ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,796 รายการ

ภูมิพิชญ์ สุชาวรรณ.  พืชสมุนไพรใช้เป็นยา 2.  กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ทิพยวิสุทธ , 64 หน้า.  ภาพประกอบ.  150 บาท           หนังสือรวบรวมภาพสมุนไพรไทยกว่า 62 รายชื่อ จำพวก พืชผักสวนครัว พืชเศรษฐกิจ พืชล้มลุก หญ้า  ไม้ดอก    มีทั้งหมด 8 เล่ม ในเล่ม 2 นี้  สมุนไพรแต่ละชนิด ให้ข้อมูลประกอบด้วย ชื่อสามัญ ชื่อพฤกษศาตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่นๆ ลักษณะทั่วไป การขายพันธุ์ และประโยชน์ทางสมุนไพร เช่น กระทือ กะเม็ง ขี้เหล็ก           อ         582.12         ภ672พ         ล.2           ห้องค้นคว้า         มี.ค.68


พุทธวจนสถาบัน. พุทธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถูกปิด ฉบับ ๑๑ ภพภูมิ. ปทุมธานี: มูลนิธิพุทธโฆษณ์, ๒๕๖๕. ๕๑๗ หน้า. ภาพประกอบ.   ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะได้ทรงเห็นและ ทรงแสดงภพภูมิต่างๆ ให้เราได้ทราบแล้ว ฉะนั้นแผนภูมิชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร! เราสามารถกำหนดได้หรือไม่? หาคำตอบจากหนังสือ พุทธวจน ฉบับ ภพภูมิ เล่มนี้ เพราะเหตุว่า สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น เบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้น ย่อมไม่ปรากฏ สัตว์เหล่านั้นได้เสวยความทุกข์ ความเผ็ด ร้อน ความพินาศ ได้เพิ่มพูนปฐพีที่เป็นป่าช้าตลอดกาล นานเหมือนอย่างนั้น น้ำตา ที่เราเคยหลั่งไหล น้ำ นม ที่เราเคยได้ดื่ม เลือด ที่เราเคยสูญเสีย เปรียบกับน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ แล้ว ไม่มากกว่าเลย ด้วยเหตุว่าสังสารวัฏนั้น กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ท่องเที่ยวไปมาอยู่ เพียงพอหรือยังที่เราทั้งหลายจะบอกตนเองว่า ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ก็พอแล้วเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขาร ทั้งหลาย พอแล้วเพื่อจะคลายกำหนัด พอแล้วเพื่อจะหลุด พ้นจากสังขารทั้งปวงนี้   ห้องทั่วไป ๑ ๒๙๔.๓๑๕ พ๘๓๕พ


ภูมิพิชญ์ สุชาวรรณ.พืชสมุนไพรใช้เป็นยา 3.  กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ทิพยวิสุทธ, 64 หน้า.  ภาพประกอบ.  150 บาท           หนังสือรวบรวมภาพสมุนไพรไทยกว่า 62 รายชื่อ จำพวกพืชผักสวนครัว  ไม้ผล   มีทั้งหมด 8 เล่ม ในเล่ม 3 นี้ ให้ข้อมูลสมุนไพรแต่ละชนิดประกอบด้วย  ชื่อสามัญ ชื่อพฤกษศาตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่นๆ ลักษณะทั่วไป การขายพันธุ์ และประโยชน์ทางสมุนไพร เช่น กระเจี๊ยบแดง กะเพรา ขิง           อ         582.12         ภ672พ         ล.3               ห้องค้นคว้า         มี.ค.68          


พุทธวจนสถาบัน. พุทธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถูกปิด ฉบับ ๑๒ เดรัจฉานวิชา. ปทุมธานี: มูลนิธิพุทธโฆษณ์, ๒๕๖๓. ๒๑๑ หน้า. ภาพประกอบ.   พุทธวจน ฉบับ “เดรัจฉานวิชา” เป็นการรวบรวม รูปแบบต่างๆ ของการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยเดรัจฉานวิชา ทั้งหมดตามที่ศาสดาบัญญัติอันเป็นกิจเลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ พร้อมทั้งที่มาที่ไป ของประเพณี ข้อวัตรปฏิบัติ ค าสวด ผิดจากที่พระองค์ตรัสไว้ อันเกิดจากคำแต่งใหม่ที่มิใช่ของตถาคตอรหันตสัมมา สัมพุทธะ เป็นการทำมหาชนให้เสื่อมเสีย ทำมหาชนให้ หมดสุข เป็นความพินาศแก่มหาชนเป็นอันมาก เพื่อทำพุทธบริษัททั้งสี่ ผู้ที่มีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่งในศาสดาแห่งตน ได้ทราบความจริงว่า แบบแห่งการปฏิบัติอันประเสริฐ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง พร้อมทั้งอรรถะ พร้อมทั้งพยัญชนะ ที่สัมมาสัมพุทธะ ทรงประกาศไว้ เพื่อสาวกตถาคต ผู้ปรารถนาความบริสุทธิ์ จะได้ ละ เลิก เว้นขาด ในข้อปฏิบัติ อันไม่เป็นธรรมไม่เป็นวินัย ในศาสนาของพระศาสดา และเพื่อให้ค้นพบทางออก ด้วย ข้อปฏิบัติ ตามบัญญัติของตถาคตที่ได้รวบรวม นำมาบรรจุ ไว้ในเล่มนี้ด้วย ดังที่พระองค์ได้กล่าวไว้ว่าสาวกทั้งหลายของ พระองค์ ย่อมไม่ก้าวล่วงสิกขาบทใดๆ แม้จะต้องเสียชีวิต เป็นผู้อดทนยอมรับฟังค าสั่งสอนโดยเคารพ เป็นผู้ที่มี ลักษณะแห่งศรัทธาของผู้มีศรัทธา เป็นผู้ทำมหาชนให้ได้รับ ประโยชน์ ทำมหาชนให้ได้รับความสุข เป็นไปเพื่อความเจริญ แก่มหาชน และเป็นไปเพื่อความเกื้อกูล เพื่อความสุขทั้งแก่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เพื่อจะทำซึ่งที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ ด้วยการปฏิบัติตามสิ่งที่พระศาสดาบัญญัติ อันเป็นไปพร้อม เพื่อนิพพาน.   ห้องทั่วไป ๑ ๒๙๔.๓๑๕ พ๘๓๕พ



พุทธวจนสถาบัน. พุทธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถูกปิด ฉบับ ๑๐ สาธยายธรรม. ปทุมธานี: มูลนิธิพุทธโฆษณ์, ๒๕๖๒. ๑๐๗ หน้า. ภาพประกอบ.   ประโยชน์ของการสาธยายธรรม ๑. เพื่อความตั้งมั่นของพระสัทธรรม (หนึ่งในเหตุห้าประการเพื่อความตั้งมั่นของพระสัทธรรม) ๒. เป็นเครื่องให้ถึงวิมุตติ (หนึ่งในธรรมให้ถึงวิมุตติห้าประการ) ๓. เป็นอาหารของความเป็นพหูสูต ๔. เป็นองค์ประกอบของการเป็นบริษัทที่เลิศ ๕. ทำให้ไม่เป็นมลทิน ๖. เป็นบริขารของจิตเพื่อความไม่มีเวรไม่เบียดเบียน (หนึ่งในห้าบริขารของจิต) ๗. เป็นเหตุให้ละความง่วงได้ (หนึ่งในแปดวิธีละความง่วง) ๗ วิธีการสาธยายธรรมให้แจ่มแจ้งได้นาน ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ถูกเหนี่ยวรั้ง ย่อมรู้ย่อมเห็นอุบายเป็นเครื่องสลัด ออกซึ่งนิวรณ์ทั้งห้า (กามราคะ, พยาบาท, ถีนมิทธะ, อุทธัจจกุกกุจจะ, วิจิกิจฉา) ทำให้รู้เห็นประโยชน์ตามที่เป็นจริง   ห้องทั่วไป ๑ ๒๙๔.๓๑๕ พ๘๓๕พ


ภูมิพิชญ์ สุชาวรรณ.  พืชสมุนไพรใช้เป็นยา 4.  กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ทิพยวิสุทธ , 64 หน้า.  ภาพประกอบ.  150 บาท           หนังสือรวบรวมสมุนไพรไทยกว่า 62 รายชื่อ จำพวก พืชผักสวนครัว พืชเศรษฐกิจ ไม้ยืนต้น ไม้ดอก ไม้ผล   มีทั้งหมด 8 เล่ม ในเล่ม 4 นี้ สมุนไพรแต่ละชนิดให้ข้อมูลประกอบด้วย ชื่อสมุนไพร ชื่อสามัญ ชื่อพฤกษศาตร์ ชื่อวงศ์ ชื่ออื่นๆ ลักษณะทั่วไป การขายพันธุ์ และประโยชน์ทางสมุนไพร เช่น กล้วยน้ำว้า กรรณิการ์ แก้ว           อ         582.12         ภ672พ         ล.4           ห้องค้นคว้า          มี.ค.68            





สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา ขอแสดงความยินดีกับ นายภาณุวัฒน์ เอื้อสามาลย์ ตำแหน่งหัวหน้าอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย และนายนุกูล ดงสันเทียะ ตำแหน่งนายช่างโยธาชำนาญงาน ข้าราชการพลเรือนสังกัดสำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา ซึ่งได้รับการคัดเลือกเป็นผู้ปฎิบัติงานดีเด่นในสังกัดกรมศิลปากร ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๘ เนื่องในโอกาส ๑๑๔ ปี แห่งการสถาปนากรมศิลปากร ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๘ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร



จากแผ่นจารึกในแผ่นศิลา เรื่องมหาสงกรานต์ กล่าวถึงเรื่องราวของเศรษฐีคนหนึ่งผู้มีสมบัติมากมายแต่ไม่มีบุตร อยู่บริเวณใกล้บ้านกับนักเลงสุราที่มีบุตรสองคน มักกล่าววาจาเยาะเย้ยดูแคลนด้วยคำหยาบคาย ดูหมิ่นในทำนองว่าถึงจะรวยอย่างไรแต่ก็ไม่มีบุตรสืบสกุลตายไป สมบัติก็สูญเปล่า หลังจากนั้นเศรษฐีรู้สึกเสียหน้าจึงได้บวงสรวงพระจันทร์และพระอาทิตย์ ตั้งจิตอธิษฐานเมื่อเวลาผ่านไปสามปีก็ยังไร้วี่แววที่จะมีบุตร ต่อมาพอถึงช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษในวันสงกรานต์หรือวันปีใหม่ของชาวชมพูทวีป เศรษฐีได้พาบริวารไปอธิษฐานขอบุตรตรงต้นไทรริมฝั่งน้ำ และได้เอาข้าวสารลงล้างในน้ำเจ็ดครั้ง แล้วหุงข้าวบูชาอธิษฐานขอบุตรกับรุกขเทวดาในต้นไทรตลอดจนบวงสรวงด้วยดนตรีประโคม ซึ่งรุกขเทวดาเกิดความเมตตาได้เห็นใจเศรษฐี จึงไปขอเข้าเฝ้าพระอินทร์ ท่านจึงเมตตาประทาน “ธรรมบาลเทวบุตร” ลงมาปฏิสนธิในครรภ์ภรรยาเศรษฐี เมื่อคลอดจึงชื่อว่า “ธรรมบาลกุมาร” พร้อมได้ปลูกปราสาท ๗ ชั้น ไว้ใต้ต้นไทรให้กุมารนี้อยู่อาศัย เมื่อธรรมบาลกุมารโตขึ้น ก็ได้เรียนรู้ภาษานก และเรียนไตรเภท ซึ่งเป็นคัมภีร์แสดงลัทธิไสยศาสตร์ดั้งเดิมของพราหมณ์ ได้แก่ ฤคเวท ยชุรเวท และสามเวท จบเมื่ออายุเพียง ๗ ขวบ ต่อมา เป็นอาจารย์ด้านมงคลการแก่มนุษย์ทั้งปวง ในขณะเดียวกันนั้นทำให้ท้าวกบิลพรหม เป็นผู้ทำหน้าที่แสดงในเรื่องของมงคลการทั้งปวงแก่มนุษย์อยู่ก่อนแล้ว จึงเกิดความไม่พอใจลงมาท้าธรรมบาลกุมารให้ตอบปริศนาสามข้อ โดยมีข้อแม้ว่าหากธรรมบาลกุมารตอบได้ให้ตัดศีรษะท้าวกบิลพรหมเสีย แต่หากตอบไม่ได้ธรรมบาลกุมารก็จะโดนตัดศีรษะเช่นกัน โดยปริศนาดังกล่าวมีอยู่ว่า           ข้อที่ ๑ เช้า ราศีอยู่ที่ใด           ข้อที่ ๒ เที่ยง ราศีอยู่ที่ใด           และ ข้อที่ ๓ ค่ำ ราศีอยู่ที่ใด ถ้าธรรมบาลกุมารตอบได้ก็จะตัดเศียรบูชา แต่ถ้าตอบไม่ได้จะตัดศีรษะธรรมบาลกุมารเสีย ท้าวกบิลพรหมถามธรรมบาลกุมารว่า ทำให้ธรรมบาลกุมารขอผลัดกับท้าวกบิลพรหมเป็นเวลา ๗ วัน ธรรมบาลกุมารก็พยายามคิดค้นหาคำตอบตลอดระยะเวลา ๖ วัน ปรากฏว่าเวลาล่วงถึงวันที่ ๖ ก็ยังคิดหาคำตอบไม่ได้ จึงคิดจะหลบหนี จากนั้นก็ออกไปนอกปราสาท ระหว่างทางได้พักนอนอยู่ใต้ต้นตาล และคิดในใจว่าขอตายในที่ลับยังดีกว่าไปตายด้วยอาญาท้าวกบิลพรหม ขณะนั้นได้ยินเสียงนกอินทรีสองผัวเมียเกาะทำรังอยู่ และได้ยินนกอินทรีคุยกัน โดยที่นางนกอินทรีถามสามีว่าพรุ่งนี้เราจะไปหาอาหารแห่งใด สามีตอบนางนกว่าเราจะไปกินศพธรรมบาลกุมาร เพราะตอบปริศนาไม่ได้ เป็นเหตุให้ท้าวกบิลพรหมจะฆ่าเสีย แล้วนางนกอินทรีคำตอบคืออะไรเพราะนางนกอินทรีก็ไม่รู้คำตอบเหมือนกัน ฝ่ายสามีนกอินทรีเฉลยว่า ข้อที่ ๑ ตอนเช้า ราศีอยู่ที่หน้า มนุษย์จึงเอาน้ำล้างหน้าทุก ๆ เช้า ข้อที่ ๒ ตอนเที่ยง ราศีอยู่ที่อก มนุษย์จึงเอาเครื่องหอมประพรมที่อก ข้อที่ ๓ ตอนค่ำ ราศีอยู่ที่เท้า มนุษย์จึงเอาน้ำล้างเท้าก่อนเข้านอน ธรรมบาลกุมารได้ยินและสามารถเรียนรู้ภาษานกและเรียนไตรเพทได้เป็นอย่างดี จึงสามารถตอบปริศนาได้ เมื่อครบ ๗ วัน ท้าวกบิลพรหมมาตามสัญญา ธรรมบาลกุมารจึงตอบคำถามกับท้าวกบิลพรหมและสามารถตอบคำถามได้ ทำให้ท้าวกบิลพรหม จึงต้องตัดศีรษะ บูชาธรรมบาลกุมาร แต่ก่อนจะตัดศีรษะ ท้าวกบิลพรหมตรัสเรียกธิดาทั้ง ๗ อันเป็นบาทบาจาริกา (แปลว่านางบำเรอแทบเท้าหรือสนม) ของพระอินทร์มาประชุมพร้อมกัน ท้าวกบิลพรหมบอกว่า เราจะตัดเศียรบูชาธรรมบาลกุมาร หากตั้งไว้ในแผ่นดินไฟก็จะไหม้ทั่วโลก หากทิ้งในอากาศฝนก็จะแล้ง หรือถ้าหากทิ้งในมหาสมุทรน้ำก็จะแห้ง  ดังนั้นจึงขอให้ธิดาทั้ง ๗ นำพานมารองรับแล้วก็ตัดเศียรนี้ไว้ให้นางทุงษะเทวี ผู้เป็นธิดาองค์โต แล้วให้บรรดาเทพบริวารแห่ประทักษิณโดยรอบเขาพระสุเมรุ ๖๐ นาที แล้วเชิญเข้าประดิษฐานไว้ในมณฑปถ้ำคันธุลี ณ เขาไกรลาศ บูชาด้วยเครื่องทิพย์ต่างๆ ครั้นถึงกำหนด ๓๖๕ วัน หรือพอเวียนมาถึงวันมหาสงกรานต์ เทพธิดาทั้งเจ็ดก็จะทรงพาหนะต่างๆ พร้อมด้วยเทพบริวาร ผลัดเวรกันมาเชิญพระเศียรท้าวกระบิลพรหมออกแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุทุกๆ ปี  โดยที่เทพธิดาทั้งเจ็ดนี้ปรากฏในวันมหาสงกรานต์ เป็นประจำ จึงชื่อว่า “นางสงกรานต์” จากความเป็นมาดังกล่าวในสมัยโบราณ อาจเป็นเพียงอุบายอย่างหนึ่ง เพื่อให้คนที่ไม่รู้หนังสือหรือวันเดือนปี จะได้รับรู้โดยทั่วกันว่าวันไหน คือวันมหาสงกรานต์ หรือวันไหนที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ แม้กระทั่งในวันขึ้นปีใหม่ ตามสุริยคติตรงกับวันใด ผ่านนางสงกรานต์ทั้ง ๗ นาง ตรงกับวันใด เวลาใด ทั้งนี้นางสงกรานต์ก็จะมีนาม เครื่องประดับ อาหาร อาวุธ และพาหนะที่เป็นสัตว์ประจำของตนเองในแต่ละอย่างนั่นเอง... เรียบเรียงโดย : นายธีรบูลย์ มิตรมโนชัย นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม แหล่งอ้างอิง : กรมส่งเสริมวัฒนธรรม.  ประกาศสงกรานต์ ปีพุทธศักราช ๒๕๖๘.  [ออนไลน์].  สืบค้นเมื่อ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๘,          จาก: https://www.facebook.com/photo/?fbid=979209954308839&set=a.430531609176679&locale=th_TH, ๒๕๖๘. กรมส่งเสริมวัฒนธรรม.  ประเพณีสงกรานต์.  กรุงเทพฯ: สำนักงานกิจการโรงพิมพ์ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปถัมภ์, ๒๕๖๔. กรมส่งเสริมวัฒนธรรม.  สงกรานต์...สืบสานประเพณีไทย สุขใจ...ไทยทั่วหล้า.  กรุงเทพฯ: กระทรวงวัฒนธรรม, ๒๕๕๘. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).  จารึกเรื่องมหาสงกรานต์.  [ออนไลน์].  สืบค้นเมื่อ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๘, จาก: https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/search


จากแผ่นจารึกในแผ่นศิลา เรื่องมหาสงกรานต์ กล่าวถึงเรื่องราวของเศรษฐีคนหนึ่งผู้มีสมบัติมากมายแต่ไม่มีบุตร อยู่บริเวณใกล้บ้านกับนักเลงสุราที่มีบุตรสองคน มักกล่าววาจาเยาะเย้ยดูแคลนด้วยคำหยาบคาย ดูหมิ่นในทำนองว่าถึงจะรวยอย่างไรแต่ก็ไม่มีบุตรสืบสกุลตายไป สมบัติก็สูญเปล่า หลังจากนั้นเศรษฐีรู้สึกเสียหน้าจึงได้บวงสรวงพระจันทร์และพระอาทิตย์ ตั้งจิตอธิษฐานเมื่อเวลาผ่านไปสามปีก็ยังไร้วี่แววที่จะมีบุตร ต่อมาพอถึงช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษในวันสงกรานต์หรือวันปีใหม่ของชาวชมพูทวีป เศรษฐีได้พาบริวารไปอธิษฐานขอบุตรตรงต้นไทรริมฝั่งน้ำ และได้เอาข้าวสารลงล้างในน้ำเจ็ดครั้ง แล้วหุงข้าวบูชาอธิษฐานขอบุตรกับรุกขเทวดาในต้นไทรตลอดจนบวงสรวงด้วยดนตรีประโคม ซึ่งรุกขเทวดาเกิดความเมตตาได้เห็นใจเศรษฐี จึงไปขอเข้าเฝ้าพระอินทร์ ท่านจึงเมตตาประทาน “ธรรมบาลเทวบุตร” ลงมาปฏิสนธิในครรภ์ภรรยาเศรษฐี เมื่อคลอดจึงชื่อว่า “ธรรมบาลกุมาร” พร้อมได้ปลูกปราสาท ๗ ชั้น ไว้ใต้ต้นไทรให้กุมารนี้อยู่อาศัย เมื่อธรรมบาลกุมารโตขึ้น ก็ได้เรียนรู้ภาษานก และเรียนไตรเภท ซึ่งเป็นคัมภีร์แสดงลัทธิไสยศาสตร์ดั้งเดิมของพราหมณ์ ได้แก่ ฤคเวท ยชุรเวท และสามเวท จบเมื่ออายุเพียง ๗ ขวบ ต่อมา เป็นอาจารย์ด้านมงคลการแก่มนุษย์ทั้งปวง ในขณะเดียวกันนั้นทำให้ท้าวกบิลพรหม เป็นผู้ทำหน้าที่แสดงในเรื่องของมงคลการทั้งปวงแก่มนุษย์อยู่ก่อนแล้ว จึงเกิดความไม่พอใจลงมาท้าธรรมบาลกุมารให้ตอบปริศนาสามข้อ โดยมีข้อแม้ว่าหากธรรมบาลกุมารตอบได้ให้ตัดศีรษะท้าวกบิลพรหมเสีย แต่หากตอบไม่ได้ธรรมบาลกุมารก็จะโดนตัดศีรษะเช่นกัน โดยปริศนาดังกล่าวมีอยู่ว่า           ข้อที่ ๑ เช้า ราศีอยู่ที่ใด           ข้อที่ ๒ เที่ยง ราศีอยู่ที่ใด           และ ข้อที่ ๓ ค่ำ ราศีอยู่ที่ใด ถ้าธรรมบาลกุมารตอบได้ก็จะตัดเศียรบูชา แต่ถ้าตอบไม่ได้จะตัดศีรษะธรรมบาลกุมารเสีย ท้าวกบิลพรหมถามธรรมบาลกุมารว่า ทำให้ธรรมบาลกุมารขอผลัดกับท้าวกบิลพรหมเป็นเวลา ๗ วัน ธรรมบาลกุมารก็พยายามคิดค้นหาคำตอบตลอดระยะเวลา ๖ วัน ปรากฏว่าเวลาล่วงถึงวันที่ ๖ ก็ยังคิดหาคำตอบไม่ได้ จึงคิดจะหลบหนี จากนั้นก็ออกไปนอกปราสาท ระหว่างทางได้พักนอนอยู่ใต้ต้นตาล และคิดในใจว่าขอตายในที่ลับยังดีกว่าไปตายด้วยอาญาท้าวกบิลพรหม ขณะนั้นได้ยินเสียงนกอินทรีสองผัวเมียเกาะทำรังอยู่ และได้ยินนกอินทรีคุยกัน โดยที่นางนกอินทรีถามสามีว่าพรุ่งนี้เราจะไปหาอาหารแห่งใด สามีตอบนางนกว่าเราจะไปกินศพธรรมบาลกุมาร เพราะตอบปริศนาไม่ได้ เป็นเหตุให้ท้าวกบิลพรหมจะฆ่าเสีย แล้วนางนกอินทรีคำตอบคืออะไรเพราะนางนกอินทรีก็ไม่รู้คำตอบเหมือนกัน ฝ่ายสามีนกอินทรีเฉลยว่า ข้อที่ ๑ ตอนเช้า ราศีอยู่ที่หน้า มนุษย์จึงเอาน้ำล้างหน้าทุก ๆ เช้า ข้อที่ ๒ ตอนเที่ยง ราศีอยู่ที่อก มนุษย์จึงเอาเครื่องหอมประพรมที่อก ข้อที่ ๓ ตอนค่ำ ราศีอยู่ที่เท้า มนุษย์จึงเอาน้ำล้างเท้าก่อนเข้านอน ธรรมบาลกุมารได้ยินและสามารถเรียนรู้ภาษานกและเรียนไตรเพทได้เป็นอย่างดี จึงสามารถตอบปริศนาได้ เมื่อครบ ๗ วัน ท้าวกบิลพรหมมาตามสัญญา ธรรมบาลกุมารจึงตอบคำถามกับท้าวกบิลพรหมและสามารถตอบคำถามได้ ทำให้ท้าวกบิลพรหม จึงต้องตัดศีรษะ บูชาธรรมบาลกุมาร แต่ก่อนจะตัดศีรษะ ท้าวกบิลพรหมตรัสเรียกธิดาทั้ง ๗ อันเป็นบาทบาจาริกา (แปลว่านางบำเรอแทบเท้าหรือสนม) ของพระอินทร์มาประชุมพร้อมกัน ท้าวกบิลพรหมบอกว่า เราจะตัดเศียรบูชาธรรมบาลกุมาร หากตั้งไว้ในแผ่นดินไฟก็จะไหม้ทั่วโลก หากทิ้งในอากาศฝนก็จะแล้ง หรือถ้าหากทิ้งในมหาสมุทรน้ำก็จะแห้ง  ดังนั้นจึงขอให้ธิดาทั้ง ๗ นำพานมารองรับแล้วก็ตัดเศียรนี้ไว้ให้นางทุงษะเทวี ผู้เป็นธิดาองค์โต แล้วให้บรรดาเทพบริวารแห่ประทักษิณโดยรอบเขาพระสุเมรุ ๖๐ นาที แล้วเชิญเข้าประดิษฐานไว้ในมณฑปถ้ำคันธุลี ณ เขาไกรลาศ บูชาด้วยเครื่องทิพย์ต่างๆ ครั้นถึงกำหนด ๓๖๕ วัน หรือพอเวียนมาถึงวันมหาสงกรานต์ เทพธิดาทั้งเจ็ดก็จะทรงพาหนะต่างๆ พร้อมด้วยเทพบริวาร ผลัดเวรกันมาเชิญพระเศียรท้าวกระบิลพรหมออกแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุทุกๆ ปี  โดยที่เทพธิดาทั้งเจ็ดนี้ปรากฏในวันมหาสงกรานต์ เป็นประจำ จึงชื่อว่า “นางสงกรานต์” จากความเป็นมาดังกล่าวในสมัยโบราณ อาจเป็นเพียงอุบายอย่างหนึ่ง เพื่อให้คนที่ไม่รู้หนังสือหรือวันเดือนปี จะได้รับรู้โดยทั่วกันว่าวันไหน คือวันมหาสงกรานต์ หรือวันไหนที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ แม้กระทั่งในวันขึ้นปีใหม่ ตามสุริยคติตรงกับวันใด ผ่านนางสงกรานต์ทั้ง ๗ นาง ตรงกับวันใด เวลาใด ทั้งนี้นางสงกรานต์ก็จะมีนาม เครื่องประดับ อาหาร อาวุธ และพาหนะที่เป็นสัตว์ประจำของตนเองในแต่ละอย่างนั่นเอง... เรียบเรียงโดย : นายธีรบูลย์ มิตรมโนชัย นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม แหล่งอ้างอิง : กรมส่งเสริมวัฒนธรรม.  ประกาศสงกรานต์ ปีพุทธศักราช ๒๕๖๘.  [ออนไลน์].  สืบค้นเมื่อ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๘,         จาก: https://www.facebook.com/photo/?fbid=979209954308839&set=a.430531609176679&locale=th_TH, ๒๕๖๘. กรมส่งเสริมวัฒนธรรม.  ประเพณีสงกรานต์.  กรุงเทพฯ: สำนักงานกิจการโรงพิมพ์ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปถัมภ์, ๒๕๖๔. กรมส่งเสริมวัฒนธรรม.  สงกรานต์...สืบสานประเพณีไทย สุขใจ...ไทยทั่วหล้า.  กรุงเทพฯ: กระทรวงวัฒนธรรม, ๒๕๕๘. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).  จารึกเรื่องมหาสงกรานต์.  [ออนไลน์].  สืบค้นเมื่อ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๘, จาก: https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/search


         นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง “กรมศิลปากร” เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๕๔ ตลอดระยะเวลา ๑๑๔ ปี กรมศิลปากรได้ทำหน้าที่ดูแล ปกป้อง คุ้มครอง อนุรักษ์ ฟื้นฟู ทำนุบำรุง ส่งเสริม สืบทอด สร้างสรรค์ และเผยแพร่องค์ความรู้ในงานด้านมรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นงานนาฏศิลป์และดนตรี งานโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์ งานด้านภาษา เอกสาร และหนังสือ งานสถาปัตยกรรม ศิลปกรรมและช่างศิลป์ไทย รวมไปถึงงานสนับสนุนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับมรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติ ซึ่งเป็นภารกิจหลักของกรมศิลปากร          ปัจจุบันกรมศิลปากร เป็นหน่วยงานภาครัฐ สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม มีที่ทำการของหน่วยงานส่วนกลางตั้งอยู่ที่อาคารกรมศิลปากร (เทเวศร์) ถนนศรีอยุธยา เขตดุสิต กรุงเทพฯ และยังมีหน่วยงานส่วนกลางที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ต่างๆ คือ สำนักการสังคีต ตั้งอยู่บริเวณถนนราชินี สำนักหอสมุดแห่งชาติและสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ตั้งอยู่บริเวณถนนสามเสน และสำนักช่างสิบหมู่ ตั้งอยู่บริเวณถนนพุทธมณฑล สาย ๕ จังหวัดนครปฐม นอกจากนี้ยังมีสำนักศิลปากรที่ ๑ - ๑๒ ดูแลในส่วนภูมิภาค


black ribbon.