมืองจะนะคนสุดท้าย และท่านแก่พื้นลานด้านตะวันออกของบัวทั้งสองนั้น ในอดีตใช้เป็นสถานที่ฌาปนกิจศพสำหรับพระสงฆ์สำคัญและผู้เฒ่าผู้แก่สูงอายุ สำหรับคนทั่วไปจะไปทำการฌาปนกิจที่บริเวณป่าช้าต้นขามติดกับคลองจะโหนงฝั่งทิศใต้ ห่างจากพื้นที่ในเมรุไปทางทิศเหนือประมาณ ๖๐๐ เมตร   ๕.เหมืองสามคด ตั้งอยู่ห่างจากวังเจ้าเมืองจะนะและทุ่งเมรุไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ กล่าวกันว่าเดิมเป็นทำนบซึ่งอยู่ในความดูแลของเจ้าเมือง โดยทำนบนี้มีขนาดใหญ่และลึก สร้างขึ้นเพื่อทดน้ำสำหรับแจกจ่ายไปตามเหมืองน้ำในเส้นทางต่างๆเพื่อใช้ในการเพาะปลูกของประชาชน ในปัจจุบันทำนบแห่งนี้ได้ถูกปรับปรุงในพ.ศ.๒๕๔๙ โดยจัดสร้างเป็นโครงการชลประทานขนาดเล็กในชื่อฝายบ้านจะโหนงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งประกอบด้วยตัวฝายและระบบคลองส่งน้ำยาว ๒,๒๕๐ เมตร ...................................................................................................................................... เรียบเรียงข้อมูลและกราฟฟิคโดย นายสารัท ชลอสันติสกุล นักโบราณคดีชำนาญการ  กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา



สตฺตปฺปกรณาภิธมฺมเทศนา (เทศนาสังคิณี-มหาปัฎฐาน)  ชบ.บ.46/1-2ก  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


มงฺคลตฺถทีปนี (มงฺคลตฺถทีปนี เผด็จมงคลสูตร)  ชบ.บ.88ข/1-24  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


เลขทะเบียน : นพ.บ.352/9ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 24 หน้า ; 5 x 52 ซ.ม. : รักทึบ-ล่องชาด-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 135  (378-387) ผูก 9 (2565)หัวเรื่อง : มหานิปาตวณณนา เวสฺสนฺตรชาตก )ชาตกฏฐกถา ขุทฺทกนิกายฐกถา (ทานขันธ์)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


Messenger