ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,749 รายการ

เลขทะเบียน : นพ.บ.180/2ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  46 หน้า ; 5 x 58 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา, มีฉลากไม้ชื่อชุด : มัดที่ 102 (86-90) ผูก 2 (2565)หัวเรื่อง : แปดหมื่นสี่พันธ์ขันธ์ --เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


พฺรยาสีสสารวตฺถุสุตฺต (พรยาสีสสารวตฺถุสูตร)  ชบ.บ.56/1-1  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


ชื่อเรื่อง                                สลากริวิชาสุตฺต (สลากวิชาสูตร) สพ.บ.                                  319/3ก ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลาน หมวดหมู่                               พุทธศาสนา ลักษณะวัสดุ                           8 หน้า กว้าง 5.6 ซม. ยาว 57.7 ซม. หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                            บทคัดย่อ/บันทึก           เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจาก วัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี





"พระพุทธโสธร ประวัติ ตำนาน และงานพุทธศิลป์" ............................................................ --สืบเนื่องจากกระแสข่าวขององค์พระพุทธโสธร พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง เป็นที่เคารพศรัทธาของพุทธศาสนิกชนชาวไทย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี จึงขอนำเรื่องราว ประวัติ ตำนาน และรูปแบบทางพุทธศิลปกรรม มาเผยแพร่ในโอกาสนี้ --พระพุทธโสธร หรือที่โดยทั่วไปนิยมเรียกว่า หลวงพ่อโสธร ตามประวัติความเป็นมากล่าวว่าประดิษฐานที่วัดโสธรวรารามวรวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา ตั้งแต่ราว พ.ศ. ๒๓๑๓ มีตำนานแสดงถึงพุทธานุภาพอันศักดิ์สิทธิที่เล่าขานสืบต่อกันมาว่าเดิมทีนั้นประดิษฐานอยู่ทางภาคเหนือ ต่อมาบ้านเมืองเกิดเหตุการณ์ระส่ำระสายจึงได้แสดงปาฏิหาริย์ลอยน้ำลงมาพร้อมกับพี่น้อง ๓ องค์ พระพุทธรูปองค์พี่มีขนาดใหญ่ล่องไปถึงแม่น้ำแม่กลอง ชาวประมงอัญเชิญขึ้นประดิษฐานไว้ที่วัดบ้านแหลม จังหวัดสมุทรสงคราม และเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “หลวงพ่อบ้านแหลม” พระพุทธรูปองค์เล็กล่องเข้าไปที่คลองบางพลี คือหลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่ จังหวัดสมุทรปราการ ส่วนพระพุทธรูปองค์กลางนั้นล่องไปทางแม่น้ำบางปะกง เมื่อมาถึงบริเวณหน้าวัดหงส์ ชาวบ้านจำนวนมากช่วยกันยกฉุดแต่ก็ไม่สามารถนำขึ้นจากน้ำได้ จนมีอาจารย์ผู้หนึ่งได้ทำพิธีบวงสรวง และใช้ด้ายสายสิญจน์คล้องพระหัตถ์อัญเชิญขึ้นจากน้ำเป็นอันสำเร็จ วัดหงส์นี้กาลภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นวัดโสธร และขนานนามพระพุทธรูปศักดิ์สิทธินี้ตามชื่อวัดคือ “หลวงพ่อโสธร” --พระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม รศ. ๑๒๕ (พ.ศ. ๒๔๕๑) คราวเสด็จประพาสมณฑลปราจีนบุรี ทรงกล่าวถึงพระพุทธโสธรไว้ว่า “...กลับมาแวะวัดโสธรซึ่งกรมหลวงดำรงคิดจะแปลว่า ยโสธร จะให้เกี่ยวข้องแก่การที่ได้สร้างเมื่อเสดจกลับจากไปตีเมืองเขมรแผ่นดินพระบรมไตรโลกนาถหรือเมื่อใดราวนั้น แต่เปนที่น่าสงสัยด้วยเห็นใหม่นัก พระพุทธรูปว่าทำด้วยศิลาแลงทั้งนั้น องค์ที่สำคัญว่าเปนหมอดีนั้นคือองค์ที่อยู่กลาง ดูรูปตักและเอวงามเปนทำนองเดียวกันกับพระพุทธเทวปฏิมากร แต่ตอนบนกลายไป เปนด้วยฝีมือผู้ที่ไปปั้น ว่าลอยน้ำมาก็เปนความจริง เพราะเปนพระศิลาคงจะไม่ได้ทำในที่นี้ ความนิยมนับถือในความเจ็บไข้อยู่ข้างจะมาก มีคนไปมาเสมอไม่ขาดจนถึงมีร้านธูปเทียนประจำอยู่ได้ ทั้งสี่สะพานและที่ประตูกำแพงแก้วกว่า ๒๐ คน ถามดูว่าขายได้อยู่ในวันละกึ่งตำลึง มีทอดติ้วพวกจีนเข้ารักษา เจ้าศรีไสยถวายกำปั้นเหล็กเจาะช่องไว้สำหรับเรี่ยไรใบหนึ่ง...” --จากเนื้อความดังกล่าวแสดงหลักฐานว่าพระพุทธโสธรนี้เป็นพระพุทธรูปที่แกะสลักจากหิน อภินิหารความศักดิ์สิทธิขององค์พระพุทธโสธรทำให้มีผู้คนเดินทางมาบูชาสักการะเป็นจำนวนมากมิได้ขาดมาตั้งแต่ครั้งสมัยรัชกาลที่ ๕ จวบจนมาถึงปัจจุบันก็ยังมีประชาชนที่เลื่อมใสศรัทธามากราบขอพรให้สำเร็จสมความปรารถนาอยู่เป็นจำนวนมาก --ในด้านพุทธศิลป์ พระพุทธโสธรเป็นพระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิราบแสดงปางสมาธิ ขนาดหน้าตักกว้าง ๓ ศอก ๕ นิ้ว หรือ ๑๖๕ เซนติเมตร สูง ๑๙๘ เซนติเมตร พระพักตร์ค่อนข้างกลมแป้น พระขนงโก่ง พระเนตรเล็กและเหลือบลงต่ำ ขมวดพระเกศาเล็ก พระรัศมีเป็นทรงสูง สัดส่วนพระอุระค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับพระเพลาที่ดูกว้าง สังฆาฏิเป็นแผ่นใหญ่ยาวจรดพระนาภี ปลายแยกเป็นสองชายคล้ายเขี้ยวตะขาบ ด้วยลักษณะสำคัญเช่น พระพักตร์ พระเศียร พระรัศมี รูปแบบชายสังฆาฎิ และเทคนิคการสร้างอ้างอิงจากการอนุรักษ์ครั้งสำคัญราวปี พ.ศ. ๒๕๔๓ โดยกรมศิลปากร ซึ่งมีนายสุวิชญ์ รัศมิภูติ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร เป็นผู้ควบคุมการบูรณะในขณะนั้น พบว่าพระพุทธโสธรเป็นพระพุทธรูปที่แกะสลักจากหินทรายแยกเป็นชิ้นรวมจำนวน ๑๑ ชิ้น นำมาประกอบเข้าด้วยกันและลงรักปิดทอง ซึ่งเป็นเทคนิคการสร้างพระพุทธรูปในสมัยอยุธยาตอนต้น ศาสตราจารย์ ดร. ศักดิ์ชัย สายสิงห์ อาจารย์ประจำคณะโบราณคดี มหาวิทยาศิลปากร ได้กำหนดรูปแบบเป็นพระพุทธรูปแบบอู่ทองรุ่นที่ ๒ สมัยอยุธยาตอนต้น ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐ --ทั้งนี้ ด้วยความสำคัญของประวัติ ความเป็นมา รูปแบบอายุสมัย ตลอดจนความเชื่อ ความศรัทธาของชาวจังหวัดฉะเชิงเทรา และพุทธศาสนิกชนไทย ในฐานะพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ เล่มที่ ๑๐๙ ตอนที่ ๑๔๗ น ๘ ++อ้างอิง++ --กรมศิลปากร. พระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องเสด็จประกาสมณฑลปราจีน เมื่อ ร.ศ. ๑๒๗ (พ.ศ. ๒๔๕๑). กรุงเทพฯ: [ม.ป.ท.], ๒๔๙๕ (พิมพ์ในงานพระเมรุ พลเอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม วันที่ ๒๙ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๙๕). --คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุในคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดฉะเชิงเทรา. กรุงเทพฯ: [ม.ป.ท.], ๒๕๔๒ --เลิศลักษณา บุญเจริญ (บรรณาธิการ). โสธรวรารามวรวิหาร มงคลคู่แปดริ้ว (ที่ระลึกในงานพระราชพิธียกยอดฉัตรพระอุโบสถหลังใหม่). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ดาวฤกษ์ จำกัด, ๒๕๕๔ --วัดโสธรวรารามวรวิหาร. ประวัติหลวงพ่อโสธร. [ม.ป.ท.], ๒๕๑๑ --ศาสตราจารย์ ดร. ศักดิ์ชัย สายสิงห์. พุทธปฏิมา งานช่างพลังแห่งศรัทธา. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๕๔ ++ผู้เรียบเรียบ: นางสาววัชรี ชมภู ภัณฑารักษ์ชำนาญการพิเศษ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี++


วิสันต์  บัณฑวงศ์.  ปูชนียสถานและโบราณวัตถุ.  พระนคร: ป.พิศนาคะ การพิมพ์, 2514.           นำเสนอเนื้อหาเพื่อให้ความรู้และแนวศึกษาเกี่ยวกับปูชนียสถานและโบราณวัตถุต่างๆ ของไทย


ขอเชิญรับชม เรือนพระยาสุนทรานุรักษ์ในห้วงเวลา https://youtu.be/GMcRKf8i0B4


สวัสดีค่ะ วันนี้อุทยานประวัติศาสตร์สด๊กก๊อกธม ได้นำสาระน่ารู้เรื่อง นาคปัก ไปชมกันได้เลยค่ะ นาคปักเป็นชิ้นส่วนทางสถาปัตยกรรมอย่างหนึ่ง ประดับบริเวณมุมประธานของชั้นวิมาน หรือชั้นหลังคาของปราสาทในวัฒนธรรมเขมร โดยทำเป็นรูปพญานาคอยู่ในโครงสามเหลี่ยม วิวัฒนาการมาจาก “ปราสาทจำลอง” ซึ่งได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมของอินเดียใต้ เช่น วิหารมาวลีปุรัม เมืองมหาพลิปุรัม รัฐทมิฬนาฑู ประเทศอินเดีย แล้วจึงแพร่เข้ามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงในวัฒนธรรมเขมรโบราณ การใช้ปราสาทจำลองประดับตกแต่งมุมชั้นวิมานของปราสาทเขมรพบได้ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๓ และปลาย พุทธศตวรรษที่ ๑๖ สมัยศิลปะเกลียง – บาปวน รัชสมัยพระเจ้าสูรยวรมันที่ ๑ ถึงพระเจ้าอุทยาทิตยวรมันที่ ๒ จึงเริ่มถูกแทนที่ด้วยนาคปัก ปราสาทที่ประดับด้วยนาคปักในช่วงเริ่มแรก ได้แก่ ปราสาทสระกำแพงใหญ่ จังหวัด ศรีสะเกษ ปราสาทสด๊กก๊อกธม จังหวัดสระแก้ว และปราสาทแม่บุญตะวันตก จังหวัดเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา เมื่อเข้าสู่สมัยนครวัด พุทธศตวรรษที่ ๑๗ การใช้นาคปักประดับปราสาทมีความแพร่หลายมากขึ้น แต่เมื่อเข้าสู่ พุทธศตวรรษที่ ๑๘ สมัยบายน รัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ พระองค์ทรงนับถือและอุปถัมภ์ศาสนาพุทธแบบมหายาน ทำให้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับรูปแบบสรวงสวรรค์ของศาสนาฮินดู แต่ใช้การประดับใบหน้าบุคคลขนาดใหญ่ คือ "พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร" บริเวณส่วนเรือนยอดของปราสาทแทน ทำให้การใช้นาคปักถูกลดบทบาทลง คติการใช้นาคปัก สันนิษฐานว่า มาจากตำนานพื้นเมืองเขมรเกี่ยวกับปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรเขมรที่มาจากดินแดนอื่นได้เสกสมรสกับธิดานางนาค และปกครองอาณาจักรเขมร อีกทั้ง การใช้นาคปักประดับมุมประธาน ทำให้ยอดปราสาทมีลักษณะทรงพุ่มเป็นยุคแรก ๆ ของปราสาทในวัฒนธรรมเขมร สอบเป็นยอดแหลม ดูรูปทรงอ่อนช้อย และงดงาม ไม่ดูแข็งเป็นมุมเหมือนใช้ปราสาทจำลอง นาคปักของปราสาทสด๊กก๊อกธมทำจากหินทราย มีลักษณะเป็นพญานาค ๕ เศียรอยู่ภายใน กรอบสามเหลี่ยม ตัวกรอบประดับตกแต่งด้วยลวดลายพันธุ์พฤกษา โดยประดับอยู่บริเวณมุมประธานของชั้นวิมาน บนยอดของปราสาท ยอดของปราสาทสด๊กก๊อกธมจัดเป็นปราสาททรงพุ่มยุคแรกของปราสาทในวัฒนธรรมเขมร ที่มาภาพ https://wanderwisdom.com/.../must-see-attractions-in...) https://www.facebook.com/.../a.216597220.../2443189699160582) อ้างอิง - ราฆพ บัญฑิตย์, ปราสาทสด๊อกก๊อกธม : ปราสาทเขมรทรงพุ่มรุ่นแรกในประเทศไทย (วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัญฑิต สาขาวิชาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ ภาควิชาโบราณคดีมหาวิทยาลัยศิลปากร) - สรศักดิ์ จันทร์วัฒนกุล, การกลายรูปจากอาคารจำลอง-นาคปัก-บรรพแถลงของปราสาทในศิลปะขอมมาเป็นกลีบขนุนของปรางค์ในศิลปะไทย (วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัญฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ มหาวิทยาลัยศิลปากร) - กรมศิลปากร. (๒๕๖๕). ปราสาทสด๊กก๊อกธม: อุทยานประวัติศาสตร์ ณ ชายแดนตะวันออก. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์. -อรุณศักดิ์ กิ่งมณี. (๒๕๖๒). ทิพยนิยายจากปราสาทหิน. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ.




องค์ความรู้จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช เรื่องเล่าจากคลังโบราณวัตถุ ตอน รางหมากขุม ค้นคว้าและเรียบเรียงโดย นางสาวชุติณัฐ ช่วยชีพ ภัณฑารักษ์ปฏิบัติการที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช https://www.facebook.com/nakhon.museum/posts/pfbid02DtRseMGMjyK8bjgPb9QvuJqCsNSJhiTRbn12K2gASLnKvCeuQpjGxQD817pgUKs8l



ทานสลากภัตวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร๑๐ กันยายน ๒๕๖๕ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสิบ (เดือนสิบสองเหนือ-สิบสองเป็ง) สลากภัต หรือที่ชาวล้านนาเรียกว่า ตานก๋วยสลาก, กินสลาก, กินกวยสลาก, กินเข้าสลาก, ทานสลาก, ทานข้าวสลาก (ตาน-การถวายทาน, ก๋วย-ชะลอม ตะกร้า, สลาก-ชื่อเจ้าภาพที่เขียนบนใบลาน, ภัต-อาหารหรือสิ่งของบริวาร).สลากภัต (บาลี: สลากภตฺต) เป็นศัพท์ในพระวินัยปิฎก คำว่า “สลากภัต” มาจากภาษาบาลี คือ สลาก + ภตฺต สองคำมารวมกันเป็น “สลากภัต” แปลว่า อาหารถวายพระภิกษุสงฆ์โดยวิธีจับสลาก นับเข้าในสังฆทาน เพราะเป็นการถวายทานแก่พระภิกษุสงฆ์ทั่วไป ไม่ได้จำเพาะเจาะจงแก่พระภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ชาวบ้านจะนำอาหารหวานคาวพืชผลทางการเกษตรมาถวายเป็นก๋วยสลากที่วัด หรือนิมนต์พระสงฆ์จากวัดใกล้เคียงมารับไทยธรรมสลาก การถวายสลากภัต ไม่ใช่การถวายจำเพาะเจาะจงภิกษุรูปหนึ่งรูปใดโดยเฉพาะ ซึ่งปราศจากความลำเอียง และที่สำคัญจุดประสงค์ของการถวายทาน ก็เพื่อประโยชน์แก่ผู้รับและเป็นการขัดเกลากิเลสของตนเอง ไม่ใช่เพื่อต้องการผลหรือหวังสิ่งหนึ่งสิ่งใดตอบแทน.ประเพณีทานสลากหรือ "กิ๋นก๋วยสลาก" จะเริ่มในเดือน ๑๒ เหนือ (เดือน ๑๐ ของภาคกลาง) หลังจากเข้าพรรษาได้ ๒ เดือน ในราวปลายเดือนสิงหาคม กันยายน ตุลาคม และสิ้นสุดในเดือนเกี๋ยงดับ (เดือน ๑๑ แรม ๑๕ ค่ำ) หากชุมชน หรือวัดใดอยู่ใกล้แม่น้ำน่านก็จะมีการแข่งเรือด้วย.โดยระยะเวลาดังกล่าวในภาคใต้จะมีประเพณีสารทเดือนสิบ วันแรม ๑ ค่ำ ถึงแรม ๑๕ ค่ำเดือนสิบ และภาคอีสานจะมีประเพณี บุญเดือนสิบ-บุญข้าวสาก [ข้าวสาก มาจากคำว่า ข้าวของสลากภัต] (แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๐) โดยเฉพาะพื้นที่อีสานใต้ จะมีประเพณีสำคัญคือ "แซนโฎนตา" จัดขึ้นในวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๐ เช่นเดียวกับชาวอีสาน เพื่อสังเวยบวงสรวงและทำบุญทอดทานสงฆ์เพื่ออุทิศส่วนกุศลถึงบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ. เหตุปัจจัยเนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวชาวบ้านว่างเว้นจากการทำนา ระหว่างรอการเก็บเกี่ยวข้าวใหม่ พืชผักผลไม้ออกผลผลิต เช่น กล้วย อ้อย มะไฟ ส้มโอ ส้มต่างๆ ชาวบ้านหยุดพักไม่เดินทางไกลเพราะเป็นฤดูฝน พระสงฆ์จำพรรษาอย่างอย่างพรักพร้อม ได้โอกาสทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ สงเคราะห์คนยากจน และมีโอกาสหาปัจจัยบำรุงดูแลวัด.งานทานสลากนี้จะจัดเป็นสองวัน คือ วันดาสลาก และวันทานสลาก หรือวันกินสลาก ก่อนวันพิธี ๑ วันเรียกว่า วันดาสลาก, วันแต่งดา, วันดา, วันสุกดิบ ถือเป็นวันจัดเตรียมสิ่งของเครื่องปัจจัยไทยทาน ผู้ชายจะสานก๋วย (ตะกร้า) ซึ่งมีทั้งก๋วยเล็ก ก๋วยใหญ่ คือ ตะกร้าไม้ไผ่สำหรับเป็นภาชนะบรรจุสิ่งของที่จะถวายทาน ส่วนผู้หญิงจะจัดเตรียมห่อของจำพวก พริก เกลือ หอม กระเทียม อาหารคาวหวาน ผลไม้ และสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ห่อข้าวต้ม ขนม จัดสวยดอก แล้วเอาตะกร้าไม้ไผ่มากรุด้วยใบตองหรือกระดาษเอาสิ่งของที่เตรียมไว้บรรจุลงไป ของบางอย่างที่มีน้ำหนักเบาเช่น ไม้ขีดไฟ บุหรี่ ยาซอง ก็เอาผูกติดกับเรียวไม้ไผ่ที่เหลาตกแต่งไว้อย่างสวยงาม นอกจากนั้นที่สำคัญต้องมีไม้หนีบสำหรับเสียบ ยอด หรือธนบัตรจำนวนหนึ่งเสียบไว้กับกวยสลากนั้น ด้านหน้ากวยจะมีเส้นสลากหรือข้อเขียนคำจารึกชื่อผู้ถวายพร้อมทั้งระบุด้วยว่าถวายเพื่ออะไรหรือถวายสำหรับใคร เพราะบางคนจะถวายทานเพื่ออุทิศส่วนกุศลไปสะสมไว้เป็นส่วนกุศลของตนเพื่อวันข้างหน้า บางคนก็อุทิศส่วนกุศลให้บรรพบุรุษหรือญาติมิตรผู้ล่วงลับ ซึ่งวันแต่งดาญาติพี่น้องจะมาช่วยกันจัดเตรียมสิ่งของ เรียก ฮอมสลาก ซึ่งจะนำสิ่งของ ปัจจัยมาร่วมทำบุญด้วย และช่วยตกแต่งสถานที่ วัดต่างๆ. กวยสลาก (อ่าน โก๋ยสะหลาก) คือ ตะกร้าที่สานขึ้นด้วยไม้ไผ่ ลักษณะคล้ายชะลอม เพื่อบรรจุเครื่องไทยทานซึ่งจะได้นำไปถวายพระ ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นถังน้ำพลาสติกหรืออลูมิเนียม เพราะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ต่อ. สลาก คือ เส้น หรือใบ ซึ่งเป็นใบลานหรือใบตาล ในปัจจุบันบางที่ได้เปลี่ยนมาใช้กระดาษแทน ผู้เป็นเจ้าของกัณฑ์สลากเขียนชื่อเจ้าภาพ และชื่อผู้ตายที่ต้องการอุทิศไปให้ นำไปรวมกันแล้วนับจำนวน เรียก สูนเส้นสลาก ให้พระภิกษุสงฆ์สุ่มจับ หรือถ้าหากมีจำนวนมาก นำจำนวนพระภิกษุ สามเณร หารแบ่งเท่ากัน ไม่มีการจับจองของผู้ใดเป็นการเฉพาะ จึงเรียกว่า สลาก หรือ การเสี่ยงโชคของผู้รับ ก๋วยสลาก แบ่งออกเป็น ๒ แบบกว้าง ๆ คือ ก๋วยน้อย กับ ก๋วยใหญ่ สลากเมืองน่านแบ่งเป็น ๓ อย่าง (ชื่อเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น) คือ-สลากน้อย, สลากจมปู, สลากซอง, ก๋วยน้อย คือ ภาชนะ หรือตะกร้าที่สานอย่างง่ายๆ ด้วยตอกไม้ไผ่เป็นรูปตะกร้าโปร่งทรงสูง (ก๋วยสลากขี้ปุ๋ม ป่องเหมือนขี้ปุ๋มหรือพุง) ปล่อยตอกให้พ้นจากตัวตะกร้าขึ้นไปรองด้วยใบขมิ้น หรือใบตอง แล้วบรรจุข้าวสารอาหารแห้ง อาหารปรุงสุก พริก กะปิ น้ำปลา น้ำมันพืช หอม กระเทียม พริกแห้ง เครื่องอุปโภคบริโภค แล้วจึงรวบตอกที่พ้นขึ้นนั้นไปผูกติดกันเพื่อปิดปากกวย ด้านบนก๋วยสลากจะมีใบหมากผู้หมากเมีย พลู ไม้ดอกไม้ประดับมัดรวมกัน มีเทียน บุหรี่ มีไม้เสียบกวยหนีบธนบัตรไว้ด้านบน -สลากโชค, ก๋วยโชค, ต้นโชค, ก๋วยใหญ่, ก๋วยสำรับ สลากที่มีความพิเศษเพียบพร้อมด้วยวัตถุ รวมถึงปัจจัยพิเศษ โดยอาจเป็นกระบุง ถังน้ำ ถังน้ำพลาสติก กะละมัง ขันน้ำ ตะกร้า เป็นต้น ก๋วยสานด้วยไม้ไผ่ เรียก ก๋วยตีนช้าง ปักด้วยต้นคาหรือหญ้าคาทำเป็นขา ปักไม้ไผ่ทำเป็นก้านยาวเพื่อแขวนสิ่งของต่างๆ หรือทำเป็นบ้านขนาดย่อมๆ หรือปราสาทแบบล้านนา นำข้าวของต่างๆใส่ในบ้าน -สลากสร้อย ต้นสลากขนาดใหญ่ มีสิ่งของเกือบครบทุกอย่าง ทำมาจากโครงไม้ไผ่ทำจากและกระดาษ ปักสิ่งของต่างๆ ส่วนยอดบนสุดเป็นฉัตร หรือร่มนอกจากนี้ยังยังมีต้นสลากขนาดใหญ่ หรือต้นกัลปพฤกษ์ ที่ทำอย่างวิจิตร และมีขนาดใหญ่ ทำเป็นวงกลมทำเป็นชั้น ๆ อาจเป็น ๓ ชั้น , ๕ ชั้น , ๗ ชั้น หรือ ๙ ชั้น แต่ละชั้นนำเครื่องไทยทานมาผูกติดให้สวยงาม คล้ายกับต้นสลากย้อมที่จังหวัดลำพูน ซึ่งหมายถึง กัปปรุกขา หรือต้นกัลปพฤกษ์ นอกจากจะมีเครื่องใช้ต่างๆ แล้วยังมี กระจก หวี น้ำหอม ผ้าเช็ดหน้า เป็นต้น. สิ่งของที่บรรจุในก๋วยสลาก ได้แก่ ข้าวสาร อาหารแห้ง ผลไม้ พริก เกลือ กะปิ น้ำปลา หอมแห้ง กระเทียม ปลาแห้ง ปลากระป๋อง หมากพลู กล้วย อ้อย ส้มโอ ดอกไม้ธูปเทียน รวมเครื่องใช้อื่นๆ เช่น สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก รวมไปถึงเครื่องอุปโภคบริโภคอื่นๆ ที่พระภิกษุสงฆ์สามารถนำไปใช้ได้. อานิสงส์สลากภัต ผลของการทานสลากภัตแด่พระภิกษุสงฆ์ สามเณร เมื่อสิ้นชีวิตแล้วจะได้ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นนิมมานรดี เมื่อจุติจากสวรรค์มาเกิดในเมืองมนุษย์เป็นผู้มีพละกำลังมหาศาล ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ รวมทั้งเป็นผู้ที่มีรูปร่างลักษณะงดงามและมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด รวมไปถึงเป็นผู้มีฐานะดี เสวยสมบัติอันมาก (เอกสารใบลานเรื่องอานิสงส์สลากภัตต์ ฉบับวัดบ้านท่อ ตำบลป่าตัน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่) เมื่อถึงการประกอบพิธีกรรมมักจะมีการเทศนาอานิสงส์สลากภัต กล่าวถึงตำนานความเป็นมา และผลบุญกุศลสลากภัต.เอกสารอ้างอิงกินสลาก , กวยสลาก , กินกวยสลาก , งานทำบุญ , สลาก , สลากย้อม , สลากภัตต์ , กวย. สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือ เล่ม ๑. กรุงเทพฯ: มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์, ๒๕๔๒. เข้าถึงได้โดย https://db.sac.or.th/thailand-cultural-encyclopedia/result.php?region=0&term=สลาก&page=2เอกลักษณ์น่าน. สำนักพิมพ์ MaxxPrint (ดาวคอมฟิวกราฟิก) : เชียงใหม่. ๒๕๔๙.



เรื่อง “วันประถมศึกษาแห่งชาติ 25 พฤศจิกายน” วันประถมศึกษาแห่งชาติ 25 พฤศจิกายน เป็นวันที่รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่มีต่อการศึกษาของไทย ที่ได้ทรงวางรากฐานให้กับการศึกษาของชาติ เนื่องจากทั้งสองพระองค์ทรงเป็นผู้ให้การสนับสนุนการประถมศึกษา และพระราชทานตราพระราช บัญญัติด้านการประถมศึกษาเอาไว้ ทำให้เกิดเสรีภาพทางการศึกษา และเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตของคนไทย จวบจนกระทั่งทุกวันนี้ การประถมศึกษาของไทยอาศัย บ้าน วัด วัง เป็นสถานศึกษามาตั้งแต่ในสมัยสุโขทัย จนถึงสมัยรัตน โกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงริเริ่มวางรากฐานการประถมศึกษา ของไทยขึ้น โดยจัดตั้งโรงเรียนหลวงแห่งแรกขึ้นในพระบรมมหาราชวัง เมื่อ พ.ศ. 2414 และตั้งโรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรที่วัดมหรรณพาราม ในปี พ.ศ. 2427 และขยายการศึกษาไปตามหัวเมืองต่างๆ เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ขึ้นเสวยราชสมบัติ พระองค์ได้ทรงรับภารกิจเกี่ยวกับการจัดการศึกษา สืบเนื่องจากพระราชบิดา ทรงยกฐานะโรงเรียนข้าราชการพลเรือน ของพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงสร้างในปี พ.ศ.2453 ขึ้นเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทรงให้จัดสร้างโรงเรียนเพาะช่างขึ้นในปี พ.ศ.2456 ทรงจัดตั้งโรงเรียนเบญจมราชาลัยเพื่อฝึกหัดครูในปี พ.ศ.2456 ทรงตั้งโรงเรียนพาณิชยการ เมื่อปีพ.ศ.2465 เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตราพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ขึ้นเพื่อบังคับให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และเพื่อให้เด็กทุกคนรู้หนังสือ จึงทรงตราพระราฃบัญญัติประถมศึกษาออกบังคับเป็นเขต ๆ ไป เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2464 เพื่อกำหนดให้เด็กที่มีอายุ 7-14 ปีบริบูรณ์ เข้าเรียนหนังสืออยู่ในโรงเรียน โดยไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน นับเป็นการเริ่มต้นการศึกษาภาคบังคับในระดับประถมศึกษา โดยพระราชบัญญัติประถมศึกษานี้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2464 ด้วยเหตุนี้กระทรวงศึกษาจึงได้กำหนดให้วันที่ 1 ตุลาคมของทุกปีเป็นวันประถมศึกษาแห่งชาติ และได้จัดงานวันประถมศึกษาแห่งชาติเป็นประจำมาตั้งแต่ ปี พ.ศ.2491-2508 ต่อมาโรงเรียนประถมศึกษาได้ถูกโอนไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่นั้นมางานวันประถมศึกษาแห่งชาติจึงเปลี่ยนชื่อเป็น วันศึกษาประชาบาล ต่อมาในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2523 ได้จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการประถมศึกษาขึ้น จึงได้โอนโรงเรียนประชาบาลกลับมาสังกัดคณะกรรมการการศึกษา การจัดงานวันศึกษาประชาบาลจึงสิ้นสุดลง และกลับมาจัดวันประถมศึกษาแห่งชาติขึ้นใหม่ ในวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2523 วันประถมศึกษาแห่งชาติจึงเปลี่ยนจากวันที่ 1 ตุลาคม มาเป็นวันที่ 25 พฤศจิกายน ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ที่พระองค์เป็นผู้วางรากฐานและสนับสนุนการประถมศึกษาอย่างดี อ้างอิง : ประชิด สกุณะพัฒน์, อุดม เชยกีวงศ์. วันสำคัญ. กรุงเทพฯ : ภูมิปัญญา, 2549. บุญเติม แสงดิษฐ์. วันสำคัญ. กรุงเทพฯ : พัชรการพิมพ์. 2541. ผู้เรียบเรียง : นายประพนธ์ รอบรู้ นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี #องค์ความรู้ #วันประถมศึกษาแห่งชาติ #กระทรวงศึกษาธิการ #พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว #หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษกจันทบุรี #กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์กรมศิลปากร #สำนักศิลปากรที่5ปราจีนบุรี #กรมศิลปากร #กระทรวงวัฒนธรรม


black ribbon.