ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ

ชุดองค์ความรู้ "นานาสาระ...คาม" ตอนที่ 3 เรื่อง "โบราณสถานวัดสุวรรณาวาส : 3 มรดกวัฒนธรรมล้ำค่า คู่หล้ากันทรวิชัย"            โบราณสถานวัดสุวรรณาวาส ตำบลโคกพระ อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งภายในวัดมีมรดกวัฒนธรรมของชาติที่สำคัญ ถึง 3 รายการ ได้แก่ 1) สิมหลังเก่า 2) พระพุทธรูปมิ่งเมือง ที่สร้างขึ้นในวัฒนธรรมทวารวดี  สลักจากหินทรายก้อนเดียว เเละเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง 1 ใน 2 องค์ ของชาวกันทรวิชัย3) จารึกหินทรายสีแดง จารอักษรไทยน้อย ภาษาไทย-ภาษาบาลี  ซึ่งปัจจุบันเลือนรางลงมากแล้ว โดยโบราณสถานแห่งนี้จะมีข้อมูลทางโบราณคดี ประวัติศาสตร์อย่างไรบ้างนั้น โปรดติดตามได้เลยครับ ...   เรียบเรียงนำเสนอโดย นายวรรณพงษ์ ปาละกะวงษ์ ณ อยุธยา นักโบราณคดีปฏิบัติการ กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา


เสนีย์  ปราโมช.  ชุมนุมวรรณคดีทางการเมือง.  พระนคร: ไทยวัฒนาพานิช  , 2511.      คณะผู้จัดทำหนังสือเล่มนี้มีเป้าหมายในการจัดทำเพื่อหาทุนช่วยเหลือพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวบทบาทของ ม.ร.ว. เสนีย์  ปราโมช ที่ทำหน้าที่ในบทบาทต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วย 8 เรื่อง  ด้วยกัน        เรื่องที่ 1 การเจรจาระงับสถานะสงครามกับบริเตนใหญ่ ที่จะต้องเดินทางไปทำความเข้าใจและลงนามในสันติภาพกับอเมริกา ขากลับเดินทางเดินทางผ่านอังกฤษเพื่อคงความเป็นมิตรทางการทูตเอาไว้ และการเจรที่แคนดีเพื่อลงนามในสัญญา ๒๑ ข้อ ซึ่งไม่สามารถลงนามได้เห็นว่าเป็นการลดเกียรติของไทย ฝรั่งเศสขอดินแดนคืนและให้ส่งพระแก้วมรกตไปกำนัลด้วย        เรื่องที่ 2 เบื้องหลังประวัติศาสตร์ ว่าด้วยการปฏิวัติแบบปาฎิหาริย์ ที่เกิดจากการอ่านคำว่าปฎิวัติ เป็นปาฎิหาริย์ ของนายควง  อภัยวงศ์ ว่าด้วยรัฐบาลอุบัติเหตุ ที่นายควง อภัยวงศ์และคณะได้เข้านั่งบริหารประเทศแทนรัฐบาลชุดเก่าหลังจากที่เกิดปฏิวัติในวันที่ 8  กันยายน 2490 ซึ่งมีคำเปรียบเปรยเกิดขึ้นว่า นักการเมืองคนใดตายเพื่ออุดมคติ นักการเมืองคนนั้นไม่มีวันตาย”   การรับรอง “วิทยะฐานะ”รัฐบาลไทย ที่เป็นช่วงการส่งข้าวออกมากที่สุด  การลี้ภัยของนายปรีดี พนมยงค์      เรื่องว่าด้วยสภาประวัติศาสตร์ของนักแก่เมือง   กล่าวถึงการออกกฎหมายแทนพระมหากษัตริย์ที่อยู่ในสมัย 90 วัน ซึ่งมีวุฒิสภา ที่ประกอบด้วยบุคคลซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ เลือกตั้ง      เรื่องว่าด้วยพระมหากษัตริย์ ซึ่งได้กล่าวว่าคนไทยมีหัวเป็นนักประชาธิปไตย แต่มีหัวใจนิยมพระมหากษัตริย์  พระมหากษัตริย์ทรงสืบสายประวัติศาสตร์ของชาติไทยมาอย่างยาวนาน ซึ่งยอมแพ้ยอมเสียเสียสละทุกอย่างเพื่ชาติไทยจะได้อยู่ต่อไป ซึ่งต่างชาติได้ยอมรับในพระปรีชาสามารถในพระปิยมหาราชที่สร้างประเทศให้ก้าวไปไกลและรวดเร็วยิ่งกว่าประเทศใด ๆ ในเอเชียตะวันออก     เรื่อง ว่าด้วยอำนาจตุลาการ ที่ใช้ดูแลบ้านเมืองเพื่อปราบอธรรม ซึ่งรัฐสภาพิจารณาการออกกฎหมายและศาลเป็นผู้ใช้อำนาจให้เกิดความยุติธรรมประชาชนทุกหมู่เหล่า      เรื่องที่ 3 ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอเมริการะหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นปาฐกถาในระหว่างที่เป็นทูตอยู่ที กรุงวอชิงตัน  ซึ่งกำหนดให้คนไทยทุกคนต่อต้านผู้รุกรานบ้านเมืองไทย และให้มีการแลกเปลี่ยนประโยชน์ซึ่งกันและกัน มีงบประมาณที่จะนำมาช่วยเหลือในการสงคราม และมีแถลงการณ์ว่าการณ์ที่ไทยประกาศสงครามกับอเมริกานั้นเป็นโมฆะเสียแล้ว      เรื่องที่ 4 ปราศรัยกับประชาธิปัตย์ ที่เกี่ยวกับการปกครองแบบประชาธิปไตยและแบบที่มีพระเจ้าแผ่นดินใช้อำนาจแบบสมบูรณาญาสิทธิราช      เรื่องที่ 5 หัวข้อสัมมนาทางการเมือง ที่สรุปได้ว่าการพัฒนาประชาธิปไตย แต่กลับกลายเป็นเผด็จการไปก็มี เพราะเสียงของคนข้างมากนั่นเอง ผลของการการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 เกิดจากการเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสเหตุการณ์ของโลก ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ได้สั่งให้ร่างรัฐธรรมนูญปกครองแผ่นดินขึ้น      เรื่องที่ 6 รัฐธรรมนูญปี 2511 ซึ่งการร่าง 2511 ใช้เวลาร่างรวม 10 ปี และได้เรียกรัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่ารัฐธรรมนูญฟันปลอม      เรื่องที่ 7 รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกับเสถียรภาพทางการเมือง เป็นการสัมมนาเรื่องการเมืองอีกครั้งที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นความสำคัญเกี่ยวกับอนาคตและความเจริญของบ้านเมืองเป็นอย่างยิ่ง ที่สร้างความมั่งคงแข็งแรงให้กับบ้านเมือง      เรื่องที่ 8 การเมืองที่ต้องฝากไว้ให้กับคนไทยรุ่นใหม่ ซึ่งเปรียบเสมือนต้นไม้ที่ให้ร่มเงา ที่เป็นหน้าที่ของทุกคนในการช่วยกันปลูกดูแล เพื่อความเป็นระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง


ชุดองค์ความรู้ "นานาสาระ...คาม" ตอนที่ 3 เรื่อง "โบราณสถานวัดสุวรรณาวาส : 3 มรดกวัฒนธรรมล้ำค่า คู่หล้ากันทรวิชัย"            โบราณสถานวัดสุวรรณาวาส ตำบลโคกพระ อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งภายในวัดมีมรดกวัฒนธรรมของชาติที่สำคัญ ถึง 3 รายการ ได้แก่ 1) สิมหลังเก่า 2) พระพุทธรูปมิ่งเมือง ที่สร้างขึ้นในวัฒนธรรมทวารวดี  สลักจากหินทรายก้อนเดียว เเละเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง 1 ใน 2 องค์ ของชาวกันทรวิชัย3) จารึกหินทรายสีแดง จารอักษรไทยน้อย ภาษาไทย-ภาษาบาลี  ซึ่งปัจจุบันเลือนรางลงมากแล้ว โดยโบราณสถานแห่งนี้จะมีข้อมูลทางโบราณคดี ประวัติศาสตร์อย่างไรบ้างนั้น โปรดติดตามได้เลยครับ ...   เรียบเรียงนำเสนอโดย นายวรรณพงษ์ ปาละกะวงษ์ ณ อยุธยา นักโบราณคดีปฏิบัติการ กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา


          การไถนาเป็นการเตรียมที่นาให้พร้อม ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกสุดของการปลูกข้าว ก่อนที่ชาวนาจะลงมือทำนาด้วยวิธีการปักดำต้นกล้าหรือหว่านเมล็ดข้าวลงในที่นา  การไถนาเป็นการพรวนดิน ทำให้ดินร่วนซุยขึ้น ช่วยกำจัดวัชพืช เช่น ต้นหญ้าต่าง ๆ ที่ไม่ต้องการให้ออกไปจากที่นา และปรับพื้นดินให้ราบเรียบเสมอกัน  ชาวนาเริ่มลงมือไถนาประมาณปลายเดือนเมษายน ถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ฤดูฝน             ก่อนลงมือหว่านเมล็ดข้าวหรือปักดำต้นกล้า ชาวนาจะไถนาอย่างน้อย 2 ครั้ง ไถครั้งแรก เรียกว่า “ไถดะ” ไถครั้งที่สอง เรียกว่า “ไถแปร”             เครื่องมือที่ใช้ในการไถนาหรือพรวนดินในที่นา เรียกกันว่า “คันไถ” ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ตัวคันไถ หางยาม (หางไถ) และหัวหมู ทำด้วยไม้เนื้อแข็งและประกอบเข้าด้วยกันโดยการต่อเข้าลิ่ม              ส่วนประกอบสำคัญของคันไถ มีดังนี้          - คันไถ คือส่วนที่ยื่นออกไปด้านหน้า เพื่อเชื่อมต่อกับส่วนที่ผูกควาย เป็นไม้อีกท่อนหนึ่งที่เป็นส่วนประกอบของตัวไถ ส่วนที่ต่อเข้ากับหางไถจะทำเป็นเดือยตัวผู้เพื่อใช้ต่อเข้ากับรูเดือยตัวเมียที่ส่วนหางไถ ทำให้แน่นโดยใช้ลิ่มตอกยึด  ส่วนปลายคันไถยื่นออกไปข้างหน้า โค้งทำมุมต่ำลง มีปลายจะงอยขึ้นมา           - หางยาม หรือหางไถ คือ ส่วนที่ชาวนาใช้จับขณะไถนา เป็นไม้ชิ้นเดียวที่มีลักษณะเอียงจากหัวหมูประมาณ ๑๕ องศา ยาวมาจนถึงส่วนที่ต่อเข้ากับคันไถ และเจาะรูสี่เหลี่ยมผืนผ้าทะลุชิ้นไม้เพื่อใส่ลิ่มต่อเข้ากับคันไถ เหนือส่วนนี้ขึ้นไปทำเป็นรูปโค้งเพื่อสะดวกต่อการจับ เวลาประกอบเข้าเป็นตัวไถแล้ว ส่วนนี้จะตั้งขึ้นและส่วนโค้งก็จะยื่นไปด้านหลังตั้งอยู่ระดับสะเอว          - หัวหมู คือ ส่วนที่ใช้ไถดิน ประกอบด้วยไม้หนึ่งชิ้นบากปลายให้แหลมและมีลักษณะบาน เจาะรูเดือยตัวเมียสี่เหลี่ยมสำหรับต่อเข้ากับหางไถ ส่วนท้ายจะทำเป็นรูปท่อนกลมยาว           - ผาล ทำด้วยเหล็ก ใช้สำหรับพลิกหรือไถพรวนดิน สวมต่ออยู่กับส่วนหัวหมูและหางไถโดยการตอกเข้าลิ่ม           ในสมัยโบราณชาวนาใช้แรงงานวัวควายในการลากไถนา แต่ปัจจุบันนิยมใช้รถแทรกเตอร์หรือที่เรียกกันว่าควายเหล็กไถนาแทนวัวควาย เพราะสะดวกรวดเร็ว ประหยัดเวลา และแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตร อย่างไรก็ตาม การใช้เครื่องจักรกลเข้ามาแทนแรงงานวัวควายในการไถนา ทำให้ชาวนาปัจจุบันประสบปัญหาต้นทุนจากค่าใช้จ่ายเรื่องราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มสูงขึ้น ชิ้นส่วนภาชนะดินเผาเนื้อแกร่งไม่เคลือบ ผลิตจากแหล่งเตาบ้านบางปูน ตำบลพิหารแดง อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี  ส่วนบนตกแต่งลายกดประทับในกรอบสามเหลี่ยม คล้ายลายเฟื่องอุบะและกรวยเชิงที่ประดับบนศาสนสถานในวัฒนธรรมเขมร  ส่วนล่างตกแต่งลายกดประทับรูปบุคคล คันไถและวัวคู่ อาจหมายถึงพิธีแรกนาขวัญ แสดงถึงการให้ความสำคัญในเรื่องการปลูกข้าวหรือเกษตรกรรมของผู้ปกครองรัฐสุพรรณภูมิ เมื่อพุทธศตวรรษที่ 19-20 หรือประมาณ 600-700 ปีมาแล้ว ปัจจุบันจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชาวนาไทย จังหวัดสุพรรณบุรี     ภาพลายเส้นบนภาชนะดินเผา พบที่บ้านบางปูน ตำบลพิหารแดง อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ตกแต่งลายกดประทับรูปบุคคล คันไถและวัวคู่ อาจหมายถึงพิธีแรกนาขวัญ แสดงถึงการให้ความสำคัญในเรื่องการปลูกข้าวหรือเกษตรกรรมของผู้ปกครองรัฐสุพรรณภูมิ เมื่อพุทธศตวรรษที่ 19-20 หรือประมาณ 600-700 ปีมาแล้ว   ------------------------------------------------------------- อ้างอิง - จารึก วิไลแก้ว. แหล่งเตาเผาบ้านบางปูน. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2531. - คันไถโบราณ ตำนานและความเชื่อของชาวนา. เข้าถึงได้จาก https://e-shann.com/คันไถโบราณตํานานและคว/ สืบค้นเมื่อ 15 เมษายน 2565. - สุวัฒน์ อัศวไชยชาญ. ข้าวไทย. กรุงเทพฯ : ปลาตะเพียน, 2555. ------------------------------------------------------------- ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชาวนาไทยwww.facebook.com  


บทความจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่านจากจุลสารแป้นเกล็ดจุลสารเรื่องราวอาคาร สาระความรู้ ศิลปกรรม สถาปัตยกรรมคณะกรรมการกองทุนเพื่อการอนุรักษ์อาคารเก่าเมืองน่านฉบับที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๔ - พฤษภาคม ๒๕๖๕สามารถอ่านบทความเพิ่มเติม จุลสารฉบับต่างๆ ตั้งแต่ฉบับที่ ๑ และเอกสารดาวน์โหลด ฟรี ได้ที่ https://www.nancreativecity.org/เอกสารดาวน์โหลด?fbclid=IwAR0a00Hv-HnzOsG38KckG6nxZXj0QNEbJVkqBdmWEhiEA7-Jb6P8jDpHN2o



แนะนำหนังสือให้อ่าน ชลดา เรืองรักษ์ลิขิต. พระราชนิพนธ์บทเจรจาละครเรื่องอิเหนา : พระอัจฉริยภาพด้านวรรณคดีการแสดงของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: ธนาเพรส, 2562. 343 หน้า. ภาพประกอบ. 220 บาท. ให้ความรู้ในเรื่องของวรรณคดีไทย และวรรณคดีการแสดงเรื่องอิเหนา ความรู้เรื่องบทเจรจาละครอิเหนา พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงกำหนดให้ใช้เป็นบทแสดงละครในร่วมกับบทละครในเรื่องอิเหนาพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทำให้การแสดงละครอิเหนามีลักษณะผสมผสานของละครใน ละครพูดและละครนอก 895.9112 ช221พ ( ห้องหนังสือทั่วไป 2 )




สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 149/3เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 178/6งเอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


          กรมศิลปากร ขอเชิญรับชมถ่ายทอดสด Facebook Live รายการไขความรู้จากครูกรมศิลป์ ตอน “ร.ศ. ๒๔๒ ชมตู้ลายทอง สืบสานงานศิลป์” วิทยากรโดย นางศิวพร เฉลิมศรี นักภาษาโบราณชำนาญการพิเศษ และนางสาวยุวเรศ วุทธีรพล นักภาษาโบราณชำนาญการพิเศษ สำนักหอสมุดแห่งชาติ ดำเนินรายการโดย นายสิทธิพร บุปผา นักวิชาการเผยแพร่ กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ วันพฤหัสบดีที่ ๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๖ ตั้งแต่เวลา ๑๑.๐๐ – ๑๑.๔๕ น.            ผู้สนใจสามารถติดตามชมได้ทาง Facebook Live : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม และ Facebook Live : กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร



ชื่อเรื่อง : เสด็จประพาสจันทบุรี พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นางกิมเฮียะ อังศุสิงห์ ณ สุสานหลวงวัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 30 มีนาคม 2508 ชื่อผู้แต่ง : จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระปีที่พิมพ์ : 2508สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์ : สหกรณ์ขายส่งแห่งประเทศไทยจำนวนหน้า : 116 หน้า สาระสังเขป : พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสจันทบุรี จัดพิมพ์เพื่อเป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นางกิมเฮียะ อังศุสิงห์ ณ สุสานหลวงวัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 30 มีนาคม 2508 โดยเนื้อหาในเล่มนี้ได้จัดพิมพ์เฉพาะตอนที่บันทึกเล่าถึงเมืองจันทบุรี เมื่อวันเสด็จไป คือ วันพุธ แรม 4 ค่ำ เดือนยี่ พ.ศ.2419 ซึ่งกล่าวถึงสภาพเมืองจันทบุรี เมื่อราว 90 ปีมาแล้ว โดยการนำเสนอเนื้อหาด้านประวัติศาสตร์และวรรณคดีของเมืองจันทบุรี เช่น เมืองจันทบุรีวันไปเมือง ว่าด้วยการช่างการค้าขายเมืองจันทบุรี แลหัวเมืองขึ้นจันทบุรี การค้าที่ในเมืองจันทบุรี เป็นต้น


       โบราณวัตถุที่พบจากกลุ่มโบราณสถานคอกช้างดิน  เมืองโบราณอู่ทอง         กลุ่มโบราณสถานคอกช้างดิน ตั้งอยู่เชิงเขาด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเขาคอก นอกคูเมืองโบราณอู่ทอง ห่างไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ ๓ กิโลเมตร ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ประมาณ ๑.๕ กิโลเมตร พบโบราณสถานทั้งหมด ๒๐ กลุ่มใหญ่ ประกอบด้วยโบราณสถานที่สร้างเป็นคันดิน และโบราณสถานที่สร้างด้วยโครงสร้างอิฐ  ศิลาแลง และหิน        กลุ่มโบราณสถานคอกช้างดินที่สร้างเป็นคันดินมีทั้งหมด ๔ แห่ง ลักษณะเป็นคันดินคล้ายอ่างเก็บน้ำ  เดิมเชื่อว่าเป็นคอกขังช้างหรือเพนียดคล้องช้าง แต่ปัจจุบันพบหลักฐานจากการดำเนินงานทางโบราณคดีที่โบราณสถานคอกช้างดินหมายเลข ๓ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๔ พบว่าสร้างขึ้นเพื่อกักเก็บน้ำที่ไหลมาจากเขาคอกทางทิศเหนือ         โบราณสถานที่สร้างด้วยอิฐ ศิลาแลง และอิฐ ตั้งอยู่บริเวณที่ราบเชิงเขาคอก ปัจจุบันปรากฏเป็นเนินดิน แบ่งเป็นกลุ่มได้ ๑๖ กลุ่ม ส่วนมากยังไม่ได้ขุดศึกษา โบราณสถานคอกช้างดินที่สร้างด้วยอิฐ ศิลาแลง และอิฐ         ซึ่งผ่านการดำเนินงานทางโบราณคดีมาแล้วและพบหลักฐานที่สำคัญ มีดังนี้          • โบราณสถานคอกช้างดิน หมายเลข ๕ ผ่านการขุดค้นทางโบราณคดีเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๐๙ โบราณวัตถุสำคัญที่พบได้แก่ เอกมุขลึงค์           • โบราณสถานคอกช้างดิน หมายเลข ๖ ผ่านการขุดค้นทางโบราณคดีเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๔๔ โบราณวัตถุสำคัญที่พบได้แก่ ขันสำริด เชิงเทียนสำริด ตุ้มเหล็ก และแท่งเหล็ก เป็นต้น           • โบราณสถานคอกช้างดิน หมายเลข ๗ ผ่านการขุดค้นทางโบราณคดีเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๔๔ โบราณวัตถุสำคัญที่พบได้แก่ ภาชนะดินเผาบรรจุแท่งเงินตัด เหรียญเงินมีจารึก "ศรีทวารดี ศวรปุณยะ" เหรียญเงินมีสัญลักษณ์มงคล (รูปหอยสังข์ รูปศรีวัตสะ รูปพระอาทิตย์) ชิ้นส่วนหัวงูดินเผา เครื่องถ้วยจีน เคลือบสีเขียวสมัยราชวงศ์ถัง เป็นต้น           • โบราณสถานคอกช้างดิน หมายเลข ๑๓ ผ่านการขุดค้นทางโบราณคดี เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๔ โบราณวัตถุสำคัญที่พบได้แก่ แผ่นเหล็กคล้าย ใบมีดเหล็ก แหวนสำริด แม่พิมพ์หรือเบ้าหลอมดินเผา เป็นต้น           • โบราณสถานคอกช้างดินหมายเลข ๑๘ ผ่านการขุดค้นทางโบราณคดี เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๙ โบราณวัตถุสำคัญที่พบได้แก่ กระปุกดินเผาบรรจุเหรียญเงิน เป็นต้น        โบราณวัตถุที่สำคัญมี ดังนี้          o ชิ้นส่วนภาชนะมีพวย เป็นชิ้นส่วนภาชนะดินเผาเนื้อดินส่วนปาก คอ และบ่า มีพวยหนึ่งข้าง สันนิษฐานว่าป็นภาชนะสำหรับใช้สรงน้ำในพิธีกรรม โบราณวัตถุชิ้นนี้พบจากโบราณสถานคอกช้างดิน หมายเลข ๓          o ศิวลึงค์ เป็นศิวลึงค์ที่ทำจากหินขนาดสูง เพียง ๑๘.๕ เซนติเมตร ส่วนฐานเป็น แท่งสี่เหลี่ยมส่วนปลายเป็นแท่งกลมมน เนื่องจากเป็นศิวลึงค์ขนาดเล็ก จึงสันนิษฐานว่าอาจไม่ใช่ศิวลึงค์ประจำ ศาสนสถาน แต่สามารถพกพาเพื่อนำไปประกอบพิธีกรรมหรือบูชาได้          o ภาชนะดินเผาบรรจุเหรียญเงินตราสังข์ เป็นภาชนะดินเผา ส่วนลำตัวคล้ายบาตรพระ ส่วนคอแคบสูง ภายในบรรจุเหรียญ เงินตราสังข์เต็มกระปุก พบจากโบราณสถานคอกช้างดิน หมายเลข ๑๘          o ขัน เป็นขันสำริดทรงกระบอก เนื้อหนาผิวไม่สม่ำเสมอ สันนิษฐานว่าขึ้นรูปด้วยการตี และเป็นเครื่องใช้ในพิธีกรรม โบราณวัตถุชิ้นนี้พบจากโบราณสถานคอกช้างดิน หมายเลข ๖          o เชิงเทียน เป็นเชิงเทียนสำริด สันนิษฐานว่าขึ้น รูปด้วยการตี และเป็นเครื่องใช้ ในพิธีกรรม พบจากโบราณสถาน คอกช้างดิน หมายเลข ๖          o ตุ้มเหล็กเป็นตุ้มเหล็กรูปสี่เหลี่ยมคางหมู สภาพไม่สมบูรณ์ มีสนิมกินทั้งชิ้น ไม่ทราบลักษณะการใช้งาน แต่สันนิษฐานว่าเป็นตุ้มถ่วงชั่งน้ำหนัก พบจากโบราณสถานคอกช้างดิน หมายเลข ๖          o แท่งเหล็ก เป็นแท่งเหล็กเรียวยาวสภาพไม่สมบูรณ์ มีสนิม ไม่ทราบลักษณะ การใช้งานแต่สันนิษฐานว่าเป็นคานที่ใช้กับเครื่องชั่งน้ำหนัก เนื่องจากพบจากโบราณสถานคอกช้างดิน หมายเลข ๖ ใกล้กับตุ้มเหล็ก          o ใบมีด เป็นแผ่นเหล็กแบนยาว ด้านหนึ่งบางกว่าอีกด้าน คล้ายกับใบมีด มีสนิมเกาะทั้งแผ่น พบจากโบราณสถานคอกช้างดิน หมายเลข ๑๓          o แหวน เป็นเส้นลวดขดเกลียวเป็นเส้น และขดเป็นวงแหวน ไม่ทราบ ลักษณะการใช้งานที่แท้จริง สันนิษฐานว่าอาจเป็นของใช้ในพิธีกรรม พบจากโบราณสถานคอกช้างดิน หมายเลข ๑๓          o เบ้าหลอมเป็นแผ่นดินเผา มีหลุมตรงกลาง สันนิษฐานว่าเป็นเบ้าหลอมหรือ แม่พิมพ์ พบจากโบราณสถาน คอกช้างดิน หมายเลข ๑๓        โบราณสถานคอกช้างดิน มีทั้งส่วนที่คันดินสำหรับกักเก็บน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค และส่วนที่เป็นอาคารศาสนสถานเนื่องในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เนื่องจากพบศิวลึงค์ ซึ่งเป็นรูปเคารพในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ไศวนิกาย สัมพันธ์กับการเลือกใช้ภูเขาเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ อันเปรียบเสมือนเขาไกรลาศ ที่ประทับของพระศิวะ พื้นที่บริเวณคอกช้างดินจึงน่าจะเป็นพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทำพิธีกรรมของพราหมณ์ในไศวนิกาย   ที่มาข้อมูล  กรมศิลปากร. โบราณคดีคอกช้างดิน. กรุงเทพฯ : ฟันนี่พับบลิชชิ่ง, ๒๕๔๕. กรมศิลปากร. โบราณคดีเมืองอู่ทอง. สหมิตรพริ้นติ้ง : นนทบุรี, ๒๕๔๕.


black ribbon.