ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,651 รายการ
ชื่อเรื่อง ลำอวหาร (ลำอวหาร)
สพ.บ. 206/1ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 80 หน้า กว้าง 5 ซ.ม. ยาว 39 ซ.ม. หัวเรื่อง พุทธศาสนา ชาดก เทศน์มหาชาติ คาถาพัน
บทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับล่องรัก ได้รับบริจาคมาจากวัดกกม่วง ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
ชื่อเรื่อง มหานิปาตวณฺณนา (เวสฺสนฺตรชาดก)ชาตกฎฐกถา ขุทฺทกนิกายฏฐกถา (ทานขันธ์-นครกัณฑ์)
สพ.บ. 250/8กประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 30 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 57 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา--การศึกษาและการสอน ชาดก
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ-ล่องรัก ได้รับบริจาคมาจากวัดทุ่งอุทุมพร ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
ตัวเมืองกับการเปลี่ยนแปลงการใช้ภาษาของชาวไทยถิ่นเหนืออาณาจักรล้านนามีตัวอักษรใช้ คือ ตัวเมืองหรืออักษรธรรมล้านนา คนล้านนาจะแทนตนเองว่า "คนเมือง" และแทนอักษรที่ใช้ว่า "ตัวเมืองหรือตั๋วเมือง" ซึ่งอักษรธรรมล้านนาหรือตัวเมืองนั้น เป็นอักษรที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นภาษาที่เกิดขึ้นมานานในดินแดนล้านนานับพันปี อักษรธรรมล้านนานิยมใช้บันทึกสิ่งต่าง ๆ เช่น หลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา พิธีกรรม พระไตรปิฎก คัมภีร์ใบลาน ธรรมชาดก พงศาวดารตำนาน ศิลาจารึก ประวัติศาสตร์ ตำรายาสมุนไพร วรรณกรรมล้านนา คติคำสอนต่าง ๆ ตำราไสยศาสตร์ในสมัยเจ้าแก้วนวรัฐ ผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ ๙ (พ.ศ.๒๔๕๒ - ๒๔๘๒) เกิดการเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครอง โดยล้านนาได้ถูกผนวกเข้ารวมกับราชอาณาจักรไทยกลายเป็นจังหวัดหนึ่งในประเทศไทย มีการใช้ภาษาไทยกลางเป็นภาษาทางราชการ ทำให้เกิดกระแสการเรียนรู้ภาษาไทยกลางมากขึ้น วัดต่าง ๆ จึงลดบทบาทในการสอนอักษรตัวเมืองลงไปปัจจุบันคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้จักตัวเมือง แต่ยังใช้คำเมืองในการสื่อสารกันในกลุ่มชาวไทยถิ่นเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน แม่ฮ่องสอน พะเยา ลำปาง แพร่ น่าน และยังพบตัวเมืองตามป้ายวัดหรือสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งมีไม่มากนัก วัดที่เปิดสอนการเรียนตัวเมืองให้กับกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ภาษาตัวเมือง คือ วัดพระวรสิงห์มหาราช (วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร) จังหวัดเชียงใหม่ โดยเปิดสอนทุกวันอาทิตย์ เวลา ๐๙.๐๐ น. - ๑๒.๐๐ น.ผู้เรียบเรียง : นางสาวอริสรา คงประเสริฐ นักจดหมายเหตุภาพ : ๑. หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่๒. หนังสือให้บริการของหอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่อ้างอิง :๑. เชียงใหม่นิวส์. ๒๕๖๒. "ตั๋วเมือง มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม" สาระน่ารู้ (Online). https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/955357/, ๘ สิงหาคม ๒๕๖๔.๒. วัลลภ มณีเชษฐา. ๒๕๖๑. "กระบวนการถ่ายทอดอักษรธรรมล้านนา." วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์" ๑๔ (๑): ๑๗๖-๑๘๘.๓. สถาบันพัฒนาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยภาคเหนือ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย กระทรวงศึกษาธิการ. อักขรธัมม์ล้านนา. เชียงใหม่: สถาบัน กศน.ภาคเหนือ.๔. Tipitaka. ๒๕๕๙. “อักษรธรรมล้านนา อักษราจารพุทธธรรม”. อยู่ในบุญ (Online). https://www.dmc.tv ,๕ สิงหาคม ๒๕๖๔.
เลขทะเบียน : นพ.บ.181/3กห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 46 หน้า ; 4 x 48 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 103 (91-100) ผูก 3ก (2565)หัวเรื่อง : แปดหมื่นสี่พันธ์ขันธ์ --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
อุโปสถสีลรกฺขานิสํสกถา (อานิสงสรกฺขาสีลอุโปสถ)
ชบ.บ.61/1-1
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ชื่อเรื่อง มิลินฺทปญฺหาสงฺเขป (มิลินทปัญหา)สพ.บ. 322/3ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 52 หน้า : กว้าง 4.7 ซม. ยาว 56.9 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา ชาดก บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจาก วัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
เลขทะเบียน : นพ.บ.283/2ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 50 หน้า ; 4.5 x 55.5 ซ.ม. : ทองทึบ ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 119 (248-252) ผูก 2 (2565)หัวเรื่อง : สังฮอมธาตุ--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
องค์ความรู้เรื่อง : แกะรอยชาวโยนจากตำนานล้านนาโดย : นางสาวนงไฉน ทะรักษา นักโบราณคดีชำนาญการ กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่. แอ่งที่ราบเชียงราย – พะเยา เป็นถิ่นที่อยู่ของชาวเมืองพื้นราบ ที่เรียกตนเองและถูกเรียกว่า ชาวโยน หรือชาวยวน ในตำนานของล้านนาเล่าถึงการตั้งถิ่นฐานพื้นที่นี้มาตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาล ได้แก่ ตำนานสิงหนวัติ และพงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสน. ตำนานสิงหนวัติเล่าถึงการเข้ามาตั้งถิ่นฐานของผู้คนจากนครไทยเทศ ตั้งแต่ราว 18 ปีก่อนพุทธกาล สิงหนวัติกุมารได้สร้างเมืองโยนกนาคพันธุสิงหนวัตินครใกล้กับแม่น้ำโขง เมืองโยนกฯและราชวงศ์สิงหนวัติดำรงอยู่เรื่อยมาจนถึงราวพ.ศ. 1003 เมืองได้ล่มลง เพราะชาวบ้านจับปลาไหลเผือกมากิน เมื่อเมืองโยนกฯ ล่มสลายลง ชาวเมืองรอบๆเมืองโยนกได้ตั้งขุนลังขึ้นปกครอง สร้างเวียงแห่งหนึ่งริมแม่น้ำโขง ทางตะวันออกของเวียงโยนกชื่อเวียงปรึกษา มีขุนปกครองมาอีก 16 คน จนถึงพ.ศ.1118 พระอินทร์ได้ให้ลวจังกราชโอปปาติกะมาเป็นเจ้าเมืองเงินยาง ในราวพ.ศ.1182 เริ่มต้นราชวงศ์ลวจังกราช ในราชวงศ์นี้มีกษัตริย์ปกครอง 25 พระองค์ (เจ้าเมืองที่มีชื่อเสียง คือ ขุนเจืองหรือพญาเจือง) ในสมัยราชวงศ์นี้ ตั้งแต่ขุนชื่นและขุนจอมธรรม แสดงให้เห็นว่าแอ่งที่ราบลุ่มเชียงรายและพะเยาเริ่มก่อร่างสร้างอาณาจักรแยกจากกัน. จนกระทั่งถึงสมัยพญามังราย ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์มังราย ได้รวบรวมเมืองเล็กเมืองน้อยต่างๆขึ้น สถาปนาอาณาจักรล้านนาขึ้นมา และได้ย้ายเมืองหลวงจากแอ่งที่ราบเชียงราย มายังแอ่งที่ราบเชียงใหม่ โดยน่าจะมีประสงค์เพื่อขยายอาณาจักรต่อไป และถึงแม้จะเป็นพระสหายและเป็นพระญาติกับพญางำเมืองแห่งพะเยา แต่กษัตริย์ราชวงศ์มังรายองค์ต่อๆมา ก็ยังพยายามที่จะยึดอาณาจักรของพญางำเมือง ----- จากตำนานเหล่านี้ แสดงให้เราเห็นว่า -----. ชาวโยนเป็นผู้อพยพย้ายถิ่นเข้ามาในแอ่งที่ราบเชียงราย – พะเยา ตั้งแต่ก่อนพุทธกาล เป็นชนที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นราบใกล้กับแม่น้ำ แต่ในพื้นที่ก็มีชาวพื้นเมืองที่เรียกว่ามิลักขุ ตั้งถิ่นฐานอยู่บนที่สูง แต่ชนทั้งสองกลุ่มมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันตลอดเรื่อง. ราวพุทธศตวรรษที่ 16 ประชากรของกลุ่มชาวโยนมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างมาก ในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งของบ้านเมือง แต่ละเมืองเริ่มมีความขัดแย้งจนสู้รบกัน เพื่อแย่งชิงทรัพยากร เมื่อรวบรวมตั้งบ้านเมืองเป็นหลักแหล่งมีความมั่งคั่ง ชาวมิลักขุน่าจะมีบทบาทน้อยลง ดังที่ไม่ค่อยปรากฏในตำนานอย่างที่เคยเป็นมา. ทั้งนี้ ในพื้นที่จังหวัดเชียงรายพบหลักฐานสมัยก่อนล้านนา ได้แก่ เครื่องมือเครื่องใช้สำริด ขวานหินกะเทาะและขวานหินขัด ทั้งในพื้นที่ อ.เมืองเชียงราย อ.แม่จัน อ.ป่าแดด อ.เวียงชัย อ.พาน. นอกจากนี้ เราพบเมืองโบราณกระจายตัวอยู่ตามลำน้ำสายสำคัญตลอดลำน้ำ คือ แม่น้ำกกและแม่น้ำอิง เป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 100 เมือง
บทความวิชาการจดหมายเหตุ เรื่อง ภาพเก่าเล่าอดีต : ทุนเล่าเรียนหลวงผู้แต่ง : นัยนา แย้มสาขา อดีตกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านจดหมายเหตุ กองทุนส่งเสริมงานจดหมายเหตุตีพิมพ์ลงนิตยสารศิลปากร ปีที่ ๔๙ ฉบับที่ ๑ (เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘)หน้า ๘๑-๙๓
“สวรรคโลก” ชื่อนี้มีที่มาเรื่องราวของเมืองสวรรคโลกสืบย้อนไปได้ถึงราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ในนาม “เมืองเชลียง” ตามที่ปรากฏในเอกสารของล้านนาและพงศาวดารจีนสมัยราชวงศ์ซ่ง โดยมีศูนย์กลางอยู่บริเวณวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง จนเมื่อมีการสถาปนากรุงสุโขทัยในพุทธศตวรรษที่ ๑๙ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรสุโขทัยได้ตั้งเมืองเชลียงหรือ “เมืองศรีสัชนาลัย” เป็นเมืองลูกหลวงและเป็นเมืองสำคัญคู่กับเมืองสุโขทัย ก่อนที่จะมีการย้ายศูนย์กลางอำนาจของเมืองศรีสัชนาลัยไปยังบริเวณที่ราบติดเชิงเขาทางด้านเหนือซึ่งเชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในรัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช (พ.ศ. ๑๘๒๒ – ๑๘๔๑) เมืองศรีสัชนาลัยเจริญเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และมีพัฒนาการการผลิตเครื่องปั้นดินเผาจนกลายเป็นอุตสาหกรรมสำคัญในเวลาต่อมา กระทั่งอาณาจักรสุโขทัยตกอยู่ท่ามกลางการแผ่ขยายอำนาจระหว่างกรุงศรีอยุธยาและล้านนาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๒๐ เป็นต้นมา ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เอง อยุธยาได้เรียกขานเมืองศรีสัชนาลัยในนาม “เมืองสวรรคโลก” โดยพบหลักฐานปรากฏชื่อเมืองสวรรคโลกที่เก่าที่สุดในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ (พ.ศ. ๒๐๙๑ – ๒๑๑๑) ซึ่งนักวิชาการส่วนใหญ่สันนิษฐานว่าชื่อเมืองสวรรคโลกอาจเป็นที่มาของคำว่า “สังคโลก” ที่เป็นชื่อเรียกเครื่องปั้นดินเผาที่ผลิตขึ้นที่เมืองศรีสัชนาลัยและเมืองสุโขทัย อันเป็นสินค้าส่งออกสำคัญในสมัยกรุงศรีอยุธยา ในขณะที่อาณาจักรล้านนาเรียกขานชื่อเมืองนี้ว่า “เมืองเชียงชื่น”แม้ชื่อเมืองสวรรคโลกจะมีมาอย่างยาวนาน แต่สถานที่ตั้งในปัจจุบันกลับไม่ได้เป็นที่ตั้งเดิมของเมืองสวรรคโลกในอดีตเนื่องจากภายหลังการเสียกรุงครั้งที่ ๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ เมืองสวรรคโลกถูกทิ้งร้างไป ผู้คนอพยพหนีสงครามไปคนละทิศละทาง แม้จะมีความพยายามรวบรวมผู้คนกลับมาสร้างเมืองขึ้นใหม่ในสมัยธนบุรีก็ตาม เมืองสวรรคโลกก็ยังมีผู้คนเพียงเล็กน้อยไม่เพียงพอที่จะรักษาเมืองได้อย่างเข้มแข็ง เหตุนี้ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ ๑) จึงโปรดเกล้าฯ ให้อพยพชาวเมืองมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านท่าชัยระยะหนึ่ง แล้วจึงย้ายมายังบ้านวังไม้ขอนเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๙ ซึ่งถือเป็นการตั้งบ้านตั้งเมืองอย่างถาวรและเรียกขานนามเมือง “สวรรคโลก” ตามถิ่นฐานเดิมที่อพยพโยกย้ายมาก่อนจะกลายมาเป็นจังหวัดสวรรคโลกและอำเภอสวรรคโลกในปัจจุบัน
ตรัง, พระยา. วรรณคดีพระยาตรัง. พิมพ์ครั้งที่ 4. พระนคร : กรมศิลปากร, 2515. วรรณคดีพระยาตรัง เล่มนี้ มีเนื้อหากล่าวถึงบทประพันธ์จำนวน 5 เรื่อง ไว้ด้วยกัน ได้แก่ 1) โครงนิราศพระยาตรัง ซึ่งแต่งเมื่อคราวไปทัพเมืองถลาง ซึ่งพม่ายกทัพมาตีเมืองชุมพรและเมืองถลาง ใน พ.ศ. 2352 2) โคลงนิราศตามเสด็จทัพลำน้ำน้อย แต่งขึ้นเมื่อคราวตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ไปตีทวายใน พ.ศ. 2330 3) โคลงดั้นเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย 4) เพลงยาวพระยาตรัง และ 5) โคลงกวีโบราณ
วัดนรวราราม หมู่ ๘ บ้านหนองโอ ตำบลโนนยาง อำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร มีสิ่งสำคัญ คือ อุโบสถ (สิม) วัดนรวราราม เป็นสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นอิทธิพลญวน (เวียดนาม) กำหนดอายุการก่อสร้างจากศักราชที่ระบุไว้ที่หน้าบันด้านหน้าอุโบสถ (สิม) ว่า พ.ศ. ๒๔๗๑
. อุโบสถ (สิม) ตัวอาคารมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ขนาดกว้าง ๖ เมตร ยาว ๑๔ เมตร มีบันไดทางขึ้นด้านหน้าผายออก ราวบันไดทำเป็นพญานาคศิลปกรรมแบบอีสานพื้นถิ่น ตัวอาคารก่ออิฐถือปูนขนาด ๓ ห้อง มีมุขโถงด้านหน้าและราวโดยรอบมุขโถงทำเป็นเสาหลอกประดับวงโค้ง เหนือวงโค้งประดับกระจกเป็นลายริ้วสีเหลือง แดง เขียว และกระจกเงาทรงกลมในกรอบขนาดเล็ก ส่วนหน้าบันด้านหน้าเขียนสีรูปพญาครุฑในกรอบวงโค้งประดับเสาหลอก สองฝากข้างเขียนลายต้นไม้ บานประตูอุโบสถเป็นไม้แกะสลักนูนต่ำลายพันธุ์พฤกษา เหนือประตูเป็นซุ้มโค้งเขียนลายเส้นรูปดอกบัวและดอกไม้ประดับกระจกเงาเป็นวงกลมขนาดเล็ก ผนังด้านข้างมีหน้าต่างด้านละ ๑ ช่อง ฝ้าเพดานทำด้วยไม้ หลังคาเป็นเครื่องไม้ซ้อนกัน ๓ ชั้น มุงด้วยไม้แป้นเกล็ด ครอบหลังคาทำด้วยไม้แกะสลักไว้กึ่งกลางสันหลังคา โหง่ว (ช่อฟ้า) เป็นรูปหัวหงส์ ใบระกา และหางหงส์ทำเป็นรูปนาค แผงปิดคอสองแกะสลักเป็นรูปพญานาค รูปบุคคล รูปดอกไม้ กลางดอกไม้ประดับกระจกเงาวงกลมและทาสี เชิงชายแกะสลักเป็นรูปนาคเกี้ยวและทาสี ภายในอุโบสถมีพระประธานปูนปั้นฝีมือช่างท้องถิ่น
. กรมศิลปากร โดยสำนักศิลปากรที่ ๑๑ อุบลราชธานี (สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี ในปัจจุบัน) ได้จัดสรรงบประมาณมาดำเนินการบูรณะและปรับปรุงภูมิทัศน์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๕ และอุโบสถ(สิม) วัดนรวราราม ได้รับประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๒ ตอนพิเศษ ๑๒๖ง วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ขอบเขตพื้นที่ประมาณ ๑ ไร่ ๘๕ ตารางวา
-------------------------------------------------------------------
+++อ้างอิงจาก+++
. กรมศิลปากร. วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดมุกดาหาร. กรุงเทพฯ:
โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๔๔. หน้า ๑๔๖.
. สำนักศิลปากรที่ ๑๑ อุบลราชธานี. รายชื่อโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนแล้ว จังหวัดมุกดาหาร. เอกสารอัดสำเนา
, ๒๕๕๒.
ข้อมูล : กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี
ยานสำรวจก็เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ใช้สำหรับการสำรวจแหล่งเรือจม หรือแหล่งโบราณคดีใต้น้ำ ของกองโบราณคดีใต้น้ำ ซึ่งยานสำรวจนั้น มีข้อดีหลักๆ คือช่วยลดอัตราความเสี่ยงของบุคคลากรกองโบราณคดีใต้น้ำในการลงดำน้ำเพื่อการสำรวจในพื้นที่ที่มีความลึก นอกจากนี้ ยังมีข้อดีอีกหลายอย่าง รวมถึงมีส่วนประกอบที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้งานจำนวนหลายส่วน ซึ่งสามารถรับชมได้จากภาพประกอบ
-------------------------------------------------------
ที่มาของข้อมูล : กองโบราณคดีใต้น้ำ กรมศิลปากร
https://www.facebook.com/100069197290106/posts/288142626835645/?d=n
พระเสด็จสุเรนทราธิบดี (เปีย มาลากุล), เจ้าพระยา. สมบัติของผู้ดีพร้อมคำอธิบายประโยคประถมศึกษา ตอนปลาย. พิมพ์ครั้งที่ 8. พระนคร: โรงพิมพ์คุรุสภา, 2513.
หนังสืออ่านเพิ่มเติมเรื่องสมบัติของผู้ดีพร้อมคำอธิบายประโยคประถมศึกษาตอนปลาย เป็นผลงานของเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี (หม่อมราชวงศ์เปีย มาลากุล) เป็นหนังสือเกี่ยวกับหลักปฏิบัติ 10 ประการ ของผู้มีความประพฤติดีทั้งทางกาย วาจา และความคิด แบ่งเนื้อหาออกเป็น 10 บท ในแต่ละบทจะกล่าวถึงหลักปฏิบัติแต่ละประการโดยแยกย่อยเป็นกายจริยา วจีจริยา และมโนจริยา ซึ่งเป็นแนวทางในการอบรมบ่มเพาะนิสัยโดยใช้ภาษาและข้อความที่เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับเด็กนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลาย