ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 42,271 รายการ

ชื่อเรื่อง                     สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฐาน)อย.บ.                       68/5หมวดหมู่                   พุทธศาสนาประเภทวัสดุ/มีเดีย       คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ               46 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 55 ซม.บทคัดย่อ/บันทึก                     เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับล่องชาด  ไม้ประกับธรรมดา ได้รับจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


 สมัยกรุงรัตนโกสินทร์  เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชมหาราชเสด็จปราบดาภิเษกขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชจักรีวงศ์แล้ว  ทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ  พระเจ้าสุรสีห์พิศณวาธิราช  เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลฝ่ายหน้า  และโปรดฯ ให้ย้ายพระนครจากกรุงธนบุรีมาสร้างกรุงเทพมหานคร  เป็นพระนครแห่งใหม่ยังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา  ให้สร้างวังหลวงและวังหน้าขึ้นในเขตกรุงธนบุรีเดิม  โดยใช้คลองคูเมืองธนบุรี  เป็นคลองคูเมืองชั้นใน  และให้ขุดคลองใหม่เป็นคลองคูเมืองของกรุงเทพฯ  เรียกว่าคลองรอบกรุง  สร้างวังหลวงที่ตอนใต้ของพระนคร  ระหว่างวัดโพธิ์ (วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม)  กับวัดสลัก (วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์)  และตั้งวังหน้าขึ้นทางตอนเหนือระหว่างวัดสลักกับคลองคูเมืองเดิม กำหนดให้ท้องที่อาณาบริเวณฟากเหนือของพระนคร  ตั้งแต่แนวถนนพระจันทร์  นับแต่ท่าน้ำตรงไปทางตะวันออกจนถึงประตูสำราญราษฎร์ (ถนนบำรุงเมือง) อันเป็นที่ตั้งของวังหน้า เป็น แขวงอำเภอพระราชวังบวร เป็นเขตปกครองของวังหน้า  คือ  ปกครองกึ่งพระนคร  ตามธรรมเนียมประเพณีสืบมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา             “วังหน้า”มีประวัติการสร้างพร้อมกับวังหลวง  โดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท พระมหาอุปราชในรัชกาลที่ ๑ โปรดให้สร้างขึ้นเมื่อปีขาล พ.ศ. ๒๓๒๕  แล้วเสร็จเป็นเบื้องต้นเมื่อราว พ.ศ.๒๓๒๘  จากนั้นได้มีการก่อสร้างอาคารสถาน  ตลอดจนการบูรณะปฏิสังขรณ์สืบมาเป็นลำดับ วังหน้าเมื่อแรกสร้างสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์  คงยึดถือแบบแผนการสร้างวังแต่ครั้งกรุงเก่า  กล่าวกันว่าวังหน้าได้รับแบบอย่างมาจากพระราชวังหลวง  รวมถึงแบบแผนบางประการจากพระราชวังจันทรเกษมหรือวังหน้าในสมัยกรุงศรีอยุธยา  กล่าวคือแผนที่ตั้งของวังตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าวังหลวงและสร้างหันหน้าวังไปทางทิศตะวันออกเช่นเดียวกับพระราชวังจันทรเกษม  ส่วนอาคารพระที่นั่งพระราชมณเฑียรสถานบางแห่งวางผังตามแบบพระราชมณเฑียรสถานภายในพระราชหลวงพระนครศรีอยุธยา             พระราชวังบวรสถานมงคล  มีกำแพงและป้อมปราการล้อมรอบทั้ง ๔ ด้าน  เป็นกำแพงใบเสมาตามธรรมเนียมวังพระมหาอุปราช  ป้อมที่มุมทั้ง ๔ ของพระราชวังบวรฯ  ทำเป็นป้อมรูปแปดเหลี่ยม  หลังคาทรงกระโจม  ส่วนป้อมตามแนวกำแพงสร้างเป็นรูปหอรบ  หลังคาทรงคฤห  นอกกำแพงมีคูและถนนรอบวังทุกด้าน  โดยที่ด้านทิศตะวันตกมีลำน้ำเจ้าพระยาแทนคู  และใช้กำแพงพระนครเป็นกำแพงวังชั้นนอก  ส่วนทิศเหนือเป็นคูพระนครเดิม  มีถนนตัดผ่านพระราชวังตามแนวทิศเหนือ –ใต้ ๓ สาย สายตะวันตก คือ ถนนริมพระนครด้านใน  สายกลาง คือ ถนนหน้าพระธาตุ เป็นเส้นทางพระมหาอุปราชเสด็จไปพระราชวังหลวง  และถนนสายทิศตะวันออก คือ ถนนด้านหน้าพระราชวัง  ด้านเหนือจรดสะพานเสี้ยว  ใกล้กับแนวถนนราชดำเนินทุกวันนี้ 



วันอังคารที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๓ นางชุติมา จันทร์เทศ ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา พร้อมด้วยนายชำนาญ กฤษณสุวรรณ ผู้อำนวยการกลุ่มอนุรักษ์โบราณสถาน ลงพื้นที่ตรวจสอบโบราณสถานปราสาทกู่ศิลา ตำบลหลุ่งประดู่ อำเภอห้วยแถลง จังหวัดนครราชสีมา ปราสาทกู่ศิลา ตั้งอยู่ในเขตตำบลหลุ่งประดู่ อำเภอห้วยแถลง จังหวัดนครราชสีมา มีลักษณะเป็นธรรมศาลา หรือศาสนสถานประจำที่พักคนเดินทาง ที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗แห่งอาณาจักรเขมร (พ.ศ.๑๗๒๔ - ๑๗๖๑) ซึ่งปรากฏข้อความตามหลักศิลาจารึกปราสาทพระขรรค์ในประเทศกัมพูชา พระองค์ทรงโปรดให้สร้างธรรมศาลาขึ้นตามเส้นทางถนนโบราณเส้นต่าง ๆ เป็นจำนวน ๑๒๑ แห่ง โดยพบหลักฐานธรรมศาลา ตามเส้นทางจากเมืองพระนครถึงเมืองพิมาย จำนวน ๑๗ แห่งกรมศิลปากร ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานปราสาทกู่ศิลา ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๕๓ ตอนที่ ๓๔ ลงวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๔๗๙ สภาพปัจจุบัน อยู่ในสภาพพังทลาย คงเหลือหลักฐานให้เห็นได้ชัดเจนที่สุด ที่ส่วนผนังด้านทิศใต้ การศึกษาเปรียบเทียบกับสิ่งก่อสร้างรูปแบบเดียวกัน พบว่าลักษณะแผนผังของโบราณสถานปราสาทกู่ศิลา เป็นสิ่งก่อสร้างหลังเดียว หันด้านหน้าไปทางทิศตะวันออก ไม่มีแนวกำแพงล้อมรอบ รูปแบบของสิ่งก่อสร้างประกอบด้วยสองส่วน ได้แก่ ส่วนที่อยู่ด้านหลังเป็นตัวปราสาท บริเวณด้านทิศตะวันออกของปราสาท มีอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าซึ่งสร้างเชื่อมต่อจากตัวปราสาท ประตูทางเข้ามีสองทาง ได้แก่ ทางด้านหน้าด้านทิศตะวันออกของอาคารและทางด้านหลังด้านทิศตะวันตกของปราสาท สิ่งก่อสร้างทั้งหมดใช้หินทรายเป็นวัสดุหลักในการก่อสร้าง ข้อมูลโดย : นายนภสินธุ์ บุญล้อม นักโบราณคดีปฏิบัติการ สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา





วันที่ 26 มกราคม 2561 นายสุพจน์ พรหมมาโนช ผู้อำนวยการสำนักศิลปกรที่ 7 เชียงใหม่ พร้อมด้วยคณะเจ้าหน้าที่สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ เข้าร่วมรับโล่ประกาศเกียรติคุณ และกล่าวแสดงความยินดี ในพิธีเนมัสการพระเจ้าเนื่องในโอกาสขอบพระคุณพระเจ้าครบรอบ 130 ปี โรงเรียนเชียงรายวิทยาคม เปิดใช้อาคาร "แบคแทลล์" และระลึกถึงบรรพชนในอดีตที่ทำพันธกิจรับใช้ในดรงเรียนเชียงรายวิทยาคม ณ อาคารแบคแทลล์ โรงเรียนเชียงรายวิทยาคม จังหวัดเชียงราย




ชื่อวัตถุ::สว่านมือ เลขทะเบียน::43/0303/2558 ลักษณะ::ประกอบด้วยแกนเหล็กปลายสว่านกับด้ามไม้เจาะช่องตรงกลางสำหรับเสียบแกนเหล็ก ที่ปลายด้ามทั้งสองข้างเจาะช่องร้อยด้วยเชือก(เชือกขาดชำรุด)กลุ่มชาติพันธุ์:: จีน-ทิเบตแหล่งที่มาข้อมูล::เขตบางซื่อ จ.กรุงเทพมหานครแหล่งที่มาข้อมูล::พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กาญจนาภิเษก (ฝ่ายวิชาการ)   วัตถุ::สิ่วตอกลาย เลขทะเบียน::43/0304/2558 ลักษณะ::ทำด้วยเหล็กทรงเหลี่ยม ตรงกลางบิดเป็นเกลียว ปลายสิ่วแบบคมมีด เส้นตรงกลุ่มชาติพันธุ์:: จีน-ทิเบตแหล่งที่มาข้อมูล::เขตบางซื่อ จ.กรุงเทพมหานครแหล่งที่มาข้อมูล::พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กาญจนาภิเษก (ฝ่ายวิชาการ)     ชื่อวัตถุ::สิ่วตอกลายเลขทะเบียน::43/0305/2558 ลักษณะ::ทำด้วยเหล็กทรงเหลี่ยม ตรงกลางบิดเป็นเกลียว ปลายสิ่วแบบคมมีด เส้นตรงกลุ่มชาติพันธุ์:: จีน-ทิเบตแหล่งที่มาข้อมูล::เขตบางซื่อ จ.กรุงเทพมหานครแหล่งที่มาข้อมูล::พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กาญจนาภิเษก (ฝ่ายวิชาการ)   ชื่อวัตถุ::43/0306/2558เลขทะเบียน::สิ่วตอกลาย ลักษณะ::ทำด้วยเหล็กทรงเหลี่ยม ตรงกลางบิดเป็นเกลียว ปลายสิ่วแบบคมมีด เส้นตรงขนาดเล็กกลุ่มชาติพันธุ์:: จีน-ทิเบตแหล่งที่มาข้อมูล::เขตบางซื่อ จ.กรุงเทพมหานครแหล่งที่มาข้อมูล::พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กาญจนาภิเษก (ฝ่ายวิชาการ)   ชื่อวัตถุ::ไหปลาร้าเลขทะเบียน::43/0314/2558 ลักษณะ::ไหสีน้ำตาลอมเขียวทรงกลม ปากกลม คอสั้น ก้นสอบตัด ส่วนไหล่ทำลายขูดขีดเป็นเส้นตรงรอบ (เคลือบใส)กลุ่มชาติพันธุ์:: ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาข้อมูล::อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์แหล่งที่มาข้อมูล::พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กาญจนาภิเษก (ฝ่ายวิชาการ)   ชื่อวัตถุ::ไหปลาร้าเลขทะเบียน::43/0315/2558 ลักษณะ::ไหสีน้ำตาลอมเขียวทรงกลม ปากกลม คอสั้น ก้นสอบตัด ส่วนไหล่ทำลายขูดขีดเป็นเส้นตรงรอบ (เคลือบใส)กลุ่มชาติพันธุ์:: ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาข้อมูล::อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์แหล่งที่มาข้อมูล::พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กาญจนาภิเษก (ฝ่ายวิชาการ)   ชื่อวัตถุ::ถ้วยพร้อมฝาเลขทะเบียน::43/0328/2558 ลักษณะ::ถ้วยทรงกลม ปากกลม ก้นตัด พร้อมฝา เขียนสีน้ำเงินใต้เคลือบ ลายอักษรมงคลกลุ่มชาติพันธุ์:: ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาข้อมูล::อ.เมือง จ.ชลบุรี แหล่งที่มาข้อมูล::พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กาญจนาภิเษก (ฝ่ายวิชาการ)   ชื่อวัตถุ::ถ้วยพร้อมฝาเลขทะเบียน::43/0329/2558 ลักษณะ::ถ้วยทรงกลม ปากกลม ก้นตัด พร้อมฝา เขียนสีน้ำเงินใต้เคลือบ ลายอักษรมงคลกลุ่มชาติพันธุ์:: ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาข้อมูล::อ.เมือง จ.ชลบุรี แหล่งที่มาข้อมูล::พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กาญจนาภิเษก (ฝ่ายวิชาการ)   ชื่อวัตถุ::ถ้วยพร้อมฝาเลขทะเบียน::43/0330/2558 ลักษณะ::ถ้วยทรงกลม ปากกลม ก้นตัด พร้อมฝา เขียนสีน้ำเงินใต้เคลือบ ลายทิวทัศน์กลุ่มชาติพันธุ์:: ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาข้อมูล::อ.เมือง จ.ชลบุรี แหล่งที่มาข้อมูล::พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กาญจนาภิเษก (ฝ่ายวิชาการ)   ชื่อวัตถุ::ถ้วยพร้อมฝาเลขทะเบียน::43/0331/2558 ลักษณะ::ถ้วยทรงกลม ปากกลม ก้นตัด พร้อมฝา เขียนสีน้ำเงินใต้เคลือบ ลายทิวทัศน์กลุ่มชาติพันธุ์:: ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาข้อมูล::อ.เมือง จ.ชลบุรีแหล่งที่มาข้อมูล::พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กาญจนาภิเษก (ฝ่ายวิชาการ)   ชื่อวัตถุ::ถ้วยเลขทะเบียน::43/0332/2558 ลักษณะ::ถ้วยทรงกลม ปากผายออกเล็กน้อย ก้นมีเชิงเตี้ย เขียนสีน้ำเงินใต้เคลือบ ลายดอกสี่กลีบในช่องกระจกกลุ่มชาติพันธุ์:: ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาข้อมูล::อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์แหล่งที่มาข้อมูล::พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กาญจนาภิเษก (ฝ่ายวิชาการ)   ชื่อวัตถุ::พลั่วสาดข้าวเลขทะเบียน::43/0001/2547 ลักษณะ::คล้ายพาย มีด้ามจับทรงกระบอก ส่วนปลายมีลักษณะเป็นร่อง ใช้ตักข้าวเปลือกกลุ่มชาติพันธุ์:: ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาข้อมูล:: อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานีแหล่งที่มาข้อมูล::พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กาญจนาภิเษก (ฝ่ายวิชาการ)   ชื่อวัตถุ::คราดเลขทะเบียน::43/0002/2547 ลักษณะ::สำหรับแยกฟางข้าวออกจากเปลือก ด้ามยาวเป็นทรงกระบอก ปลายมีฟันทำจากเหล็กแหลมกลุ่มชาติพันธุ์:: ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาข้อมูล::อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี แหล่งที่มาข้อมูล::พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กาญจนาภิเษก (ฝ่ายวิชาการ)   ชื่อวัตถุ::โกรกพร้อมแอกเลขทะเบียน::43/0003/2547 ลักษณะ::ทอนไม้ขนาดสั้น คล้ายตัว S สำหรับใส่คอควายไถนากลุ่มชาติพันธุ์:: ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาข้อมูล::อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี แหล่งที่มาข้อมูล::พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กาญจนาภิเษก (ฝ่ายวิชาการ)   ชื่อวัตถุ::สัตถาเลขทะเบียน::43/0004/2547 ลักษณะ::สำหรับลากข้าวเปลือกให้เป็นกองมีลักษณะคล้ายไม้กระดานมีด้ามจับทรงกระบอกยาวกลุ่มชาติพันธุ์:: ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาข้อมูล::อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี แหล่งที่มาข้อมูล::พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กาญจนาภิเษก (ฝ่ายวิชาการ)


      นางอัญชิสา เสือเพชร หัวหน้าหอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี มอบหมายให้ นางสาววิรากร รสเกษร เจ้าพนักงานธุรการชำนาญงาน เข้าร่วมโครงการอบรมหลักสูตร วิธีปฏิบัติการจัดซื้อจัดจ้างตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง และการประชุมเชิงปฏิบัติ การเตรียมความพร้อมเพื่อดำเนินการเบิกจ่ายเงินในปีงบประมาณ พ.ศ.2562 ณ โรงแรมรอยัลริเวอร์ กรุงเทพมหานคร   ระหว่างวันที่ 20-21 ตุลาตม 2561



          โรคระบาดเป็นปัญหาที่คุกคามมนุษยชาติ รวมทั้งสังคมไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณ เนื่องจากทำให้ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากอย่างรวดเร็ว ผู้ปกครองสยามในแต่ละยุคสมัยจึงต้องมีวิธีจัดการกับปัญหาโรคระบาดโดยแตกต่างกันไปตามบริบทของสังคม ในสมัยรัตนโกสินทร์ มีโรคระบาดที่สำคัญ ๓ โรค คือ อหิวาตกโรค ไข้ทรพิษ และกาฬโรค ซึ่งแต่ละโรคมีลักษณะและช่วงเวลาการระบาดที่แตกต่างกัน อันสัมพันธ์กับการระบาดในต่างประเทศ เนื่องจากการติดต่อค้าขายทำให้โรคระบาดแพร่ไปได้อย่างกว้างขวาง           อหิวาตกโรค (Cholera) ในอดีตเรียกว่า “โรคป่วงใหญ่” หรือ “โรคลงราก” เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เกิดอาการท้องร่วงและอาเจียนอย่างรุนแรง จนผู้ป่วยขาดน้ำและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว สามารถติดต่อผ่านแหล่งน้ำและอาหาร จึงแพร่ระบาดได้เป็นวงกว้าง           ในสมัยรัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เกิดการระบาดครั้งใหญ่ของอหิวาตกโรคเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๓ ซึ่งตรงกับการระบาดทั่วโลก (Pandemic) ครั้งที่ ๑ (พ.ศ. ๒๓๖๐ – ๒๓๖๗) โดยมีจุดเริ่มต้นจากอินเดีย แล้วระบาดมาถึงสยามผ่านปีนัง จากนั้นจึงเข้ามาถึงสมุทรปราการและกรุงเทพมหานคร การระบาดมีความรุนแรงมาก พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจึงโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีอาพาธพินาศ เพื่อปัดเป่าโรคร้าย แต่ปรากฏว่าโรคระบาดยิ่งร้ายแรงหนักขึ้น ผู้ที่เข้าร่วมพิธีเสียชีวิตจำนวนมาก ต่อมาจึงไม่ประกอบพระราชพิธีอาพาธพินาศอีกต่อไปเมื่อเกิดโรคระบาด           หลังจากนั้นได้เกิดอหิวาตกโรคระบาดในสยามอีกหลายครั้ง ซึ่งมักจะตรงกับการระบาดครั้งใหญ่ในต่างประเทศเช่นเดิม ถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อเกิดการระบาดใน พ.ศ. ๒๔๒๔ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงพยาบาลชั่วคราวถึง ๔๘ แห่งในกรุงเทพฯ เรียกว่า โรงพยาบาลเอกเทศ เพื่อรักษาผู้ป่วยอหิวาตกโรค จนพัฒนาไปสู่การจัดตั้งโรงพยาบาลถาวร คือโรงศิริราชพยาบาลในเวลาต่อมา           ถึงแม้อหิวาตกโรคจะเป็นโรคระบาดที่รุนแรง แต่ความรู้ทางการแพทย์ตะวันตกทำให้ทราบว่าสามารถรักษาชีวิตผู้ป่วยอหิวาตกโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการให้น้ำเกลือเพื่อรักษาอาการขาดน้ำ และแทบไม่ต้องใช้ยาใดๆ เลย ดังนั้นเมื่อเกิดอหิวาตกโรคระบาดจึงมักใช้วิธีรักษาพยาบาล ด้วยการจัดตั้งโรงพยาบาลชั่วคราวตามเขตที่มีการระบาด เพื่อรักษาผู้ป่วยให้ได้มากที่สุด จนถึงราวทศวรรษ ๒๔๘๐ จึงเริ่มมีการฉีดวัคซีนและฆ่าเชื้อในแหล่งน้ำเพื่อป้องกันโรคด้วย ทำให้การระบาดในสมัยหลังๆ มีอัตราการตายที่ต่ำ และมีระยะเวลาการระบาดสั้นลง .................................................................. ภาพ : เมื่ออหิวาตกโรคระบาดในสมัยรัชกาลที่ ๒ - ๓ ศพผู้ป่วยอหิวาตกโรคมักถูกนำไปไว้ที่ลานวัดต่างๆ เช่น วััดสระเกศ เป็นอาหารของอีแร้ง จนเกิดเป็นคำว่า "แร้งวัดสระเกศ" ภาพ : สถานพยาบาลชั่วคราวที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงตั้งขึ้นที่ถนนเจริญกรุงเพื่อรักษาผู้ป่วยอหิวาตกโรค ภาพ : โรงพยาบาลเอกเทศที่ตั้งขึ้นเมื่อเกิดอหิวาตกโรคระบาดใน พ.ศ. ๒๔๒๔ เรียบเรียงโดย นายธันวา วงศ์เสงี่ยม นักอักษรศาสตร์ชำนาญการ กลุ่มประวัติศาสตร์ที่มาของข้อมูลhttps://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=2894563780592205&id=346438995404709


ห้องที่ 14 : ศาลากลางแจ้ง จัดแสดงโบราณวัตถุและศิลปวัตถุตามสาระสำคัญ คือ หน้าบันจำหลักลวดลายต่าง ๆ และชิ้นส่วนประดับสถาปัตยกรรมที่วัดต่าง ๆ ได้มอบให้กับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา


รายงานการเดินทางไปราชการ การประชุมเชิงปฏิบัติการนาฏศิลป์เอเชีย และการประชุมคณะกรรมการ Asia Dance Committee ณ สาธารณรัฐเกาหลี   ๑. ชื่อโครงการ ๒๐๑๓ Asia Dance Committee  ณ สาธารณรัฐเกาหลี ๒. วัตถุประสงค์ เพื่อเป็นการให้ความร่วมมือด้านวัฒนธรรมกับนานาประเทศในฐานะประเทศสมาชิก Asia Dance Committee  โดยส่งเสริมการอนุรักษ์มรดกร่วมทางวัฒนธรรมของกลุ่มประเทศสมาชิก ผ่านศิลปะการแสดง เพื่อให้ประชาชนรับรู้และเข้าใจความหลากหลายทางวัฒนธรรม ตลอดจนเพื่อค้นหาเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของเอเชีย รวมทั้งส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างประเทศสมาชิกเกี่ยวกับวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และอารยะธรรม ๓.  กำหนดเวลา ระหว่างวันที่ ๓–๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ๔.  สถานที่   กรุงโซลประเทศสาธารณรัฐเกาหลี ๕.  หน่วยงานผู้จัด กระทรวงวัฒนธรรม กีฬาและการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ๖. หน่วยงานสนับสนุน ๑. สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ๒. กรมศิลปากร ๓. สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ๗. กิจกรรม      ๑. การประชุมเชิงปฏิบัติการนาฏศิลป์เอเชีย ระหว่างวันที่ ๓ – ๖ พฤศจิกายน  ๒๕๕๖     ๒. การประชุมคณะกรรมการ Asia Dance Committee วันที่ ๗ พฤศจิกายน  ๒๕๕๖        ๘. คณะผู้แทนไทย  ๑. นางพัชรา บัวทอง                      นาฏศิลปินอาวุโส              ๒. นายลสิต อิศรางกูร ณ อยุธยา        นักวิชาการละครและดนตรีชำนาญการพิเศษ     ๓. นายยุทธนา  อัมระรงค์               อาจารย์พิเศษ  คณะศิลปนาฏดุริยางค์ ๙. สรุปสาระสำคัญของกิจกรรม การประชุม ๒๐๑๓ Asia Dance Committee  เป็นกิจกรรมเตรียมการเพื่อเรียมการแสดงใน พิธีเปิดศูนย์วัฒนธรรมเอเชีย (Asian Cultural Complex) ณ เมือง Gwangjuสาธารณรัฐเกาหลี ในปี ค.ศ. ๒๐๑๕ ประกอบด้วยการประชุมเชิงปฏิบัติการนาฏศิลป์เอเชีย เพื่อสร้างสรรค์ชุดการแสดงในพิธีเปิด และการประชุมคณะกรรมการ Asia Dance Committee จากผู้แทนรัฐบาลประเทศต่างๆ เพื่อวางแผนความร่วมมือด้านศิลปะการแสดงในอนาคตเมื่อมีการเปิดใช้งาน Asian Cultural Complex ๑๐. ข้อเสนอแนะจากการจัดกิจกรรม     ๑. เนื่องจากข้อกำหนดคณะกรรมการ Asia Dance Committee กำหนดให้ผู้แทนแต่ละประเทศที่เป็นกรรมการมีอายุ ๒ ปีซึ่งได้ครบกำหนดแล้ว กระทรวงวัฒนธรรมจำเป็นต้องเสนอรายชื่อไปยังเลขานุการกรรมการอีกครั้งหนึ่ง     ๒. ผู้เข้าร่วมประชุมหากไม่ได้เป็นผู้มีรายชื่อเป็นคณะกรรมการ ไม่สามารถลงนามในมติที่ประชุม และรับรองรายงานการประชุมได้     ๓. ลักษณะลีลาท่าทางของการแสดงที่ทำการประชุมเชิงปฏิบัติการนาฏศิลป์เอเชีย ควรแสดงให้เห็นเอกลักษณ์ท่าทางการแสดงของแต่ละชาติได้อย่างชัดเจนมากขึ้นในการประชุมเชิงปฏิบัติการนาฏศิลป์เอเชียครั้งต่อไปปี ๒๐๑๔     นางพัชรา  บัวทอง  ผู้สรุปผลการเดินทางไปราการ                                            ๖ ธันวาคม ๒๕๕๖