ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,771 รายการ

ชื่อแบบฉบับ : มหานิปาตวณฺณนา ชาตกฎฺฐกถา ขุทฺทกนิกายฎฺฐกถา (ผูก ฆ2) ชื่อเรื่อง : ทสชาติ  สุวรรณสามชาดก-นารทชาดก (ผูก ฆ2) เลขทะเบียน : ชม.บ.557/ฆ2 ผู้แต่ง : ไม่ปรากฏ                     ผู้สร้าง : อุบาสิภิกษุ                   ปีที่สร้าง : จ.ศ.1085 (พ.ศ.2266) จำนวน : 1  คัมภีร์  14 ผูก (หอสมุดแห่งชาติฯ เชียงใหม่ มีผูก ก1, ข1-3, ค1-5:4ก, ฆ1-2, ง1-2)    จำนวนบรรทัด : 5 บรรทัด          จำนวนหน้า : 70 หน้า อักษร : ธรรมล้านนา                  ภาษา : บาลี-ไทยล้านนา             เส้น : จาร ฉบับ : ล่องชาด                        ไม้ประกับ : ทารัก ขอบทาชาด      ประเภทเอกสารโบราณ : คัมภีร์ใบลาน ประวัติ : อุบาสิภิกษุสร้าง จ.ศ.1085 (พ.ศ.2266 สมัยอยุธยา รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ) มี 5 เรื่อง ได้มาจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่  เมื่อวันที่ 24 กรกฏาคม 2531 โครงการ : พัฒนาระบบบริการห้องสมุดดิจิทัล หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ ปี พ.ศ. 2568


เลขทะเบียน : นพ.บ.751/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ                                                                                หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 40 หน้า ; 5 x 52 ซ.ม. : ชาดทึบ-ลานดิบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 234 (370-381) ผูก 1 (2568)หัวเรื่อง : วินัยสังเขป--เอกสารโบราณ             คัมภีร์ใบลาน             พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม



          พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร ขอเชิญชวนผู้สนใจร่วมการอบรมเชิงปฏิบัติการ เนื่องในกิจกรรมพิพิธภัณฑ์สร้างสรรค์ศิลป์ ระหว่างวันที่ ๒๘ - ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๘ เวลา ๐๙.๓๐ - ๑๖.๐๐ น. ณ ห้องประชุมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร           - วันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๘ "การอนุรักษ์งานศิลป์ไทย : งานประคบทองเขียนสี" แรงบันดาลใจจากลวดลายโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ วิทยากรโดย นางประภาพร ตราชูชาติ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านช่างศิลปกรรม (วิจัยและพัฒนาศิลปกรรม) นายเกรียงศักดิ์ เนียมสุด นายช่างศิลปกรรมอาวุโส คณะทำงานกลุ่มประณีตศิลป์ สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร         - วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๘ การอบรมศิลปะเพื่อเด็ก เยาวชน และผู้สูงอายุ พบกับกิจกรรม Workshop “การประคบลายสีเบื้องต้น” เสริมสร้างประสบการณ์งานศิลปะ ที่สามารถประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ และต่อยอดเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ วิทยากรโดย นางสาวชุตินันท์ กฤชนาวิน ผู้อำนวยการศูนย์ศิลปะและการช่างไทย และคณะทำงานกลุ่มประณีตศิลป์ สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร           ทั้ง ๒ กิจกรรม *รับจำนวนจำกัด สอบถามเพิ่มเติม โทร. ๐ ๕๕๗๑ ๑๕๗๐ โทร. ๐ ๕๕๗๑ ๑๕๗๐ หรือทางกล่องข้อความเฟซบุ๊ก “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร : Kamphaeng Phet National Museum” https://www.facebook.com/kamphaengphetnationalmuseum


        ศูนย์หนังสือกรมศิลปากรขอแนะนำน่าอ่าน หนังสือ “มหาเวสสันดรชาดก คาถาพัน และ นิบาตชาดก” ฉบับสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร พิมพ์เผยแพร่ พุทธศักราช 2566 เป็นหนังสือที่นำเสนอเรื่องมหาเวสสันดรชาดก นิทานชาดกที่ว่าด้วยการบำเพ็ญบารมีของพระเวสสันตรโพธิสัตว์ อันเป็นพระชาติสุดท้ายก่อนตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นที่มาของการสร้างสรรค์วรรณคดีไทยหลายเรื่อง ประกอบด้วย คาถาพัน คือเวสสันตรชาดกในมหานิบาตชาดกที่แต่งเป็นคาถาหรือร้อยกรองภาษาบาลีในพระไตรปิฎก (ตรวจสอบจากฉบับกรมศิลปากรพิมพ์เผยแพร่พุทธศักราช 2514) และ นิบาตชาดก คืออรรถกถาเวสสันตรชาดกที่พระภิกษุและคฤหัสถ์ผู้รู้ภาษาบาลีแปลและเรียบเรียงเป็นร้อยแก้วภาษาไทย ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ตรวจสอบจากหนังสือ “นิบาตชาดก เล่ม 22 เวสสันตรชาดก ในมหานิบาต” ฉบับพุทธศักราช 2474 พร้อมทั้งนำพระบรมราชาธิบายเรื่องนิบาตชาดก พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มารวมพิมพ์ไว้ด้วย หนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจเรื่องชาดกและวรรณคดีพุทธศาสนาต่อไป        จำหน่ายราคาเล่ม 400 บาท ผู้สนใจสามารถซื้อได้ที่ร้านหนังสือกรมศิลปากร (อาคารเทเวศร์) หรือสั่งซื้อหนังสือทางออนไลน์ https://bookshop.finearts.go.th หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook ศูนย์หนังสือกรมศิลปากร (ในวันและเวลาราชการ) *(ออกแบบภาพประกอบ ณภัทร เตชพาหพงษ์)  



ผู้แต่ง : ชมรมอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีเชียงใหม่ ปีที่พิมพ์ : 2539 สถานที่พิมพ์ : ม.ป.ท. สำนักพิมพ์ : ม.ป.พ.      เชียงใหม่มีอายุยืนยาวนานมาถึง 700 ปี ในปีพ.ศ. 2539 เป็นปีที่มีความหมายสำหรับชาวเชียงใหม่ ที่มีความสำคัญสำหรับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมือง โดยเฉพาะเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามหลายสิ่งหลายประการที่ได้นิยมนับถือปละปฏิบัติสืบสานกันต่อมา ในด้านวัฒนธรรมประเพณีท่านที่มีความรู้ ผู้ทรงคุณวุฒิ พระสงฆ์องค์เจ้า ได้รวบรวมจัดทำคู่มือเป็นหนังสือรูปเล่มอยู่จำนวนไม่น้อย ที่จะได้ถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจเป็นแบบปฏิบัติในด้านประเพณีต่างๆ ของบ้านเมืองไว้เป็นมรดกตกทอดสืบสานต่อไปยังลูกหลาน ในวาระที่บ้านเมืองมีอายุได้ถึง 700 ปีในครั้งนี้ชมรมอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีเชียงใหม่จึงได้รวบรวมเรียบเรียงประเพณีที่ดีงามต่างๆ ของท้องถิ่น และยังมีความจำเป็นสำหรับวิถีชีวิตประจำวันขึ้นในเวลาที่เป็นมงคล



โบราณสถานนอกกำแพงเมืองทิศตะวันออก ชื่อโบราณสถาน                                                 วัดตระพังช้าง   ที่ตั้ง                                           อยู่นอกกำแพงเมืองบริเวณห่างจากมุมกำแพงเมืองด้านทิศตะวันออก  เฉียงเหนือประมาณ ๓๐๐ เมตร   และฝั่งตะวันออกของห้วยแม่ลำพันบริเวณที่เป็นคันดินยกพื้นสูง ที่เรียกว่าคันน้ำอ่างเก็บน้ำโบราณหมาย  เลข ๒ ในเขตตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย   พิกัดทางภูมิศาสตร์                           รุ้ง ๑๗ องศา ๑ ลิปดา ๓๕ พิลิปดาเหนือ                                                 แวง ๙๙ องศา ๔๒ ลิปดา ๕๙ พิลิปดาตะวันออก   อายุสมัย                                                -   ลักษณะและสภาพ                            เป็นเนินโบราณสถาน ไม่ทราบรูปร่าง มีแนวก่ออิฐและร่องรอยของชิ้นส่วนกระเบื้องมุงหลังคา เนินโบราณสถานแห่งนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๑๐ เมตร ทางทิศตะวันออกของโบราณสถาน มีสระน้ำใหญ่ขนาดกว้าง ๕๐ เมตร ยาว ๘๐ เมตร อยู่ เรียกว่า ตะพังช้าง เป็นส่วนหนึ่งของโบราณสถานกลุ่มนี้   ประวัติ                                        ไม่ปรากฏหลักฐานทางด้านเอกสารและศิลาจารึก   การดำเนินการ                                ๑. ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา     เล่ม ๕๒ ตอนที่ ๗๕ วันที่  ๘ มีนาคม ๒๔๗๘                                                 ๒. ขุดแต่ง พ.ศ.2556 ชื่อโบราณสถาน                                                 วัดโบสถ์   ที่ตั้ง                                           อยู่นอกกำแพงเมืองสุโขทัยทางด้านทิศตะวันออก โดยอยู่ห่างจากมุมกำแพงเมืองด้าน ทิศตะวันออกเฉียงเหนือไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๑.๕ กิโลเมตร และอยู่ในเขต อ่างเก็บน้ำโบราณหมายเลข ๒ ใกล้กับคันดินกั้นน้ำ บริเวณมุมอ่างเก็บน้ำด้านทิศ ตะวันออกเฉียงใต้  ในเขตตำบลเมืองนา อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย   พิกัดทางภูมิศาสตร์                           รุ้ง ๑๗ องศา ๑ ลิปดา ๓๐ พิลิปดาเหนือ                                                 แวง ๙๙ องศา ๔๓ ลิปดา ๓๐ พิลิปดาตะวันออก   อายุสมัย                                                -   ลักษณะและสภาพ                            เป็นเนินโบราณสถานที่อยู่บริเวณอ่างเก็บน้ำโบราณ โดยมีร่องรอยแนวศิลาแลงเป็นผนังกั้นดินอยู่โดยรอบเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดพื้นที่กว้าง ๒๐ เมตร ยาว ๓๐ เมตร บนเนินดินเป็นซากโบรานสถานยังไม่ได้ขุดแต่งและบูรณะ มีร่องร่อยของการเรียงอิฐ และเสาศิลาแลงกลม ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นอุโบสถกลางน้ำ ตามชื่อที่เรียก   ประวัติ                                        ไม่ปรากฏหลักฐานทางด้านเอกสารและศิลาจารึก   การดำเนินการ                                ๑. ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา     เล่ม ๕๒ ตอนที่ ๗๕ วันที่  ๘ มีนาคม ๒๔๗๘                                                 ๒. ยังไม่ได้มีการขุดแต่งและบูรณะ ชื่อโบราณสถาน                                                 วัดปากท่อ   ที่ตั้ง                                           อยู่นอกกำแพงเมืองเก่าสุโขทัยด้านทิศตะวันออก โดยห่างจากมุมกำแพงด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ออกมาทางทิศตะวันออกประมาณ ๑.๖ กิโลเมตร และอยู่ติดกับมุมด้านนอกของอ่างเก็บน้ำโบราณหมายเลข ๒ ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ โดยห่างประมาณ ๒๐-๓๐ เมตร ในเขตตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย   พิกัดทางภูมิศาสตร์                           รุ้ง ๑๗ องศา ๑ ลิปดา ๒๘ พิลิปดาเหนือ                                                 แวง ๙๙ องศา ๔๓ ลิปดา ๑ พิลิปดาตะวันออก   อายุสมัย                                                -   ลักษณะและสภาพ                            เป็นเนินโบราณสถาน ไม่ทราบรูปร่าง มีร่องรอยของแนวอิฐและเสาศิลาแลงกลมปรากฏอยู่ เส้นผ่าศูนย์กลางของโบราณสถานนี้ประมาณ ๒๗ เมตร โบราณสถานนี้มีร่องรอยของคูน้ำล้อมรอบบริเวณเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้าง ๒๕ เมตร ยาว ๓๐ เมตร คูน้ำตื้นเขินไปมากแล้ว ขนาดความกว้างของคูประมาณ ๗-๘ เมตร   ประวัติ                                        ไม่ปรากฏหลักฐานทางด้านเอกสารและศิลาจารึก   การดำเนินการ                                ขุดแต่ง พ.ศ.2556 ชื่อโบราณสถาน                                                 วัดอีฝ้าย   ที่ตั้ง                                           อยู่นอกกำแพงเมืองด้านทิศตะวันออก โดยอยู่ห่างจากประตูกำแพงหักไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ ๖๐๐ เมตร และอยู่ห่างจากวัดหญ้ากร่อนไปทางทิศเหนือประมาณ ๑๕๐ เมตร ในเขตตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย   พิกัดทางภูมิศาสตร์                           รุ้ง ๑๗ องศา ๑ ลิปดา ๒๐ พิลิปดาเหนือ                                                 แวง ๙๙ องศา ๔๓ ลิปดา ๐ พิลิปดาตะวันออก   อายุสมัย                                                -   ลักษณะและสภาพ                            เป็นเนินโบราณสถานมีแนวเรียงอิฐและเสาศิลาแลงกลม ไม่ทราบรูปร่างแน่ชัด มีขนาดของเนินดินกว้าง ๑๕ เมตร ยาว ๒๕ เมตร   ประวัติ                                        ไม่ปรากฏหลักฐานทางด้านเอกสารและศิลาจารึก   การดำเนินการ                                ๑. ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่ม๕๒ ตอนที่ ๗๕ วันที่  ๘ มีนาคม ๒๔๗๘                                                 ๒. ขุดแต่ง พ.ศ. 2555 ชื่อโบราณสถาน                                                 วัดหญ้ากร่อน   ที่ตั้ง                                           อยู่นอกกำแพงเมืองด้านทิศตะวันออก โดยอยู่ห่างจากประตูกำแพงหักไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ประมาณ ๔๐๐ เมตร และอยู่ห่างจากห้วยแม่ลำพันไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๑๕๐ เมตร  ในเขตตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย   พิกัดทางภูมิศาสตร์                           รุ้ง ๑๗ องศา ๑ ลิปดา ๑๕ พิลิปดาเหนือ                                                 แวง ๙๙ องศา ๔๓ ลิปดา ๐ พิลิปดาตะวันออก   อายุสมัย                                      สุโขทัย   ลักษณะและสภาพ                            เป็นกลุ่มโบราณสถานขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ที่โดยรอบเนินที่ตั้งมีคูน้ำล้อมรอบอยู่ทั้ง ๔ ด้าน กลุ่มโบราณสถานวัดหญ้ากร่อนนี้ประกอบด้วย โบราณสถานดังต่อไปนี้ ๑.      ฐานวิหาร ๕ ห้อง ก่ออิฐ และมีเสาทำด้วยศิลาแลงกลม ขนาดกว้างประมาณ ๘ เมตร ยาว ๑๘ เมตร ตั้งอยู่กลางเนิน ๒.      ฐานเจดีย์ทรงกลมแบบลังกา ขนาด ๑๒ x ๑๒ เมตร ก่อด้วยอิฐตั้งอยู่ด้านหลัง หรือทิศตะวันตกของวิหาร ๓.      ฐานเจดีย์รายก่ออิฐ จำนวน ๔ องค์ ตั้งอยู่เรียงรายทั่วไป ๔.      ฐานวิหารเล็กก่ออิฐ เสาทำด้วยศิลาแลง ขนาดกว้าง ๓ เมตร ยาว ๕ เมตร ตั้งอยู่ระหว่างกลางของวิหาร ๕ ห้อง กับเจดีย์ประธานทรงกลม ๕.      ฐานศาลาก่ออิฐ ทำด้วยศิลาแลงกลม ขนาด ๔ เมตร ยาว ๕ เมตร ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของวิหารใหญ่ ๖.      คูน้ำที่ล้อมรอบกลุ่มโบราณสถานทั้งหมดไว้มีขนาดกว้างประมาณ ๖ เมตร ล้อมรอบพื้นที่ที่ตั้งโบราณสถานเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีขนาดกว้าง ๔๐ เมตร ยาว ๖๐ เมตร   ประวัติ                                        ไม่ปรากฏหลักฐานทางด้านเอกสารและศิลาจารึก   การดำเนินการ                                ๑. ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา     เล่ม ๔๒ ตอนที่ ๗๕ วันที่    ๘ มีนาคม ๒๔๗๘                                                 ๒. ขุดแต่งและบูรณะ พ.ศ. ๒๕๑๕



 อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรน้อมใจปลูกดอกไม้สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์แห่งความจงรักภักดีและถวายความอาลัยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ทำโครงการปลูกต้นไม้มงคลจำนวน ๒๕๐ ต้น ดาวเรือง จำนวน ๑๐,๐๐๐ ต้น และปอเทือง จำนวน ๓๐ ไร่ ในพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร รวมทั้งปล่อยพันธุ์ปลา ๕๐,๐๐๐ ตัวลงคูเมืองกำแพงเพชร เมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๐ เนื่องในวันแม่แห่งชาติ และเป็นการสนองนโยบายของกระทรวงมหาดไทยที่ชวนคนไทยร่วมกันปลูกดอกดาวเรืองหรือดอกไม้สีเหลืองให้บานสะพรั่งทั่วแผ่นดินในห้วงวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ ๙ ขณะนี้ดอกปอเทืองเริ่มออกดอกสีเหลืองมาตั้งแต่ วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ และคาดว่าจะบานสะพรั่งในช่วงวันพระราชพิธี และบานต่อเนื่องไปจนถึงกลางเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ ส่วนดอกดาวเรืองจะเอาออกมาประดับสถานที่ในช่วงใกล้วันพระราชพิธี  โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดกำแพงเพชร สถานีพัฒนาที่ดินกำแพงเพชร สถานีวิจัยประมงน้ำจืดจังหวัดกำแพงเพชร ภาคเอกชน และประชาชนในท้องถิ่น นักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไปสามารถเข้ามาเที่ยวชมและถ่ายภาพเป็นที่ระลึกที่ทุ่งปอเทืองได้ในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรเขตภายในกำแพงเมืองใกล้ประตูผี นอกจากจะได้ถ่ายภาพที่สวยงามกับทุ่งปอเทืองแล้ว ยังสามารถเที่ยวชมโบราณสถาน กำแพงเมือง ป้อม ประตูเมืองโบราณกำแพงเพชรได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทางอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรขอความกรุณาเพียงอย่าเหยียบย่ำทำให้ต้นปอเทืองเสียหาย และช่วยกันรักษาความสะอาดพื้นที่ เพื่อถนอมให้ต้นปอเทืองสวยงาม เป็นสัญลักษณ์แห่งการถวายความอาลัยแด่พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่อันเปรียบประดุจ"พ่อ" ผู้เป็นที่รักยิ่งของพวกเรา  ที่ไหนๆก็มีปอเทือง ที่ไหนๆก็มีโบราณสถาน แต่ที่นี่มีปอเทืองอยู่กับโบราณสถาน คือผลพลอยได้จากการแสดงออกถึงความรักและอาลัยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๙ การท่องเที่ยวและการถ่ายภาพสวยงาม...แท้จริงเพื่อคลายความทุกข์โศกและเยียวยาจิตใจของพวกเราชาวไทยมิให้เศร้าโศกจนสุดทน ผลที่ได้ตามมาคือการปรับปรุงบำรุงดินเพื่อเตรียมฟื้นคืนผืนป่าตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ มาแล้วอย่าลืมเลยไปเที่ยวโบราณสถานสำคัญในเขตอรัญญิก และเขตวัดพระแก้ว วัดพระธาตุ กลางเมืองกำแพงเพชร มีค่าใช้จ่ายเขตละ ๒๐ บาทสำหรับคนไทย และเขตละ ๑๕๐ บาทสำหรับชาวต่างชาติ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ๐๙๕-๓๐๗-๘๒๑๑ , ๐๕๕-๘๕๔-๗๓๖ , ๐๕๕-๘๕๔-๗๓๗




วันพุธที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓ เวลา ๑๕.๓๐ น. คณะผู้ประกอบกิจการท่องเที่ยว จังหวัดสุรินทร์ จำนวน ๔ คน เข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ โดยมี นางสาวอรุณี แซ่เล้า หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ ให้การต้อนรับและบรรยายนำชม


พระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ กับจังหวัดชัยนาท                  ตลอดระยะเวลานับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ เป็นต้นมา  พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจและทรงเยี่ยมพสกนิกรทั่วภูมิภาคแม้แต่ในท้องถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศ  ทรงตรากตรำพระวรกายเข้าไปแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือพสกนิกร เพื่อให้เกิดประโยชน์สุขเป็นที่ประจักษ์กันโดยทั่วไป สมดังพระปฐมบรมราชโองการ ที่พระราชทานในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก “….เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม…”             ซึ่งพระองค์ได้ทรงถือปฏิบัติตามพระราชปณิธานดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอตลอดมาจนบังเกิดประโยชน์แก่บ้านเมืองและพสกนิกรเป็นอเนกอนันต์              พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจที่จังหวัดชัยนาท เมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๙๘ โดยเสด็จพระราชดำเนินไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ ณ วัดพระบรมธาตุวรวิหาร  ตำบลชัยนาท  อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท และได้เสด็จประทับแรม ณ เขื่อนเจ้าพระยา  ในวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๔๙๘ เสด็จทอดพระเนตรความก้าวหน้างานก่อสร้างเขื่อนเจ้าพระยา 


black ribbon.