ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,774 รายการ
ขอเชิญฟังการเสวนาออนไลน์ "การอนุรักษ์ภาพร่างจิตรกรรมของ กาลิเลโอ คินี: ความท้าทายใหม่ของนักอนุรักษ์"
กรมศิลปากร โดยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ขอเชิญฟัง การเสวนาออนไลน์ เรื่อง “การอนุรักษ์ภาพร่างจิตรกรรมของ กาลิเลโอ คินี: ความท้าทายใหม่ของนักอนุรักษ์” ผ่านทาง facebook live : The National Gallery of Thailand ในวันเสาร์ที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๕ ตั้งแต่เวลา ๑๓.๓๐ - ๑๕.๓๐ น. นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า ผลงานภาพร่างพระราชพิธีบรมราชา ภิเษกพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เขียนโดย กาลิเลโอ คินี (Galileo Chini) เป็นต้นแบบ งานจิตรกรรมภายในโดมพระที่นั่งอนันตสมาคม เก็บรักษาอยู่ภายในคลังของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร และกลุ่มวิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำลังดำเนินการอนุรักษ์เพื่อนำมาจัดแสดงนิทรรศการถาวรภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป โดยภาพร่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษกรัชกาลที่ ๖ เขียนขึ้นในช่วง พ.ศ. ๒๔๕๔ – ๒๔๕๖ ใช้เทคนิคสีฝุ่นบนผืนผ้าใบ รูปครึ่งวงกลม มีความกว้าง ๙.๓๔ เมตร สูง ๕.๘๐ เมตร ซึ่งมีขนาดใหญ่ และมีอายุกว่า ๑๐๐ ปี นับเป็นความท้าทายในการดำเนินการอนุรักษ์ กรมศิลปากรจึงจัดการเสวนา เรื่อง “การอนุรักษ์ภาพร่างจิตรกรรมของ กาลิเลโอ คินี: ความท้าทายใหม่ของนักอนุรักษ์” เพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้และความเป็นมาของโบราณวัตถุชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์งานทัศนศิลป์ของไทย รวมถึงขั้นตอนเทคนิคและวิธีการในการอนุรักษ์ ร่วมเสวนา โดย นายเสน่ห์ มหาผล นักวิทยาศาสตร์เชี่ยวชาญ (วิทยาศาสตร์การอนุรักษ์) นางพูลศรี จีบแก้ว ภัณฑารักษ์เชี่ยวชาญ (วิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์) นางสาวโสภิต ปัญญาขันธ์ นักวิทยาศาสตร์ชำนาญการพิเศษ กาลิเลโอ คินี เป็นศิลปินชาวอิตาเลียนผู้มากความสามารถและมีชื่อเสียงโด่งดังจากการนำศิลปะ แบบอาร์ตนูโว (Art Nouveau) มาประยุกต์ใช้กับการเขียนภาพและการออกแบบตกแต่งภายใน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้ทอดพระเนตรและโปรดปรานผลงานของคินี เมื่อครั้งเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ ๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๐ กาลิเลโอ คินี จึงได้รับการว่าจ้างให้มารับหน้าที่เขียนภาพจิตรกรรมบนโดมพระที่นั่ง อนันตสมาคม ผู้สนใจร่วมรับฟังการเสวนาออนไลน์ได้ทาง facebook live ของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป The National Gallery of Thailand ในวันเสาร์ที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๕ ตั้งแต่เวลา ๑๓.๓๐ - ๑๕.๓๐ น. สอบถามเพิ่มเติม โทร. ๐ ๒๒๘๑ ๒๒๒๔
เรื่อง “พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร จากวัดท่าปลา เหนือเขื่อนสิริกิติ์”--- พระพุทธรูปปางอุ้มบาตรองค์นี้ ได้จากโบสถ์วัดท่าปลา อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ ในรายงานการสำรวจและขุดค้นโบราณวัตถุสถานเหนือเขื่อนสิริกิติ์ กล่าวว่า “ภายในโบสถ์มีพระประธานหน้าตักกว้าง ๑.๘๐ เมตร เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นพระหัตถ์ถือตาลปัตร ด้านขวาของพระประธานเป็นพระพุทธรูปยืนอุ้มบาตร....”--- สืบเนื่องจากในปีพุทธศักราช ๒๕๑๓ กรมศิลปากรได้รับแจ้งว่า พระอุโบสถและวิหารวัดจริม วัดท่าปลา และวัดนาโฮ่ง อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์จะถูกน้ำท่วมเมื่อเปิดใช้งานเขื่อนสิริกิติ์ ตามกำหนดที่จะทำการปิดกั้นกระแสน้ำ ในประมาณกลางปีพุทธศักราช ๒๕๑๔ จึงขอให้จัดส่งเจ้าหน้าที่ไปสำรวจตรวจค้นโบราณวัตถุที่อาจถูกฝังอยู่ใต้พระอุโบสถและพระวิหาร ในพื้นที่ดังกล่าว ในระยะแรกหน่วยศิลปากรที่ ๓ สุโขทัย (ในขณะนั้น) ได้เริ่มสำรวจและขุดค้น วัดทั้งสามแห่งดังกล่าวมา ตั้งแต่วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๑๓ - ๑๑ มกราคม ๒๕๑๔ ต่อมาพบว่ามีวัดที่ควรดำเนินการขุดค้นอีก ๓ แห่ง ได้แก่ วัดท่าแฝก วัดหาดลั้ง และวัดห้วยอ้อย จึงดำเนินการขุดค้นในระยะที่ ๒ ตั้งแต่วันที่ ๑๙ - ๓๑ มกราคม ๒๕๖๔ และหลังจากการขุดค้น จึงได้มีการสำรวจถ่ายภาพและทำแผนผังวัดอื่นๆ ในเขตพื้นที่น้ำท่วมเพิ่มเติมอีก ๑๒ แห่ง ตั้งแต่วันที่ ๑ - ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๔ ครอบคลุมพื้นที่ ๔ ตำบล ได้แก่ ตำบลท่าปลา ตำบลจริม ตำบลหาดหล้า และตำบลท่าแฝก--- วัดท่าปลาในอดีตตั้งอยู่บนฝั่งขวาของแม่น้ำน่าน มีสิ่งก่อสร้างสำคัญ คือ อุโบสถ ๑ หลัง ลักษณะเป็นอาคารทรงเตี้ย เสา ๘ ต้น ๓ ห้อง หลังคาชั้นเดียว มุงด้วยสังกะสี มีลดหลังคายื่นตรงส่วนหน้าของตัวโบสถ์ มีประตูทางเข้าด้านทิศตะวันออก ขนาดกว้าง ๑.๘๕ เมตร สูง ๑.๘๕ เมตร ผนังโบสถ์ก่ออิฐ ถือปูน มีหน้าต่างและลูกกรงไม้ จำนวน ๔ ช่อง มีเสมารอบโบสถ์ทั้ง ๘ ทิศ จากการขุดค้นภายในโบสถ์ที่ใต้แท่นฐานพระประธาน พบเงินตรา เช่น เงินพดด้วง เงินเหรียญต่างๆ และขุดพบลูกนิมิต ๔ ลูก วางซ้อนกันอยู่กลางพระอุโบสถ--- พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร ศิลปะอยุธยา กำหนดอายุราวครึ่งแรกของพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ทำจากไม้ ลงรักปิดทอง ขนาดกว้าง ๔๖ เซนติเมตร สูง ๑๖๘ เซนติเมตร องค์พระพุทธรูปประทับยืน ยื่นพระหัตถ์ทั้งสองประคองบาตรไว้ทางด้านหน้า พระพักตร์รูปไข่ พระขนงโก่งเป็นสัน พระเนตรเหลือบลงต่ำ พระนาสิกโด่ง ขมวดพระเกศาเป็นเม็ดเล็ก พระรัศมีเป็นเปลวสูง พระอังสาผาย บั้นพระองค์เล็ก ครองจีวรห่มคลุม แลเห็นแนวเส้นรัดประคดและชายพับขอบสบงขนาดใหญ่ทางด้านหน้า--- ปางอุ้มบาตร เป็นชื่อเรียกลักษณะของพระพุทธรูป ในท่ายืน และพระหัตถ์ทั้งสองประคองถือบาตร และพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรยังเป็น ๑ ในพระพุทธรูปประจำวันเกิด วันพุธ (กลางวัน) อีกด้วย --- ความเป็นมาตามพุทธประวัติของพระพุทธรูปปางนี้ คือ เมื่อพระพุทธเจ้าได้สำแดงอิทธิปาฏิหาริย์ เหาะขึ้นไปในอากาศต่อหน้าพระประยูรญาติทั้งหลาย เพื่อให้พระญาติผู้ใหญ่ได้เห็น และละทิฐิถวายบังคมแล้วจึงได้ตรัสเทศนาเรื่องพระมหาเวสสันดรชาดก ครั้นแล้วพระญาติทั้งหลายก็แยกย้ายกันกลับโดยไม่มีใครทูลอาราธนาฉันพระกระยาหารเช้าในวันรุ่งขึ้น ด้วยเข้าใจผิดคิดว่า พระองค์เป็นราชโอรสและพระสงฆ์ก็เป็นศิษย์ คงต้องฉันภัตตาหารที่จัดเตรียมไว้ในพระราชนิเวศน์เอง แต่พระพุทธองค์กลับพาพระภิกษุสงฆ์สาวกเสด็จจาริกไป ตามถนนหลวงในเมืองเพื่อโปรดเวไนยสัตว์ (ผู้ที่พึงสั่งสอนได้) อันเป็นกิจของสงฆ์ และนับเป็นครั้งแรกที่ชาวเมืองกบิลพัสดุ์ได้มีโอกาสชมพระพุทธจริยาวัตรขณะทรงอุ้มบาตรโปรดสัตว์ ประชาชนจึงต่างแซ่ซ้องอภิวาทอย่างสุดซึ้ง แต่พระเจ้าสุทโธทนะ พุทธบิดาทรงทราบเข้า ก็เข้าใจผิดและโกรธพระพุทธองค์หาว่าออกไปขอทานชาวบ้าน ไม่ฉันภัตตาหารที่เตรียมไว้ พระพุทธเจ้าจึงต้องทรงอธิบายว่าการออกบิณฑบาตเป็นการไปโปรดสัตว์ มิใช่การขอทาน จึงเป็นที่เข้าใจกันในที่สุด --- ปัจจุบัน พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร จากวัดท่าปลา เหนือเขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์องค์นี้ ได้จัดแสดง ณ ห้องนิทรรศการชั้นบนของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน อ้างอิง- กรมศิลปากร. พระพุทธรูปปางต่างๆ. นครปฐม: รุ่งศิลป์การพิมพ์, ๒๕๕๘.- พัชรินทร์ ศุขประมูล และคณะ. นำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่านและจังหวัดน่าน. กรมศิลปากร, ๒๕๔๗. - สมพร อยู่โพธิ์. พระพุทธรูปปางต่างๆ. กรมศิลปากร, ๒๕๓๕.- หน่วยศิลปากรที่ ๓ สุโขทัย. รายงานการสำรวจและขุดค้นโบราณวัตถุสถานเหนือเขื่อนสิริกิติ์.เอกสารอัดสำเนา, ๒๕๑๔.
ชื่อผู้แต่ง พัฒนาการแห่งชาติ, กระทรวง
ชื่อเรื่อง อนุสรณ์ ในงานพระราชทานเพลิงศพ ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ พระนคร
สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์ของสมาคมสังคมศาสตร์ แห่งประเทศไทย
ปีที่พิมพ์ ๒๕๐๗
จำนวนหน้า ๓๑๖ หน้า
หมายเหตุ พิมพ์เป็นอนุสรณ์ ในงานพระราชทานเพลิงศพ ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ๑๗ มีนาคม ๒๕๐๗
หนังสือเล่มนี้ รวบรวมข้อมูลของหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ กรมทรัพยากรธรณี,กรมสหกรณ์ที่ดิน,กรมสหกรณ์พาณิชย์และธนกิจ,กรมพลังงานแห่งชาติ,กรมพัฒนาที่ดิน,กรมตรวจสอบบัญชีสหกรณ์,กรมวิเทศสหกรณ์, กรมชลประทาน และกรมทางหลวง
ชื่อเรื่อง : ประชุมพงศาวดาร เล่ม 36 (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 62 (ต่อ) - 63) เรื่องทูตฝรั่งสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ (ต่อ) และเรื่องกรุงเก่า ชื่อผู้แต่ง : - ปีที่พิมพ์ : 2512 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์ : องค์การค้าของคุรุสภา จำนวนหน้า : 336 หน้า สาระสังเขป : ประชุมพงศาวดาร เล่ม 36 ภาคที่ 62 (ต่อ) กล่าวถึงเรื่องการเจริญไมตรีกับฝรั่งในสมัยรัชกาลที่ 4 (ต่อ) ประกอบด้วยการต้อนรับฮารีปากส์ ทูตอังกฤษ, อเมริกัน และฝรั่งเศสแต่งตั้งทูตเข้ามาเจริญทางพระราชไมตรี เมื่อ พ.ศ. 2399, โปรตุเกสแต่งตั้งทูตเข้ามาเจริญทางพระราชไมตรี เมื่อ พ.ศ. 2401, ฮอลันดานำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีเข้ามาเปลี่ยน เมื่อ พ.ศ. 2404 และ ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 63 กล่าวถึง เรื่องกรุงเก่า ในส่วนของการแก้คดีพระเจ้าปราสาททอง คำสนองพระราชกระทู้ เป็นต้น
ภายหลังจากการสวรรคตของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ รวมไปถึงพระราชวังเมืองลพบุรีก็ถูกทิ้งร้างไร้การดูแลทำนุบำรุงอย่างเมื่อครั้งเมื่อสมเด็จพระนารายณ์ยังดำรงพระชนม์ชีพอยู่
.
พระราชวัง และพระที่นั่งองค์ต่าง ๆ รวมไปถึงสิ่งก่อสร้างอื่นในรัชกาลของพระองค์ เช่น บ้านหลวงรับราชทูตหรือ บ้านวิชาเยนทร์ วิทยาลัยแห่งเมืองลพบุรี หรือวัดสันเปาโล ต่างก็มิได้รับการดูแล ถูกทิ้งไว้ให้เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา
.
ในปัจจุบันพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ รวมไปถึงบริเวณด้านหลังพระที่นั่งอันเป็นที่อยู่ของข้าราชบริพารฝ่ายใน เหลือเพียงส่วนฐานของอาคารเท่านั้น นอกจากเกิดการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลาแล้ว ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรี มีพระราชประสงค์ศิลาแลงมาก่อพระเจดีย์ที่วัดสระเกศ ดังปรากฏในชุมนุมพระบรมราชาธิบาย ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ภาคที่ 4 หมวดโบราณสถาน ความว่า
“...เมื่อครั้งแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์ศิลาแลงมาก่อพระเจดีย์ที่วัดสระเกศ มีพระบรมราชโองการดำรัสให้ข้าราชการไปเที่ยวหาศิลาแลงในเมืองร้างเก่า ๆ มา ครั้งนั้นผู้รับสั่งไปเที่ยวรื้อศิลาแลงที่เป็นผนังตึกและกำแพงของวัดของบ้านและตะพานช้างในกรุงเก่าไปทูลเกล้าฯ ถวายเป็นอันมาก ครั้งนั้นจึงพวกหนึ่งมารื้อพระที่นั่งสุทธาสวรรค์ ขนเอาศิลาแลงไปเสียด้วย การที่พระที่นั่งสุทธาสวรรค์ต้องรื้อดังนี้ก็มีเพียงใน 20 ปีลงมา ก่อนนั้นขึ้นไปไม่มีใครรื้ออะไร...”
.
เหตุการณ์ดังกล่าวคงเป็นหนึ่งในมูลเหตุที่ทำให้พระที่นั่งสุทธาสวรรย์มีสภาพดังที่เห็นในปัจจุบัน
.
การศึกษารูปแบบสันนิษฐานเดิมของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์จึงเหลือเพียงตัวอักษรเป็นส่วนใหญ่ สำหรับเรื่องราวเกี่ยวกับพระที่นั่งสุทธาสวรรย์จากเอกสารของไทยนั้นมีเนื้อความอยู่น้อยมาก โดยส่วนใหญ่กล่าวไว้เพียงว่าเป็นพระที่นั่งที่อยู่ภายในพระราชวังเมืองลพบุรีตั้งอยู่ด้านขวาของพระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท ส่วนในคำให้การขุนหลวงหาวัด และคำให้การชาวกรุงเก่าได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการตกแต่งพระที่นั่งองค์นี้ด้วยอ่างแก้วน้ำพุ ความว่า
“...พระราชทานพระนามพระที่นั่งที่ลพบุรีนั้นว่า ดุสิตมหาปราสาท แล้วให้สร้างพระที่นั่งซ้ายขวาดุสิตมหาปราสาทอีก 2 องค์...แล้วให้สร้างอ่างแก้วน้ำพุไว้ในทิศเหนือและทิศใต้ของพระที่นั่งเหล่านั้น...” - คำให้การชาวกรุงเก่า
“...เสวยราชย์อยู่ในกรุงทวาราวดีนั้นได้ ๑๐ ปี แล้วเสด็จไปสร้างเมืองอยู่ที่เมืองเก่าอันหนึ่ง ชื่อเมืองละโว้ จึ่งสมมุตินามเรียกว่าเมืองลพบุรี มีกำแพงแลป้อม แลสร้างปราสาทชื่อดุสิตมหาปราสาท แล้วมีพระที่นั่งฝ่ายขวา ชื่อสุธาสวรรย์ ฝ่ายซ้ายชื่อจันทพิศาล มีพระปรัศซ้ายขวา แล้วมีน้ำพุอ่างแก้ว มีน้ำดั้นน้ำดาษ...” - คำให้การขุนหลวงหาวัด
.
รายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับพระราชฐานชั้นในของพระราชวังเมืองลพบุรีถูกบันทึกไว้โดย นิโกลาส์ แชร์แวส นักเดินทางชาวฝรั่งเศสที่เดินทางมาสยาม เมื่อ พ.ศ. 2224 – 2229 โดยได้บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ไว้ในหนังสือเรื่อง Histoire naturelle et politique du royaume de Siam. จัดพิมพ์โดย l'Imprimerie de Pierre le Mercier เมื่อปี ค.ศ. 1688 (พ.ศ. 2231) หรือที่รู้จักกันในชื่อภาษาไทยคือ ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม แปลเป็นภาษาไทยโดย สันต์ ท.โกมลบุตร ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2506 โดยสำนักพิมพ์ก้าวหน้า บันทึกดังกล่าวทำให้ทราบรายละเอียดของพระที่นั่งองค์สำคัญนี้อย่างมาก
.
“...เมื่อลงบันไดไปสัก 15 หรือ 20 ขั้น ก็ถึงพระราชฐานชั้นที่สาม อันเป็นที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดิน เป็นพระราชฐานส่วนที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง ทองคำแพรวพราวไปทั่วทุกหนทุกแห่งเช่นในพระราชฐานชั้นที่สอง หลังคาประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลืองคล้ายกับทองคำมาก ยามเมื่อต้องแสงตะวัน ต้องมีสายตาดีมากจึงจะทนทานแสงสะท้อนได้ พระตำหนักหลังนี้มีกำแพงปีกกาล้อมรอบ ที่มุมทั้งสี่มีสระน้ำใหญ่สี่สระ บรรจุน้ำบริสุทธิ์ เป็นที่สรงสนานของพระเจ้าแผ่นดินภายใต้กระโจมซึ่งคลุมกั้น สระน้ำที่อยู่ทางขวามือมีลักษณะคล้ายถ้ำเล็ก ๆ มีพรรณไม้เล็ก ๆ ขึ้นเขียวชอุ่มอยู่เสมอ และพรรณไม้ดอกที่มีกลิ่นหอมตระหลบอบอวลอยู่ตลอดเวลา มีธารน้ำใสจ่ายน้ำให้แก่สระทั้งสี่นี้
ทางเข้าพระราชฐานชั้นนี้อนุญาตให้เฉพาะแต่เหล่ามหาดเล็กในพระองค์ กับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ลางคนอันเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยเท่านั้น ส่วนขุนนางอื่น ๆ หมอบอยู่บนกำแพงแก้วบนพรมผืนใหญ่ เมื่อพระเจ้าแผ่นดินเสด็จออก ขุนนางรับพระราชดำรัสจากบัญชรพอได้ยิน ขุนนางชั้นผู้น้อยหมอบอยู่บนเสื่อเบื้องล่างกำแพงแก้ว ก้มหน้ามองพื้น ลางทีก็อยู่ห่างจากองค์พระเจ้าแผ่นดินตั้งร้อยก้าว
โดยรอบกำแพงแก้วนี้ สร้างเป็นห้องเล็ก ๆ ค่อนข้างสะอาด เป็นที่อยู่อาศัยของบรรดามหาดเล็กและทหารยาม ไกลออกไปทางซ้ายมือเป็นแปลงพรรณไม้ดอกที่หายาก และน่าดูพิเศษสุดในมัธยมประเทศ ซึ่งพระเจ้าแผ่นดินทรงปลูกด้วยพระหัตถ์เอง ครั้นแล้วก็ถึงอุทยานใหญ่ตรงหน้าพระตำหนัก ปลูกต้นส้มใหญ่ มะนาวและพรรณไม้ในประเทศอย่างอื่นอีก มีใบดอกหนาทึบ แม้ยามแดดร้อนตะวันเที่ยงก็ร่มรื่นอยู่เสมอ ตามสองข้างทางเดินเป็นกำแพงอิฐเตี้ย ๆ มีโคมทองเหลืองติดตั้งไว้เป็นระยะ และตามไฟขึ้นในระยะที่พระเจ้าแผ่นดินเสด็จพระทับอยู่ ระหว่างหลักโคมสองหลัก มีสิ่งก่อสร้างคล้ายเตาหรือแท่น สำหรับใช้เผาไม้หอมส่งกลิ่นไปไกล ๆ จึงไม่น่าแปลกใจว่าเหตุไฉนพระเจ้ากรุงสยามจึงทรงโปรดพระที่นั่งสำราญของพระองค์นัก เหล่าสนมกำนัลก็มีที่พักอาศัยงดงามเป็นตึกแถว ยาวขนานไปกับพระตำหนักที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดินและพระราชธิดา ตั้งแต่มุมโน้นจนจรดมุมนี้ และการเข้าออกก็ยากมาก ห้ามแม้กระทั่งพระราชโอรส มีแต่พวกขันทีเท่านั้น ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปถวายการปรนนิบัติได้...”
.............................................................................
สำหรับตอนต่อไป จะพาทุกท่านเข้าไปสำรวจส่วนต่าง ๆ ของเขตพระราชฐานชั้นในผ่านหลักฐานที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน รับรองว่ามีมุมมองใหม่ ๆ ที่หลายท่านยังไม่เคยเห็นอย่างแน่นอนค่ะ จะเป็นอย่างไรติดตามตอนต่อไปได้ ในวันพุธ ที่ 29 มิถุนายน 2565
.............................................................................
อ้างอิง
กรมศิลปากร. หนังสือนำชมพระนารายณ์ราชนิเวศน์. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : บริษัท นะรุจ จำกัด, 2560.
คำให้การขุนหลวงหาวัด ฉบับหลวง. เข้าถึงได้จาก : https://vajirayana.org/คำให้การขุนหลวงหาวัด-ฉบับหลวง
ชุมนุมพระบรมราชาธิบาย ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ภาคที่ 4 หมวดโบราณสถาน. เข้าถึงได้จาก : https://vajirayana.org/ชุมนุมพระบรมราชาธิบาย-ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว-ภาคที่-4-หมวดโบราณสถาน
นิโกลาส์ แชร์แวส. ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม : ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช. สันต์ ท. โกมลบุตร แปล. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ก้าวหน้า, 2506.
.............................................................................
เรียบเรียงโดย นางสาววสุนธรา ยืนยง นักวิชาการวัฒนธรรม
ชื่อผู้แต่ง สวีฟต์,ยอนาธัน
ชื่อเรื่อง กัลลิเวอร์ ผจญภัย
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ พระนคร
สำนักพิมพ์ ก้าวหน้า
ปีที่พิมพ์ ๒๕๐๗
จำนวนหน้า ๕๐๐ หน้า
รายละเอียด
นวนิยายที่แต่งขึ้นมาเพื่อเสียดสีการเมืองในประเทศอังกฤษระหว่างศตวรรษที่ ๑๘ แต่มีเนื้อหาอ่านสนุกชวนติดตาม กัลลิเวอร์ กัปตันเรือจากอังกฤษได้เดินทางไปสู่ประเทศที่แปลกประหลาดหลายแห่ง ครั้งแรกเขาประสบอุบัติเรือแตกในดินแดนที่พลเมืองสูงเพียงหกนิ้ว จนชาวเมืองเรียกเขาว่า มนุษย์ภูเขา เขาได้เดินทางไปสู่ดินแดนของมนุษย์ยักษ์ ที่ทำให้เขากลายเป็นของเล่นพระราชา วรรณกรรมที่สอดแทรกปรัชญาการดำเนินชีวิต เสียดสีสังคมมนุษย์และการเมือง
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 146/6เอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 178/4ช เอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)