ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 42,067 รายการ
กรมศิลปากร ขอเชิญรับชมถ่ายทอดสด Facebook Live รายการ ไขความรู้จากครูกรมศิลป์ ตอน “พิพิธภัณฑ์มรดกทางวัฒนธรรมอิสลามและศูนย์การเรียนรู้อัลกุรอานและการอนุรักษ์คัมภีร์อัลกุรอาน” วิทยากรโดย นายปฏิวัติ ทุ่ยอ้น สถาปนิกชำนาญการ สำนักสถาปัตยกรรม และนางพวงพร ศรีสมบูรณ์ นักวิทยาศาสตร์ชำนาญการพิเศษ กลุ่มวิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ดำเนินรายการโดย นายสิทธิพร บุปผา นักวิชาการเผยแพร่ กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๑.๐๐ – ๑๑.๔๕ น. ผู้สนใจสามารถติดตามชมได้ทาง Facebook : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม และ Facebook : กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร รายการ “ไขความรู้จากครูกรมศิลป์” มีรูปแบบเนื้อหาของรายการเกี่ยวกับประวัติความเป็นไทย เกร็ดประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับวันสำคัญ ประเพณี วัฒนธรรม วีถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ผ่านการบอกเล่า ถ่ายทอดความรู้ แนวความคิด เนื้อหาวิชาการ จากประสบการณ์ของผู้บริหาร นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญกรมศิลปากร กำหนดถ่ายทอดสดผ่านเฟสบุ๊กไลฟ์ (facebook live) ทุกวันพฤหัสบดี เวลา ๑๑.๐๐ น. ติดตามชมได้ตลอดปีงบประมาณ ๒๕๖๔ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๖๓ - กันยายน ๒๕๖๔
องค์ความรู้เรื่อง ก้าวแรกของไทยไปงานมหกรรมโลก
งานมหกรรมโลก (World Exposition) หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่างาน Expo ถือเป็นงานแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและดำเนินการจัดมายาวนานกว่า ๑๖๙ ปี จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๔ (ค.ศ. ๑๘๕๑) ณ คริสตัล พาเลซ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ต่อมาเป็นงานระดับนานาชาติที่ดำเนินการจัดทุก ๆ ๕ ปี มีระยะเวลาราว ๖ เดือน โดยหมุนเวียนประเทศเจ้าภาพในหมู่ประเทศภาคีสมาชิกทั้งในทวีปยุโรป อเมริกา และเอเชีย งานมหกรรมโลกถือเป็นเวทีที่แสดงศักยภาพทางความคิดสร้างสรรค์ เพื่อการนำเสนอนวัตกรรม และความเจริญก้าวหน้าทางศิลปวิทยาการจากนานาประเทศ อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้สาธารณชนได้มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ร่วมเรียนรู้พัฒนาการของศาสตร์แขนงต่างๆ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ตลอดจนภูมิปัญญาท้องถิ่น มรดกทางวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ พระองค์มีพระบรมราโชบายในการเปิดความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตก มีการปรับปรุงประเทศให้ทันสมัยตามแบบนานาอารยประเทศ ตลอดจนมีการทำสนธิสัญญาทางไมตรีและพาณิชย์ (Treaty of Friendship and Commerce) กับประเทศต่างๆ โดยเริ่มจากประเทศอังกฤษเป็นประเทศแรก ใน พ.ศ. ๒๓๙๘ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามว่า “สนธิสัญญาเบาว์ริง” ต่อมาจึงมีการตกลงทำสนธิสัญญาทางไมตรีและพาณิชย์กับประเทศอื่น ๆ อีกรวม ๑๓ ประเทศ
การที่อังกฤษและไทยมีไมตรีต่อกันนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญให้ไทยได้เข้าร่วมในงานมหกรรมโลกเป็นครั้งแรกที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ใน พ.ศ. ๒๔๐๕ ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้จัดสิ่งของต่าง ๆ ไปร่วมจัดแสดง ประกอบด้วย พระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ ชุดพานทอง ชุดโตกไม้ และเครื่องกระเบื้องหลายชิ้น ฯลฯ แม้ว่ารายละเอียดเกี่ยวข้องกับสิ่งของที่นำไปจัดแสดงและเอกสารที่เกี่ยวเนื่องกับการเข้าร่วมงานในครั้งนี้จะมีไม่มากนัก แต่สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันได้แน่ชัดคือ ภาพถ่ายธงช้างเผือกของประเทศสยามที่ปรากฏอยู่ในภาพงานมหกรรมโลกในครั้งนั้น
ครั้นต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๑๐ ประเทศฝรั่งเศสได้มีหนังสือเชิญให้ประเทศไทยเข้าร่วมงานมหกรรมโลกอย่างเป็นทางการที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส (Paris Exposition Universelle 1867) โดยงานจัดขึ้น ณ ชองป์ เดอ มารส์ (Champ de Mars) ซึ่งเป็นลานสวนสนามในประวัติศาสตร์ใจกลางกรุงปารีส ระหว่างวันที่ ๑ เมษายน ถึงวันที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๐ มีประเทศต่าง ๆ รวม ๔๑ ประเทศและอาณานิคมอื่น ๆ อีกราว ๓๓ แห่ง เข้าร่วมจัดแสดง ภายในงานมีส่วนจัดแสดงนวัตกรรมและสิ่งของแปลกใหม่จากทั่วทุกมุมโลก นำเสนอความบันเทิงหลากหลายรูปแบบ และมีร้านค้าจำนวนมากจำหน่ายสินค้าและของที่ระลึกจากประเทศต่างๆ นับเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยได้จัดแสดงนิทรรศการขนาดใหญ่และสร้างศาลาไทยตามรูปแบบของสถาปัตยกรรมไทยที่งดงาม มีรูปปั้นช้างเป็นสัญลักษณ์ปรากฏอยู่โดดเด่นที่ด้านหน้า สำหรับแนวคิดตลอดจนสิ่งของต่างๆที่นำไปออกร้านจัดแสดง ณ ศาลาไทย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้พระสยามธุรานุรักษ์ (ม.เดอเกรอัง) กงสุลไทยประจำกรุงปารีส เป็นผู้แทนพระองค์ดำเนินการทั้งหมด ดังปรากฏหลักฐานในหนังสือ เรื่อง “ราชอาณาจักรสยาม ในงานแสดงศิลปหัตถกรรม ณ ชองป์ เดอ มารส์ พ.ศ.๒๔๒๑” (กรมศิลปากร พิมพ์เผยแพร่ พ.ศ. ๒๕๔๑) ว่า บรรดาสิ่งของที่นำไปจัดแสดงนอกเหนือจากพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว ยังมีของส่วนพระองค์และของพระราชทานอีกหลายรายการ ได้แก่ เชี่ยนหมากทองคำ เครื่องมุกที่เป็นงานประณีตศิลป์
ของไทย แจกันลงยา ผ้าไหม โบราณวัตถุและศิลปวัตถุหลายรายการ และพระพุทธรูปปางต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังมีงานหัตถกรรมชิ้นเยี่ยมอีกเป็นจำนวนมาก
ในโอกาสเข้าร่วมงานมหกรรมโลกครั้งนี้ประเทศไทยได้รับรางวัลเหรียญทองเชิดชูเกียรติจากการประกวดสินค้าพื้นเมือง และรางวัลเกียรติยศจากการแสดงเรือพระที่นั่งจำลอง นับเป็นความภาคภูมิใจและเป็นมิติใหม่ที่น่ายินดียิ่งและส่งผลให้ประเทศไทยได้เป็นที่รู้จักในเวทีโลกกล่าวกันว่าการแสดงนิทรรศการที่ศาลาไทยแห่งนี้เป็นที่ประทับใจของบรรดาชาวยุโรปที่ได้มีโอกาสสัมผัสความงดงามของศิลปวัฒนธรรมจากดินแดนตะวันออกไกลอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
----------------------------------------------
เรียบเรียงโดย นางสาวนันทพร บรรลือสินธุ์
นักอักษรศาสตร์ชำนาญการพิเศษ
กลุ่มแปลและเรียบเรียง
สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์
ชื่อเรื่อง ท้าวเต่าคำ (ท้าวเต่าคำ) สพ.บ. 383/1หมวดหมู่ พุทธศาสนาภาษา บาลี/ไทย-อีสานหัวเรื่อง พุทธศาสนา นิทา่นคติธรรม นิทานชาดกประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ 68 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 58 ซม. บทคัดย่อ
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ-ล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
องค์ความรู้หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ร.๙ นครราชสีมา
เรื่อง ตามรอยกระเบื้องดินเผาด่านเกวียน
นับเป็นเวลากว่า ๓๐ ปี ที่อาคารหอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ร.๙ นครราชสีมา ยังคงความสวยงามและร่วมสมัย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวอาคารได้มีการตกแต่งด้วย "กระเบื้องดินเผาด่านเกวียน" ซึ่งเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สามารถแสดงถึงอัตลักษณ์ของชาวจังหวัดนครราชสีมาได้เป็นอย่างดี
‘เรือโบราณพนมสุรินทร์’
ร่องรอยประวัติศาสตร์การค้าทางทะเล อุษาคเนย์-อาหรับ
.
ซากเรือโบราณพนมสุรินทร์ถูกค้นพบบริเวณนากุ้ง ตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ในช่วงเดือนกันยายน ปี 2556 หลังจากสองสามีภรรยาเจ้าของที่ดินเดิมได้ขุดเจอโครงสร้างไม้ประหลาดเข้าโดยบังเอิญ จึงเรียกชาวบ้านละแวกนั้นให้มาช่วยกันนำไม้ขึ้นมา ก่อนจะกลายเป็นข่าวใหญ่ระดับประเทศ เมื่อนักโบราณคดียืนยันว่าเป็นชิ้นส่วนของเรือโบราณอายุนับพันปี
.
ณภัทร ภิรมย์รักษ์ ผู้ช่วยนักโบราณคดี ประจำกองโบราณคดีใต้น้ำ กรมศิลปากร เผยว่า สำนักศิลปากรที่ 1 ร่วมกับกองโบราณคดีใต้น้ำ กรมศิลปากร ได้เริ่มสำรวจ-ขุดค้นพื้นที่ที่พบซากเรือโบราณมาตั้งแต่ปี 2556 จวบจนปัจจุบัน รวมระยะเวลากว่า 8 ปีแล้ว จากการดำเนินงานพบว่าเรือลำนี้ใช้เทคนิคการต่อเรือแบบอาหรับ ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในแถบทะเลอาหรับ เทคนิคนี้เริ่มด้วยการขึ้นโครงสร้างเปลือกเรือก่อน โดยมีเอกลักษณ์ที่การนำแผนไม้กระดานมาประกบกันแล้วจึงเจาะรูและเย็บติดกันด้วยเชือกในลักษณะกากบาท ส่วนรอยต่อเรือมีการตอกหมันและชันยาเรือ ซากเรือแบบนี้เคยพบแค่แห่งเดียวในประเทศเพื่อนบ้าน คือบริเวณเกาะเบลิตุง ประเทศอินโดนีเซีย
.
จากการค้นพบสิ่งของบนเรือและส่งตัวอย่างทางวิทยาศาสตร์ไปประเมินพบว่า เรือลำนี้มีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13-14 หรือประมาณ พ.ศ. 1300-1400 ร่วมสมัยกับยุคทวารวดี โดยโบราณวัตถุที่พบเจอในซากเรือนั้นมาจากหลายพื้นที่ เช่น ภาชนะดินเผาแบบตอร์ปิโด พบมากแถบตะวันออกกลาง ภาชนะดินเผาแบบเปอร์เซีย ภาชนะดินเผาพื้นเมืองแบบทวารวดี และเครื่องถ้วยจากจีน คาดการณ์ว่าเรือลำนี้อาจเป็นเรือเดินสมุทรที่ติดต่อค้าขายกันระหว่างดินแดนแถบคาบสมุทรอาระเบีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงจีน แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางการค้าของดินแดนในแถบนี้กับภูมิภาคตะวันออกกลางและจีน
.
นอกจากภาชนะดินเผา สิ่งสำคัญที่พบเจอคือหมาก ซึ่งเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยุคนั้น คาดว่าเรือลำนี้กำลังเดินทางออกจากดินแดนอุษาคเนย์ โดยนำเอาภาชนะถ้วยชามรามไห พืชพรรณธัญญาหาร และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ในดินแดนแถบนี้กลับไปด้วย
.
สาเหตุที่ตั้งชื่อเรือว่า ‘เรือพนมสุรินทร์’ มาจาก นางพนมและนายสุรินทร์ ศรีงามดี สองสามีภรรยาเจ้าของที่ดินผู้ขุดค้นเจอและบริจาคที่ดินให้กรมศิลปากรเพื่อการศึกษาวิจัย จึงตั้งชื่อให้เป็นเกียรติแก่พวกเขา
.
แหล่งข้อมูล: กองโบราณคดีใต้น้ำ กรมศิลปากร
.
เรื่องและภาพ: วิศรุต วีระโสภณ
กำเนิดคริสตจักรโปรเตสแตนต์ในประเทศไทย คริสตจักรโปรเตสแตนต์ในประเทศไทย มีประวัติศาสตร์ย้อนไปตั้งแต่ในปี พ.ศ.๒๓๗๑ เมื่อศาสนาจารย์จาคอบ ทอมลิน จากสมาคมมิชชันนารีลอนดอน และศาสนาจารย์นายแพทย์คาร์ล กุตสลาฟ จากสมาคมมิชชันนารีฮอลันดา เข้ามาเผยแผ่คริสตศาสนานิกายโปรเตสแตนต์เป็นครั้งแรกในประเทศสยาม ต่อมาจึงมีคณะมิชชันนารีเดินทางเข้ามาเผยแผ่คริสตศาสนาอีกหลายคณะ รวมทั้งมิชชันนารีคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียนด้วยมิชชันนารีคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียน ในปี พ.ศ.๒๓๘๐ มิชชันนารีคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียนเข้ามาในประเทศไทยเป็นครั้งแรก และเมื่อถึงพ.ศ.๒๓๙๒ ศาสนาจารย์สตีเฟน แมตตูน แหม่มแมตตูน(ภรรยา) ศาสนาจารย์นายแพทย์แซมมูเอล เรโนลด์ เฮาส์ ศาสนาจารย์สตีเฟน บุช และภรรยา ได้ดำเนินการประชุมเพื่อสถาปนาคริสตจักรอเมริกันเพรสไบทีเรียนในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ตั้งที่ทำการของมิชชันอยู่ที่บริเวณชุมชนกุฎีจีน กรุงเทพมหานคร และต่อมาย้ายไปยังย่าน สำเหร่ทั้งหมดในพ.ศ.๒๔๐๐ สำเหร่จึงกลายมาเป็นศูนย์กลางการทำงานของคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียน เป็นที่ตั้งของโบสถ์คริสตจักรที่ ๑ มีบ้านพักมิชชันนารี โรงเรียน โรงพิมพ์ ครบครัน มิชชันนารีที่เพิ่งเดินทางมาใหม่สามารถเข้ามาอาศัยเพื่อเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมไทย ก่อนที่จะเดินทางออกไปเผยแผ่ศาสนาและจัดตั้งศูนย์มิชชันนารีในเมืองต่างๆ สำหรับในภาคใต้ได้มีการจัดตั้งศูนย์มิชชันนารีที่นครศรีธรรมราชเมื่อพ.ศ.๒๔๔๓ และจัดตั้งศูนย์มิชชันนารีที่ตรังในพ.ศ.๒๔๕๓แรกเริ่มศาสนาคริสต์ในตรัง ราว ๒๔๔๘(ค.ศ.๑๙๐๕) ศาสนาจารย์จอห์น แคริงตัน(Rev.John Carrington) แห่งสมาคมพระคริสตธรรมอเมริกันเดินทางมาเผยแพร่คริสต์ศาสนาที่จังหวัดตรัง ในครั้งนั้นท่านได้มอบหนังสือเล่มหนึ่งแก่หลวงเพชรสงคราม (นายบุญนารถ ไชยสอน) ซึ่งทำให้หลวงเพชรสงครามหันมานับถือคริสต์ศาสนาในเวลาต่อมา แต่เนื่องจากเมืองตรังในขณะนั้นไม่มีหมอสอนศาสนาประจำอยู่ จึงทำให้ยังไม่มีโอกาสเข้าพิธีรับบัพติศมา(พิธีรับศีลล้างบาป) จนกระทั่งศาสนาจารย์ ดร.ยูจีน เพรสลี ดันแลป (Rev.Dr. Eugene Pressly Dunlap) เดินทางมายังจังหวัดตรังจึงได้เข้ารับบัพติศมา และถือว่าหลวงเพชรสงครามเป็นคริสเตียนคนแรกของจังหวัดตรังกำเนิดคริสตจักรตรัง คริสตจักรตรัง เป็นส่วนหนึ่งของคณะเพรสไบทีเรียนสยาม(คริสตศาสนานิกายโปรแตสแตนท์) ปัจจุบันสังกัดคริสตจักรภาคที่ ๑๗ คริสตจักรตรังกำเนิดขึ้นในพ.ศ.๒๔๔๘(ค.ศ.๑๙๐๕) เมื่อพระยารัษฎานุปะดิษฐ์(คอซิมบี้ ณ ระนอง) มอบเงิน ๓,๐๐๐ ดอลลาร์ ให้ศาสนาจารย์ ดร.ยูจีน เพรสลี ดันแลป (Rev.Dr. Eugene Pressly Dunlap) เพื่อดำเนินการสร้างโรงพยาบาลทับเที่ยงขึ้นที่จังหวัดตรัง และอนุญาตให้ดำเนินการเผยแผ่คริสตศาสนาได้โดยเสรี แต่ก็ยังไม่นับเป็นวันเริ่มต้นของคริสตจักรตรังอย่างเป็นทางการสถานีประกาศทับเที่ยง วันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๕๓ (ค.ศ.๑๙๑๐) ศาสนาจารย์ ดร.ยูจีน เพรสลี ดันแลป ได้เลือกที่ดินในบริเวณตลาดทับเที่ยงเป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลทับเที่ยงและเป็นที่ตั้งของสถานีมิชชั่น(Station)หรือสถานีประกาศ ซึ่งหมายถึงฐานหรือสถานีปฏิบัติงานของคณะ จึงนับเป็นวันเริ่มต้นของคริสตจักรตรังอย่างเป็นทางการ โดยผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการดำเนินงานในระยะเริ่มแรกนี้ได้แก่ ศาสนาจารย์ ดร.ยูจีน เพรสลี ดันแลป (Rev.Dr. Eugene Pressly Dunlap) นางอีเมไลน์ วิลสัน คริสส์(Mrs.Emaline Wilson Criss) ภรรยาของท่าน นายแพทย์ลูเชียส คอนสแตนท์ บัลค์ลีย์ (Dr.Lucius Constant Bulkley) นางเอ็ดน่า บูรเนอร์ บัลค์ลีย์ (Mrs.Ednah Bruner Bulkley) ครูตุ้น(ชาวจีน) และนายจวง จันทรดึกผู้ช่วยด้านการแพทย์ชาวไทย ทั้งนี้ได้เริ่มให้มีการถือศีลระลึกถึงความมรณาของพระเยซู และมีการให้บัพติศมา ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ (ค.ศ.๑๙๑๒)โรงสวดทับเที่ยง ต่อมาในพ.ศ.๒๔๕๖ (ค.ศ.๑๙๑๓) คริสตจักรตรังได้รับอนุญาตให้ซื้อที่สำหรับสร้างสุสานและโบสถ์ ทั้งนี้ในวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๔๕๖ มีสมาชิกคริสตจักรตรัง ๗๐ คน มาช่วยกันปรับที่ดิน และสร้างโบสถ์ทำด้วยไม้ไผ่ หลังคามุงจาก บนดินที่ได้ช่วยกันปรับพูนขึ้น รวมทั้งสร้างม้านั่ง และประดับประดาจนเสร็จสิ้นภายใน ๑ วัน เรียกกันว่า “โรงสวดทับเที่ยง” ใช้เป็นสถานที่นมัสการแทนสถานที่เดิมคือห้องประชุมของโรงพยาบาลทับเที่ยงวิหารทับเที่ยง ต่อมาใน พ.ศ.๒๔๕๘ (ค.ศ.๑๙๑๕) ได้สร้างโบสถ์หลังใหม่ก่อด้วยอิฐฉาบปูนเรียกชื่อว่า “วิหารทับเที่ยง” ซึ่งยังคงปรากฏมาถึงปัจจุบัน โดยในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๔๕๘ ได้มีการประกอบพิธีถวายอาคารหลังนี้ และทำการการฉลองเป็นเวลา ๓ วันในระหว่างวันที่ ๒๘-๓๐ พฤศจิกายน ๒๔๕๘ วิหารแห่งนี้สามารถรองรับผู้คนซึ่งเดินทางมานมัสการได้ราว ๒๐๐ คนลักษณะทางสถาปัตยกรรม “วิหารทับเที่ยง” มีลักษณะเป็นอาคารชั้นเดียว ก่ออิฐถือปูน ขนาดกว้าง ๑๒ เมตร ยาว ๑๙ เมตร มีหน้าต่างด้านละ ๗ บาน ประตูด้านหน้า ๑ ประตู ด้านหลัง ๒ ประตู หน้าต่างและประตู มีกรอบวงกบรูปวงโค้ง มีคิ้วปูนอยู่เหนือกรอบวงกบ ภายในแบ่งเป็นห้องโถงเล็กด้านหน้าประตู และห้องโถงใหญ่ภายใน โดยที่ผนังเหนือซุ้มหน้าห้องโถงเล็กมีอักษรจารึกว่า “วิหารคริศศาสนาสร้างค.ศ.๑๙๑๕” ส่วนหลังคามุงด้วยกระเบื้องซีเมนต์แบบเก่า ด้านข้างของอาคารมีหอระฆัง โดยส่วนหลังคาของหอระฆังเมื่อแรกสร้างนั้นมีลักษณะเป็นดาดฟ้า รูปทรงคล้ายป้อมทหารโบราณ โดยในเวลาต่อมาได้ทำการต่อเติมหอระฆังและย้ายระฆังจากชั้นที่ ๒ ไปไว้ชั้นที่ ๓ รวมทั้งเปลี่ยนรูปทรงหลังคาของหอระฆังด้วยการบูรณะ พ.ศ.๒๕๒๘ (ค.ศ.๑๙๘๕) ดำเนินการระหว่างเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคม การบูรณะในครั้งนี้ได้เปลี่ยนวัสดุมุงหลังคาจากกระเบื้องซีเมนต์แบบเก่า มาเป็นกระเบื้องใยสังเคราะห์ ปรับปรุงเพดานด้วยการบุกระเบื้องยิปซัม เปลี่ยนพื้นจากพื้นปูนหยาบเป็นปูพื้นด้วยกระเบื้องเซรามิกส์สีขาวครีม ทาสีผนังทั้งภายนอกและภายใน และทำเวทีใหม่ให้ลดความสูงลง การบูรณะ พ.ศ.๒๕๕๐(ค.ศ.๒๐๐๗) พ.ศ.๒๕๕๐ คณะกรรมการบริหารคริสตจักรตรังเห็นสมควรให้มีการบูรณะวิหารทับเที่ยงที่ชำรุดทรุดโทรมลง จึงมีคำสั่งลงวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๐ แต่งตั้งนายเทิดศักดิ์ ตรีรัตนพันธ์ เป็นผู้ควบคุมดูแลการบูรณะ ให้นายสนิท พานิช เป็นวิศวกรที่ปรึกษา โดยใช้งบประมาณจากการถวายของสมาชิกคริสตจักรตรังในการดำเนินการ การบูรณะในครั้งนี้ได้เปลี่ยนกลับมาใช้กระเบื้องว่าวตามแบบโบราณ ซ่อมแซมผนังส่วนที่แตกร้าวโดยใช้กรรมวิธีแบบโบราณ เสริมกระจกใสบริเวณหน้าต่าง ออกแบบตู้ไม้สำหรับติดตั้งเครื่องปรับอากาศ เปลี่ยนวัสดุปูพื้นจากเซรามิกส์เป็นแผ่นหินอ่อนจากสระบุรี ปรับปรุงระบบไฟฟ้าทั้งหมด ทั้งนี้การบูรณะได้ดำเนินการแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๑รางวัลอนุรักษ์สถาปัตยกรรมดีเด่น พ.ศ.๒๕๕๒ วิหารคริสตจักรตรัง ได้รับการคัดเลือกจากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้ได้รับรางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่น ประเภทปูชนียสถานและวัดวาอารามโบราณสถานวิหารคริสตจักรตรัง พ.ศ.๒๕๔๕ กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนวิหารคริสตจักรตรัง เป็นโบราณสถานของชาติ ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๙ ตอนพิเศษ ๑๑๗ ง วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๕------------------------------------------------------ เรียบเรียงโดย นายสารัท ชลอสันติสกุล นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา
ชื่อเรื่อง มหานิปาตวณฺณนา (เวสฺสนฺตรชาดก)ชาตกฎฐกถา ขุทฺทกนิกายฏฐกถา (ทสพร-มหาราช)
สพ.บ. 263/4ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 44 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 58 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา--การศึกษาและการสอน ชาดก
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับล่องรัก ได้รับบริจาคมาจากวัดทุ่งอุทุมพร ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
พฺรยาสุนนฺทราช (พฺรยาสุนนฺทราช)
ชบ.บ.67/1-1ค
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ชื่อเรื่อง มหานิปาตวณฺณนา (เวสฺสนฺตรชาตก) ชาตกฏฐกถา ขุทฺทกนิกายฏฐกถา (หิมพานต์-นครกัณฑ์)
สพ.บ. 415/9ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 34 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 56.5 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา เทศน์มหาชาติ ชาดก
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ-ลานดิบ-ล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี