ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,752 รายการ

          โบราณสถานวัดช้างรอบตั้งอยู่บนเนินเขาลูกรัง นอกกำแพงเมืองทางด้านทิศเหนือที่เป็นเขตอรัญญิกของเมืองกำแพงเพชร ผังของตัววัดหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ปรากฏแนวกำแพงวัดก่อด้วยศิลาแลงเฉพาะด้านทิศตะวันออกและด้านทิศใต้ สิ่งก่อสร้างสำคัญคือ เจดีย์ประธานทรงระฆังขนาดใหญ่ ซึ่งรูปแบบการสร้างขององค์เจดีย์ได้รับอิทธิพลมาจากเจดีย์ช้างล้อมในศิลปะสุโขทัย เจดีย์ประธานประกอบด้วยฐานประทักษิณสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ มีบันไดอยู่ที่กลางด้านทั้งสี่ เพื่อใช้ขึ้นไปถึงลานด้านบนหรือลานประทักษิณ ส่วนของผนังฐานสี่เหลี่ยมของเจดีย์ประธานประดับประติมากรรมรูปช้างปูนปั้นจำนวน ๖๘ เชือก ลักษณะของงานประติมากรรมรูปช้างปรากฏเฉพาะส่วนหัวและสองขาหน้าโผล่พ้นจากฐานประทักษิณ มีการประดับลวดลายปูนปั้นที่บริเวณแผงคอ มงกุฎที่ส่วนหัว กำไลโคนขาและข้อเท้า ผนังระหว่างช้างแต่และเชือกตกแต่งลายปูนปั้นนูนต่ำรูปพันธุ์พฤกษา โดยลวดลายปูนปั้นรูปใบระกาที่ปรากฏบนแผงคอประติมากรรมรูปช้างมีความคล้ายคลึงกับลายชายผ้าของเทวรูปพระอิศวรสำริด ที่พบยังเมืองกำแพงเพชร ซึ่งมีจารึกที่ระบุปี พ.ศ. ๒๐๕๓ จึงสามารถกำหนดอายุด้วยวิธีการศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบทางศิลปกรรม (Comparative dating) ได้ว่าเจดีย์ประธานวัดช้างรอบแห่งนี้น่าจะสร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑           ชานบันไดแต่ละด้านประดับสิงห์และทวารบาลปูนปั้น บันไดด้านบนสุดที่เข้าสู่ลานประทักษิณทำเป็นซุ้มประตูมีหลังคายอดเป็นเจดีย์ทรงระฆัง ส่วนของลานประทักษิณก่ออิฐเป็นกำแพงเตี้ย ๆ ล้อมรอบและเชื่อมต่อซุ้มประตูทั้ง ๔ ด้าน ทั้งสี่มุมของลานประทักษิณมีฐานเจดีย์ขนาดเล็ก พบหลักฐานส่วนยอดที่หักเป็นเจดีย์ทรงกลีบมะเฟือง           ส่วนของเจดีย์ที่อยู่เหนือชั้นฐานประทักษิณคงเหลือเฉพาะชั้นหน้ากระดานแปดเหลี่ยมและชั้นหน้ากระดานกลม ส่วนองค์ระฆังขึ้นไปพังทลายหมดแล้ว ที่ชั้นหน้ากระดานกลมเหนือฐานแปดเหลี่ยมมีช่องรอบองค์เจดีย์และประดับภาพปูนปั้นเล่าเรื่องพุทธประวัติ เช่น ตอนเจ้าชายสิทธัตถะทรงประลองศร เป็นต้น โดยภาพปูนปั้นเหล่านี้ มีลักษณะพิเศษคือการใช้สีดำร่างลายเส้นรูปภาพก่อน แล้วจึงใช้ปูนปั้นทับลายเส้นภายหลัง ส่วนบริเวณด้านล่างของภาพปูนปั้นมีการประดับด้วยประติมากรรมดินเผารูปหงส์และกินรี           ด้านหน้าเจดีย์ประธานมีฐานวิหารผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีมุขทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ภายในวิหารปรากฏแนวแท่นอาสนสงฆ์และฐานประดิษฐานพระพุทธรูปประธาน เสารองรับเครื่องบนเป็นเสาศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยม หลังคาแต่เดิมมุงด้วยกระเบื้องดินเผา โดยพบหลักฐานโบราณวัตถุประเภทกระเบื้องดินเผาแบบกาบกล้วยและกระเบื้องเชิงชายลายดอกบัวและลายเทพพนม กำหนดอายุได้ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ - ๒๒ ถัดไปทางด้านหน้าวิหารเป็นสระรูปสี่เหลี่ยมที่ขุดตัดลงไปในชั้นศิลาแลงเพื่อนำศิลาแลงมาใช้ในการก่อสร้างอาคาร ส่วนอุโบสถอยู่เยื้องวิหารไปทางทิศเหนือ มีใบเสมาทำจากหินชนวนปักโดยรอบ ตัวอาคารก่อด้วยศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ฐานอุโบสถก่อเป็นฐานหน้ากระดานสี่เหลี่ยมมีบันไดทางด้านหน้าเพียงแห่งเดียว บนอาคารอุโบสถปรากฏร่องรอยของฐานชุกชีประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นซึ่งปัจจุบันเหลือเฉพาะส่วนโกลนของหน้าตัก เจดีย์ทรงระฆังที่มีการประดับประติมากรรมรูปช้างล้อมรอบฐานของเจดีย์ หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า เจดีย์ช้างล้อม นั้น นิยมสร้างกันมากในสมัยสุโขทัย อาทิ วัดช้างล้อมแห่งเมืองศรีสัชนาลัย วัดช้างล้อมและวัดสรศักดิ์ แห่งเมืองสุโขทัย เป็นต้น สันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลทางศิลปกรรมและคติการสร้างเจดีย์ช้างล้อม จากการติดต่อสัมพันธ์ทางด้านพระพุทธศาสนาผ่านทางเมืองนครศรีธรรมราช ดังปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ด้านที่ ๒ บรรทัดที่ ๒๙ – ๓๑ ความว่า “...สังฆราชปราชญ์เรียนจบปิฎกไตร หลวักกว่าปู่ครูในเมืองนี้ ทุกคนลุกแต่เมืองศรีธรรมราชมา…” และจากหลักฐานการติดต่อสัมพันธ์ทางด้านพระพุทธศาสนากับศรีลังกา ดังปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ ๓ จารึกนครชุม ด้านที่ ๒ บรรทัดที่ ๕๑ – ๕๘ ความว่า “…หมทลาประดิษฐานไว้ด้วยพระบาทลักษณะหั้นพระบาทลักษณะนั้นไซร้ พระยาธรรมิกราชให้ไปพิมพ์เอารอยตีน…..พระเป็นเจ้าเถิงสิงหลอันเหยียบเหนือจอมเขาสุมนกูฏบรรพต ประมานเท่าใดเอามาพิมพ์ไว้ จุ่งคนทั้งหลายแท้…อันหนึ่งประดิษฐานไว้ในเมืองศรีสัชชนาลัยเหนือจอมเขา…อันหนึ่งประดิษฐานไว้ในเมืองสุโขไทยเหนือจองเขาสุมนกูฏ อันหนิค่งประดิษฐานไว้ในเมืองบางพานเหนือจอมเขานางทอง อันหนึ่งประดิษฐานไว้เหนือ จอมเขาที่ปากพระบาง จารึกก็ยังไว้ด้วยทุกแห่งฯ...”           ลักษณะการสร้างวัดช้างรอบ ที่เจดีย์ประธานมีประติมากรรมรูปช้างประดับโดยรอบนั้น สันนิษฐานว่ามีแนวคิดหลักมาจากคติเรื่องศูนย์กลางจักรวาล โดยสื่อว่าเจดีย์ประธานทรงระฆังคือเขาพระสุเมรุ ซึ่งมีองค์ประกอบที่ใช้ประดับตกแต่งโดยรอบคือสัญลักษณ์ที่ใช้เปรียบเทียบเป็นส่วนต่าง ๆ โดยรอบเขาพระสุเมรุ เช่น ช้างที่มีหน้าที่แบกหรือค้ำจุนเขาพระสุเมรุที่เป็นศูนย์กลางของจักรวาล เป็นต้น ----------------------------------------ที่มาของข้อมูล : อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ----------------------------------------เอกสารอ้างอิงกรมศิลปากร. นำชมอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ศรีสัชนาลัย กำแพงเพชร. กรุงเทพฯ: บริษัทบางกอกอินเฮ้าส์จำกัด, ๒๕๖๑. ประทีป เพ็งตะโก. “กระเบื้องเชิงชายสมัยอยุธยา.” วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. ๒๕๔๐. ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะสุโขทัย: บทวิเคราะห์หลักฐานโบราณคดี จารึกและศิลปกรรม. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์สมาพันธ์, ๒๕๖๓. อนันต์ ชูโชติ. “เจดีย์วัดช้างรอบ อ.เมือง จ.กำแพงเพชร.” สาระนิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตร์บัณฑิต ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. ๒๕๒๓.





ชื่อเรื่อง                                มหานิปาตวณฺณนา (ทศชาติ) ชาตกฏฐกถา ขุทฺทกนิกายฏฐกถา (เตมียะ)สพ.บ.                                  224/1ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           28 หน้า กว้าง 5.4 ซ.ม. ยาว 57 ซ.ม. หัวเรื่อง                                 ชาดก                                           พระเตมี บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ภาษาบาลี-ไทยอีสาน ได้รับบริจาคมาจากวัดทุ่งอุทุมพร ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


+การดำเนินงานทางโบราณคดีโบราณสถานวัดเขาพระบาทใหญ่ (ต.ต. 45)+ ---วัดเขาพระบาทใหญ่เป็นหนึ่งในโบราณสถานที่สำคัญ ซึ่งอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยได้ดำเนินการศึกษาวิจัยทางโบราณคดีภายใต้ “โครงการขุดแต่งทางโบราณคดี เพื่อออกแบบบูรณะและปรับปรุงภูมิทัศน์กลุ่มโบราณสถานเขาพระบาทใหญ่ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563” โดยได้ดำเนินการขุดแต่งทางโบราณคดีเพื่อศึกษาโบราณสถาน จำนวน 4 แห่ง ประกอบด้วย โบราณสถานวัดเขาพระบาทใหญ่ (ต.ต. 45) โบราณสถานวัดกุฏิชี (ต.ต. 46) โบราณสถานร้าง ต.ต. 47 และโบราณสถานร้าง ต.ต. 48 ---โบราณสถานวัดเขาพระบาทใหญ่ หรือเรียกอีกชื่อว่า โบราณสถานร้าง ต.ต. 45 (*ต.ต. = ทิศตะวันตก) ตั้งอยู่บนยอดเขาพระบาทใหญ่ อันเป็นภูเขาสำคัญที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองสุโขทัย และห่างจากประตูอ้อไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 2.8 กิโลเมตร จากข้อมูลการสำรวจในหนังสือทำเนียบโบราณสถาน อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2561 ซึ่งได้บรรยายสภาพโดยทั่วไปของโบราณสถานวัดเขาพระบาทใหญ่ขณะที่ได้สำรวจพบไว้ว่า เป็นโบราณสถานที่มีการเรียงหินชนวนซ้อนกันเป็นขอบรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกว้าง 16 เมตร ยาว 37 เมตร ด้านบนพบเป็นฐานวิหาร แต่ในปัจจุบันมีสภาพชำรุดทรุดโทรม และมีหลุมขนาดใหญ่ที่เกิดจากการลักลอบขุด หลงเหลือชิ้นส่วนเสาศิลาแลง มีขนาดประมาณ 60 เซนติเมตร กระจัดกระจายอยู่ทั่วเนิน นอกจากนี้ยังพบว่ามีการนำหินมาปูเรียงตั้งแต่เชิงเขาด้านทิศตะวันออก เพื่อทำเป็นทางเดินขึ้นสู่วัดเขาพระบาทใหญ่ มีวัชพืชปกคลุมหนาทึบ มองเห็นทางเดินเพียงบางส่วนเท่านั้น ---แต่เดิมวัดเขาพระบาทใหญ่เคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธบาทจำลอง ซึ่งพระมหาธรรมราชาลิไทได้โปรดฯ ให้สร้างไว้ที่เขาพระบาทใหญ่ เมื่อพุทธศักกราช 1902 ดังที่ปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกเขาสุมนกูฏ (ด้านที่ 2 บรรทัดที่ 24 – 28) ปัจจุบันรอยพระพุทธบาทได้ถูกขนย้ายมาเก็บรักษาไว้ในมณฑปกลางเกาะวัดตระพังทอง ส่วนพระแท่นที่ประทับอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง มีการกล่าวถึงวัดเขาพระบาทใหญ่ในจารึกสมัยสุโขทัยหลายหลัก เช่น ศิลาจารึกนครชุม (พุทธศักราช 1900 ศิลาจารึกเขาสุมนกูฏ พุทธศักราช 1902 จากข้อความในจารึกจึงทำให้เราทราบว่าผู้คนในสมัยสุโขทัยรู้จักเขาพระบาทใหญ่ในชื่อเขาสุมนกูฏบรรพต  ---ผลจากการดำเนินการขุดค้น – ขุดแต่ง โบราณสถานวัดเขาพระบาทใหญ่ พบว่า โบราณสถานวัดเขาพระบาทใหญ่ (ต.ต. 45) ประกอบไปด้วยเนินโบราณสถาน 2 แห่ง คือเนินโบราณสถานหลัก เป็นเนินเขาที่เกิดจากการเรียงหินชนวน สูงจากพื้นที่โดยรอบประมาณ 7 เมตร มีการก่อสร้างวิหารและฐานประดิษฐานรอยพระพุทธบาทอยู่บนเนินดิน ลงบันไดด้านหลังเนินโบราณสถานหลักมาทางทิศตะวันตกพบเป็นอาคารก่อหิน และลานหินปูพื้น สันนิษฐานว่าคงเป็นบริเวณเขตสังฆาวาส ---วิหารก่อสร้างด้วยศิลาแลงผสมกับหินอยู่ในผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีขนาดความกว้างตามแนวทิศเหนือ - ใต้ 7.50 เมตร ความยาวตามแนวทิศตะวันออก - ตะวันตก 15 เมตร ใช้เสาศิลาแลงในการแบ่งห้องภายในวิหาร บริเวณห้องเสาด้านหน้าวิหารค่อนมาทางทิศเหนือ พบร่องรอยของประตูทางเข้าสู่วิหาร ด้านบนวิหารมีการปูพื้นด้วยแผ่นหินชนวน  ทางฝั่งทิศตะวันตกวิหารพบชุดฐานก่อหิน สันนิษฐานว่าคือ ฐานประดิษฐานรอยพระพุทธบาท มีขนาดความยาวตามแนวทิศเหนือ - ใต้ 7.50 เมตร ความกว้างตามแนวทิศตะวันออก - ตะวันตก 7 เมตร ส่วนประกอบด้านบนฐานอยู่ในสภาพชำรุดมาก ไม่สามารถทราบถึงรูปแบบทางศิลปกรรมได้ แต่พบร่องรอยของกลุ่มเสาศิลาแลงที่ล้มทับอยู่บนแผ่นกระเบื้องชายพับแบบเนื้อแกร่ง (Stoneware) ที่บริเวณมุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือของฐานประดิษฐานรอยพระพุทธบาท หลักฐานดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่าน่าจะเคยมีเสาศิลาแลงอยู่ที่มุมทั้งสี่ด้านของฐาน และมีการมุงหลังคาด้วยแผ่นกระเบื้องชายพับแบบเนื้อแกร่งที่มีขนาดใหญ่กว่ากระเบื้องชายพับทั่วไปและแตกต่างจากตำแหน่งอื่นโดยรอบโบราณสถาน ซึ่งมีขนาดความกว้าง 25 เซนติเมตร ยาว 28 เซนติเมตร หนา 2 เซนติเมตร อันเป็นการเน้นความสำคัญของรูปเคารพที่ประดิษฐานอยู่ฐานชุดนี้ที่มีความพิเศษแตกต่างจากประติมากรรมรูปเคารพโดยทั่วไป ด้วยหลักฐานและร่องรอยดังกล่าวนี้จึงสนับสนุนข้อสันนิษฐานเรื่องตำแหน่งที่ตั้งที่ได้ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทไว้สอดคล้องตามข้อความในศิลาจารึก ---นอกจากนี้ยังพบบริเวณพื้นที่เขตสังฆาวาสด้านหลังเนินวิหาร พบเป็นอาคารก่อหินรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีขนาดความกว้างตามแนวทิศเหนือ - ใต้ 4 เมตร ความยาวตามแนวทิศตะวันออก - ตะวันตก 5.40 เมตร อาคารก่อหินที่พบอยู่ในสภาพชำรุดเสียหาย ด้านทิศเหนือของอาคารหินพบแผ่นหินปูพื้นเป็นลานมีขนาดความกว้างออกมาประมาณ 3.50 – 5 เมตร พื้นที่บริเวณด้านหลังทางทิศตะวันตกของเนินวิหารจึงคงจะใช้เป็นพื้นที่ในเขตสังฆาวาส โดยอาคารก่อหินที่พบน่าจะใช้เป็นกุฏิหินของพระสงฆ์ และมีลานปูพื้นหินทางทิศเหนือของกุฏิเพื่อปรับพื้นที่ที่เคยเป็นเนินให้สม่ำเสมอกัน และใช้ประโยชน์อื่น ๆ ---อีกทั้งยังพบบ่อน้ำรูปสี่เหลี่ยม มีขนาดความกว้างตามแนวทิศตะวันออก – ตะวันตก 3.50 เมตร ความยาวตามแนวเหนือ – ใต้ 4.70 เมตร ความลึกจากขอบบ่อจนถึงก้นบ่อประมาณ 3.50 เมตร ซึ่งตั้งห่างจากทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเขตสังฆาวาสที่ได้กำหนดไว้ไม่มากนัก แสดงให้เห็นว่า อาจจะมีการใช้ประโยชน์จากบ่อน้ำทั้งในเชิงพิธีกรรมร่วมกับเนินวิหาร และใช้ประโยชน์เพื่อการอุปโภค – บริโภคของพระสงฆ์ในพื้นที่เขตสังฆาวาสด้วย ดังนั้นหลักฐานและข้อสันนิษฐานข้างต้นจึงมีความสอดคล้องกัน .


เลขทะเบียน : นพ.บ.124/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  58 หน้า ; 4.7 x 58 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 71 (243-247) ผูก 3 (2564)หัวเรื่อง : ปพฺพชาขนฺธก (ปัพพชาขันธ์)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม



     พิธีกรรมและความเชื่อเกี่ยวกับข้าว : ศาลปู่ตา ศาลตายาย      ในช่วงเดือนพฤษภาคมของประเทศไทย หรือเดือน ๖ นั้น จะเป็นช่วงเข้าฤดูฝน เป็นช่วงเวลาที่ชาวนาไทยรอคอยที่จะเริ่มการทำนา ในเดือนนี้มีการประกอบพิธีกรรมเกี่ยวกับการทำนา       ในประเทศไทยนั้นพระมหากษัตริย์ให้ความสำคัญและให้คุณค่าแก่การเกษตรกรรมเสมอมา โดยเฉพาะการปลูกข้าว ดังจะเห็นได้จากการพระราชพิธีพืชมงคลและพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ            พิธีกรรมข้าวมีความสำคัญต่อชาวนาไทยมาก เนื่องจากเป็นวิถีชีวิตที่ทำมาหาเลี้ยงชีพหลัก โดยจะแบ่งตามลำดับการเพาะปลูกข้าวเป็น ๔ ช่วง คือ พิธีกรรมก่อนการเพาะปลูก พิธีกรรมช่วงเพาะปลูก พิธีกรรมเพื่อการบำรุงรักษา และพิธีกรรมเพื่อการเก็บเกี่ยว เฉลิมฉลองผลผลิตที่ได้จากการทำนามาตลอดทั้งปี      ในบทความนี้จะกล่าวถึงพิธีกรรมก่อนการเพาะปลูก ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อบวงสรวงบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือบรรพบุรุษให้คุ้มครองป้องกันภยันตรายแก่ชีวิตและทรัพย์สินให้มีความสิริมงคล ความอุดมสมบูรณ์ และความปลอดภัยจากอุปสรรคที่อาจจะเกิดขึ้นกับการเริ่มต้นทำนา      “ศาลปู่ตา ศาลตายาย” เป็นผีบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว แต่มีความเชื่อว่าดวงวิญญาณยังห่วงลูกหลาน จึงคอยดูแลลูกหลานในหมู่บ้านและชุมชนให้อยู่เย็นเป็นสุข และคอยปกปักรักษาดูแลทั้งผู้คน สัตว์ และพืชพรรณธัญญาหารในหมู่บ้าน เพื่อให้ชุมชนได้อยู่รอดแคล้วคลาดปลอดภัยภยันตราย และประสพแต่ความสุข ความอุดมสมบูรณ์ ศาลปู่ตา กับถุงเมล็ดพันธุ์ข้าวเตรียมปลูกลงนา       ศาลปู่ตา ศาลตายายเป็นเหมือนศาลเจ้าเล็ก ๆ ลักษณะเป็นบ้านยกพื้นเสาสูง สร้างด้วยไม้ มุงหลังคา มีลานด้านหน้า ด้านในมีโถงโล่ง ผนังกั้นสามด้าน ด้านข้างทั้งสองข้าง และด้านหลัง หรืออาจจะไม่มีผนังกั้น แต่โดยทั่วไปส่วนมากแล้วจะมีผนังลักษณะคล้ายเป็นบ้านหลังเล็ก ๆ ภายในศาลอาจจะมีหรือไม่มีสัญลักษณ์ใด ๆ หากมี ก็จะเป็นตัวแทนหรือสิ่งแทนตั้งอยู่ภายในศาล เช่น รูปปั้นตายาย ในกรณีของศาลปู่ตาที่อำเภอบางปลาม้า พื้นที่ไปสำรวจหลังนี้ มีแผ่นไม้ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวปลายโค้งมนด้านหนึ่งตั้งขึ้น มีรอยของการเขียนภาพลงสีและปิดทอง แต่ภาพเลือนลางมาก เห็นเพียงเส้นสีบางส่วน สภาพพื้นที่ตั้งศาลปู่ตา ใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้ท้องนา เงียบสงบ ร่มรื่น อ.บางปลาม้า จงสุพรรณบุรี       การเลือกพื้นที่ตั้งของศาลปู่ตา หรือศาลตายาย (ในอำเภอเมืองสุพรรณบุรี ที่กล่าวถึงในตอนปฏิทินชาวนา เดือนพฤษภาคม) จะเลือกทำเลที่ตั้งอยู่บริเวณทุ่งนาผืนใหญ่ เป็นสถานที่ที่เงียบสงบ ร่มรื่น มีต้นไม้ใหญ่ หมายถึงการเป็นตัวแทนแห่งความสงบ ร่มเย็น อุดมสมบูรณ์ เป็นสิริมงคลแก่ผู้คนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน         เมื่อถึงเดือน ๖ หรือเดือนพฤษภาคมของทุกปี จะมีการบวงสรวงไหว้ศาล มีการเซ่นไหว้ด้วยของกินต่าง ๆ ดอกไม้ พวงมาลัย ซึ่งขั้นตอนการทำพิธีกรรมจะแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ แต่โดยหลักแล้วจะเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษผู้ปกปักรักษาคนในชุมชนนั้น ๆ เพื่อให้การทำนาหรือประกอบอาชีพเกษตรกรรม หรืออื่น ๆ ให้ได้ผลผลิตดี อุดมสมบูรณ์ แคล้วคลาดปลอดภัยจากภัยธรรมชาติ ให้การดำเนินวิถีชีวิตในการทำนาหรืองานต่าง ๆ เป็นไปอย่างราบรื่น     นางสาวภัทรา เชาว์ปรัชญากุล ภัณฑารักษ์ชำนาญการ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชาวนาไทย สุพรรณบุรี สำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี เรียบเรียงข้อมูล ภาพประกอบและการสัมภาษณ์ (ผู้ให้สัมภาษณ์ไม่ประสงค์ให้ระบุนาม)     ข้อมูลประกอบการเรียบเรียง - สัมภาษณ์ชาวนาและชาวบ้านในพื้นที่ตำบลไผ่ขวาง อำเภอเมืองสุพรรณบุรี และอำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี ระหว่างวันที่ ๘ - ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๓ - หนังสือ วัฒนธรรมข้าว, เอี่ยม ทองดี ผู้เขียน, ๒๕๓๗ - หนังสือ ข้าว วัฒนธรรมแห่งชีวิต, ๒๕๔๑ - หนังสือ ข้าวไพร่ - ข้าวเจ้าของชาวสยาม, สุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ), ๒๕๓๑ - หนังสือ วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดสุพรรณบุรี - หนังสือ วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดปทุมธานี - หนังสือ วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดนนทบุรี - หนังสือ วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดร้อยเอ็ด - หนังสือ วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดขอนแก่น - หนังสือ วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดยโสธร - หนังสือ วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดสุรินทร์ - หนังสือ วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดพัทลุง - หนังสือ วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดสงขลา - หนังสือ วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดนครศรีธรรมราช - หนังสือ วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดแพร่ - หนังสือ วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดน่าน - หนังสือ วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดเชียงราย


กฏหมายลักษณะต่างๆ ชบ.ส. ๔๑ เจ้าอาวาสวัดบุญญฤทธยาราม ต.บ้านบึง อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี มอบให้หอสมุด ๒๒ ก.ค. ๒๕๓๕เอกสารโบราณ (สมุดไทย)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน) เลขที่ ชบ.บ.23/1-4 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)




ชั้น  สร้อยพิสุทธิ์.  ประวัติศาสตร์ไทย.  พิมพ์ครั้งที่ ๑.  พระนคร : ชูสิน, ๒๔๙๓.  ๔๐๘ หน้า.      เป็นหนังสือที่มีค่ามากสามารถใช้เป็นเอกสารอ้างอิงสำหรับงานด้านวิชาการประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะเรื่องการเสียดินแดนในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์โดยเฉพาะในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่เสียดินแดนไปซึ่งพระองค์ต้องใช้พระปรีชาญาณอันสุขุมรอบคอบเพื่อรักษาชีวิตของคนไทยเพื่อคงความเป็นอธิปไตยของไทยเอาไว้ เป็นต้น


บุญบั้งไฟเดือนหก : ร้อยเอ็ด      "ประเพณี บุญบั้งไฟ" เป็นประเพณีสำคัญของภาคอีสานที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ถือเป็นหนึ่งในฮีตสิบสองเดือนของชาวอีสานที่ทำกันในเดือน ๖ ช่วงเข้าสู่ฤดูฝนซึ่งเป็นฤดูทำนา จะมีการจุดบั้งไฟเพื่อบูชาเทพยดา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย หรือที่ชาวอีสานเรียกกันว่า พญาแถน หรือ เทพวัสสกาลเทพบุตร ซึ่งมีความเชื่อว่า พระยาแถนมีหน้าที่คอยดูแลให้ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล และทำให้พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์



black ribbon.