ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 41,342 รายการ
องค์ความรู้ทางวิชาการเรื่อง "ตรียัมปวาย – ตรีปวาย:
พิธีพราหมณ์ที่ปรากฏในเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยอยุธยา"
“พิธีตรียัมปวาย – ตรีปวาย” เป็นพิธีกรรมสำคัญในศาสนาพราหมณ์ ตามความเชื่อว่าพระอิศวรจะเสด็จลงมาเยี่ยมโลกปีละครั้ง เป็นเวลา ๑๐ วัน และเมื่อพระอิศวรเสด็จกลับแล้ว ก็ถึงช่วงเวลาที่พระนารายณ์เสด็จลงมาบนโลกมนุษย์ เป็นเวลา ๕ วัน ด้วยเหตุนี้ พิธีตรียัมปวาย – ตรีปวาย จึงจัดเป็นพิธีต่อเนื่องกัน ๒ พิธี คือ “พิธีตรียัมปวาย” หรือพิธีโล้ชิงช้าซึ่งเป็นพิธีต้อนรับพระอิศวร และ “พิธีตรีปวาย” ซึ่งเป็นพิธีต้อนรับพระนารายณ์ โดยแบ่งการพระราชพิธีแบ่งออกเป็น ๓ ขั้นตอน คือพิธีตอนแรก เป็น “พิธีเปิดประตูศิวาลัยไกรลาส” ซึ่งเป็นการอัญเชิญเทพเจ้าลงสู่โลกมนุษย์ จากนั้นเป็นพิธีโล้ชิงช้าของนาลิวัน เพื่อหยั่งความมั่นคงของโลก พิธีตอนที่สอง เป็นพิธีที่เรียกว่า “ประสาท” เป็นการกล่าวสรรเสริญเทพเจ้า ถวายเครื่องบูชาแก่เทพเจ้า และนำไปแจกแก่มวลมนุษย์เพื่อเป็นความสิริมงคล พิธีตอนที่สาม เรียกว่าพิธี “กล่อมหงส์” หรือ “ช้าหงส์” เป็นพิธีทรงน้ำเทพเจ้า เสร็จแล้วจึงอัญเชิญขึ้นสู่หงส์ ซึ่งเป็นพาหนะนำองค์เทพเจ้ากลับสู่วิมาน จึงเป็นการเสร็จสิ้นพิธี
สำหรับพิธีโล้ชิงช้าซึ่งถือเป็นพิธีกรรมตอนหนึ่งที่มีความสำคัญในพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวาย มีการสันนิษฐานถึงตำนานที่มาของการประกอบพิธีกรรมไว้หลายแนวทาง แต่ทั้งนี้ อาจกล่าวได้ว่าตำนานที่ได้รับการยอมรับจากพราหมณ์ในราชสำนักผู้ทำหน้าที่ประกอบพระราชพิธีนี้คือตำนานที่เกี่ยวข้องกับคติการสร้างโลกและการทดสอบความแข็งแรงของโลก ได้แก่ ตำนานตอนหนึ่งของพระอิศวร ครั้งเมื่อพระพรหมทรงสร้างโลกแล้ว พระอิศวรทรงทดสอบความแข็งแรงของโลกด้วยการเหยียบโลกด้วยพระบาทข้างเดียว เพราะเกรงว่าถ้าลงมาทั้งสองข้างโลกจะแตก และให้พญานาคมาโล้ยื้อยุดระหว่างภูเขาทั้งสองฝั่งของมหาสมุทร ก็ปรากฏว่าแผ่นดินของโลกยังแข็งแรงดีอยู่ พญานาคทั้งหลายก็โสมนัสยินดี ลงเล่นน้ำและพ่นน้ำเป็นที่สนุกสนาน นอกจากตำนานดังกล่าว ยังเชื่อว่าพิธีนี้อาจมีที่มาจากคัมภีร์เฉลิมไตรภพ (โดยเฉพาะฉบับสำนวนของพระครูวามเทพมุนีที่ถูกนำมาใช้ประกอบพิธีตรียัมปวาย) ซึ่งกล่าวไว้ว่า เมื่อพระเป็นเจ้าทั้งสามในศาสนาพราหมณ์ร่วมกันสร้างโลกเสร็จแล้ว พระอุมาวิตกว่าโลกจะไม่แข็งแรง และจะถึงกาลวิบัติในไม่ช้า พระอิศวรจึงทรงท้าพนันถึงความแข็งแรงของโลกกับพระอุมา โดยให้พญานาคนาลิวันขึงตนระหว่างต้นพุทราทั้งสองฝั่งของแม่น้ำ แล้วให้พญานาคไกวตัวโดยพระอิศวรทรงยืนขาเดียวในลักษณะไขว่ห้าง เมื่อพญานาคไกวตัว เท้าพระอิศวรไม่ตกลงแสดงว่าโลกที่ทรงสร้างนั้นมั่นคงแข็งแรง พระอิศวรจึงทรงชนะพนัน พระอุมาจึงคลายความกังวล ส่วนเหล่าพญานาคที่ร่วมการทดสอบต่างพากันปิติยินดีและว่ายน้ำเล่นเป็นการใหญ่
สืบเนื่องจากตำนานข้างต้น จึงมีการประกอบพิธีโล้ชิงช้าในพระราชพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวายขึ้นในราชธานี และมีการสร้างเสาชิงช้ากลางพระนคร โดยสมมติให้ “เสาชิงช้า” เป็นภูเขาทั้งสองฝั่งของมหาสมุทร “นาลิวัน” ซึ่งสวมเครื่องประดับศีรษะรูปพญานาคสมมติเป็นตัวแทนของพญานาค “ขันสาคร” ซึ่งบรรจุน้ำตั้งเบื้องหน้าเสาชิงช้าระหว่างกลางเสาทั้งสองสมมติให้เป็นมหาสมุทร “พระยายืนชิงช้า” สมมติว่าคือพระอิศวรผู้ซึ่งเป็นประธานของการโล้ชิงช้า “การรำเสนง” รอบขันสาครซึ่งผู้แสดงจะต้องถือเขาสัตว์วักน้ำจากขันสาครสาดไปรอบๆ สมมติเป็นพญานาคมาแสดงความยินดี ส่วน “แผ่นไม้กระดาน” ซึ่งสลักภาพเทวี คือพระแม่ธรณี พระแม่คงคา และพระอาทิตย์ พระจันทร์ นั้น สมมติให้เป็นเทพและเทวีผู้เป็นบริวารมาเข้าเฝ้ารับเสด็จพระอิศวร
จากหลักฐานเอกสาร เช่น พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ทำให้สันนิษฐานได้ว่าการประกอบพระราชพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวาย น่าจะมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น (โดยสันนิษฐานว่าอาจเป็นพิธีที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย) และคงประกอบพิธีกันในเดือนอ้าย คือราวเดือนธันวาคม ครั้นล่วงเข้าสู่สมัยรัตนโกสินทร์ จึงได้เปลี่ยนมาจัดในเดือนยี่ หรือเดือนมกราคม พระราชพิธีดังกล่าวถือปฏิบัติกันสืบต่อมาจนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว กระทั่งได้ถูกยกเลิกไปในปี พ.ศ.๒๔๗๗ ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ฟื้นฟูพระราชพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวาย ขึ้นใหม่ โดยจะกระทำเฉพาะพิธีที่จัดขึ้นภายในเทวสถานโบสถ์พราหมณ์เท่านั้น ส่วนพิธีโล้ชิงช้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวาย นั้น มิได้นำกลับมาเช่นครั้งโบราณ โดยในปี พ.ศ.๒๕๖๕ นี้ ได้มีการประกอบพระราชพิธีดังกล่าวขึ้นในระหว่างวันที่ ๘ – ๒๓ มกราคม ๒๕๖๕ ที่ผ่านมา ณ เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ กรุงเทพมหานคร ดังธรรมเนียมที่เคยถือปฏิบัติกันมา
สำหรับเมืองนครศรีธรรมราช ถือเป็นอีกเมืองหนึ่งที่ปรากฏหลักฐานว่ามีการประกอบพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวาย ดังข้อความที่ระบุในตำนานพราหมณ์นครศรีธรรมราช ซึ่งได้กล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งนำเทวรูปเข้ามาในเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยอยุธยา และความสัมพันธ์ระหว่างพราหมณ์เมืองนครศรีธรรมราชกับราชสำนักในสมัยอยุธยา ว่าในครั้งนั้นพระนารายณ์รามาธิบดีแห่งรามนครในอินเดียมีรับสั่งให้ราชทูตนำเทวรูปพระนารายณ์ พระลักษมี หงส์ และชิงช้าทองแดงลงเรือมาถวายกษัตริย์กรุงศรีอยุธยา แต่ในระหว่างทางเกิดเหตุอัศจรรย์ทำให้เทวรูปทั้งหมดมาอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราช เมื่อความทราบถึงสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จึงมีพระบรมราชโองการให้เจ้าเมืองนครจัดหาที่ให้เหมาะสมเพื่อประดิษฐานเทวรูปทั้งหมดในเมืองนครศรีธรรมราช แล้วจัดให้มีการสมโภชตามแบบพราหมณ์ และให้จัดสิ่งของจากกรุงศรีอยุธยาไปทำพิธีบูชาเทวรูปในพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวายอยู่เสมอมา ดังความว่า “....เมื่อเถิงในศักราช ๗๑๒ ปีขาลนักขัตร...พระนารายน์รามาธิราช มีพระราชโองการ ให้นายตำรวจรับเอาองค์พระนารายณ์เทวารูป พระศรีลักษมี พระมเหวารีย์บรมหงษ์ ชิงช้าทองแดง เอาลงบรรจุเภตราแล้ว แลมีพระราชโองการ ให้จัดเอาชีพ่อเปนภาษา ๕ เหล่ามอบให้ผแดงธรรมนารายน์เปนนาย ให้ศุภชีพ่อ ๕ เหล่ารับเอานารายณ์เทวารูปเอาไป กรุงนครศรีอยุธยาไว้สำหรับโพธิสมภารสนองต่างองค์สมเด็จนารายน์รามาธิบดี...แลเรือต้องพยุซัดเข้าปากน้ำตรัง แลกรมการบอกหนังสือส่งข่าวมาเถิงเมืองนคร จึงเจ้าพญานครคิดด้วยพระหลวงกรมการ สั่งให้ตำรวจมหาดไทยให้ออกไปรับองค์พระนารายน์เทวารูป พระศรีลักษมี พระมเหวารีย์บรมหงษ์ แลผแดงธรรมนารายน์ชีพ่อเบญจภาษา นั้นเข้ามาเมืองนคร...แลองค์นารายน์รามาธิบดีรู้ทราบพระหฤไทยแล้ว แลมีพระราชโองการ ตรัสสั่งแก่เจ้าพญาโกษาให้แต่งตราบอกไปแก่เจ้าพญานครแลกรมการ เห็นที่ใดสมควรให้แต่งสถานรับไว้เปนศักดิสิมาแก่แผ่นดินเมืองนครเถิด...” และ “...เดือน ๑๒ แรมค่ำ ๑ ได้ฤกษ์ กะติกาโรหินีฤกษ์ พระอาทิตย์สงกรานต์เถิงราษีพิจิกให้ตามตะเกียงไม้เทพทัน แลให้นับแต่แรม ๒ ค่ำไป ๒๙ วัน เปนกรรดิมา สามนับไป ๒๘ วัน แลให้ชีพ่อพราหมณ์ ๕ คน เร่งการพิธีเตรียมปา (ตรียัมพวายตรีปาวาย) ได้ถวายเข้าเม่าเข้าตอกแต่พระนารายน์เทวารูป แลพราหมณ์ ๔ ตนอ่านหนังสืออวยไชยพรถวายพระราชกุศลตามสงกรานต์ พระอาทิตย์ไปทุกวัน...ผแดงธรรมนารายน์ทำปากศรีนาทักษิณาบูชาตามถวายแก่พระนารายน์เทวารูป ตแขงเส้งทองแดงใส่น้ำมันให้วิตถารไว้เหนืออาศชิงช้าหน้าสถาน ๓ วัน...”
จากหลักฐานเอกสารข้างต้น แสดงให้เห็นว่าในสมัยอยุธยา เมืองนครศรีธรรมราชมีการประกอบพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวาย รวมทั้งมีการโล้ชิงช้าเช่นเดียวกับในราชธานี โดยสันนิษฐานว่าพิธีดังกล่าวจัดขึ้นในบริเวณโบสถ์พราหมณ์ (นักวิชาการบางท่านสันนิษฐานว่าแต่เดิมอาจเรียกว่าหอพระคเณศ) ซึ่งเป็นเทวสถานสำคัญประจำเมืองนครศรีธรรมราช สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาในบริเวณเดียวกับเสาชิงช้า หอพระอิศวร และหอพระนารายณ์ นอกจากนั้น ภายในโบสถ์พราหมณ์ยังมีการค้นพบหลักฐานสำคัญเนื่องในศาสนาพราหมณ์ เช่น ศิวลึงค์ศิลา เทวรูปพระคเณศสำริด เทวรูปพระศิวะและพระอุมา รวมทั้งนางกระดานไม้ซึ่งใช้ในการโล้ชิงช้า จึงมีการเรียกพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวาย ในเมืองนครศรีธรรมราชอีกชื่อหนึ่งว่า “พิธีแห่นางดาน” ซึ่งมีที่มาจากคำว่านางกระดาน นั่นเอง
พิธีแห่นางดาน หรือพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวายในเมืองนครศรีธรรมราชนี้ ในอดีตถือเป็นพิธีที่เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชและพราหมณ์เมืองนครศรีธรรมราช จัดกันเป็นประเพณีสำคัญของบ้านเมือง ซึ่งแต่เดิมพิธีดังกล่าวประกอบด้วยพิธีกรรมหลายขั้นตอน โดยเริ่มในวันขึ้น ๗ ค่ำ เดือนอ้าย อันเป็นพิธีต้อนรับพระอิศวร พิธีแห่นางดาน พิธีโล้ชิงช้า พิธีอ่านเม่า พิธีเปิดประตูสวรรค์ พิธียกอุลุบ พิธีร่ายพระเวท พิธีธรณีลงดิน พิธีรำเสนงกวักน้ำมนต์ และพิธีช้าหงส์ หลังจากนั้นเมื่อถึงวันแรม ๑ ค่ำ เดือนอ้ายจะเป็นส่งพระอิศวรเสด็จกลับ และทำพิธีต้อนรับพระนารายณ์จนถึงวันแรม ๕ ค่ำ จึงส่งพระนารายณ์ รวมระยะเวลาทั้งสิ้น ๑๕ วัน สำหรับนางกระดานซึ่งเป็นที่มาของชื่อพิธีในเมืองนครศรีธรรมราชนี้ คือ ไม้กระดาน ๓ แผ่น แกะสลักเป็นรูปพระแม่คงคา พระแม่ธรณี พระอาทิตย์และพระจันทร์ ซึ่งสมมติเป็นเทพที่อัญเชิญมารอต้อนรับพระอิศวร
ทั้งนี้ พิธีแห่นางดานในเมืองนครศรีธรรมราช ปรากฏหลักฐานว่าได้ถูกยกเลิกไปครั้งเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ และแม้ว่าในอดีตได้มีความพยายามในการรื้อฟื้นพิธีแห่นางดานขึ้นใหม่หลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ กระทั่งในปี พ.ศ.๒๕๔๔ จังหวัดนครศรีธรรมราชมีมติให้รื้อฟื้นพิธีแห่นางดานขึ้นอีกครั้ง โดยผนวกเข้ากับเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งในวันงานจะมีการจำลองพิธีแห่นางดาน โดยอัญเชิญนางกระดานจำลองมายังหอพระอิศวรและประดิษฐานในหลุมหน้าเสาชิงช้า และการจำลองพิธีโล้ชิงช้า แต่ทั้งนี้พิธีกรรมดังกล่าวมิได้ครอบคลุมไปถึงส่วนของพิธีตรีปวาย หรือพิธีแห่พระนารายณ์และพิธีช้าหงส์ ดังเช่นที่เคยถือปฏิบัติกันมาเมื่อครั้งโบราณ
อย่างไรก็ตาม อาจกล่าวได้ว่าการรื้อฟื้นพิธีแห่นางดานขึ้นอีกครั้งของเมืองนครศรีธรรมราชนี้ ถือเป็นการสืบทอดประเพณีโบราณคู่บ้านคู่เมืองที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา และยังแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของโบราณสถานและโบราณวัตถุสมัยอยุธยาที่เกี่ยวข้องกับพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวายที่ปรากฏในเมืองนครศรีธรรมราช อันได้แก่ หอพระอิศวร หอพระนารายณ์ เสาชิงช้า โบสถ์พราหมณ์ รวมทั้งเทวรูปเนื่องในศาสนาพราหมณ์ที่เคยประดิษฐานอยู่ภายในเทวสถานเหล่านี้ เช่น พระศิวนาฏราชสำริด พระอุมาสำริด พระวิษณุสำริด พระหริหระสำริด พระคเณศสำริด หงส์สำริด และนางกระดานไม้ ซึ่งยังคงคุณค่าความสำคัญอยู่ภายในเมืองนครศรีธรรมราชมาจนถึงปัจจุบัน
เรียบเรียง/กราฟิก: นางสาวนภัคมน ทองเฝือ นักโบราณคดีชำนาญการ
กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช
อ้างอิง
๑) กรมศิลปากร. ย้อนรอยพิธีโล้ชิงช้าในสยาม. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม, ๒๕๖๓.
๒) ประพิศ พงศ์มาศ. “พระราชพิธีตรียัมปวาย-ตรีปวาย (พิธีโล้ชิงช้า),”ศิลปากร ปีที่ ๕๕, ฉบับที่ ๓ (พ.ค.-มิ.ย.๒๕๕๕), ๑๐๒-๑๐๙.
๓) เปรมวัฒนา สุวรรณมาศ. “เฉลิมไตรภพ” : การศึกษาแนวคิดและกลวิธีสร้างสรรค์. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย ภาควิชาภาษาไทยและภาษาวัฒนธรรมตะวันออก คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๖๐.
๔) พระยารัษฎานุประดิษฐ์ (สินธุ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา). ตำนานพราหมณ์เมืองนครศรีธรรมราช (พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพอำมาตย์เอกพระยารัษฎานุประดิษฐ์ (สินธุ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา), นครหลวง : โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนาการ, ๒๔๗๓.
ไซอิ๋ว เล่ม ๓. พระนคร: องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๑๒.
ไซอิ๋ว เป็นพงศาวดารจีนที่ได้รับการแปลเป็นหนังสือชุดภาษาไทยลำดับที่ ๑๖ นับเป็นเรื่องที่แยกออกจากพงศาวดารซุยถังในแผ่นดินของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้กษัตริย์ที่ ๒ แห่งราชวงศ์ถัง
ชื่อเรื่อง ทุกนิบาตปาลิ องคฺตรนิกาย (ทุกกนิปาตชาดก)
อย.บ. 389/11
หมวดหมู่ พุทธศาสนา
ลักษณะวัสดุ 60 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 57.8 ซม.
หัวเรื่อง พระธรรมเทศนา
บทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับล่องชาด ไม้ประกับธรรมดา
relationship
in the world’s trade and culture
At Siwamokkhaphiman Throne Hall, The National Museum, Bangkok
14th September – 14th December 2022
ชื่อเรื่อง ธมฺมปทวณฺณนา ธมฺมปทฏธกถา ขุทฺทกนิกายฏธกถ (ธมฺมปทขั้นต้น, คาถาธมฺมปท)อย.บ. 244/16หมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 56 หน้า : กว้าง 4.7 ซม. ; ยาว 53.5 ซม.หัวเรื่อง พุทธ ศาสนา บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับล่องชาด
ชื่อเรื่อง สมเด็จพระยุพราชชาติทหารผู้แต่ง วิฑูร กวยะปาณิกประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือหายากหมวดหมู่ ชีวประวัติ ประวัติบุคคลเลขหมู่ 923.2593 ว153วสถานที่พิมพ์ กรุงเทพฯสำนักพิมพ์ รุ่งเรืองวัฒนาพานิชปีที่พิมพ์ 2520ลักษณะวัสดุ 118 หน้าหัวเรื่อง บรมโอรสาธิราช สยามมกุฏราชกุมาร, สมเด็จพระ, 2495ภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึกบันทึกพระราชกรณียกิจ และพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฏราชกุมาร
องค์ความรู้ ส่งเสริมการอ่านผ่านออนไลน์
เรื่อง “สามเมือง แก้วแหวน ปูชนียบุคคลแห่งวงการพลอยของจันทบุรี : ผู้คิดค้นการเผาพลอยคนแรกของไทย”
จันทบุรีมีชื่อเสียงเกี่ยวกับธุรกิจการค้าอัญมณีเลื่องลือไปทั่วโลก นอกจากจะเป็นถิ่นกำเนิดของพลอยหลากสีที่มีคุณภาพ ยังเป็นศูนย์รวมของช่างพลอยมากฝีมือและประสบการณ์ ด้วยภูมิปัญญาด้านงานช่างอัญมณีที่มีอัตลักษณ์อันโดดเด่น ทั้งกรรมวิธีการปรับปรุงคุณภาพสีสันของพลอย การเจียระไนด้วยทักษะฝีมือที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงการประกอบตัวเรือนอย่างวิจิตรบรรจง ทำให้พลอยเมืองจันท์เป็นที่ชื่นชอบและได้รับการยอมรับในตลาดค้าพลอยทั่วโลกว่าเป็นพลอยที่มีความสวยงามและมีคุณภาพ
อย่างไรก็ตามพลอยที่มีสีสันสวยงามนี้ เกิดจากภูมิปัญญาอันทรงคุณค่าที่พัฒนาต่อยอดมาจากวิธีการเผาพลอยที่มีจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ จากความช่างสังเกตของคุณสามเมือง แก้วแหวน ซึ่งต่อมาได้พัฒนามาเป็นนวัตกรรมเตาเผาที่เหมาะสมกับพลอยหลากหลายชนิด และส่งผลให้ชื่อเสียงของคุณสามเมืองและพลอยเมืองจันท์เป็นที่รู้จักในระดับสากล
จากหนังสือเรื่อง “ไม้ขีดไฟก้านแรก” ได้บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของคุณสามเมือง แก้วแหวน ปูชนียบุคคลแห่งวงการพลอยของจันทบุรีว่า คุณสามเมืองเริ่มทำอาชีพค้าขายพลอยหลังลาออกจากการรับราชการตำรวจเมื่ออายุ 30 ปี ด้วยการลองผิดลองถูกทั้งการซื้อขายและการปะพลอย
ต่อมาวันหนึ่งได้โกลนพลอยสตาร์เม็ดหนึ่งแตก แต่ถูกคิดค่าจ้างปะติดแพง จึงเกิดความคิดในการปะพลอยเอง โดยใช้ความร้อนและน้ำประสานทองเป็นตัวเชื่อม จากการปะพลอยนี้เองคุณสามเมืองได้สังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของสีพลอย โดยเนื้อพลอยจะใสขึ้นกว่าเดิม และมีสีจางลงเล็กน้อยเมื่อถูกความร้อนมาก ๆ ความสงสัยจุดประกายเล็ก ๆ ขึ้นในใจเป็นครั้งแรกว่าความร้อนต้องเป็นสาเหตุหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงของสีพลอยเป็นแน่ จากความช่างสังเกตมาประจวบกับเหตุเพลิงไหม้ตลาดเมืองจันทบุรีครั้งใหญ่เมื่อ พ.ศ. 2511 สร้างความเสียหายให้ร้านค้าพลอยเป็นจำนวนมาก พลอยก้อนในร้านถูกเผาไหม้จมดิน และมีผู้นำมาขายให้
คุณสามเมืองสังเกตเห็นชัดว่าพลอยทุกเม็ดมีเนื้อใสหมด ทำให้เชื่อมั่นว่าความร้อนสามารถทำให้พลอยเปลี่ยนสีได้ จึงเริ่มศึกษาค้นคว้าการเผาพลอยอย่างจริงจัง ผ่านการลองผิดลองถูก และได้รับความร่วมมือในการผลิตเตาเผาด้วยถ่านหินซึ่งทนความร้อนสูงของบริษัทปูนซีเมนต์ไทย ทำให้สามารถเผาพลอยจนกระทั่งทำให้หม่าหรือความขุ่นในเนื้อพลอยหายไปกลายเป็นพลอยที่มีสีสันสวยงาม โดยพลอยเม็ดแรกที่เผาสำเร็จเป็นพลอยแซปไฟร์สีน้ำเงิน จึงกล่าวได้ว่าผู้คิดค้นวิธีการเผาพลอยขึ้นคนแรกในวงการพลอยเมืองไทย คือ “คุณสามเมือง แก้วแหวน” นั่นเอง
คุณสามเมืองได้พัฒนาการเผาพลอยด้วยเตาเผาแบบต่าง ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับพลอยแต่ละชนิด โดยพบว่าเตาน้ำมันเหมาะกับการเผาพลอยสีน้ำเงิน เนื่องจากมีคาร์บอนมาก เตาไฟฟ้าเหมาะสำหรับเผาพลอยแดง เพราะไม่มีคาร์บอนมาสันดาปให้เกิดสีม่วง และเตาแก๊สเป็นเตาสารพัดประโยชน์ที่ปรับให้ใช้ได้กับพลอยทุกสี เพราะสามารถปรับระดับความร้อนได้หลากหลาย โดยมีเพื่อนในวงการพลอยร่วมกันค้นคว้าและสนับสนุน ซึ่งใช้เวลาเกือบ 3 ปี จนเป็นผลสำเร็จในช่วง พ.ศ. 2523 - 2524
จากการพัฒนาเตาแก๊สที่ได้นั้น ทำให้สามารถเผาบุษราคัมได้สีดีที่สุด หลังจากนั้นมีการนำบุษราคัมที่ผ่านการเผานี้ไปจัดแสดงที่สหรัฐอเมริกา สร้างความสนใจแก่นักอัญมณีศาสตร์ในกรรมวิธีการผลิตเป็นอย่างมาก มีการนำตัวอย่างกลับไปทดลองในห้องปฏิบัติการ รวมทั้งผู้สื่อข่าวชาวต่างชาติได้ให้ความสนใจและเดินทางมาทำข่าวถึงจันทบุรี ต่อมาได้มีการรับรองคุณภาพพลอยที่เผาด้วยความร้อน (Heat Treatment) และมีการตีพิมพ์เนื้อหาการปรับปรุงคุณภาพพลอยจากการเผาของจันทบุรี ลงในวารสาร Gems & Gemology Volume XVIII, Winter 1982 คุณสามเมืองจึงได้รับการยกย่องว่าเป็น “King of Orange Sapphires” และเป็นที่รู้จักในระดับสากลตั้งแต่นั้นมา
ปัจจุบันพลอยสีที่ขายกันทั่วโลกราวร้อยละ 80 ล้วนผ่านการปรับปรุงคุณภาพจากจันทบุรี ทำให้จันทบุรีได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการค้าพลอยสีแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากปราศจากภูมิปัญญาในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่พลอยสีที่คุณสามเมืองได้สร้างไว้เป็นคุณูปการ และถ่ายทอดส่งต่อไปยังคนรุ่นถัดมาเพื่อเป็นสมบัติของชาติ เป็นความภาคภูมิใจของชาวจันทบุรีและชาวไทย
อ้างอิง : เมธี จึงสงวนสิทธิ์. จันทบูร = Chining Moon. จันทบุรี: ไชน์นิ่งมูน, 2560.
สามเมือง แก้วแหวน. ไม้ขีดไฟก้านแรก. กรุงเทพฯ: บีสแควร์ พริ้นท์ แอนด์ดีไซน์, 2564.
Keller, Peter C. “The Chanthaburi - Trat Gem Field, Thailand.” Gems & Gemology.
(Winter 1982): pp. 186 - 196. [Online]. Retrieved 26 September 2023, from: https:// www.gia.edu/doc/WN82.pdf
ผู้เรียบเรียง : นางสาวปริศนา ตุ้มชัยพร บรรณารักษ์ชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี
ผู้เรียบเรียง :
นางอภิญญานุช เผ่าพงษ์คล้าย บรรณารักษ์ชำนาญการ
หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ
6 -29 กุมภาพันธ์ 2567 นี้ หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ อยากชวนน้องๆหนูๆ มาสนุกกับ "นิทานสร้างงานศิลป์ ตอน ขนมปังนอกกล่อง"
ชมนิทรรศการ "ไขความลับขนมปังเนื้อนุ่มฟู" ซึ่งเป็นการจัดแสดงขนมปังรูปแบบหลากหลาย และส่วนประกอบต่าง ๆ ก่อนจะมาเป็นขนมปังเนื้อนุ่มที่พวกเรากินกันทุกวัน
การจัดแสดงภาพวาดศิลปะธีมขนมปัง เป็นเมนูขนมปังที่เต็มไปด้วยจินตนาการ โดยพี่มีมี่ สรรประภา วุฒิวร นักเขียน นักวาดภาพประกอบ และเด็กๆ จากโรงเรียนอนุบาลช้างเผือก
กิจกรรมเล่านิทานภาพ เรื่องราวของเจ้าขนมปัง
กิจกรรม Workshop การทำขนมปังตามจินตนาการ (***ผู้เข้าร่วมต้องลงทะเบียนล่วงหน้า เนื่องจากต้องเตรียมอุปกรณ์ในการทำกิจกรรม สามารถติดต่อมาเพื่อจัดกลุ่มทำกิจกรรมได้ค่ะ***)
ไม่มีค่าใช้จ่ายทุกรายการ
พกหัวใจของคุณที่พร้อมจะนุ่มฟู มาพบกันตั้งแต่วันที่ 6-29 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 09:30 - 15:00 น. (ปิดทำการทุกวันอาทิตย์-จันทร์) ที่ หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ ห้อง Co-Working Space หนังสือพิมพ์และวารสาร
โบราณสถานวัดบ้านเจียง ตั้งอยู่ภายในวัดบ้านเจียงด้านทิศตะวันตก เดิมเรียกว่า "วัดปราสาท" มีโบราณสถานวางตัวตามแนวทิศตะวันออก - ตะวันตก ประกอบด้วยเจดีย์และวิหาร เจดีย์เป็นทรงปราสาทยอดระฆัง มีส่วนฐานบัวคว่าบัวหงายแบบล้านนา รองรับส่วนเรือนธาตุยกเก็จประดับซุ้มจระนาทั้งสี่ด้าน กรอบซุ้มจระนาตกแต่งเป็นวงโค้งประดับมกรคายนาคที่ปลายวงโค้ง เหนือขึ้นไปเป็นชุดบัวคว่า - บัวหงาย รองรับชุดหน้ากระดานแปดเหลี่ยม ส่วนยอดพังทลาย รอบฐานเจดีย์พบหลักฐานเป็นลานประทักษิณล้อมรอบทั้ง ๔ ด้าน วิหารอยู่ด้านทิศตะวันออกของเจดีย์ มีแผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า วิหารคงเหลือองค์ประกอบเพียงโถงประธานและฐานชุกชี
จากรูปแบบเจดีย์ วิหาร และโบราณวัตถุที่พบจากการขุดค้น - ขุดแต่งทางโบราณคดี พุทธศักราช ๒๕๖๔ อาทิ เครื่องถ้วยเนื้อแกร่งจากแหล่งเตาภาคเหนือ (แหล่งเตาพาน จังหวัดเชียงราย และแหล่งเตา สันกาแพง จังหวัดเชียงใหม่) กาหนดอายุโบราณสถานวัดบ้านเจียง (เจดีย์ - วิหาร) ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ -๒๒ หรือประมาณ ๓๐๐ - ๔๐๐ ปีมาแล้ว
Wat Ban Jiang Monument is located on the west side of Ban Jiang Temple. It was originally called "Wat Prasat". The ancient ruins are oriented east to west and consist of the principal chedi and vihara. The principal chedi is Stupa in prasat form with bell-shaped on top . The lowest part of this chedi is an Lanna lotus-based style which supports the chedi’s square indented body. Each side of the body features a curved shape with the Makara disgorges the Naga decoration at the end of curved roof above the niche. The upper part of the niche is a set of octagonal shaped. Unfortunately, the top of the chedi collapsed. A circumambulatory path surrounds the chedi. The vihara is on the east of the chedi which is rectangular shape. This vihara remains a feature of main hall and a brick pedestal supporting the principal Buddha image.
According to the architectural styles and archaeological evidence by archaeological excavations in 2021, stone wares were found which indicates that they were produced in the Northen Ceramics Kilns (Phan Kiln in Chiang Rai Province and San Kamphaeng Kiln in Chiang Mai Province). Wat Ban Jiang Monument can be dated between the 16th – 17th century or approximately 300 – 400 years ago.
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี เชิญชมนิทรรศการหมุนเวียน "Object of the Month" วัตถุจากคลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี ประจำเดือน "กรกฎาคม" เชิญพบกับ “เรื่องเล่าจากเต่าปูนปั้น"
โบราณวัตถุที่นำมาจัดแสดงในนิทรรศการครั้งนี้ ได้แก่ "เต่าปูนปั้น" ศิลปะลพบุรี วัสดุทำจากปูนปั้น ขนาดกว้าง ๑๖ เซนติเมตร ยาว ๒๘ เซนติเมตร มีลักษณะประติมากรรมรูปเต่า ประกอบด้วยส่วนหัว ขาหน้าทั้งสองข้างและลำตัว กระดองขีดเป็นลายตารางสี่เหลี่ยม เท้ามีลักษณะเหมือนเต่าน้ำจืด คือ เท้าแบน มีนิ้วเท้า บริเวณปากด้านขวามีปุ่มยื่นคล้ายคาบวัตถุ ส่วนปากด้านซ้ายมีร่องรอยแตกหัก พบที่โบราณสถานเนินทางพระ อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี นิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับโบราณสถานเนินทางพระ เต่าในพระพุทธศาสนา เต่าในศาสนาฮินดู และความเชื่อเรื่องการปล่อยเต่าในวันเกิด
ผู้สนใจสามารถเข้าชมนิทรรศการ “เรื่องเล่าจากเต่าปูนปั้น" ได้ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๗ เปิดวันพุธ - วันอาทิตย์ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. ปิดวันจันทร์ - วันอังคาร ณ ห้องโถงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี สอบถามเพิ่มเติม โทร. ๐ ๓๕๕๓ ๕๓๓๐ หรือเฟสบุ๊ก: พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี Suphanburi National Museum