ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ

          “ทุ่งเขางู” ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ ต.เกาะพลับพลา อ.เมือง จ.ราชบุรี ที่หน้าเขางูเป็นทุ่งกว้างใหญ่ และ ณ ทุ่งราบนี้เองเคยเป็นสมรภูมิรบในสงครามครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช คือ“สงครามเก้าทัพ”           บริเวณทุ่งเขางูจะมีเทือกเขางู ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองราชบุรี ทอดยาวเหมือนงูเลื้อยอยู่ตรงกลาง ด้านหน้าเขางูเป็นท้องทุ่งใหญ่ แต่เดิมในช่วงฤดูน้ำหลากคือตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงเดือนพฤศจิกายน บริเวณทุ่งราบหน้าเขางูจะมีน้ำจะไหลบ่าจากพืดเขาต่างๆ มาขังเต็มไปหมดทั้งทุ่งและท่วมนองไปจนถึงเชิงเขาคล้ายกับทะเลสาบขนาดย่อมๆ นานอยู่หลายเดือน และมีความลึกพอที่เรือบรรทุกข้าวขนาดใหญ่และเรือยนต์ต่างๆ แล่นผ่านไปมาได้ ช่วงที่มีน้ำท่วมมากที่สุด คือเริ่มตั้งแต่วันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ เป็นต้นไป ในช่วงฤดูน้ำหลากนี้ ยังก่อให้เกิดเทศกาลประเพณีพายเรือไปนมัสการหลวงพ่อฤาษีและรอยพระพุทธบาทในช่วงวันขึ้น ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ของทุกปี ถือเป็นงานประเพณีที่อยู่คู่กับท้องทุ่งแห่งนี้มาช้านาน คนในราชบุรีและพื้นที่ใกล้เคียงไม่ว่าจะเป็นคนโพธาราม บ้านโป่งฯ ต่างรอคอยที่จะพายเรือมาไหว้พระที่เขางูแห่งนี้ ส่วนผู้ที่อยู่จังหวัดใกล้เคียงถึงกับลงทุนเช่าเรือยนต์มาเที่ยวงานนี้ก็มีไม่น้อย ดังนั้นในทะเลสาบทุ่งเขางู จึงแน่นขนัดไปด้วยเรือทุกชนิด จะมองไปในทิศทางใดก็จะพบแต่เรือแพน้อยใหญ่เต็มท้องน้ำไปหมด และที่นับว่าสนุกสนานกันอย่างยิ่งในงานนี้ ก็คือ การแข่งเรือ           พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยเสด็จพระราชดำเนินทุ่งเขางูหลายครั้ง โดยในการเสด็จพระราชดำเนินเมื่อพ.ศ. ๒๔๓๑ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเสด็จประพาสไทรโยคครั้งที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบรรยายลักษณะของเทือกเขางูไว้ว่า            “...ตรงหน้านั้นเขางูเป็นหมู่ยาว แต่หลายยอดหลายอย่างต่างชื่อเสียง ที่เล็กเคียงข้างลงมาหน้าผาขาว เป็นเขางูอยู่อยู่เท่านั้นปั้นเรื่องราว เขาหลักว่าวแลเป็นสูงในฝูงนี้ ยอดเป็นหลักปักเห็นเด่นถนัด เขาที่ถัดเป็นรากกล้วยพรวยแผกหนี ถ้าเป็นเขารอกไปได้จะดี ต่อยอดนี้เขาจุฬาคว้าพนัน ตามเขากล่าวว่าว่าวสุวรรณหงส์ ที่ตกลงตามไต่ป่านผายผัน เมืองมัดตังอยู่ราวสุพรรณ เพียงเท่านั้นคงกันดารยักษ์มารมี...”           สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงประทับใจกับทัศนียภาพและความงามของทุ่งเขางูมาก โดยได้เปรียบเทียบทุ่งเขางูกับสถานที่หลายแห่งที่พระองค์เคยเสด็จไป ดังปรากฏในรายงานการเสด็จตรวจราชการมณฑลราชบุรี เมืองราชบุรีและเมืองสมุทรสงคราม พ.ศ.๒๔๔๑ ร.ศ.๑๑๗ ซึ่งทรงกล่าวถึง “ทุ่งเขางู” ไว้ดังนี้           “... ฉันพึ่งเคยมาเห็นที่ทุ่งเขางูในระดูน้ำคราวนี้ พอแลเห็นก็ทำยอมโดยทันทีว่า บรรดาทุ่งที่จะเที่ยวเล่นในระดูน้ำ จะเปนทุ่งหนึ่งทุ่งใดในกรุงเก่าก็ดี ท้องพรหมมาศเมืองลพบุรีก็ดี แม้ที่สุดถึงบึงบอระเพ็ดนครสวรรค์ก็ดี บรรดาที่เคยไปเห็นแล้วไม่มีแห่งใดที่จะสู้ทุ่งเขางูนี้เลย ด้วยเป็นทุ่งกว้างน้ำลึกแลมีเขาอยู่ใกล้ๆ จะเล่นเรือพายไปเท่าใดก็ไม่มีที่สุด โดยจะมีเรือใบเล็กๆมาแล่นเล่นก็ได้ กระบวนที่จะเที่ยวทุ่งเก็บกุ่ม เก็บสายบัวอย่างทุ่งกรุงเก่าก็ได้ หรือเอาเรือแวะจอดเข้าที่ดอนขึ้นไร่เก็บน้อยหน่าก็ได้ จะเดินเลยเที่ยวไปถึงเขาก็ไม่ทันเหนื่อย เพราะอย่างนี้ใครๆ จึงได้กลับมาชมกันว่าสนุกนัก...” ิ          ในเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๔๔๒ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเสด็จพระราชดำเนินเมืองราชบุรี ครั้งนั้นพระองค์ได้เสด็จประพาสทุ่งเขางูได้ทอดพระเนตรสภาพทุ่งเขางูในฤดูน้ำหลากด้วย และต่อมาภาพน้ำท่วมทุ่งที่เขางู ยังถูกใช้เป็นตราสัญลักษณ์ประจำจังหวัดราชบุรี ในช่วงปีพ.ศ. ๒๕๐๐ -๒๕๐๙ อีกด้วย           ปัจจุบันทุ่งเขางูแห่งนี้มีสภาพตื้นเขินกว่าเดิมมาก ไม่มีน้ำท่วมทุ่งเป็นทะเลสาบดังเช่นในอดีต ไม่สามารถนำเรือยนต์เข้าไปแล่น และไม่มีภาพบรรยากาศความงามของท้องทุ่งที่มีการแข่งเรือ การพายเรือเล่น ชมนกชมไม้ เก็บสายบัว กระจับ และสันตวาให้หวนคืนมาอีก นับตั้งแต่ที่ได้มีการตัดถนนหลวงผ่านหลายสายและมีการสร้างเขื่อนเมื่อปีพ.ศ.๒๕๑๖ ภาพชีวิตของผู้คนที่เคยผูกพันกับสายน้ำที่ทุ่งเขางูในอดีต จึงได้เลือนหายไปพร้อมๆกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม สภาพทุ่งเขางูที่คุ้นตาชาวราชบุรีในปัจจุบันคือเป็นที่อยู่อาศัยของชุมชนและเป็นพื้นที่เกษตรกรรมทำนาปลูกข้าวกระจายอยู่ทั่วไป ภาพ ๑ ขบวนเรือเสด็จฯของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสเมืองราชบุรีผ่านบริเวณทุ่งเขางูเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๔๔๒ ภาพ ๒ เขางูเมื่อหน้าน้ำ ราวปีพ.ศ. ๒๔๘๒ ภาพ ๓ งานประจำปี เขางู เป็นภาพเที่ยวเขางูหน้าน้ำ ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๘๔ จากนิตยสารสร้างตนเอง ฉบับ ๑ ตุลาคม ๒๔๘๔ ห้องสมุดอเนก นาวิกมูล ภาพ ๔ ตราประจำจังหวัดราชบุรีเดิม เป็นอาร์มวงกลมใช้สัญลักษณ์รูปน้ำหลากทุ่ง มีภูเขาเป็นฉากหลัง ล้อมรอบด้วยงูใหญ่ส่วนท้องฟ้าเหนือภูเขามีตราครุฑ ซึ่งใช้เป็นตราแผ่นดินและเครื่องหมายของทางราชการ กำกับด้วยข้อความว่า “จังหวัดราชบุรี” ใช้ในช่วงระหว่างพ.ศ. ๒๕๐๐ - ๒๕๐๙ ภาพ ๕ ทุ่งเขางูในปัจจุบัน ..................................................................................เรียบเรียง : นางสาวปราจิน เครือจันทร์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี อ้างอิงตรี อมาตยกุล, “จังหวัดราชบุรี” เมืองราชบุรี พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในการประชุมเพลิงศพ คุณหญิงประพันธ์ดำรัสลักษณ์ (ชื่น ศุขะวณิช) ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๐๙. มโน กลีบทอง,พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี,สำนักพิมพ์สมาพันธ์ จำกัด,พ.ศ.๒๕๔๔. สถาบันดำรงราชานุภาพ “รายงานการเสด็จตรวจราชการมณฑลราชบุรี เมืองราชบุรีและเมืองสมุทรสงคราม พ.ศ.๒๔๔๑ ร.ศ.๑๑๗” การเสด็จตรวจราชการหัวเมืองของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรง ราชานุภาพ.๒๕๕๕. สมุดราชบุรี พ.ศ.๒๔๖๘,พิมพ์ที่โรงพิมพ์หนังสือพิมพ์ไทย ถนนพลับพลาไชย จังหวัดพระนคร. องค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี,พระบรมราชจักรีวงศ์กับเมืองราชบุรี,กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์,๒๕๒๕. อเนก นาวิกมูล,บางกอกกับหัวเมือง,กรุงเทพฯ:แสงดาว,๒๕๒๗.





ชื่อเรื่อง : วัดน้ำบ่อหลวง (วนาราม) : สมบัติวัด ศรัทธาวัด ผู้แต่ง : สรัสวดี - สมโชติ  อ๋องสกุล ปีที่พิมพ์ : 2556 สถานที่พิมพ์ : เชียงใหม่ สำนักพิมพ์ : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่



ผู้แต่ง : - ฉบับพิมพ์ : พิมพ์ครั้งที่ 6 สถานที่พิมพ์ : พระนคร สำนักพิมพ์ : กรมศิลปากร ปีที่พิมพ์ : 2511 หมายเหตุ : บริษัท ตั้งท่งฮวด จำกัด บริษัท สยามกลการ จำกัด และลูก หลานเหลน ในตระกูลพรประภา พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานบรรจุศพ คุณพ่อไต้ล้ง พรประภา 4 กันยายน พ.ศ. 2511                                 หนังสือพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขานี้ ได้รวบรวมรวบเนื้อหาของตำนานหนังสือพงศาวดาร และพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา สำหรับในตอนต้นได้กล่าวถึงตำนานหนังสือพงศาวดาร มีเนื้อหากล่าวถึงเรื่องการสร้างกรุงศรีอยุธยา อธิบายเหตุการณ์เมื่อก่อนสร้างกรุงศรีอยุธยา ประวัติไทย ประวัติขอม ประวัติพม่า พงศาวดารของพระเจ้าอู่ทอง ประวัติของราชอาณาจักรสุโขทัย และประวัติอาณาจักรลานนาไทย สำหรับพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขากล่าวความไว้ในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 กระทั่งถึงสมัยแผ่นดินสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 4 (เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์) พร้อมอธิบายเรื่องในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 รัชกาลสมเด็จพระบรมบรมราชาธิราชที่ 1 รัชกาลสมเด็จพระราเมศวร รัชกาลสมเด็จพระอินทราชาธิราชที่ 1 รัชกาลสมเด็จพระราชาธิราชที่ 2 รัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ รัชกาลสมเด็จพระอินทราชาธิราชที่ 2 รัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 รัชกาลสมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูรและพระรัฏฐาธิราช รัชกาลสมเด็จพระไชยราชาธิราช รัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิและสมเด็จพระมหินทราธิราช รัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช รัชกาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และในรัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรถ


          โบราณสถานวัดพระสี่อิริยาบถตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองทางด้านทิศเหนือที่เป็นเขตอรัญญิกของเมืองกำแพงเพชร ผังของตัววัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ด้านหน้าวัดมีอาคารอาบน้ำและบ่อน้ำที่ขุดเจาะลงไปในชั้นศิลาแลงเพื่อนำศิลาแลงมาใช้ในการก่อสร้างอาคาร           สิ่งก่อสร้างที่สำคัญของวัดประกอบด้วยอาคารวิหารที่ตั้งอยู่ด้านหน้า มีฐานสองชั้นโดยฐานชั้นล่างหรือที่เรียกว่าฐานประทักษิณสร้างเป็นแบบฐานบัวลูกแก้วอกไก่ ริมผนังด้านข้างใช้ศิลาแลงก่อเป็นลูกกรงเตี้ย ๆ เลียนแบบเครื่องไม้ ส่วนฐานวิหารที่อยู่ด้านบนเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีมุขทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ภายในปรากฏแท่นอาสนสงฆ์และแท่นชุกชีที่ใช้ประดิษฐานพระพุทธรูป เสารองรับเครื่องบนเป็นศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยม           ด้านหลังวิหารเป็นอาคารมณฑปขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ภายในกำแพงแก้ว มีประตู ๓ ด้าน คือ ด้านทิศเหนือ ด้านทิศตะวันตกและด้านทิศใต้ ยกเว้นด้านทิศตะวันออกที่เชื่อมต่อกับท้ายวิหาร ลักษณะมณฑปเป็นแบบจัตุรมุข กึ่งกลางเป็นแท่งสี่เหลี่ยมเพื่อรับส่วนยอดหลังคา มีมุขยื่นออกมาทั้ง ๔ ทิศ แต่ละด้านของแท่งสี่เหลี่ยมก่อผนังให้เว้าเข้าไปและประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นใน ๔ อิริยาบถ คือ ผนังด้านทิศตะวันออกประดิษฐานพระพุทธรูปอิริยาบถเดิน (ลีลา) ด้านทิศเหนือประดิษฐานพระพุทธรูปในอิริยาบถนอน (ไสยาสน์) ด้านทิศใต้ประดิษฐานพระพุทธรูปในอิริยาบถนั่งและด้านทิศตะวันตกประดิษฐานพระพุทธรูปในอิริยาบถยืน ซึ่งเป็นด้านที่พระพุทธรูปยังคงปรากฏสภาพค่อนข้างสมบูรณ์มากกว่าด้านอื่น ๆ โดยเป็นพระพุทธรูปในศิลปะสุโขทัย หมวดกำแพงเพชร พิจารณาจากลักษณะของพระพักตร์ คือพระนลาฏกว้าง (หน้าผากกว้าง) และพระหนุเสี้ยม (คางแหลม)           พระอุโบสถเป็นอาคารขนาดเล็กฐานเตี้ย อยู่ติดกับแนวกำแพงวัดทางด้านทิศใต้ มีใบเสมาทำจากหินชนวนปักบนพื้นดินโดยรอบ ตัวอาคารก่อด้วยศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ฐานอุโบสถก่อเป็นฐานหน้ากระดานสี่เหลี่ยม ๒ ชั้น           ที่มาของการสร้างพระพุทธรูปในอิริยาบถต่าง ๆ ที่ประดิษฐานภายในอาคารมณฑปนั้น ปรากฏในหลายแนวคิด เช่น เป็นรูปแบบอิริยาบถที่ใช้ในการพักผ่อนภายในหนึ่งวันของพระพุทธเจ้าหรือเป็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏในพุทธประวัติ คือ อิริยาบถยืนเป็นปางห้ามพระแก่นจันทร์หรือปางแสดงธรรม อิริยาบถนั่งเป็นปางสมาธิหรือปางมารวิชัย อิริยาบถนอน (ไสยาสน์) เป็นปางโปรดอสุรินทราหู และอิริยาบถเดิน (ลีลา) เป็นปางเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์            พระราชนิพนธ์ “เสด็จประพาสต้น” ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้ระบุถึงการเสด็จประพาสต้นครั้งที่ ๒ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๔๙ โดยได้เสด็จประพาสเมืองกำแพงเพชรโบราณในเขตอรัญญิก ในวันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๔๙ และได้ทรงมีพระราชนิพนธ์บรรยายเกี่ยวกับโบราณสถานวัดพระสี่อิริยาบถ ดังนี้           “...ตั้งชื่อไว้ว่าวัดพระยืน มีสะพานข้ามคู...ชิ้นกลางเห็นจะเป็นวิหารยอดจัตุรมุข แต่สูงใหญ่เหลือเกิน มุขหน้าเป็นพระเดิน มุขหลังเป็นพระยืน มุขซ้ายเป็นพระนอน มุขขวาเป็นพระนั่ง ที่มุมปั้นเป็นรูปนารายณ์ขี่ครุฑใหญ่มาก จะรับหลังคาอย่างไรน่าคิด แต่พระเหล่านี้เป็นพระปั้นด้วยปูน ใครจะมาซ่อมมาทำเพิ่มเติมอย่างไรภายหลัง แต่รูปพรรณสัณฐานคงเป็นพระกำแพง ไม่ใช่ช่างเมืองอื่นมาทำ พระยืนนั้นขนาดพระโลกนาถวัดเชตุพน แต่ประเปรียวกว่า เห็นว่าให้ชื่อว่าวัดพระยืนไม่เข้าเค้า จึงเปลี่ยนให้เรียกว่าวัดพระเชตุพนไปพลาง กว่าจะมีชื่ออื่นดีกว่า เหตุด้วยเมืองสุโขทัยมีวัดเชตุพน บางทีเขาจะตั้งชื่อซ้ำกันบ้าง...”           การเสด็จประพาสหัวเมืองเหนือที่ปรากฏในพระราชนิพนธ์เรื่อง “เที่ยวเมืองพระร่วง” ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เมื่อครั้งยังดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๕๐ ได้เสด็จประพาสเมืองกำแพงเพชรโบราณในเขตอรัญญิก ในระหว่างวันที่ ๑๕ – ๑๗ มกราคม พ.ศ.๒๔๕๐ และได้ทรงมีพระราชนิพนธ์บรรยายเกี่ยวกับโบราณสถานวัดพระสี่อิริยาบถ ดังนี้           “…ส่วนที่วัดพระสี่อิริยาบถนั้น มีชิ้นสำคัญอยู่ คือวิหารสี่คูหา มีพระยืนด้านหนึ่ง พระนั่งด้านหนึ่ง พระลีลาด้านหนึ่ง พระไสยาสน์ด้านหนึ่ง พระยืน พระนั่ง พระลีลา ยังอยู่พอเป็นรูปร่างเห็นได้ถนัด แต่พระนอนนั้นชำรุดจนไม่เป็นรูป รอบวิหารมีผนังลูกกรงโปร่ง มองเข้าไปได้ทั้งสี่ด้าน แต่วัดนี้เหมือนวัดเชตุพนที่สุโขทัยเกือบจะไม่มีผิด…”           วัดพระสี่อิริยาบถจึงถือเป็นโบราณสถานอีกแห่งในอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรที่มีความสำคัญยิ่ง ทั้งงานศิลปกรรมที่ปรากฏผ่านทางงานสถาปัตยกรรมและประติมากรรม รวมทั้งเรื่องราวทางประวัติศาสตร์โบราณคดี -------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : อุทยานประวัติศาสตร์ กำแพงเพชร-------------------------------------------เอกสารอ้างอิง กรมศิลปากร. นำชมอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ศรีสัชนาลัย กำแพงเพชร. กรุงเทพฯ: บริษัทบางกอกอินเฮ้าส์จำกัด, ๒๕๖๑. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ. เสด็จประพาสต้นในรัชกาลที่ ๕. พิมพ์ครั้งที่ ๒๖. กรุงเทพฯ : ไทยร่มเกล้า, ๒๕๒๙. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว. เที่ยวเมืองพระร่วง. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๑๙. พิเศษ เจียจันทร์พงษ์. “กำแพงเพชรกับสุโขทัย นอนไม่เหมือนกัน” ศิลปวัฒนธรรม. (ปีที่ ๑๘ ฉบับที่ ๕,มีนาคม ๒๕๔๐). ภัคพดี อยู่คงดี. “พระสี่อิริยาบถ เมืองกำแพงเพชร” สาระนิพนธ์ปริญญาศิลปะศาสตร์บัณฑิต. ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. ๒๕๒๓. ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปกรรมโบราณในอาณาจักรสุโขทัย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มิวเซียมเพรส, ๒๕๖๑.



ผู้แต่ง : หลวงวิจิตรวาทการ ฉบับพิมพ์ : พิมพ์ครั้งที่ 1 สถานที่พิมพ์ : พระนคร สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจ ปีที่พิมพ์ : 2481 หมายเหตุ : -               หนังสือประวัติศาสตร์การเสียดินแดนสยามในสมัยรัตนโกสินทร์ 8 ครั้ง เล่มนี้ กล่าวถึงรายละเอียดการเสียดินแดนของของไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ จำนวน 8 ครั้ง นับตั้งแต่ครั้งที่ 1 เกาะปีนังและปรอวินส์เวลเลสลี ครั้งที่ 2 ทะวาย ตะนาวศรี มะริด ครั้งที่ 3 ประเทศเขมร ครั้งที่ 4 แคว้นสิบสองจุไทย ครั้งที่ 5 ดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง นครหลวงพระบาง และอาณาเขตต์นครจำปาศักดิ์ฝั่งตะวันออก ครั้งที่ 6 อาณาเขตต์หลวงพระบางฝั่งขวา นครจำปาศักดิ์และมโนไพร ครั้งที่ 7 มณฑลบูรพา และครั้งที่ 8 ประเทศราชมะลายู ไทรบุรี ปลิศ กะลันตัน และตรังกานู



ลวดลายต่าง ๆ ที่ใช้ในการตกแต่งเครื่องสังคโลก แบ่งออกเป็น ๒ แบบ คือ ลวดลายที่พบเห็นได้ในธรรมชาติ เช่น ลายดอกไม้ ลายพันธุ์พฤกษา ลายสัตว์ และลวดลายประดิษฐ์ จำพวกลายเรขาคณิต ลายช่องกระจก ซึ่งลวดลายเหล่านี้ยังเป็นหลักฐานที่แสดงถึงการรับอิทธิพลมาจากต่างชาติด้วย เช่น ลายพันธุ์ไม้ก้านขด ที่พบในภาชนะดินเผาของจีน ลายตาราง (หรือลายร่างแห หรือลาpสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน) ที่สันนิษฐานว่าน่าจะสืบทอดมาจากลายประแจจีน เป็นต้นไม่เพียงช่วยให้เครื่องสังคโลกมีความสวยงามเท่านั้น แต่ลวดลายดังกล่าวยังถือเป็นลายมงคลที่ซ่อนความหมายต่าง ๆ ไว้อีกด้วย เช่น ลายดอกบัว หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ ความบริสุทธิ์ และฤดูร้อน ลายดอกเบญจมาศ หมายถึง การหยุดพักผ่อน การมีอายุยืน และฤดูใบไม้ร่วง ลายดอกโบตั๋น หมายถึง ความร่ำรวย เกียรติยศ ความรัก ความงาม และฤดูใบไม้ผลิ ลายดอกพิกุล และ ลายปลา หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ ลายปลาคู่ หมายถึง ความปรองดองและความสุขในชีวิตสมรส ลายนกยูง หมายถึง ความงามและการมีเกียรติยศ


ชื่อเรื่อง                     สุภาษิตสามอย่างผู้แต่ง                       กรมศิลปากรประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือหายากหมวดหมู่                   บุคคลในสาขาสังคมศาสตร์เลขหมู่                      923.1593 ศ528รสถานที่พิมพ์               พระนครสำนักพิมพ์                 โรงพิมพ์ไทยเกษม ปีที่พิมพ์                    2503ลักษณะวัสดุ               124 หน้าหัวเรื่อง                     สุภาษิตและคำพังเพย                              หนังสืออนุสรณ์งานศพ     ภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึก                   เนื้อหาภายในประกอบด้วยสวัสดิรักษาแต่งเป็นสองสำนวน คือ แต่งเป็นคำฉันท์สำนวนหนึ่ง สันนิษฐานว่าเป็นสำนวนครั้งกรุงเก่า และเป็นคำกลอนอีกสำนวนหนึ่งโดยสุนทรภู่ ส่วนสุภาษิตสอนเด็กและสุภาษิตสอนหญิง เป็นสำนวนกลอนของสุนทรภู่  


ชื่อเรื่อง                           เทศนาสังคิณี-มหาปัฎฐานสพ.บ.                                  194/4ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           18 หน้า กว้าง 4.87ซ.ม. ยาว 54.2 ซ.ม. หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           บทสวดมนต์บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดพยัคฆาราม ต.ศรีประจันต์ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี




black ribbon.