ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,611 รายการ
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือ วัดโพธิ์ เป็นวัดเก่าแก่มีมาแต่สมัยอยุธยา เดิมชื่อว่า วัดโพธาราม แต่คนทั่วไปนิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า วัดโพธิ์ เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นปฐมกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์ทรงสถาปนาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามขึ้น เป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๑ แห่งราชวงศ์จักรี ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงโปรดเกล้าปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้จารึกสรรพวิทยาการต่างๆ โดยให้นักปราชญ์ ราชบัณฑิตมาช่วยกันตรวจสอบ แก้ไข โดยใช้ของเดิมบ้าง แต่งขึ้นมาใหม่บ้าง คัดเลือกแต่เรื่องที่ดีและถูกต้อง สมควรจะศึกษาและเผยแพร่ จารึกลงบนแผ่นศิลาประดับไว้ตามผนัง เสา และส่วนต่างๆ ของอาคารสิ่งก่อสร้างภายในบริเวณวัด เพื่อให้ประชาชนพลเมืองทุกๆ ชนชั้นสามารถศึกษาหาความรู้ตามความสนใจ ใครรักใครชอบวิชาใดก็สามารถศึกษาหาความรู้ได้จากจารึกเหล่านี้ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงยกให้วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของเมืองไทย จารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือที่เรียกว่า “จารึกวัดโพธิ์” ทำขึ้นจากหินอ่อนและหินปูน ซึ่งมีความทนทานพอสมควรหากเก็บรักษาไว้ในที่ร่มจะมีสภาพคงทนและแข็งแรงคงอยู่ได้อย่างยาวนาน ทั้งนี้ เนื่องจากจารึกมีทั้งส่วนที่อยู่ในร่มก็จะคงอยู่ในสภาพที่ดี แต่ส่วนที่อยู่ภายนอกอาคารบริเวณผนัง เสา และริมระเบียง มีบางส่วนสึกกร่อนลบเลือนอย่างรวดเร็วเพราะได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ได้แก่ ลม ฝน แสงแดด เป็นต้น ///จากการศึกษาโคลงกลบทวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือ โคลงกลบทวัดโพธิ์ ซึ่งคำว่า “กลบท” มีความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ หมายถึง คำประพันธ์ที่บัญญัติให้ใช้คำหรือสัมผัสเป็นชั้นเชิงยิ่งกว่าธรรมดา เช่น อมรแมนแม่นแม้นเจ้างามโฉม ตัวอย่างจากกลบทตรีประดับ เป็นต้น ///ผู้ศึกษาพบว่าโคลงกลบทที่ ๑๕ หรือ โคลงประดิดนักเลง เป็นกลบทที่น่าสนใจและยังไม่มีผู้ใดศึกษา โดยสภาพจารึกอักษรค่อนข้างลบเลือนไม่ชัดเจนเพราะอยู่บริเวณเสาริมพระระเบียง ปัจจุบันจารึกโคลงกลบทประดิดนักเลงติดอยู่บริเวณเสาข้างประตูด้านในของพระระเบียงชั้นนอกด้านทิศตะวันออก (วิหารพระโลกนาถ) ประตูที่ ๑ ด้านซ้าย ๏ โคลงประดิดนักเลง ๚ะ ๛ ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงลองศึกษาเบื้องต้นและขอความอนุเคราะห์จากท่านศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร ตรวจสอบเพื่อหาคำตอบ โดยนำตารางทั้ง ๒ ทั้งด้านล่างและด้านบนมาทับซ้อนกัน หลังจากนั้นจึงนำคำที่อยู่นอกตารางบริเวณตอนกลางของจารึกมาเสริมเรียงตามบรรทัด ดังปรากฏเป็นโคลงเฉลย ดังนี้ตรีขึ้นหนึ่งแต้ม ตามหงาย ทแกล้วนายหนึ่งนั่งนาย หนึ่งข้าม ดวดไต่ล่างเดนกราย หนึ่งเท้ นานา ปากซังหนึ่งพาดผานห้าม ฝ่ายหนึ่งคุมซัง ท่านศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร ได้ให้ความเห็นว่าน่าจะถูกต้อง แต่ควรจะต้องตรวจสอบการเรียงลำดับคำ ว่าจะปรับให้ได้ใจความดียิ่งขึ้นอีกหรือไม่ จากรายละเอียดที่ท่านเป็นวิทยากรในกิจกรรมการเสวนาวิชาการ งานฉลองเนื่องในโอกาสขึ้นทะเบียนจารึกวัดโพธิ์เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกในระดับชาติ เมื่อวันที่ ๒๕ – ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ หลังจากนั้นต่อมาจึงได้ขอคำปรึกษาจากท่านอาจารย์เทิม มีเต็ม ผู้ทรงคุณวุฒิกรมศิลปากร โดยท่านได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “ตาคงไม่กล้าเสนอความคิดเห็นไปเทียบท่านอาจารย์ประเสริฐ” แต่คำศัพท์ที่ปรากฏ ได้แก่ คำว่า “เดน” น่าจะเป็น “เดิน” คำว่า “เท้” น่าจะเป็น “แท้” คำว่า “ผาน” น่าจะเป็น “ผ่าน” และคำว่า “ดวด” เป็นการละเล่นชนิดหนึ่ง ซึ่งท่านอาจารย์เทิม มีเต็ม ได้ให้ข้อมูลต่อว่า “ตาเคยเห็นคนเล่นกันตอนตาเด็กๆ” สมัยยังเป็นเณรอยู่วัด คำว่า “ดวด” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ ให้ความหมายว่า ถ้าเป็นคำนาม หมายถึง ชื่อการเล่นชนิดหนึ่ง เดินแต้มตามเบี้ยที่ทอดได้ไปตามตาราง ถ้าเป็นคำกริยา “ดวด” คือการดื่มทีเดียวหมด (มักใช้แก่เหล้า) นอกจากนี้ ข้าพเจ้าได้สอบถามท่านอาจารย์เทิม มีเต็ม เพิ่มเติมว่า “ดวด” เขาเล่นกันอย่างไร และมีกติกาอะไรบ้าง ซึ่งท่านเล่าให้ฟังว่า ในสมัยเด็กๆ ตอนเป็นเณร เห็นชาวบ้านเขาเล่นกัน มีลักษณะเป็นหมากกระดานชนิดหนึ่งคล้ายหมากรุกไทย ตีเส้นเป็นตารางทางเดินเป็นวงกลม และมีตัวเดินเป็นไม้ฝั่งละตัว วิธีการเดินให้ใช้หอยเบี้ย จำนวน ๕ ตัว ทอดเป็นแต้มเช่นเดียวกันกับการทอดลูกเต๋า แล้วดูว่าหอยเบี้ยหงายกี่ตัว คว่ำกี่ตัว เช่น หงาย ๓ คว่ำ ๒ ก็จะได้ ๓ แต้ม ก็จะได้เดินทาง ๓ แต้ม แต่ถ้าหอยเบี้ยได้หงายทั้ง ๕ ตัว ไม่มีตัวคว่ำก็จะได้ ๕ แต้ม และจะได้ทอดหอยเบี้ยอีกครั้ง ถ้าใครเดินไปจนจะใกล้ถึง “ปากซัง” ซึ่งก็คือจุดหมาย แต่ยังเหลือระยะทางอีก ๕ แต้ม ๔ แต้ม ๓ แต้ม ๒ แต้ม หรือ ๑ แต้ม แล้วนั้น ใครสามารถทอดหอยเบี้ยได้ตามจำนวนแต้มตามระยะทางที่เหลือก่อนก็จะเป็นผู้ชนะ สุดท้ายนี้ข้าพเจ้าพยายามเรียบเรียงบทความนี้ขึ้นมาเพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ที่พยายามศึกษาร่วมกับท่านศาตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร และท่านอาจารย์เทิม มีเต็ม ผู้ทรงคุณวุฒิกรมศิลปากร โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า “โคลงกลบทประดิดนักเลง” จะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับ “จารึกโคลงกลบทภายในวัดโพธิ์” ต่อไปในอนาคต --------------------------------------------------------------เรียบเรียงโดย นายทีปวัจน์ วัชรศิริอมร นักภาษาโบราณชำนาญการพิเศษ ผู้อำนวยการกลุ่มหนังสือตัวเขียนและจารึก ภาพประกอบโดย นายสันติ วงศ์จรูญลักษณ์ นักภาษาโบราณชำนาญการ--------------------------------------------------------------บรรณานุกรม ประชุมจารึกวัดพระเชตุพน. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, ๒๕๔๔. ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒. กรุงเทพฯ : นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์, ๒๕๔๖.
ชื่อเรื่อง ลำอวหาร (ลำอวหาร)
สพ.บ. 206/1ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 80 หน้า กว้าง 5 ซ.ม. ยาว 39 ซ.ม. หัวเรื่อง พุทธศาสนา ชาดก เทศน์มหาชาติ คาถาพัน
บทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับล่องรัก ได้รับบริจาคมาจากวัดกกม่วง ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
ชื่อเรื่อง มหานิปาตวณฺณนา (เวสฺสนฺตรชาดก)ชาตกฎฐกถา ขุทฺทกนิกายฏฐกถา (ทานขันธ์-นครกัณฑ์)
สพ.บ. 250/8กประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 30 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 57 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา--การศึกษาและการสอน ชาดก
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ-ล่องรัก ได้รับบริจาคมาจากวัดทุ่งอุทุมพร ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
ตัวเมืองกับการเปลี่ยนแปลงการใช้ภาษาของชาวไทยถิ่นเหนืออาณาจักรล้านนามีตัวอักษรใช้ คือ ตัวเมืองหรืออักษรธรรมล้านนา คนล้านนาจะแทนตนเองว่า "คนเมือง" และแทนอักษรที่ใช้ว่า "ตัวเมืองหรือตั๋วเมือง" ซึ่งอักษรธรรมล้านนาหรือตัวเมืองนั้น เป็นอักษรที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นภาษาที่เกิดขึ้นมานานในดินแดนล้านนานับพันปี อักษรธรรมล้านนานิยมใช้บันทึกสิ่งต่าง ๆ เช่น หลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา พิธีกรรม พระไตรปิฎก คัมภีร์ใบลาน ธรรมชาดก พงศาวดารตำนาน ศิลาจารึก ประวัติศาสตร์ ตำรายาสมุนไพร วรรณกรรมล้านนา คติคำสอนต่าง ๆ ตำราไสยศาสตร์ในสมัยเจ้าแก้วนวรัฐ ผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ ๙ (พ.ศ.๒๔๕๒ - ๒๔๘๒) เกิดการเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครอง โดยล้านนาได้ถูกผนวกเข้ารวมกับราชอาณาจักรไทยกลายเป็นจังหวัดหนึ่งในประเทศไทย มีการใช้ภาษาไทยกลางเป็นภาษาทางราชการ ทำให้เกิดกระแสการเรียนรู้ภาษาไทยกลางมากขึ้น วัดต่าง ๆ จึงลดบทบาทในการสอนอักษรตัวเมืองลงไปปัจจุบันคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้จักตัวเมือง แต่ยังใช้คำเมืองในการสื่อสารกันในกลุ่มชาวไทยถิ่นเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน แม่ฮ่องสอน พะเยา ลำปาง แพร่ น่าน และยังพบตัวเมืองตามป้ายวัดหรือสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งมีไม่มากนัก วัดที่เปิดสอนการเรียนตัวเมืองให้กับกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ภาษาตัวเมือง คือ วัดพระวรสิงห์มหาราช (วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร) จังหวัดเชียงใหม่ โดยเปิดสอนทุกวันอาทิตย์ เวลา ๐๙.๐๐ น. - ๑๒.๐๐ น.ผู้เรียบเรียง : นางสาวอริสรา คงประเสริฐ นักจดหมายเหตุภาพ : ๑. หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่๒. หนังสือให้บริการของหอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่อ้างอิง :๑. เชียงใหม่นิวส์. ๒๕๖๒. "ตั๋วเมือง มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม" สาระน่ารู้ (Online). https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/955357/, ๘ สิงหาคม ๒๕๖๔.๒. วัลลภ มณีเชษฐา. ๒๕๖๑. "กระบวนการถ่ายทอดอักษรธรรมล้านนา." วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์" ๑๔ (๑): ๑๗๖-๑๘๘.๓. สถาบันพัฒนาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยภาคเหนือ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย กระทรวงศึกษาธิการ. อักขรธัมม์ล้านนา. เชียงใหม่: สถาบัน กศน.ภาคเหนือ.๔. Tipitaka. ๒๕๕๙. “อักษรธรรมล้านนา อักษราจารพุทธธรรม”. อยู่ในบุญ (Online). https://www.dmc.tv ,๕ สิงหาคม ๒๕๖๔.
เลขทะเบียน : นพ.บ.181/3กห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 46 หน้า ; 4 x 48 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 103 (91-100) ผูก 3ก (2565)หัวเรื่อง : แปดหมื่นสี่พันธ์ขันธ์ --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
อุโปสถสีลรกฺขานิสํสกถา (อานิสงสรกฺขาสีลอุโปสถ)
ชบ.บ.61/1-1
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ชื่อเรื่อง มิลินฺทปญฺหาสงฺเขป (มิลินทปัญหา)สพ.บ. 322/3ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 52 หน้า : กว้าง 4.7 ซม. ยาว 56.9 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา ชาดก บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจาก วัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
เลขทะเบียน : นพ.บ.283/2ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 50 หน้า ; 4.5 x 55.5 ซ.ม. : ทองทึบ ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 119 (248-252) ผูก 2 (2565)หัวเรื่อง : สังฮอมธาตุ--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
องค์ความรู้เรื่อง : แกะรอยชาวโยนจากตำนานล้านนาโดย : นางสาวนงไฉน ทะรักษา นักโบราณคดีชำนาญการ กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่. แอ่งที่ราบเชียงราย – พะเยา เป็นถิ่นที่อยู่ของชาวเมืองพื้นราบ ที่เรียกตนเองและถูกเรียกว่า ชาวโยน หรือชาวยวน ในตำนานของล้านนาเล่าถึงการตั้งถิ่นฐานพื้นที่นี้มาตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาล ได้แก่ ตำนานสิงหนวัติ และพงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสน. ตำนานสิงหนวัติเล่าถึงการเข้ามาตั้งถิ่นฐานของผู้คนจากนครไทยเทศ ตั้งแต่ราว 18 ปีก่อนพุทธกาล สิงหนวัติกุมารได้สร้างเมืองโยนกนาคพันธุสิงหนวัตินครใกล้กับแม่น้ำโขง เมืองโยนกฯและราชวงศ์สิงหนวัติดำรงอยู่เรื่อยมาจนถึงราวพ.ศ. 1003 เมืองได้ล่มลง เพราะชาวบ้านจับปลาไหลเผือกมากิน เมื่อเมืองโยนกฯ ล่มสลายลง ชาวเมืองรอบๆเมืองโยนกได้ตั้งขุนลังขึ้นปกครอง สร้างเวียงแห่งหนึ่งริมแม่น้ำโขง ทางตะวันออกของเวียงโยนกชื่อเวียงปรึกษา มีขุนปกครองมาอีก 16 คน จนถึงพ.ศ.1118 พระอินทร์ได้ให้ลวจังกราชโอปปาติกะมาเป็นเจ้าเมืองเงินยาง ในราวพ.ศ.1182 เริ่มต้นราชวงศ์ลวจังกราช ในราชวงศ์นี้มีกษัตริย์ปกครอง 25 พระองค์ (เจ้าเมืองที่มีชื่อเสียง คือ ขุนเจืองหรือพญาเจือง) ในสมัยราชวงศ์นี้ ตั้งแต่ขุนชื่นและขุนจอมธรรม แสดงให้เห็นว่าแอ่งที่ราบลุ่มเชียงรายและพะเยาเริ่มก่อร่างสร้างอาณาจักรแยกจากกัน. จนกระทั่งถึงสมัยพญามังราย ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์มังราย ได้รวบรวมเมืองเล็กเมืองน้อยต่างๆขึ้น สถาปนาอาณาจักรล้านนาขึ้นมา และได้ย้ายเมืองหลวงจากแอ่งที่ราบเชียงราย มายังแอ่งที่ราบเชียงใหม่ โดยน่าจะมีประสงค์เพื่อขยายอาณาจักรต่อไป และถึงแม้จะเป็นพระสหายและเป็นพระญาติกับพญางำเมืองแห่งพะเยา แต่กษัตริย์ราชวงศ์มังรายองค์ต่อๆมา ก็ยังพยายามที่จะยึดอาณาจักรของพญางำเมือง ----- จากตำนานเหล่านี้ แสดงให้เราเห็นว่า -----. ชาวโยนเป็นผู้อพยพย้ายถิ่นเข้ามาในแอ่งที่ราบเชียงราย – พะเยา ตั้งแต่ก่อนพุทธกาล เป็นชนที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นราบใกล้กับแม่น้ำ แต่ในพื้นที่ก็มีชาวพื้นเมืองที่เรียกว่ามิลักขุ ตั้งถิ่นฐานอยู่บนที่สูง แต่ชนทั้งสองกลุ่มมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันตลอดเรื่อง. ราวพุทธศตวรรษที่ 16 ประชากรของกลุ่มชาวโยนมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างมาก ในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งของบ้านเมือง แต่ละเมืองเริ่มมีความขัดแย้งจนสู้รบกัน เพื่อแย่งชิงทรัพยากร เมื่อรวบรวมตั้งบ้านเมืองเป็นหลักแหล่งมีความมั่งคั่ง ชาวมิลักขุน่าจะมีบทบาทน้อยลง ดังที่ไม่ค่อยปรากฏในตำนานอย่างที่เคยเป็นมา. ทั้งนี้ ในพื้นที่จังหวัดเชียงรายพบหลักฐานสมัยก่อนล้านนา ได้แก่ เครื่องมือเครื่องใช้สำริด ขวานหินกะเทาะและขวานหินขัด ทั้งในพื้นที่ อ.เมืองเชียงราย อ.แม่จัน อ.ป่าแดด อ.เวียงชัย อ.พาน. นอกจากนี้ เราพบเมืองโบราณกระจายตัวอยู่ตามลำน้ำสายสำคัญตลอดลำน้ำ คือ แม่น้ำกกและแม่น้ำอิง เป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 100 เมือง
บทความวิชาการจดหมายเหตุ เรื่อง ภาพเก่าเล่าอดีต : ทุนเล่าเรียนหลวงผู้แต่ง : นัยนา แย้มสาขา อดีตกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านจดหมายเหตุ กองทุนส่งเสริมงานจดหมายเหตุตีพิมพ์ลงนิตยสารศิลปากร ปีที่ ๔๙ ฉบับที่ ๑ (เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘)หน้า ๘๑-๙๓
“สวรรคโลก” ชื่อนี้มีที่มาเรื่องราวของเมืองสวรรคโลกสืบย้อนไปได้ถึงราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ในนาม “เมืองเชลียง” ตามที่ปรากฏในเอกสารของล้านนาและพงศาวดารจีนสมัยราชวงศ์ซ่ง โดยมีศูนย์กลางอยู่บริเวณวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง จนเมื่อมีการสถาปนากรุงสุโขทัยในพุทธศตวรรษที่ ๑๙ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรสุโขทัยได้ตั้งเมืองเชลียงหรือ “เมืองศรีสัชนาลัย” เป็นเมืองลูกหลวงและเป็นเมืองสำคัญคู่กับเมืองสุโขทัย ก่อนที่จะมีการย้ายศูนย์กลางอำนาจของเมืองศรีสัชนาลัยไปยังบริเวณที่ราบติดเชิงเขาทางด้านเหนือซึ่งเชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในรัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช (พ.ศ. ๑๘๒๒ – ๑๘๔๑) เมืองศรีสัชนาลัยเจริญเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และมีพัฒนาการการผลิตเครื่องปั้นดินเผาจนกลายเป็นอุตสาหกรรมสำคัญในเวลาต่อมา กระทั่งอาณาจักรสุโขทัยตกอยู่ท่ามกลางการแผ่ขยายอำนาจระหว่างกรุงศรีอยุธยาและล้านนาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๒๐ เป็นต้นมา ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เอง อยุธยาได้เรียกขานเมืองศรีสัชนาลัยในนาม “เมืองสวรรคโลก” โดยพบหลักฐานปรากฏชื่อเมืองสวรรคโลกที่เก่าที่สุดในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ (พ.ศ. ๒๐๙๑ – ๒๑๑๑) ซึ่งนักวิชาการส่วนใหญ่สันนิษฐานว่าชื่อเมืองสวรรคโลกอาจเป็นที่มาของคำว่า “สังคโลก” ที่เป็นชื่อเรียกเครื่องปั้นดินเผาที่ผลิตขึ้นที่เมืองศรีสัชนาลัยและเมืองสุโขทัย อันเป็นสินค้าส่งออกสำคัญในสมัยกรุงศรีอยุธยา ในขณะที่อาณาจักรล้านนาเรียกขานชื่อเมืองนี้ว่า “เมืองเชียงชื่น”แม้ชื่อเมืองสวรรคโลกจะมีมาอย่างยาวนาน แต่สถานที่ตั้งในปัจจุบันกลับไม่ได้เป็นที่ตั้งเดิมของเมืองสวรรคโลกในอดีตเนื่องจากภายหลังการเสียกรุงครั้งที่ ๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ เมืองสวรรคโลกถูกทิ้งร้างไป ผู้คนอพยพหนีสงครามไปคนละทิศละทาง แม้จะมีความพยายามรวบรวมผู้คนกลับมาสร้างเมืองขึ้นใหม่ในสมัยธนบุรีก็ตาม เมืองสวรรคโลกก็ยังมีผู้คนเพียงเล็กน้อยไม่เพียงพอที่จะรักษาเมืองได้อย่างเข้มแข็ง เหตุนี้ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ ๑) จึงโปรดเกล้าฯ ให้อพยพชาวเมืองมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านท่าชัยระยะหนึ่ง แล้วจึงย้ายมายังบ้านวังไม้ขอนเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๙ ซึ่งถือเป็นการตั้งบ้านตั้งเมืองอย่างถาวรและเรียกขานนามเมือง “สวรรคโลก” ตามถิ่นฐานเดิมที่อพยพโยกย้ายมาก่อนจะกลายมาเป็นจังหวัดสวรรคโลกและอำเภอสวรรคโลกในปัจจุบัน