ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 42,947 รายการ
องค์ความรู้จากสำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่เรื่อง "เวียงกุมกาม ปริศนาแห่ง ปิงเก่า กานโถม น้ำท่วม"เรียบเรียงโดย : นายสายกลาง จินดาสุ นักโบราณคดีชำนาญการ. เวียงกุมกาม เมืองโบราณสำคัญของอาณาจักรล้านนาที่หลายคนขนานนามว่า “ราชธานีก่อนเมืองเชียงใหม่” ด้วยเป็นเมืองที่พญามังราย ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์มังราย สร้างขึ้นหลังจากยึดครองเมืองหริภุญชัย และก่อนการสถาปนาเมืองเชียงใหม่ นอกจากนั้น หลายท่านยังรู้จักเมืองแห่งนี้ในฉายาที่ชวนตื่นเต้นติดตามว่า “นครโบราณใต้พิภพ” เนื่องจากหลักฐานโบราณสถานวัดร้างอยู่ลึกกว่าผิวดินปัจจุบันร่วม 2.5 เมตร เอกสารประวัติศาสตร์เกือบทุกฉบับกล่าวถึงการสร้างเวียงกุมกามโดยพญามังรายว่า สร้างในปี 1829 หลังจากที่ยึดครองเมืองหริภุญชัยได้ 2 ปี (มีเพียงเอกสารชินกาลมาลีปกรณ์ที่กล่าวว่า สร้างในปี 1846 ซึ่งน่าจะเป็นเนื้อหาและปีที่คลาดเคลื่อนเนื่องจากเอกสารระบุว่าสร้างขึ้นหลังการก่อสร้างเมืองเชียงใหม่ ในปี 1839). ชื่อของเวียงกุมกาม ปรากฏในเอกสารประวัติศาสตร์ของล้านนาหลายฉบับ โดยปรากฏชื่อเรียกทั้ง “กูมกาม” “กุมกาม” และ “เชียงกุ่มกวม” เนื้อหาจากเอกสารประวัติศาสตร์ แสดงให้เห็นว่าพื้นที่เวียงกุมกามเป็นที่ลุ่มต่ำที่น่าจะประสบปัญหาน้ำท่วมตั้งแต่ก่อนที่พญามังรายจะสร้างเมือง บริเวณที่พญามังรายเลือกสร้างเมือง คือ บ้านเชียงกุ่มกวม โดยเอกสารระบุว่า “ตั้งอยู่บ้านเชียงกุ่มกวม แม่น้ำระมิงค์...” เนื้อความดังกล่าวมีสิ่งที่น่าสนใจ คือ หากลองเว้นวรรคคำใหม่ จะเห็นบริบทที่แสดงกายภาพเมือง คือ “ตั้งอยู่บ้านเชียงกุ่ม กวมน้ำแม่ระมิงค์” นั่นคือการตั้งเมืองของพญามังราย กวม หรือ คร่อมทับ แม่น้ำปิง. ในครานั้นพญามังรายตั้งหมู่บ้าน 3 แห่ง คือ บ้านนกลาง บ้านลุ่ม และบ้านแห้ม จากนามบ้านพบว่า ชื่อ “บ้านลุ่ม” กับ “บ้านแห้ม” แสดงกายภาพการเป็นพื้นที่ที่น่าจะประสบเรื่องน้ำท่วมขัง (ภาษาล้านนา คำว่า “แห้ม” หมายถึง ลักษณะพื้นที่หรือสิ่งของที่กำลังกลายสภาพจากเปียกเป็นแห้ง). ในการสืบค้นความเปลี่ยนแปลง และพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของพื้นที่หลักฐานสำคัญชิ้นแรกที่ช่วยคลี่คลายอดีตของเวียงกุมกาม คือ ภาพถ่ายทางอากาศปี 2497 จากภาพถ่าย ปรากฏร่องน้ำที่ไหลผ่านเวียงกุมกาม 3 แนว คือ 1.ร่องน้ำที่ไหลผ่านด้านทิศตะวันตกขนาบลำน้ำปิงสายปัจจุบัน 2.ร่องน้ำที่ไหลผ่านกลางเวียง ด้านทิศตะวันตกของวัดกานโถมช้างค้ำ 3.ร่องน้ำที่ไหลผ่านทิศเหนือของเวียงกุมกามแล้วโค้งวกลงด้านตะวันออกเฉียงใต้. หากท่านเคยไปเที่ยวชมเวียงกุมกาม จะสังเกตเห็นกายภาพหนึ่งที่ชวนสงสัย คือ ระดับชั้นดินเดิมของแต่ละวัดและความลึกในการทับถมของดินแตกต่างกันออกไป โดยบริเวณ วัดอีค่าง หนานช้าง ปู่เปี้ย กู่ป้าด้อม ที่อยู่บริเวณกลางเมือง มีระดับชั้นทับถมที่ลึกกว่าบริเวณอื่น คือ ลึก1.5 - 2.5 เมตร. ประเด็นดังกล่าวได้ถูกไขให้กระจ่างด้วยจากการศึกษาทางธรณีวิทยา โดยการเจาะสำรวจชั้นตะกอนทรายลงไปที่ความลึก 10 เมตร (ตะกอนทรายคือดัชนีชี้ถึงการเป็นท้องน้ำเดิม) ซึ่งดำเนินการโดย รศ.ฟองสวาท สุวคนธ์ สิงหราชวราพันธ์ จากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบว่าบริเวณร่องน้ำที่ไหลผ่านกลางเวียง ด้านทิศตะวันตกของวัดช้างค้ำ (ร่องน้ำนี้ครอบคลุมพื้นที่ของวัดอีค่าง หนานช้าง ปู่เปี้ย กู่ป้าด้อม) ที่ระดับความลึก 8 - 10 เมตร พบตะกอนทรายกระจายเป็นพื้นที่กว้างเทียบเท่ากับความกว้างแม่น้ำปิงในปัจจุบัน และตะกอนทรายได้ค่อยๆลดความกว้างของแนวจนเริ่มตื้นเขินที่ความลึก 4 เมตร และสิ้นสภาพการเป็นลำน้ำที่ระดับความลึก 2 - 3 เมตร จึงได้กลายเป็นระดับที่ตั้งของวัดอีค่าง หนานช้าง ปู่เปี้ย กู่ป้าด้อม. จึงสรุปได้ว่าร่องน้ำที่ไหลผ่ากลางเวียง คือแม่น้ำปิงสายที่มีอายุเก่าที่สุดของพื้นที่ ที่ได้สิ้นสภาพการเป็นลำน้ำลงและกลายเป็นพื้นที่ตั้งวัดทั้ง 4 แห่งในเวลาต่อมา. ซึ่งเมื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาพิจารณาประกอบกับอายุสมัยของวัดทั้ง 4 แห่ง ที่กำหนดอายุอยู่ในช่วงต้น - กลางพุทธศตวรรษที่ 21 กล่าวได้ว่า ลำน้ำปิงสายที่ผ่ากลางเวียงกุมกามนี้น่าจะสิ้นสภาพไปก่อนต้นพุทธศตวรรษที่ 21 (จึงปรากฏวัดที่มีศิลปกรรมช่วงพุทธศตวรรษที่ 21 ในบริเวณร่องน้ำปิงนี้) ขณะเดียวกันก็ได้เกิดแนวร่องน้ำปิงหลักสายใหม่ คือ ร่องน้ำปิงที่ไหลผ่านเวียงกุมกามทางทิศเหนือขึ้นมาแทนที่ พร้อมกับการเริ่มมีวัดและชุมชนขึ้นกระจายตามแนวน้ำปิงสายใหม่ ดังเห็นได้จากโบราณสถานของเวียงกุมกามที่ตั้งอยู่ตามแนวลำน้ำปิงสายใหม่ที่ไหลผ่านทางทิศเหนือของเมือง อาทิ วัดพญาเม็งราย วัดพระเจ้าองค์ดำ วัดอีค่าง วัดหนานช้าง วัดกุมกามทีปราม วัดหัวหนอง โดยทุกวัดล้วนแต่หันหน้าไปทางทิศเหนือเข้าหาแม่น้ำปิงสายนี้. ผลการศึกษาทางธรณีวิทยาที่ยืนยันถึงแนวลำน้ำปิงที่มีอายุเก่าสุดที่ผ่ากลางเวียงกุมกาม ได้ช่วยไขปริศนาเกี่ยวกับทิศทางการหันหน้าของวัดกานโถม(ช้างค้ำ) ที่อยู่ในความสงสัยของนักประวัติศาสตร์ โบราณคดีมาเนิ่นนาน เนื่องด้วยเป็นเพียงวัดเดียวในเวียงกุมกามที่หันหน้าแตกต่างจากวัดอื่น โดยหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ขณะที่วัดอื่นๆ ล้วนแต่หันไปทางทิศตะวันออกตามคติการสร้างวัดในล้านนา และหันไปทางทิศเหนือหรือตะวันออกเฉียงเหนือรับกับแม่น้ำปิงสายใหม่ที่เป็นเส้นทางคมนาคม เมื่อพิจารณาที่ตั้งของ วัดกานโถมช้างค้ำ พบว่าตั้งอยู่บริเวณริมน้ำปิงสายที่เก่าที่สุดที่ผ่ากลางเวียง ดังนั้นการหันหน้าไปทางทิศตะวันตก คือ การหันหน้าเข้าหาแม่น้ำปิงสายเดิมสายแรกของพื้นที่ที่น่าจะเป็นเส้นทางคมนาคมหลักในเวลานั้นนั่นเอง. จากที่กล่าวไปในข้างต้น จึงสรุปในตอนแรกนี้ได้ว่า เวียงกุมกามน่าจะสร้างคร่อมแนวลำน้ำปิงเดิม โดยมีวัดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน คือ กู่คำ(วัดเจดีย์เหลี่ยม) และ วัดกานโถม(ช้างค้ำ) ที่หันหน้าเข้าหาร่องน้ำปิงเก่านี้. จากข้อวิเคราะห์ในข้างต้น นำมาซึ่งประเด็นที่ต้องอภิปรายขยายความต่อในเรื่องกายภาพเมืองครั้งแรกสร้างว่า ในเมื่อความเป็นเวียงกุมกามตั้งอยู่ทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออกของแม่น้ำปิงสายเก่าสายแรกสุด แล้วความเป็นเวียงที่เป็น คู-คันดิน ที่ปรากฏเห็นในภาพถ่ายทางอากาศและถูกกล่าวถึงในเอกสารประวัติศาสตร์หลายฉบับที่ว่า พญามังรายสร้างเมืองโดยขุดคูเมืองทั้งสี่ด้านและชักน้ำปิงเข้าคู เกิดขึ้นเมื่อใด. เมื่อกลับมาตั้งต้นที่ภาพถ่ายทางอากาศปี 2497 จะเห็นแนวกำแพงเมือง - คูเมืองด้านทิศใต้ ทับร่องน้ำปิงสายเก่า(สายแรก) จากหลักฐานดังกล่าววิเคราะห์ได้ในทันทีว่า กำแพง - คูของเวียงกุมกาม ควรถูกสร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 21 ที่ลำน้ำปิงสายเก่านี้ได้สิ้นสภาพไปแล้ว ดังนั้นเวียงกุมกามที่พญามังรายสถาปนาขึ้นในปี 1829 น่าจะมิได้มีกายภาพเมืองที่มีขอบเขตเป็นคูน้ำ - คันดิน แต่น่าจะมีสภาพเป็นชุมชนขนาดใหญ่ (โดยความเห็นส่วนตัว ผู้เขียนคิดว่าพญามังรายมิได้ตั้งใจสร้างเวียงกุมกามให้เป็นราชธานี แต่พญามังรายอาจมีหมุดหมายในใจเป็นพื้นที่บริเวณเมืองเชียงใหม่หรือบริเวณที่ราบระหว่างดอยสุเทพและแม่น้ำปิงมาแต่เดิม แต่การมาใช้พื้นที่เวียงกุมกามอาจเป็นการมาปักหลักอิทธิพลในพื้นที่บริเวณนี้เพื่อรอเวลาที่เหมาะสมในการสร้างเมืองเชียงใหม่). และมาถึงประเด็นสำคัญอีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้เวียงกุมกามถูกพูดถึงและเป็นที่รู้จักอย่างมาก คือ ความเข้าใจที่ว่าเวียงกุมกามเป็นเมืองที่ร้างไปจากสาเหตุน้ำท่วมใหญ่. ประเด็นนี้ได้รับการพิสูจน์โดยการศึกษาชั้นดินทับถมทางโบราณคดีโบราณสถานในเวียงกุมกาม ซึ่งพบว่า เหตุการณ์น้ำท่วมได้เกิดขึ้นภายหลังเหตุการณ์การทิ้งร้างพื้นที่. กล่าวคือ ชั้นดินจากการขุดค้นโบราณสถานหลายแห่งพบชั้นปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างของโบราณสถานอยู่ใต้ชั้นดินน้ำท่วม(คนละชั้นดิน) แสดงให้เห็นว่า ณ ช่วงเวลาหนึ่ง โบราณสถานได้ขาดการทำนุบำรุงไปก่อนหน้า (สาเหตุที่จะทำให้โบราณสถานขาดการดูแลได้ทั่วทั้งเมือง คงมาจากการอพยพของชาวเมืองไปจากพื้นที่ทั้งหมด ซึ่งน่าจะมีเหตุปัจจัยจากการศึกสงคราม) ทำให้โบราณสถานถูกทิ้งร้าง เมื่อเกิดน้ำท่วมใหญ่ในเวลาต่อมา น้ำจึงพัดพาตะกอนดินมาทับถมซากปรักหักพังของโบราณสถานที่อยู่บนพื้นใช้งานเดิม หลักฐานจากการขุดทางโบราณคดีที่วัดหนานช้าง คือตัวอย่างที่สามารถวิเคราะห์ช่วงเวลาการเกิดน้ำท่วมใหญ่ได้ว่าเกิดในห้วงพุทธศตวรรษที่ 22 สิ่งที่ช่วยยืนยันห้วงเวลาการเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวคือ การฝังไหที่มีเครื่องถ้วยจีนและเครื่องใช้สำริดบรรจุอยู่กว่า 51 รายการ ใต้ผิวดินของวัด โดยหนึ่งในจำนวนนั้น คือ เครื่องถ้วยเขียนสีครามใต้เคลือบ ลายนกฟีนิกซ์ (บ้างเรียกว่าลาย “หงส์”) ที่ก้นเครื่องถ้วยปรากฏตราประทับอักษรจีนความว่า “ต้า หมิง วัน ลี่” นั่นคือ เครื่องถ้วยชิ้นนี้ถูกทำขึ้นในรัชกาลของพระเจ้าวันลี่แห่งราชวงศ์หมิงที่ครองราชย์ในปี 2116 - 2162 เมื่อเครื่องถ้วยชิ้นนี้อยู่ใต้ชั้นทับถมของตะกอนน้ำท่วม จึงหมายความว่า เหตุการณ์น้ำท่วมต้องเกิดขึ้นหลังห้วงเวลาของเครื่องถ้วยชิ้นนี้ คือ เกิดขึ้นในปีใดปีหนึ่งระหว่าง พ.ศ.2116 - 2162 หรือ อาจเกิดขึ้นหลัง พ.ศ.2162 จากหลักฐานดังกล่าวจึงสรุปได้ว่า เวียงกุมกามได้ร้างลงไปก่อนหน้าเหตุกาณ์น้ำท่วมใหญ่ในปลายพุทธศตวรรษที่ 22. ทั้งหมดนี้ คือเรื่องราวในร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดี ผ่านสายน้ำปิง โบราณสถาน และชั้นดินทับถม ดังชื่อตอน “เวียงกุมกาม : ปิงเก่า กานโถม น้ำท่วม”
ชื่อผู้แต่ง ทัศนัยย์ พิกุลและศรีอุทัย เศรษฐพานิช
ชื่อเรื่อง หอสมุดแห่งชาติสาขาวัดดอนรัก สงขลา และวัดดอนรัก จังหวัดสงขลา
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ กรุงเทพฯ
สำนักพิมพ์ ศักดิ์โสภาการพิมพ์
ปีที่พิมพ์ 2525
จำนวนหน้า 20 หน้า
รายละเอียด หนังสือที่ระลึกเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จำระเจ้าอยู่หัว (ร.๙)ทรงโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามกุฏราชกุมาร (ร.๑๐)เสด็จพระราชดำเนินแทน ทรงประกอบพิธีเปิดอาคารหอสมุดแห่งชาติสาขา วัดดอนรัก เมื่อ ๒๕ กันยายน พ.ศ.๒๕๒๕ เนื้อหาประกอบด้วยประวัติจัดตั้งหอสมุดแห่งชาติวัดดอนรักและประวัติวัดดอนรัก
ชื่อผู้แต่ง เบญจกุล มะกะระธีช
ชื่อเรื่อง ความรู้เกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ พระนคร
สำนักพิมพ์ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ไทยสงเคราะห์ไทย
ปีที่พิมพ์ ๒๕๑๒
จำนวนหน้า ๗๖ หน้า
หมายเหตุ อนุสรณ์ งานพระราชทานเพลิงศพ ขุนสุนทรรัตนารักษ์
ความรู้เกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร ตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๔๙๙ การทะเบียน หมายถึง การจดบัญชีลักษณะของคน และสิ่งของต่างๆ ๆว้เพื่อบันทึกความทรงจำ หรือเพื่อเป็นหลักฐานไว้ในการตรวจสอบ การทะเบียนราษฎร แยกออกเป็นทะเบียน ๔ ประเภท คือ ทะเบียนบ้าน ทะเบียนคน ทะเบียนเกิด และทะเบียนคนตาย
รายงานสรุปเบื้องต้น การดำเนินงานทางโบราณคดี (เดือนเมษายน 2565) โครงการศึกษาทางโบราณคดีและรูปแบบสถาปัตยกรรมกลุ่มโบราณสถานทางทิศตะวันตกของเจดีย์ประธาน โบราณสถานเขาคลังนอก ปีงบประมาณ 2565
>>>โบราณสถานค.น.9/2<<<
กรมศิลปากร โดยสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จัดอบรมเชิงปฏิบัติการสำหรับภัณฑารักษ์ เพื่อ ตรวจพิสูจน์โบราณวัตถุศิลปะคันธาระ ระหว่างวันที่ ๙ – ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๕ ณ ห้องประชุมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป และคลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า ในระยะเวลา ๒ ปีที่ผ่านมา มีผู้นำ วัตถุเลียนแบบโบราณวัตถุสกุลช่างคันธาระ มาขอรับใบอนุญาตจากกรมศิลปากรเพื่อนำส่งออกนอกราชอาณาจักรไทยมากขึ้น ซึ่งสกุลช่างคันธาระนั้นเป็นผลงานการสร้างพุทธศิลปกรรมภายใต้ราชวงศ์กุษาณะเมื่อราว ๑,๙๐๐ ปีมาแล้ว บริเวณประเทศปากีสถานในปัจจุบัน เป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นสมัยแรกที่มีการสร้างพระพุทธรูป จึงเป็นมรดกวัฒนธรรมสำคัญของโลก กรมศิลปากรเล็งเห็นถึงความสำคัญในการตรวจพิสูจน์ของภัณฑารักษ์กรมศิลปากร ที่จะช่วยปกป้องคุ้มครองมรดกของโลกนี้ได้ หากมีความแม่นยำในการตรวจพิสูจน์ และรู้เท่าทันสถานการณ์ลักลอบค้าโบราณวัตถุดังกล่าว จึงมอบหมายสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ เพื่อให้ภัณฑารักษ์ผู้ปฏิบัติงานตรวจพิสูจน์โบราณวัตถุได้รับความรู้ความเข้าใจในเรื่องศิลปะคันธาระอย่างครอบคลุม ในหลายมิติ โดยได้รับเกียรติจากนายฟารุก ชารีฟ อุปทูตที่ปรึกษาด้านการค้าและการลงทุน สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานประจำประเทศไทย มาให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายและนโยบายด้านการคุ้มครองมรดกวัฒนธรรมของปากีสถาน Dr.E’tienne CLE’MENT ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายลักลอบค้าโบราณวัตถุระหว่างประเทศของยูเนสโก บรรยายเรื่องสถานการณ์และนโยบายการควบคุมการลักลอบค้าโบราณวัตถุระหว่างประเทศ ดร.วรรณพร เรียนแจ้ง นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์โบราณคดีคันธาระ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้แทน กรมศุลกากร ร่วมบรรยายกับภัณฑารักษ์และนักวิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์ ของสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อธิบดีกรมศิลปากร ยังกล่าวอีกว่า กิจกรรมนี้นับเป็นความร่วมมือทางวิชาการระหว่างไทยและ ปากีสถานที่กรมศิลปากรดำเนินงานต่อเนื่องมาจากปี ๒๕๖๔ ซึ่งเป็นปีที่ครบรอบ ๗๐ ปี สัมพันธไมตรีทางการทูตระหว่างรัฐบาลไทยและปากีสถานพระพุทธรูป หิน และชิ้นส่วนพระพุทธรูปปูนปั้น ศิลปะคันธาระ อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐ พบที่เมืองฮัดดา ประเทศอัฟกานิสถาน จัดแสดงที่ห้องเอเชีย อาคารมหาสุรสิงหนาท พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
องค์ความรู้ เรื่อง “หนังตะลุง” ศิลปะการแสดงพื้นบ้านภาคใต้ ตอนที่ ๑ เครื่องดนตรี ค้นคว้า/เรียบเรียงโดย นางปรางวไล ทองบัว เจ้าพนักงานพิพิธภัณฑ์ปฏิบัติงาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช
กรมศิลปากร เตรียมจัดนิทรรศการพิเศษชุดใหญ่ส่งท้ายปีของกรมศิลปากร เรื่อง “เซรามิกแห่งแหลมทองและแดนอาทิตย์อุทัย: สานตำนานสายใยไม่เสื่อมคลายในพาณิชยวัฒนธรรมโลก” (The Endless Epic of Japanese-Thai Ceramic Relationship in the World’s Trade and Culture)” ซึ่งเป็นความร่วมมือแลกเปลี่ยนนิทรรศการและวัฒนธรรมระหว่างกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ประเทศไทย และจังหวัดซากะ ประเทศญี่ปุ่น นำโบราณวัตถุ จาก “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเซรามิกคิวชู” พิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น มาจัดแสดงให้ชม ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร รอติดตามชมกันได้ในเร็วๆ นี้
#佐賀県有田焼展覧会バンコク国立博物館
#SagaAritaThaiceramicexhibitionBangkokNationalmuseum
#นิทรรศการไทยญี่ปุ่นเซรมิกอาริตะพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
กรมศิลปากร โดยสำนักการสังคีต จัดการแสดงรายการ "เหมันต์เบิกบาน สุขสราญสังคีต" โครงการดนตรีสำหรับประชาชน ปีที่ ๖๖ ซึ่งเป็นการแสดงประจำปีของสำนักการสังคีต เพื่อเผยแพร่และอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม โดยมีการแสดงหลากหลายรูปแบบทั้งการแสดงโขน ละคร วิพิธทัศนา การบรรเลงดนตรีไทย ดนตรีสากล โดยศิลปินของสำนักการสังคีต กรมศิลปากร กำหนดจัดการแสดงทุกวันอาทิตย์ ระหว่างวันอาทิตย์ที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๕ ถึงวันอาทิตย์ที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๖ เวลา ๑๗.๓๐ - ๑๙.๓๐ น. ณ สังคีตศาลา เวทีกลางแจ้ง บริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ค่าเข้าชมการแสดงคนละ ๒๐ บาท
ทั้งนี้ ยังได้จัดรายการพิเศษ “นาฏกรรมสุขศรี สุนทรีย์พร ปีใหม่” ชมการแสดงชักนาคดึกดำบรรพ์ และโขน เรื่องรามเกียรติ์ ชุด “สุครีพสุริโยโอรส” โดยงดเก็บค่าเข้าชมในวันอาทิตย์ที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๕ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๖๖
ขอเชิญชวนผู้สนใจเข้าชมการแสดงรายการ “เหมันต์เบิกบาน สุขสราญสังคีต” โครงการดนตรีสำหรับประชาชน ปีที่ ๖๖ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์กรมศิลปากร finearts.go.th และเฟสบุ๊ก เพจ สำนักการสังคีต กรมศิลปากร
ชื่อเรื่อง โพธิสตฺต(บาลีโพธิสขุย)
สพ.บ. อย.บ.13/1ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 56 หน้า กว้าง 5.5 ซม. ยาว 55 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา บทสวด พระวินัย คำสอน
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ล่องชาด ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา