ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,652 รายการ
รางวางธูปประดับมุก
สมัยรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๕
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ประทานยืม
ปัจจุบันจัดแสดง ณ พระที่นั่งพรหมเมศธาดา (ชั้นล่าง) หมู่พระวิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
รางวางธูปประดับมุกรูปมังกร ส่วนหัวมังกรเชิดหน้าขึ้น มองขึ้นด้านบน ตาเบิกโพลง จมูกสั้น อ้าปาก ลำตัวตรง กลางลำตัวเป็นช่องสี่เหลี่ยมทาชาด รองรับด้วยฐานสี่เหลี่ยมแกะเป็นรูปขาและอุ้งเท้ามังกร ส่วนปลายเป็นหางมังกร
รางวางธูปรูปมังกรชิ้นนี้ สันนิษฐานว่าแต่เดิมอาจเป็นส่วนประกอบหนึ่งหรือสร้างตามแรงบันดาลใจมาจาก “นาฬิกาธูป” (Incense Clock) ในวัฒนธรรมจีนถือเป็นเครื่องบอกเวลาชนิดหนึ่ง กล่าวคือ ธูปจะวางไว้ตามแนวรางรูปจากนั้นจึงแขวนลูกตุ้มเอาไว้ และด้านล่างมีถาดเหล็กรองรับอยู่ เมื่อใช้งานจึงจุดธูปให้เผาไหม้ไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดที่แขวนลูกถ่วง ลูกถ่วงจะตกลงไปในถาดเหล็กเกิดเป็นเสียงกระทบดังขึ้น เชื่อกันว่าแต่เดิมนาฬิกาธูปนี้เป็นเสมือนนาฬิกาตั้งปลุก และเปรียบส่วนรางธูปว่า “เรือมังกร” (dragon boat)
นอกจากนี้ประมาณช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ (พุทธศตวรรษที่ ๒๔) พบว่าในกลุ่มชาวจีนกวางตุ้งยังใช้นาฬิกาธูปสำหรับเป็นที่จุดยาสูบ ภายหลังจากทานอาหารเย็นอีกด้วย ซึ่งสอดคล้องกับในทะเบียนบัญชีโบราณวัตถุระบุว่าชิ้นนี้คือ “รางวางธูปสำหรับที่จุดบุหรี่ของสมเด็จเจ้าพระยา”
ภาพนาฬิกาธูปรูปมังกรทำด้วยไม้ลงรัก สมบัติส่วนบุคคลของ Helen C. Hager
มังกร หรือ หลง* (ในภาษาจีนกลาง และ เล้ง ในภาษาจีนแต้จิ๋ว) เป็นสัตว์มงคล มีฤทธิ์มาก (บางตำรากล่าวว่าเป็นสัตว์อมตะ หรือมีอายุยืนนับพันปี) อีกทั้งเป็นสัตว์วิเศษ ๑ ใน ๔ (ประกอบด้วย มังกร กิเลน หงส์ และเต่า) สามารถขจัดสิ่งชั่วร้ายและภูตผีปีศาจได้ ลักษณะของมังกรสื่อถึงการเป็นสัตว์ผสม สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงมีความเห็นว่ามังกรนั้นเอาไปแบบอย่างมาจากจระเข้ ดังลายพระหัตถ์ ถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ลงวันที่ วันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ.๒๔๘๓ ความว่า
“...ทางจีนที่เขาทำมังกรหน้าตะเข้นั้นตัวสั้นๆ ก็เคยเห็นรูปฉลองพระองค์ของพระเจ้ากรุงจีนมีแต่เป็นของเก่า แม้มังกรของเราที่เก่า เช่นพระราชลัญจกรซึ่งพระราชทานแก่โบราณคดีสมาคมเป็นต้น หน้าก็ยาวตัวก็สั้นทำให้ท้าวสะเอวเสียด้วย เป็นพวกตะเข้มากกว่าพวกงู แต่ทีหลังก็ทำเลื่อนไปเป็นพวกงูจึงหลงว่าเป็นนาค ความหลงนั้นไม่ใช่มาหลงในเมืองเรา หลงมาแต่ทางจีนแล้ว ทำเป็นงูพันเทียนพันเสาอะไรเล่นตามชอบใจ ซ้ำแก้หน้าเป็นสิงโตกลายๆ เสียด้วย เพราะเหตุดังนั้นที่เขาเขาเขียนดรากอนเป็นตะเข้จึงได้ชอบใจนัก ด้วยมีความเห็นว่า เดิมเขาจะนึกผูกมาจากตะเข้ ลางคนก็ว่าเหรา เหราจะเป็นตัวอะไรก็ไม่ทราบ ภาษาอะไรก็ไม่ทราบได้พบชื่อนั้นอยู่บ่อยๆ คำเทียบแม่ ก กา ในมูลบท**ก็มีว่า “จระเข้เหราคร่าไป” จะเป็นกลอนพาไปก็ได้ หรือจะเป็นคำซ้ำ เช่น “เพิ่มเติม” “ถูกต้อง” ก็ได้ กิ้งก่ายักษ์ซึ่งเขาจับเอามาไว้ในสวนเลี้ยงสัตว์ที่ชวา ฝรั่งเขาว่าเทือกเถาเหล่ากอมังกร จะอย่างไรก็ดี มังกรนั้นคิดมาจากสัตว์พวกตะเข้ ไม่ใช่งูเป็นแน่…”
ภาพนาฬิกาธูปรูปมังกรทำด้วยไม้ (บน) และ สำริด (ล่าง) สมบัติส่วนบุคคลของ Dr. S. P. Lehv
ในปัจจุบันเชื่อกันว่ามังกรประกอบด้วย ๙ ลักษณะ ได้แก่ เขาเหมือนกวาง หัวเหมือนอูฐ ตาเหมือนปีศาจ คอเหมือนงู ท้องเหมือนหอยแครง เกล็ดเหมือนปลา เล็บเหมือนนกอินทรี ฝ่าเท้าเหมือนเสือ และหูเหมือนวัว สำหรับมังกรตัวผู้จะมีเคราและหนวด ลักษณะดังกล่าวนี้ทำให้มังกรต่างจากพญานาคของไทยคือ มีเขา และมีเท้า ซึ่งพญานาคไม่ปรากฏ*** ทั้งนี้มังกรแต่ละชนิดก็มีความแตกต่างกันออกไป บางชนิดมีปีก และมีจำนวนเล็บไม่เท่ากัน ในวัฒนธรรมจีนเชื่อว่ามังกรอาศัยอยู่ในท้องทะเลครอบครองมุกและพลอย นับถือว่ามังกรที่มีกรงเล็บห้าเล็บเป็นหัวหน้ามังกรทั้งปวง
*ในคำอธิบายของพรพรรณ จันทโรนานนท์ ยังแบ่งจำแนกชื่อมังกรตามคุณลักษณะต่าง ๆ อาทิ ว่ามังกรไม่เขาเรียกว่า “ชีหลง” หากมีเขาเรียกว่า “ฉิวหลง” มังกรที่ได้ขึ้นสวรรค์เรียกว่า “ผันหลง” มังกรที่ชอบเล่นน้ำเรียกว่า “ชิงหลง” มังกรที่พ่นไฟได้เรียกว่า “หัวหลง” ดูใน พรพรรณ จันทโรนานนท์. ฮก ลก ซิ่ว. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๓๗. หน้า ๒๘.
**หมายถึง มูลบทบรรพกิจ เรียบเรียงขึ้นโดย พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจาริยางกูร) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๔ (สมัยรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์)เป็นหนังสือแบบเรียนภาษาไทย
***พระยาอนุมานราชธน (ยง เสฐียรโกเศศ) อธิบายถึงลักษณะของมังกรต่างออกไปว่า “ศีรษะคล้ายอูฐ เขาคล้ายกวาง ตาคล้ายกระต่าย หูคล้ายวัว คอคล้ายงู ท้องคล้ายเหี้ย เกล็ดคล้ายปลาหลี่ฮื้อ เล็บค้ายนกอินทรี อุ้งเล็บคล้ายเสือ เกล็ดมีจำนวน ๘๑ เกล็ด เสียงคล้ายเสียงฆ้อง สองข้างปากมีหนวดเครา ใต้คางมีมุกดา ใต้คอมีเกล็ดย้อน หายใจเป้นเมฆ บางทีก็แปรเป็นฝนหรือเป็นไฟ”
อ้างอิง
กรมศิลปากร. สมุดภาพสัตว์หิมพานต์. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม, ๒๕๖๑.
นริศรานุวัดติวงศ์, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยา และ ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. สาส์นสมเด็จ เล่ม ๑๙. พระนคร: องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๐๕.
พรพรรณ จันทโรนานนท์. ฮก ลก ซิ่ว. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๓๗.
สมบัติ พลายน้อย. สัตว์หิมพานต์. พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ: พิมพ์คำ, ๒๕๕๒.
Bedini, Silvio A. “กลิ่นแห่งกาลเวลา การศึกษาการใช้ไฟและธูปเพื่อวัดเวลาในประเทศตะวันออก” Transactions of the American Philosophical Society. ฟิลาเดลเฟีย, เพนซิลเวเนีย: American Philosophical Society. ๕๓, ๕ (๑๙๖๓), วันศุกร์ที่ ๒๗.
แซว่ ในพระพุทธรูปล้านนา พระพุทธรูปล้านนาหลายองค์ที่มีขนาดใหญ่ การสร้างพระพุทธรูปจึงไม่สามารถหล่อขึ้นมาทั้งองค์ได้ ช่างโบราณจึงได้มีวิธีการหล่อแบบแยกชิ้นส่วน แล้วนำมาประกอบกันโดยมีสลัก ในภาษาท้องถิ่นภาคเหนือเรียกว่า แซว่ (สะกดตามพจนานุกรมภาษาล้านนา สถาบันภาษาศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๕๕๐) หมายถึงพระพุทธรูปที่ประกอบด้วยสลักยึดเป็นจำนวนมากนับไม่ถ้วน บางองค์ถึงกับมีชื่อเรียกเฉพาะว่าพระเจ้าแสนแซว่ เนื่องจากมีขนาดใหญ่ ต้องมีการหล่อหลายชิ้นมาประกอบกัน อย่างเช่นพระพักตร์พระเจ้าแสนแซว่ วัดยางกวง เมืองเชียงใหม่ ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ และพระพักตร์พระพุทธรูปศิลปะล้านนา พบที่วัดดอนแก้ว จังหวัดลำพูน พระเจ้าแสนแสว้ (แซว่)พระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะล้านนายุคแรก พุทธศตวรรษที่ ๑๙ ตามทะเบียนโบราณวัตถุศิลปวัตถุพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย ระบุว่าย้ายมาจากวัดพระธาตุหริภุญชัยเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๘ พระพุทธรูปปางมารวิชัย ขมวดพระเกศาใหญ่ พระพักตร์กลม แย้มพระโอษฐ์ พระวรกายอวบ ชายสังฆาฏิสั้นเหนือพระถัน ประทับนั่งขัดสมาธิราบ แตกต่างจากพระพุทธรูปล้านนาในระยะแรกมักนั่งขัดสมาธิเพชร ศาสตราจารย์ชอง บวสเซอร์ลิเยร์ ได้ให้เหตุผลว่า เดิมเคยเข้าใจกันว่าพระพุทธรูปในระยะแรกนั้น ต้องประทับนั่งขัดสมาธิเพชร แต่จากหลักฐานที่พบพระพุทธรูปในระยะแรกนี้ ไม่จำเป็นต้องนั่งขัดสมาธิเพชรเสมอไป การนั่งขัดสมาธิราบนั้น ปรากฏร่วมกันอยูแล้วในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลักษณะรูปแบบของพระพุทธรูปนั้น มีความใกล้เคียงศิลปะปาละ ที่ส่งอิทธิพลทางรูปแบบศิลปะพุกามของพม่าและเป็นต้นแบบให้กับพระพุทธรูปสมัยหริภุญไชย เรื่อยมาจนถึงสมัยล้านนายุคแรก ถึงแม้พระพุทธรูปองค์นี้จะมีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ก็เป็นพระพุทธรูปที่มีวิธีการสร้างโดยการหล่อแยกส่วนหลายชิ้นนำมาประกอบกันตามแบบของพระพุทธรูป ในศิลปะล้านนา พบรอยต่อในลักษณะของการเข้าสลักเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู บริเวณต่างๆของพระพุทธรูป ได้แก่ส่วนพระเศียรถึงต้นพระศอ พระพาหาด้านขวา พระพาหาด้านซ้าย พระวรกายส่วนล่างตั้งแต่บั้นพระองค์ลงไปจนถึงสาวนพระชงฆ์ที่ประทับนั่งขัดสมาธิราบบนฐานเขียง ในส่วนที่เชื่อมต่อกันนั้นมีการนำโลหะมาปิดรอยบริเวรดังกล่าวและลงรักปิดทองเพื่อความสวยงาม อ้างอิง ณัฏฐภัทร จันทวิช (บรรณาธิการ). โบราณวัตถุและศิลปวัตถุในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย . กรุงเทพฯ :ส.พิจิตรการพิมพ์, ๒๕๔๘.ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะล้านนา. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๕๖.อรุณรัตน์ วิเชียรเขียว. พระพุทะรูปตามคติชาวล้านนา. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพืแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๘.
นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 6 รอบ 72 พรรษา 28 กรกฎาคม 2567 กรมศิลปากร โดยสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี ให้ประชาชนเข้าชมฟรี โดยมีการจัดแสดงนิทรรศการให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของเรือพระราชพิธี ซึ่งบรรจงสร้างขึ้นด้วยฝีมือประณีต แสดงภูมิปัญญาของช่างไทยหลายแขนง ทั้งช่างแกะสลัก ช่างรัก ช่างประดับกระจก ช่างไม้ ช่างเขียน องค์ประกอบสำคัญของกระบวนเรือพระราชพิธี และอื่นๆ พร้อมทั้งชมเรือพระราชพิธี ได้แก่ เรือครุฑเหินเห็จ เรือครุฑเตร็จไตรจักร เรือเอกไชยเหินหาว และเรือเอกไชยหลาวทอง ลอยลำอยู่บริเวณด้านหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี คลองบางกอกน้อย
นอกจากนี้ ยังสามารถชมการเตรียมเรือสำหรับการซ้อมย่อยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในวันที่ 22 สิงหาคม, วันที่ 3, 12, 19, 26 กันยายน, วันที่ 1, 10 ตุลาคม 2567 และขั้นตอนการเตรียมเรือสำหรับการซ้อมใหญ่เต็มรูปแบบ ในวันที่ 15, 22 ตุลาคม 2567 เวลา 12.00 น. เป็นต้นไป
ผู้สนใจสามารถเข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี แหล่งเรียนรู้และเผยแพร่ความรู้เรื่องเรือพระราชพิธี ริมคลองบางกอกน้อย แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร โดยไม่เสียค่าเข้าชม ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2567 (วันพุธ - อาทิตย์) เวลา 09.00 - 16.30 น. สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 2424 0004
หอสมุดแห่งชาติ ขอเชิญชมภาพยนตร์เพื่อการอนุรักษ์ “หนังดี ๑๔ นาฬิกา” ซึ่งได้รับความอนุเคราะห์จากหอภาพยนตร์ (องค์กรมหาชน) จัดฉายทุกวันพุธสัปดาห์ที่ ๒ และ ๔ ของเดือน เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ ห้องมินิเธียร์เตอร์ อาคาร ๑ ชั้น ๑ หอสมุดแห่งชาติ ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
ในวันพุธที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๗ จัดฉายภาพยนตร์ เรื่อง “น้ำตาลไม่หวาน” เป็นภาพยนตร์ที่ออกฉายในปี พ.ศ. ๒๕๐๗ ผลงานกำกับชิ้นสุดท้ายของรัตน์ เปสตันยี ก่อนจะเสียชีวิตในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ เป็นภาพยนตร์แนวตลกเสียดสี และเป็นภาพยนตร์แนวตลาดในยุคนั้น เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มเศรษฐีนิสัยสำมะเลเทเมาที่ถูกบังคับให้แต่งงานกับหญิงสาวลูกครึ่งอินเดีย เพื่อจะได้สมบัติ โดยที่เขาไม่เต็มใจ เพราะเขามีคนรักอยู่แล้ว เขาจึงกลั่นแกล้งหญิงสาวต่าง ๆ นานา
นักแสดง :
เมตตา รุ่งรัตน์ เป็น น้ำตาล
สมบัติ เมทะนี เป็น มนัส
ปรียา รุ่งเรือง เป็น วัชรี
เสน่ห์ โกมารชุน เป็น เจ้าคุณเจริญเกษา
สมพงษ์ พงษ์มิตร เป็น โมตี รามสาสราม
ศรินทิพย์ ศิริวรรณ เป็น โสภา โสภาคคุณ
รุจน์ รณภพ เป็น ถวิล ดวงแก้ว
เพลงประกอบภาพยนตร์ : น้ำตาลไม่หวาน โดย ชาลี อินทรวิจิตร, กุหลาบราตรี โดย ร้อยแก้ว รักไทย
นอกจากนี้ยังสามารถติดตามชมภาพยนตร์ในครั้งต่อไป วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๗ เรื่อง สมิงบ้านไร่ (๒๕๐๗), วันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๗ เรื่อง เงิน เงิน เงิน (๒๕๐๘), วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๗ เรื่อง ทรชนคนสวย (๒๕๑๐), วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ เรื่อง อีแตน (๒๕๑๑), วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ เรื่อง เกาะสวาทหาดสวรรค์ (๒๕๑๒), วันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๗ เรื่อง ไอ้ทุย (๒๕๑๔), วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๗ เรื่อง สาย สีมา นักสู้สามัญชน (๒๕๒๔), วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๗ เรื่อง Lumierel (๒๕๕๙)
ห้องมินิเธียร์เตอร์สามารถรองรับผู้ชมได้เพียงจำนวน ๒๐ ที่นั่ง ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมชมภาพยนตร์เพื่อการอนุรักษ์นี้ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. ๐ ๒๒๘๑ ๓๖๓๔ นอกจากนี้ยังสามารถติดตามกิจกรรมอื่น ๆ ของหอสมุดแห่งชาติ ได้ทางเฟซบุ๊ก เพจ : National Library of Thailand
“วันพระบิดาแห่งฝนหลวง” ตรงกับวันที่ 14 พฤศจิกายนของทุกปี เป็นวันสำคัญที่ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่ทรงก่อให้เกิดเทคโนโลยีฝนหลวงขึ้นมาบรรเทาทุกข์แก่พสกนิกรชาวไทยให้รอดพ้นจากความเดือดร้อนอันเนื่องมาจากภัยแล้ง
ความเป็นมาของโครงการฝนหลวง
โครงการนี้เกิดขึ้นมาจากพระราชดำริส่วนพระองค์เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในพื้นที่แห้งแล้งทุรกันดาร 15 จังหวัด ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเมื่อ พ.ศ. 2498 ในขณะเสด็จพระราชดำเนินทรงพบว่าราษฎรได้รับความเดือดร้อนจากภัยแล้ง ตามเส้นทางที่เสด็จพระราชดำเนินนั้น ทรงสังเกตเห็นว่ามีเมฆปริมาณมากปกคลุมท้องฟ้า แต่ไม่สามารถก่อรวมตัวกันจนเกิดเป็นฝนได้ เป็นเหตุให้เกิดภาวะฝนทิ้งช่วง ทั้ง ๆ ที่เป็นช่วงฤดูฝน ทรงคิดคำนึงว่าน่าจะมีมาตรการทางวิทยาศาสตร์ที่จะช่วยให้เมฆเหล่านั้นก่อตัวรวมกันจนเกิดเป็นฝนได้ เมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับถึงกรุงเทพมหานคร ทรงใช้เวลาในการคิดวิเคราะห์ วิจัย ทบทวนเอกสาร รายงานผลการศึกษา และข้อมูลต่างๆ ทั้งด้านวิชาการอุตุนิยมวิทยา และการดัดแปรสภาพอากาศ จนทรงมั่นพระทัย จึงพระราชทานแนวคิดนี้แก่หม่อมราชวงศ์เทพฤทธิ์ เทวกุล ผู้เชี่ยวชาญในการวิจัยประดิษฐ์ทางด้านเกษตรวิศวกรรม ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขณะนั้น
ฝนหลวง คืออะไร
“ฝนหลวง” เป็นโครงการพระราชดำริที่ทรงค้นคว้าหาลู่ทางดัดแปรสภาพอากาศให้เกิดฝน เป็นมาตรการหนึ่งในการบรรเทาความทุกข์ของราษฎรอันเนื่องมาจากสภาวะแห้งแล้งตั้งแต่ พ.ศ. 2498 จนเกิดการทดลองปฏิบัติจริงในท้องฟ้า โดยการโปรยสารเคมีจากเครื่องบินได้เป็นครั้งแรก ณ วนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2512 เป็นต้นมา ทรงมีส่วนร่วมติดตามผล และพระราชทานข้อแนะนำทางเทคนิคต่าง ๆ ทั้งด้านการวิจัยพัฒนากรรมวิธีการทำฝนควบคู่กับการปฏิบัติการหวังผลช่วยเหลือราษฎร จนสามารถสรุปเป็น “ตำราฝนหลวง” พระราชทานให้ใช้เป็นหลักวิชาการและขั้นตอนกรรมวิธีตามลำดับมาจนถึงปัจจุบัน
ตำราฝนหลวงพระราชทาน
ด้วยพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พระองค์ทรงพัฒนาเทคนิคการทำฝนหลวงโดยการโจมตีเมฆอุ่นและเมฆเย็นพร้อมกันในกลุ่มเมฆเดียวกัน ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้เรียกเทคนิคการโจมตีที่ทรงประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาว่า Super Sandwich Technique ทรงสรุปขั้นตอนกรรมวิธีเป็นแผนภาพการ์ตูนโดยคอมพิวเตอร์ด้วยพระองค์เอง พระราชทานเมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2542 ให้ใช้เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติการฝนหลวงให้เป็นไปในทางเดียวกัน แผนภาพฝีพระหัตถ์ดังกล่าวประมวลความรู้ทางวิชาการ เทคนิคและกระบวนการ ขั้นตอนกรรมวิธีในการปฏิบัติการฝนหลวงอย่างครบถ้วนในหนึ่งหน้ากระดาษได้อย่างสมบูรณ์ ง่ายต่อความเข้าใจและการถือปฏิบัติ
สิทธิบัตรฝนหลวง
เทคโนโลยีฝนหลวง ได้รับการเผยแพร่และเป็นที่ยอมรับในหมู่นักวิทยาศาสตร์ องค์กร และสถาบันที่มีกิจกรรมการดัดแปรสภาพอากาศวิทยาศาสตร์ และอุตุนิยมวิทยาทั้งในระดับนานาชาติและระดับโลก สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติได้ดำเนินการยื่นคำขอสิทธิบัตรในพระปรมาภิไธยการดัดแปรสภาพอากาศให้เกิดฝนต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2545 จนได้ออกสิทธิบัตรดังกล่าว เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 และโปรดเกล้าฯ ให้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2546 สำหรับในต่างประเทศได้ดำเนินการยื่นคำขอสิทธิบัตรภายใต้ชื่อ Weather Modification by Royal Rainmaking Technology ต่อสำนักงานสิทธิบัตรยุโรป สำนักงานสิทธิบัตรแห่งสหรัฐอเมริกา และสำนักงานสิทธิบัตรในประเทศอื่นๆ ที่สำคัญและจำเป็น โดยเฉพาะประเทศสมาชิกขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก 181 ประเทศ เพื่อให้เทคโนโลยีฝนหลวงได้รับการคุ้มครองสิทธิให้มากที่สุด
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะที่เป็นองค์กรที่ได้ดำเนินงานโครงการพระราชดำริฝนหลวงมาตั้งแต่เริ่มแรก ได้เสนอให้วันที่ 14 พฤศจิกายนของทุกปีเป็น “วันพระบิดาแห่งฝนหลวง” ในการประชุมคณะรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2545
นอกจากข้อมูลองค์ความรู้ที่ได้นำเสนอมาแล้วนั้น เรื่องราวของฝนหลวง และพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยในการแก้ปัญหาภัยแล้ง ยังมีอีกหลากหลายมิติที่น่าสนใจ ผู้อ่านสามารถค้นคว้าและอ่านเพิ่มเติมได้จากหนังสือโครงการพระราชดำริฝนหลวง และหนังสืออื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้ที่ห้องศาสตร์พระราชา หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี
เรียบเรียงโดย นางสาวปริศนา ตุ้มชัยพร บรรณารักษ์ชำนาญการ
หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี กรมศิลปากร
แหล่งข้อมูลเอกสารอ้างอิง
ฝ่ายวิชาการ สถาพรบุ๊คส์. โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ฝนหลวง. กรุงเทพฯ: สถาพรบุ๊คส์, 2560.
สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ. จดหมายเหตุสิทธิบัตรฝนหลวง. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, 2550.
สำนักฝนหลวงและการบินเกษตร. พระบิดาแห่งฝนหลวง. กรุงเทพฯ: สำนักฝนหลวงและการบินเกษตร, 2544.
ขออนุญาตซ่อมแซม แก้ไข เปลี่ยนแปลง รื้อถอน ต่อเติม ทําลาย เคลื่อนย้ายโบราณสถาน
หรือส่วนต่างๆ ของโบราณสถาน หรือขุดค้นในเขตโบราณสถาน
โครงการศึกษาวิเคราะห์เพื่อการจัดทำต้นฉบับและการจัดพิมพ์หนังสือ "ลายพุดตานและลายใบเทศ" ในสมัยอยุธยาตอนปลายถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น(โครงการต่อเนื่อง 2 ปี ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2557 - กันยายน 2558)ผู้เรียบเรียง นายนิยม กลิ่นบุปผาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านช่างศิลปกรรม
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฐาน)อย.บ. 67/5ขหมวดหมู่ พุทธศาสนาประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ 28 หน้า : กว้าง 4.8 ซม. ยาว 57 ซม.บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับล่องชาด ไม้ประกับธรรมดา ได้รับจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
ชื่อผู้แปล สัน ท. โกมลบุตร.
ชื่อเรื่อง เอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งชาติ ของทหารเรือ (ฝรั่งเศส) เกี่ยวกับประเทศสยาม (ค.ศ.๑๘๖๔ - ๑๖๙๙ (พ.ศ. ๒๒๒๗ - ๒๓๔๒)
ครั้งที่พิมพ์ พิมพ์ครั้งที่ ๑
สถานที่พิมพ์ กรุงเทพฯ
สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์การศาสนา
ปีที่พิมพ์ ๒๕๒๔
จำนวนหน้า ๔๔๗ หน้า.
ISBN -
เลขเรียกหนังสือ 327.593044 ส573อ ล.1
เลขทะเบียนหนังสือ 006936
ผู้อ่านจะได้เห็นถึงความตั้งพระทัยจริงของพระเจ้าหลุยส์ที่๑๔ ในการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศไทยและในการเผยแพร่คริสตศาสนาในประเทศไทยด้วยฝ่ายไทยก็มิได้ขัดขวางห้ามปราม สมเด็จพระนารายมหาราชได้ทรงอุปถัมภ์ค้ำชูเป็นอย่างดี ด้วยไทยมุ่งแสวงหาความรู้ในวิชาแผนใหม่ๆ จากพวกบาทหลวงฝรั่งเศส
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฐาน)อย.บ. 90/4หมวดหมู่ พุทธศาสนาประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ 58 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 54.5 ซม.บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับล่องชาด ไม้ประกับธรรมดา ได้รับจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฐาน)อย.บ. 101/3ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 34 หน้า กว้าง 5.2 ซม. ยาว 57.5 ซม.หัวเรื่อง พระไตรปิฎก พระอภิธรรมบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน ธรรมอีสาน ฉบับล่องชาด มีไม้ประกับ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี ร่วมกับสาขาวิชาทัศนศิลป์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี จัดกิจกรรมสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ เรียนฟรีช่วงซัมเมอร์ ทุกวันพุธ พฤหัสบดี และศุกร์ เวลา 09.30 - 12.00 น. เริ่มวันที่ 10 เมษายน 2568 เป็นต้นไป กิจกรรมประกอบด้วย การสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ วาดภาพ ระบายสีภาพพิมพ์ ปั้นดิน เพ้นท์กระถางดินเผา, เรียนการปั้นกระถาง, สร้างสรรค์ออกแบบอาร์ตทอย (Art Toy, ระบายสีกระถางสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ สอบถามเพิ่มเติม โทร 0 4525 1015 หรือในกล่องข้อความเพจเฟสบุ๊ก Ubon Ratchathani National Museum : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฐาน)อย.บ. 119/2
หมวดหมู่ พุทธศาสนาประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ 22 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 56.5 ซม.
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับจาก จ.พระนครศรีอยุธยา